Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โจอี้ ฟรอส กับการผจญภัยข้ามเวลา บทที่7.2 (ต่อ) ติดต่อทีมงาน

ไม่ทราบว่ามีคนอ่านบ้างหรือเปล่า  กลัวว่าลงเยอะไปมันจะน่าเบื่อค่ะ  เลยลงสั้นไปหน่อย  ครั้งนี้ลงส่วนต่อให้เลยนะคะ

บทที่ 7 (ต่อ)


    รุ่งเช้าโจอี้รีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสาม  เขาตรงไปยังห้องพักของครูมิลเลอร์ที่อยู่สุดทาง  ในใจของเขาหวังไว้ว่ามันจะไม่เหมือนเมื่อวาน  เขายกมือขึ้นเคาะประตูและรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ    

    “สวัสดี  โจอี้”  ครูมิลเลอร์เดินมาเปิดประตูต้อนรับ  เสียงสั่นๆของครูกลับมาอีกแล้ว  เขารู้สึกชินกับครูมิลเลอร์รูปแบบใหม่มากกว่า

   “เป็นอย่างไรบ้างครับ”  โจอี้อยากรู้ความคืบหน้า  เขาเดินมานั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม    

   “กำลังยุ่งกันทั้งสำนักงาน”  สีหน้าของครูมิลเลอร์ดูอิดโรย  การอดนอนติดๆกันทำให้ร่างกายเริ่มล้า  เมื่อคืนเขาและฮัมเบิร์กกลับไปตรวจสอบที่สำนักงานด้วยกัน  ตำรวจและหน่วยสืบสวนอีกหลายคนมากันพร้อมหน้า  ไม่มีวี่แววของการแหกคุก  เขาออกจากที่นั่นอย่างไร้ร่องรอยซึ่งใครๆก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้  

     “ตามหาคนที่ชื่ออัลเบิร์ต สโตนอยู่หรือครับ  เขาเป็นใคร?”  โจอี้จำชื่อที่ฮัมเบิร์กบอกได้แม่น

    “เขาเป็นนักโทษของเราที่ถูกกักกันอยู่ในคุกไร้เวลา  เขาถูกจับเมื่อสามปีก่อน”  ครูมิลเลอร์พูดค้างไว้แค่นั้นทั้งที่ท่าทางของเขาดูเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก

   “ถูกจับด้วยข้อหาอะไรหรือครับ”  โจอี้เริ่มซัก  เขาสงสัยว่าต้องทำความผิดประเภทไหนถึงได้ถูกจับไปอยู่ในที่แบบนั้น

   “เขาคิดจะขโมยหินศักดิ์สิทธิ์แห่งโอซิริส”  ครูมิลเลอร์เล่าให้โจอี้ฟังคร่าวๆ  ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะรับรู้รายละเอียด

   “หินศักดิ์สิทธิ์แห่งโอซิริสหรือครับ”  โจอี้คิดว่าทำไมที่สำนักงานแห่งนี้ถึงได้มีหินมากมายหลายชนิดเหลือเกิน…แล้วหินศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ามีเอาไว้ทำอะไร?

     “ใช่  เป็นหินที่มีอายุหลายหมื่นปี  ถูกพบที่นี่เมื่อสามปีก่อน  มีคนนำข้ามเวลามาซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นใคร  เราจึงส่งไปไว้ที่กองตรวจสอบวัตถุโบราณ   แต่มันก็ถูกขโมยไปในไม่กี่วันต่อมา   ถึงอัลเบิร์ตจะถูกจับแต่ลูกน้องของเขาก็ขโมยมันไปจนได้  ถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าหินก้อนนั้นอยู่ที่ไหน”  ครูนิ่งเงียบไปนานหลังเล่าจบ  

   “เขาจะขโมยมันไปทำไมหรือครับ”  โจอี้ถามต่อ  เขาสังเกตว่าสีหน้าของครูดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่  

    “ยังไม่มีใครรู้ถึงเหตุผลนั้น”  ครูมิลเลอร์ส่ายหน้า  สายตาของครูดูเหม่อลอยชอบกล  โจอี้คิดว่าครูอาจจะไม่สบาย  เขาจึงไม่อยากรบกวนต่อ

    “เอ้อ  ผมว่า…ผมไปก่อนดีกว่าครับ  ครูจะได้พักผ่อน”  โจอี้เตรียมจะลุกออกไปแต่ครูมิลเลอร์รีบเรียกเขาไว้ก่อน

    “เดี๋ยวสิโจอี้  วันนี้เลิกเรียนเร็ว  เธออยากไปเที่ยวที่สำนักงานไหม”  คำถามสุดท้ายของครูมิลเลอร์ทำให้โจอี้ดีใจจนตัวลอย  เขารีบพยักหน้าและขอชวนแอนนาไปด้วย  


ตอนบ่ายครูล่วงหน้าไปที่สำนักงานก่อนโดยใช้นาฬิกาของตัวเอง  ครูสั่งให้โจอี้เลิกใช้นาฬิกาของพ่ออย่างเด็ดขาด  แต่อนุญาตให้เขาเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงพ่อได้  ดังนั้นโจอี้และแอนนาจึงต้องเดินมาสำนักงานเอง

    “เธอแน่ใจนะว่าพวกเราจะไม่ถูกไล่ออกมาเสียก่อน”  แอนนาถามโจอี้เมื่อทั้งคู่ยืนอยู่หน้าสำนักงาน  เธอนึกถึงภาพใบหน้าอันบูดบึ้งของฮัมเบิร์กออกเวลาที่เขาเห็นพวกเธอ

    “แน่ใจสิ  ครูเป็นคนอนุญาตเอง”  โจอี้ผลักประตูเข้าไป  เขาตรงเข้าไปหาเบ็ตตี้ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์

    “ผมมาหาครูมิลเลอร์ครับ”  โจอี้เขย่งเท้าขึ้นคุยกับเบ็ตตี้  เธอชะโงกตัวข้ามขอบโต๊ะลงมาแล้วถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นพวกเขา

    “โอ้  พวกเธออีกแล้วหรือ”  เบ็ตตี้เอามือทาบอก  เธอไม่อยากยุ่งยากอีก  ครั้งที่แล้วเธอถูกเล่นงานแทบแย่ที่ปล่อยให้สองคนนี้หนีไป  เจ้าหน้าที่สาวข้างๆชะโงกหน้ามาคุยกับเขาอีกคน

    “โจอี้ใช่ไหมจ๊ะ  คุณมิลเลอร์สั่งไว้ให้รอสักครู่”  เจ้าหน้าที่สาวคนใหม่พาโจอี้และแอนนาไปนั่งรอที่เก้าอี้รับรอง  วันนี้มีแต่พนักงานที่ใส่สูทเท่านั้น  ต่างคนต่างกำลังวุ่นวายเหมือนเคย  คนอื่นที่ดูเหมือนจะเป็นลูกค้าหายไปหมด  ป้ายงดบริการการเดินทางถูกนำมาแขวนไว้ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์  สักครู่ครูมิลเลอร์เดินออกมาจากลิฟต์ตัวหนึ่ง  โจอี้และแอนนารีบเดินเข้าไปหา

    “วันนี้ครูจะพาพวกเธอเดินชมที่นี่ดีไหม”  ครูมิลเลอร์เลิกคิ้วถามเด็กทั้งสองคน

   “ได้หรือคะ  ไหนครูบอกว่าที่นี่กำลังยุ่ง”   แอนนานึกถึงภาพของเมื่อวานนี้ที่พวกเธอต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน  เธอหวังว่าวันนี้คงจะไม่ต้องวิ่งหนีใครอีก

   “ได้สิ..หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้นล่ะที่ยุ่ง   คุณฮัมเบิร์กเป็นคนเสนอมาเองเลยนะ”  คำตอบนี้ชวนให้ประหลาดใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด  โจอี้สบตากับแอนนาอย่างหวั่นใจ  คุณฮัมเบิร์กน่ะหรือ...เขามีแผนการอะไรหรือเปล่า?  

    ครูมิลเลอร์พาเด็กๆไปที่ชั้นสอง  โจอี้เริ่มชินกับการอ่านป้ายโดยไม่ต้องใช้กระจกเงาแล้ว  ที่นี่คือ ‘กองตรวจสอบวัตถุโบราณอันเป็นพิษ’ ชื่อไม่ค่อยน่าเข้าไปเท่าไหร่ในความคิดของโจอี้  ครูมิลเลอร์เดินผ่านประตูกระจกเข้าไปเป็นคนแรก  ทั้งสามคนเดินผ่านห้องที่มีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งยืนอยู่  โจอี้สังเกตว่าพวกเขากำลังวุ่นวายกับสิ่งของบางอย่างที่ตั้งอยู่กลางห้อง

    “นั่นอะไรครับ?”   โจอี้ชี้ไปที่พื้น  เขาเห็นเจ้าหน้าที่กำลังใช้คีมขนาดใหญ่คีบท่อนไม้เก่าๆใส่ลงไปในกล่องเหล็กอย่างทุลักทุเล

   “ถ้าจำไม่ผิด  นั่นคงเป็นไม้กินกระดูก”  ครูมิลเลอร์ตอบโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน  แต่โจอี้แทบสำลักเมื่อได้ยินชื่อนี้

    “ไม้อะไรนะครับ?”  เขาไม่แน่ใจหูฝาดไปหรือเปล่า  

    “ไม้กินกระดูก  เธอไม่ได้หูฝาดไปหรอก  มันมาจากช่วงเวลาเมื่อประมาณห้าพันปีก่อนและถูกพบเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง  มีใครบางคนแอบขุดมันขึ้นมาจากที่ซ่อน  ตอนนี้ก็เลยต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่หน่วยพยาบาล”  ครูมิลเลอร์ส่ายหน้าเมื่อคิดถึงคนที่เก็บมันมา  เขาไม่รู้ว่าควรจะสงสารเจ้าหมอนั่นดีไหม

    “ว้าว..โลกเรานี่น่ากลัวกว่าที่คิดอีกนะคะ”  แอนนาอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น  ตากลมโตเป็นประกายเมื่อจ้องมองเข้าไปข้างในอย่างอยากรู้อยากเห็น  โจอี้เหล่ตามองเพื่อนของเขาที่ไม่มีท่าทางกลัวอย่างที่พูดแม้แต่น้อย

    “ใช่  มีทั้งของที่ต้องสาปและของประหลาดอื่นๆอีกมากมาย  ซึ่งพวกมันมักจะถูกค้นพบโดยคนที่อยากรู้อยากเห็นจนเกินไป  อย่างไม้กินกระดูกชิ้นนั้น   คนแคระเป็นคนขุดมันขึ้นมา  เขาชอบเดินเข้าไปตามซอกเล็กๆและก็มีนิสัยค่อนข้างซนเหมือนเด็ก  โชคดีนะที่มีแต่นิ้วก้อยเท่านั้นที่หายไป”  ครูมิลเลอร์บรรยายจนเด็กทั้งสองคนนึกภาพออก  พวกเขาคิดว่าคงสยดสยองน่าดูถ้ามันไม่ได้หยุดกินอยู่เพียงแค่นั้น


    ทั้งสามคนเดินผ่านไปยังห้องที่อยู่ติดกัน  ห้องนี้มีกล่องกระดาษขนาดต่างๆวางเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วห้อง  บางกล่องถูกมัดด้วยเชือกเรียบร้อยแล้ว  บางกล่องยังเปิดอ้าค้างไว้  โจอี้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ  ที่หน้ากล่องใบหนึ่งมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า ‘ส่งกลับ’ ฝากล่องยังไม่ถูกปิดให้เรียบร้อย  เขาเห็นคทาสีทองอันหนึ่งวางอยู่ข้างใน  รอบๆหัวของคทาประดับด้วยทับทิมเม็ดเล็กสีแดงจำนวนห้าเม็ด  ที่ส่วนหัวประดับด้วยเพชรเม็ดใหญ่  ความสวยงามของมันดึงดูดให้โจอี้เอื้อมมือออกไปสัมผัส

    “ถ้าฉันเป็นเธอ  ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด”  เสียงของครูมิลเลอร์ดังขึ้นทำให้โจอี้ชะงักมือทันควัน  เขารีบหดมือกลับทันที

    “นั่นเป็นคทาต้องสาป  คนที่หยิบมันออกมาเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานนี้เอง  ของชิ้นนี้ได้มาหนึ่งเดือนแล้ว  แต่เพิ่งจะหาวิธีเก็บมันเข้ากล่องได้โดยที่คนเก็บไม่ถูกสาป  พวกเขาคงเตรียมส่งมันกลับที่เดิมเร็วๆนี้”  ครูอ่านข้อความบนแผ่นกระดาษที่ปิดไว้ข้างกล่อง  วันที่ที่แน่นอนยังไม่ถูกระบุลงไป  

    “ที่นี่มีไว้สำหรับตรวจสอบของที่เป็นอันตรายต่อนักเดินทางของเรา  ถ้าได้รายละเอียดครบก็จะทำการปิดผนึกและส่งกลับทันที”  ครูมิลเลอร์อธิบายต่อ  พวกเขาเข้าใจแล้วว่ากองตรวจสอบวัตถุโบราณนี้มีไว้ทำอะไร  แม้จะเป็นที่ที่น่าสนใจ  แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายจริงๆ

    “ทำไมเราไม่เก็บมันไว้ที่นี่ล่ะคะ  จะได้ไม่มีใครไปพบมันอีก”  แอนนาสงสัย

    “ถ้าเราทำอย่างนั้นของจากเวลาในอดีตจะค่อยๆหายไปทีละชิ้นๆ  มันจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์  กฎข้อแรกของการเดินทางก็คือห้ามแตะต้องทุกอย่างที่อยู่ในอดีต  แต่ก็ห้ามไม่เคยสำเร็จสักครั้ง”  ครูมิลเลอร์ยักไหล่  เขาปล่อยให้เด็กๆเดินดูที่นี่ต่ออีกสักพักโดยไม่ลืมกำชับว่า ‘ถ้าไม่อยากเข้าไปนอนในหน่วยพยาบาล  ห้ามแตะต้องอะไรทั้งสิ้น’ เมื่อทั้งสองคนเดินดูจนพอใจ  ครูมิลเลอร์จึงพาพวกเขากลับออกมาที่หน้าลิฟต์


    “ชั้นสามเป็นหน่วยพยาบาล”  ครูมิลเลอร์บอกขณะที่รอลิฟต์  เขายิ้มเมื่อเห็นทั้งคู่ทำหน้าฉงน  พวกเขาไม่คิดว่าหน่วยพยาบาลจะอยู่ใกล้แค่นี้  แน่ล่ะ…คนที่ใช้บริการบ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นคนที่กองตรวจสอบวัตถุโบราณนั่นล่ะ

    “เจ้าหน้าที่เองก็พลาดได้เหมือนกัน  ถัดขึ้นไปอีกเป็นหน่วยเก็บตกวัตถุแปลกปลอม…พวกเธอเคยไปมาแล้วใช่ไหม”  ครูมิลเลอร์รู้เพราะโจอี้ได้นาฬิกาของพ่อมาจากที่นั่น

    “ครับ  จริงสิ…ที่นั่นมีนาฬิกาข้อมือเหมือนกับที่วาดอยู่ในหนังสือที่ครูให้ผมยืมไปอ่านด้วย  แต่ตอนนี้ภาพนั้นหายไปจากหนังสือแล้ว  มันเป็นไปได้อย่างไรครับ”  โจอี้ยังข้องใจกับการโผล่มาในที่ใหม่ของมัน  เขามั่นใจว่าต้องเป็นนาฬิกาเรือนเดียวกันแน่

    “หน่วยงานนี้จะเก็บของที่นักเดินทางทำหล่นหายหรือลืมเอาไว้  เราจะทิ้งของในโลกปัจจุบันไว้ในโลกอดีตไม่ได้  ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นล่ะ  หนังสือที่เธอได้ไปจะแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอดีตตลอดเวลา  อะไรที่เปลี่ยนแปลงในความเป็นจริง  ในหนังสือก็จะเปลี่ยนแปลงด้วย  ถ้าเธอเห็นว่านาฬิกาในภาพนั้นหายไป  ก็แสดงว่ามีคนเก็บมันออกมาแล้ว”  ครูมิลเลอร์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะแหงนมองตัวเลขที่ลิฟต์

    “อืม..ไปชั้นห้าเลยดีกว่า”  ครูมิลเลอร์พาเด็กๆขึ้นไปที่ชั้นห้า  พวกเขาหยุดยืนอยู่แค่ด้านนอกเท่านั้น  “ที่นี่เป็นที่ตั้งของหน่วยตำรวจเวลา  กำลังยุ่งเชียวล่ะ  อย่าไปรบกวนจะดีกว่า”  ครูมิลเลอร์พาทุกคนกลับเข้าลิฟต์  โจอี้เหลียวมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง  ทุกคนแต่งชุดสูทสีกรมท่าและแขวนนาฬิกาพกสีน้ำเงินไว้ที่คอ

    “ชั้นหกเป็นจุดที่ใช้ทำหนังสือเดินทาง  ครูไม่เคยเข้าไปหรอก  เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้  พวกเราเดินทางไปได้ทุกที่อยู่แล้ว  ครูคิดว่าพวกเราไปชั้นที่เธออยากไปมากที่สุดดีกว่า”  ครูมิลเลอร์ก้มลงมองโจอี้โดยเฉพาะ  หัวใจของเด็กชายเต้นโครมครามจนแทบจะหลุดออกมาข้างนอก  ในใจของเขาภาวนาให้เป็นอย่างที่หวังไว้

    “ไปชั้นเจ็ดกันเถอะ”  สิ้นเสียงครูมิลเลอร์  น้ำตาของโจอี้แทบจะเอ่อล้นออกมาด้วยความดีใจ

จากคุณ : ojaru
เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 21:57:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com