Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 2 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12194066/W12194066.html

บทที่ 2

'นั่นมันแสงอะไร' ธิสัยไม่เคยมาที่นี่ เขาเคยแต่ฟังมวลผกาเล่าถึงปรากฏการณ์อัศจรรย์บนภูดารกะ

อย่างเช่นว่าวันดีคืนดีจะเกิดรัศมีสีทองเปล่งอร่ามตอนกลางคืนทั่ววิหารวังร้าง หรือวันดีคืนดีก็จะมีทรัพย์สมบัติโบราณผุดขึ้นให้ชาวบ้านเก็บไปขายเปลี่ยนฐานะจากยาจกเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน

ตอนฟังก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และไม่คิดด้วยว่าตนจะมีโอกาสได้เห็นเรื่องพิสดารพวกนั้น แต่รัศมีสีทองที่กำลังเปล่งอร่ามอยู่บนเนินมืดตรงนั้น มันก็สวยเสียจนอดที่จะเหม่อมองเหมือนต้องมนตร์ไม่ได้

ในหูคล้ายจะแว่วเสียงกลองรัวแปลกๆ ในใจก็เหมือนมีใครเข้าไปจับเขย่า มันตึงๆ รัวๆ พิกล มือใหญ่อุ่นวาบขึ้นเมื่อมวลผกาเลื่อนมากุมอย่างตื่นเต้น หล่อนบอกว่า

"คุณธิ นั่นมันวิหารวังร้างค่ะ มันกำลังเปล่งแสงสีทองเหมือนที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง"

"มั่นใจได้ยังไง" สามีติงไว้ก่อน มองตาแวบเดียวก็รู้ว่าหล่อนอยากขึ้นไปดูใกล้ๆ

"มันต้องใช่แน่ ละแวกนี้ก็มีแต่วิหารวังร้างบนเนินนี่ล่ะ แล้วจะมีใครที่ไหนทำแสงสีทองได้สวยแบบนั้น นั่น คุณดูสิ มันวูบวาบๆ ด้วย ไปกันเถอะค่ะ มันต้องเป็นบุญตาเราแน่ๆ เลย เก็บไว้เล่าให้ลูกหลานเราฟังต่อไงคะ ไปค่ะ"

"ไม่เอาหรอก คุณบาดเจ็บอยู่นะ ผมก็เหมือนกัน ไว้วันหลังเราค่อย.. "

"ไม่เอา ฉันยังไหวอยู่ นี่มวลผกานะคะ ไม่ใช่คุณหนู ไปค่ะ ไป"

ธิสัยหัวเราะแห้งๆ เมื่อภรรยาเร่งด้วยเสียงรบเร้ากึ่งรำคาญ คล้ายว่าอาการแข็งขืนไม่ยอมให้ฉุดออกเดินดีๆ มันน่ารำคาญ แต่เขาไม่อยากไป

จริงอยู่ ยอมรับว่ามันสวย แต่ถ้าจะไปดูก็ขอให้อยู่ในสภาพที่พร้อมกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ มวลผกาลืมไปหรือเปล่าว่าเขากับหล่อนมอมแมมและบอบช้ำมากเลย

"เธอสองคนจะไปไหน"

มันเป็นเสียงที่โผล่พรวดออกมาจากความมืด สามีภรรยาสะดุ้งโหยงเท้าหยุดกึกพร้อมเพรียง คนถามปรากฏตัวในชุดรัดกุมสีเทา มันเป็นเสื้อผ้าแปลกๆ ที่ไม่ค่อยจะเห็นนัก เสื้อคอกลม ตัวยาวเสมอเข่า รัดเอวด้วยผ้าแพรสีดำห้อยชาย

อ้อ ตรงชายก็ดูเหมือนว่าจะปักลายประณีตด้วยโลหะสีทอง กางเกงขายาวลีบซ่อนปลายไว้ในรองเท้าเปลือกไม้สานไขว้ครึ่งน่อง สวมสร้อยอะไรก็ไม่รู้แผ่เป็นแพแต่ก็ดูออกว่าทองแท้ทั้งแผ่นแน่ๆ แถมเนื้อทองก็ยังสุกปลั่งอวดตัวเองว่าแท้จัดเสียอีก

"เอ้อ เราจะไปดูปรากฏการณ์วิหารวังร้างค่ะ" มวลผกาเป็นคนตอบหลังจากที่สำรวจผ่านตาระแวงจนพอใจแล้ว

"ท่าทางเธอสองคนจะบาดเจ็บ กลับลงไปก่อนเถอะ รอไว้ให้ทุเลาเสียก่อน แล้วค่อยมา"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรายังไหว"

"เชื่อเราเถอะ เธอสองคนกลับลงไปก่อน อย่าดึงดันเลย เราปรารถนาดี ไม่อยากให้เธอสองคนต้องพบจุดจบน่าอนาถเหมือนคนอื่นๆ "

ธิสัยเริ่มใจคอไม่ดี เสียงของชายแปลกหน้าคนนี้มันเย็นแปลกๆ เนิบและยืดผิดวิสัยคนทั่วไปพูดคุยกัน ตาใหญ่คู่นั้นมันก็ดำนั่นแหละ แต่ดูมันทื่อและหาแววไม่เจอยังไงชอบกล

นี่ถ้าหน้าตาไม่หล่อละก็ เขาอาจจะระแวงว่าเป็นผีสาง แล้วมันก็เป็นไปได้ด้วยไม่ใช่หรือ ที่โบราณแถมร้างอีกต่างหากแบบนี้ มันมักจะมีผีมีเจ้าที่คอยปกป้องคุ้มครองอยู่แล้ว

"ลุงพูดเรื่องอะไรคะ หนูไม่เข้าใจ แต่เอาเป็นว่าเราขอบคุณความหวังดีของลุงก็แล้วกัน"

"เราไม่ต้องการคำขอบคุณ เธอสองคนรีบกลับลงไปก่อนเถอะ จงเชื่อเรา"

พอสิ้นประโยคที่แฝงความร้อนรุ่มลึก ก็พลันบังเกิดเสียงคำรามเป็นคลื่นครืนๆ ดังออกมาจากวิหารวังสีทอง

มันดึงสายตาใคร่รู้ของสามีภรรยาให้เหลียวขวับไปดูในทันที จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าแปรเปลี่ยนของผู้หวังดี อ้อ แล้วก็ไม่ใช่ใครอีกนั่นแหละ ท่านศมะที่เฝ้าดูแลวิหารวังอย่างจงรักภักดีมาเป็นร้อยๆ ปีนั่นเอง

"ไอ้องครักษ์ชั้นปลายแถว เจ้ากล้าขัดขวางเหยื่อของข้าหรือ ไสหัวเจ้าไปให้พ้น"

"เจ้าจะพอกพูนบาปใส่ตัวไปถึงเมื่อไหร่ หลายร้อยปีที่ถูกขังให้สำนึกตน มันขัดเกลาจิตหยาบช้าของเจ้าไม่ได้เลยใช่ไหม การฆ่าคน.. "

"หุบปากของเจ้าไอ้องครักษ์สวะ หลีกทางให้เหยื่อของข้า มันจะเข้ามาช่วยข้า หลีกไป อย่าให้ข้าต้องใช้กำลัง"

ท่านศมะนิ่วหน้าพลางรีบเร่งรวบรวมกำลัง แม้ดวงจิตจะพลุ่งพล่านเพราะโดนคลื่นเสียงคำรามของซาตานวจากระแทกโถมป่าเถื่อน แต่ท่านก็ยังพยายามอย่างที่สุดที่จะปกป้องเหยื่อทั้งสองให้ปลอดภัย

เกือบจะร้องตอบโต้กับซาตานกลับไปอีกสักประโยคอยู่แล้วเชียว แต่เบื้องหน้าก็พลันปรากฏร่างสาวสวยในชุดกระโปรงสีแดงเพลิงยาวกรอมเท้าเดินออกมาจากเงามืด

วงหน้าเรียวขาวกระจ่าง เครื่องประดับทองและรัตนชาติส่องแสงและส่งเสียงตามจังหวะก้าวเนิบราวกับสาวชาววัง แสงนั้นและเสียงนั้นก็คือมนตราครอบงำที่นางกำลังใช้สยบเหยื่อ

"ท่าน.. "

"หลีกไปท่านศมะ จงรู้กำลังของตัวเองเถอะ ยุคอันรุ่งเรืองของท่านมันหมดสิ้นลงไปนานแล้วท่านก็รู้นี่ จงอย่าขัดขวางผู้ช่วยของพี่ชายเรา"

"ท่าน.. "

"ถ้ายังไม่ฟังกันอีก เราจะไม่เกรงใจท่านแล้วละนะ"

ท่านศมะถอนใจยาว เวทนาว่าเหยื่อโดนครอบงำเข้าเสียแล้ว ภรรยาเดินทื่อไปตามมือขาวชี้ มันคือความมืดที่ทอดไปจรดทางเข้า แต่สามีคล้ายจะมีจิตที่เข้มแข็งกว่า จึงสลัดศีรษะเป็นพักๆ ดั่งจะแข็งข้อต่อมนตราลี้ลับ ท่านศมะจึงมีความหวังขึ้นอีกนิด

"อย่าเข้าไปเลยพ่อหนุ่ม เชื่อเราเถอะ"

ท่านยื่นมือปรารถนาดีดึงข้อมือหนุ่มเคราะห์ร้าย ไอเย็นจากอุ้งมือดวงวิญญาณเกิดพลังดีดสะท้อนขึ้นห้วงหนึ่ง

ธิสัยสะดุ้งเฮือกขึ้น สมองก็ปลอดโปร่งในทันที เขากะพริบตาอย่างตกใจเมื่อพบว่ามวลผกาเดินไปไกลมากแล้ว หล่อนผ่านกำแพงสีทองสูงท่วมหัวเข้าสู่ด้านในแล้วด้วย

"ผกา" เขาตะโกนเรียกเสียงดัง แต่หล่อนก็เหมือนว่าจะไม่ได้ยิน "ผกา อย่าเข้าไป ปล่อยผมสิ" ตอนท้ายก็หันไปบิดข้อมือแล้วถลึงตาใส่ท่านศมะ

" เราเตือนแล้วว่าให้รีบกลับลงไป แต่เธอทั้งสองไม่เชื่อเราเอง ไม่เคยมีใครที่เข้าไปในนั้นแล้วรอดกลับออกมา"

"อะไรนะ นี่ลุงพูดเรื่องอะไร ใครเข้าไปแล้วใครไม่รอดกลับออกมา อย่าเพ้อเจ้อน่า ปล่อยผมเดี๋ยวนี้ ผมจะไปตามภรรยาของผมกลับมา"

"ช้าไปแล้ว ปล่อยภรรยาของเธอไปเถอะ ส่วนเธอก็รีบกลับลง.. "

บังเกิดสายลมซาตานพัดไอร้อนคมกริบมากระแทกมือปรารถนาดี ท่านศมะต้องรีบถอยวืดและจำต้องปล่อยเหยื่อหนุ่มเคราะห์ร้ายให้วิ่งฝ่าความมืดไล่ตามภรรยาเข้าสู่ด้านในของวิหารวังร้าง ท่านได้แต่ส่ายหน้าพลางปรายตาไปจับวงหน้าขาวกระจ่างของนางมาร

"แม่นางแพร"

"ในเมื่อท่านเรียกเราเช่นนี้ ก็แสดงว่ายังจำได้อยู่ว่าเราคือชายาของเจ้าฟ้าจ่างแห่งคามดารกะ จงไปเสียเถอะ ท่านหมดอำนาจวาสนาแล้ว มันหมดไปพร้อมกับการดับสูญของแม่นางกณิการ์นั่นแหละ"

"ไม่เลยแม่นาง ท่านก็รู้ว่าไม่จริง แม่นางกณิการ์ไม่เคยดับสูญ"

"มันเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ของท่านฝ่ายเดียว แม่นางดับสูญแล้ว ปิดฉากยุคแห่งความรุ่งเรืองของคามดารกะนับแต่นั้นเป็นต้นมา คอยดูเถอะ รอวันที่พี่ชายเราหลุดพ้นจากโซ่ตรวนคำสาปได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้น คามดารกะจะฟื้นคืน แล้วยุคสมัยของพี่ชายเราก็จะรุ่งเรืองแทนที่"

พอสิ้นความหวังโอหัง ร่างอรชรของ 'แม่นางแพร' ก็ค่อยเลือนหายไปแล้วพร้อมกับทิ้งเสียงหัวเราะเย็นเยียบยาวนานไว้เยาะหยามองครักษ์สิ้นอำนาจ

ดวงวิญญาณองครักษ์เดินไปหยุดเบื้องหน้ารัศมีสีทองอร่าม มองลึกเข้าไปด้านในแล้วทอดถอนใจอีก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแม่นางใจชั่วต้องกลับเข้าไปช่วยพี่ชายซาตานครอบงำเหยื่ออีกแรง

ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าพ่อหนุ่มคนนั้นจะใช้จิตที่เข้มแข็งต้านทานกระแสมนตราชั่ว แล้วกลับออกมาอย่างปลอดภัย มันจะดีมากเลยถ้าเขาจะกลับออกมาพร้อมกับภรรยาด้วย แต่ก็นั่นล่ะ โอกาสที่ท่านคาดหวัง 'มันช่างน้อยนิดยิ่ง'




ทั่วโถงสูงรายล้อมด้วยความมืด มองไปทางไหนก็ดูน่ากลัวไปด้วยเงาตะคุ่มซึ่งก็เดาไม่ถูกว่ามันคืออะไร ธิสัยใจเต้นแรงมาก ไม่รู้ทำไมสิ เขามักจะนึกถึงเรื่องตายอยู่เรื่อยเลย

วูบนี้เองที่เขาค่อยสำนึกเสียใจ ลุงแปลกหน้าคนนั้นคงจะรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลในนี้นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่คอยขวางคอยดึง รบเร้าว่าอย่าเข้ามา เร่งให้รีบกลับลงไป

แต่จะให้ทำยังไง ภรรยาเขาอยู่ในนี้ โน่นแน่ะ หล่อนยืนทื่อเหมือนรูปปั้นเลย เขาไม่แน่ใจว่าในนี้จะมีลมหรือเปล่า แต่ก็สังเกตเห็นในความสลัวนั่นละว่าชายเสื้อผ้าและปลายผมของหล่อนพลิ้วไหวตลอดเวลา

"ผกา" เขาเรียกพลางแตะไหล่ แล้วค่อยสะดุ้งโหยง ตกใจกับกิริยาหันขวับถลึงตาดุร้าย "เอ้อ ผกา นี่ผมนะ"

"คุณธิ" มวลผกากะพริบตา เสียงทุ้มคุ้นหูของสามีคล้ายฉุดสติให้หลุดออกมาจากมนตร์ครอบงำ "คุณธิหรือคะ"

"ครับ"

พอสิ้นเสียงขานรับแผ่วๆ มวลผกาก็รู้สึกตัว หล่อนอ้าปากค้าง ตกใจกับความมืดรอบตัว ร่างบอบช้ำหมุนเป็นวง แล้วค่อยร้องอุทานขึ้นว่า

"คุณธิ นี่เราอยู่ที่ไหน หรือว่าเราเข้ามาในวิหารวัง เราเข้ามาในนี้ได้หรือ แล้วสีทอง.. "

"ใจเย็นๆ ไม่มีอะไร" สามีกุมมือแล้วค่อยกอดหลวมๆ คล้ายให้กำลังใจ "เราจะกลับออกไปจากที่นี่ แล้วผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง"

เขาคิดว่าพูดได้ดีและเสียงไม่สั่น แต่ความจริงแล้วเขากลัวจนขนลุกซู่ๆ มันมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่ในความว่างเปล่าแต่ลี้ลับ แล้วก็วนไปเวียนมารอบตัวเขากับภรรยานี่เอง เขาบอกหล่อนไม่ได้ เพราะมันมองไม่เห็น แต่เขารู้สึก แล้วภรรยาก็คงไม่เชื่อเพียงแค่ความรู้สึก

ขณะครุ่นคิดอย่างหวาดระแวงกึ่งกลัวไม่น้อย อย่างฉับพลันล่ะ โถงมืดก็พลันสว่างจ้าขึ้น มวลผการ้องอุทานตกใจ หมุนตัวขวับไปมองบันไดสีทอง

มีผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิงและเครื่องประดับโบราณที่งดงามมากยืนอยู่ แต่แม้จะตกใจ หล่อนก็ยังอุตส่าห์มีเวลาสำรวจอาภรณ์ประหลาดที่ไม่ค่อยเคยเห็นในปัจจุบันอย่างละเอียดเพียงแวบ

ชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีแดงเพลิง ปักเลื่อมลายแปลกแต่สวยมาก ดิ้นทองเส้นเล็กใหญ่คดเคี้ยวเหมือนสายน้ำที่ไหลแทรกไปตามซอกโขดหิน

เครื่องประดับเต็มคอเต็มแขนมันชิ้นใหญ่ๆ เชียวล่ะ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้สึกหนักบ้างหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันสวยและของแท้ทั้งหมดล่ะ โดยเฉพาะเข็มขัดใหญ่ฉลุลวดลายโปร่งเส้นนั้น มันเห็นชัดเลยว่า 'ทองล้วนๆ '

"เธอเป็นใครคะ" หล่อนกระซิบถามสามี โดยที่สายตาสำรวจยังไม่ยอมย้ายจากเป้าหมาย

"ผมไม่รู้ แต่เพราะเธอ ทำให้คุณเดินทื่อๆ เข้ามาในนี้ ผมว่าเธอไม่น่าไว้ใจ เรารีบกลับออกไปเถอะ"

ภรรยาพยักหน้าเชื่อฟัง ธิสัยขนลุกซู่ๆ ไอร้อนในร่างกายมันแผ่ผ่าวๆ ตลอดเวลา ในสมองฟูขึ้นเหมือนเตือนให้ระวังภัย เขากลัวมาก ตราบใดที่ยังไม่พ้นอาณาเขตโถงประหลาด เขาคงสลัดความพรั่นพรึงออกไปจากอกไม่ได้

"พวกเจ้าเข้ามาแล้ว ก็ไม่มีโอกาสกลับออกไป เว้นเสียแต่ว่าพวกเจ้าจะช่วยเราทำเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งให้สำเร็จเสียก่อน"

พอสิ้นเสียงยืดยานและเย็นยะเยือกประหลาด นกจำนวนมหาศาลก็พากันกระพือปีกบินกรูเข้าหาสามีภรรยาที่เพิ่งจะถอยหลังไปได้สามก้าว

เสียงพึ่บพั่บของมันดังระงมไปทั่วโถง มวลผกาได้ชื่อว่าเป็นสาวห้าวไม่กลัวอะไรง่ายๆ ก็ยังโดนความตระหนกบีบคั้น ต้องร้องกรี๊ดสุดเสียง

โอ.. ปลายจมูกเลือดไหลซิบเลย น่าจะโดนคมเล็บของนกตัวใดตัวหนึ่งกรีดเอานั่นล่ะ แล้วเวลานี้ มันก็บินวนเหนือเพดานโถงเนืองแน่นไปหมด เห็นแล้วอดขนลุกไม่ได้

"นี่มันอะไรกัน" หล่อนร้องเสียงสั่นๆ

"ตามเรามา เรามีงานสำคัญเรื่องหนึ่งให้เจ้าสองคนทำ ถ้าทำสำเร็จ เราจะปล่อยตัวไป"

"แล้วถ้าไม่สำเร็จล่ะ" ธิสัยถามตอบโต้กับเจ้าของเสียงเย็นและยืด

"เจ้าก็จะต้องถูกขังไว้ที่นี่ อยู่เป็นเพื่อนเราไปจนกว่าจะตาย"

'ตาย' วลีอันน่าสะพรึงกลัวอย่างนั้น มาพูดให้หนุ่มสาวที่กำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วันฟังหรือ สามีภรรยาลอบครางเบาหวิวในอกแล้วหันมองตากันอย่างพรั่นพรึง

ธิสัยส่ายหน้าให้กำลังใจเหมือนเคย เขาเป็นสามีไม่ใช่หรือ เสาหลักของครอบครัวต้องไม่อ่อนแอสิ ต่อให้กลัวมากแค่ไหน ก็ต้องแสดงให้ภรรยาเชื่อมั่นให้ได้ว่า 'กลัวน้อยกว่า'

"ไม่ต้องกลัว" แล้วเขาก็ปลอบด้วยเสียงมั่นคง "ไม่มีใครทำอะไรเราได้หรอก ผมจะพาคุณกลับออกไป"

"แต่เธอคนนั้น ว้าย คุณธิ ว้าย โอ๊ย"

"ผกา คุณพระช่วย ผกา ผกา"

ธิสัยตะโกนสุดเสียง ร่างเขาลอยขึ้นเหมือนโดนแม่เหล็กยักษ์บนเพดานโถงดูดขึ้นไป มีใครสักคนล่ะ กำลังใช้พลังวิเศษบิดร่างลอยเคว้งคว้างให้หมุนติ้วเป็นลูกข่าง

แต่เขาก็ยังเห็นนะว่าร่างของภรรยาลอยพุ่งไปกระแทกเสาบันไดแล้วร่วงรูดลง เลือดทะลักแถวท้ายทอยเปรอะคอเปรอะหลัง หล่อนกรีดร้องสุดเสียง มันปนกันทั้งเจ็บปวดรุนแรงกับหวาดกลัวสุดขีด

"ผกา ปล่อยผมลงไป ผกา ไอ้บ้าเอ๊ย แกเป็นใครกันแน่ ใช่คนหรือเปล่า"

แล้วพอสิ้นเสียงคำรามเดือดดาล แม่นางแพรก็แผดเสียงหัวเราะโหยหวนทั่วโถงร้าง ใช่ สภาพแท้จริงของมันไม่ได้สวยงามอร่ามด้วยสีทองอย่างที่แม่นางเนรมิตล่อหลอกให้เห็นหรอก มันถูกปกคลุมไปด้วยหยากไย่หนาเตอะ กลิ่นอับชื้นและฉุนจัด ฝุ่นทับถมเหมือนผงทราย

ทุกมวลโลหะแปรสีสดเป็นซีด คานปูนคานไม้ชำรุดหักร่วงลงมาซ้อนทับกันอย่างระเกะระกะ บนพื้นหินอ่อนฝังรัตนชาติงดงามก็เนืองไปด้วยซากสัตว์ที่ตายทับถมกันกับเศษใบไม้ที่ปลิวเข้ามาจากสวนแห้งแล้งข้างนอก

ที่อันรกร้างเช่นนี้ล่ะ คือถิ่นสถิตของซาตานและผีร้ายที่เคยมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในยุคอันรุ่งเรืองของคามดารกะ ภายใต้การปกครองของ 'แม่นางกณิการ์'

"ผกา" ธิสัยตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงหัวเราะโหยหวน มันดังมากจนแก้วหูพองฟูเหมือนจะแตกระเบิด

"เจ้าเลือกเอาเองว่าจะทำงานให้เราจนสำเร็จแลกกับชีวิตของภรรยาของเจ้า หรือว่าอยากเห็นภรรยาของเจ้าถูกเราฆ่าต่อหน้าต่อตา"

"ไม่ ผกา ไม่นะ ไม่ อย่าทำอย่างนั้น อย่าทำ"

ธิสัยน้ำตาร่วงอย่างหวาดกลัว เขาพยายามดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดจากแรงบีบรัดของบางอย่างที่มองไม่เห็น มันนั่นแหละที่ยึดร่างเขาไว้ให้ลอยค้างกลางอากาศ

แต่ภรรยาของเขาสิ หล่อนน่าสงสาร ผู้หญิงคนนั้นจิกลำคอบอบบางแล้วยกชูขึ้นอย่างโหดเหี้ยม เลือดไหลโกรกลงมาเหมือนน้ำตกเททะลักจากหน้าผาทีเดียว

"ปล่อยผกา ปล่อยสิ คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะ เธอต้องตายแน่ๆ ปล่อยเธอ ถ้าเธอตาย คุณก็จะไม่มีใครทำงานให้คุณ ได้ยินไหม ปล่อยเธอ ผมบอกว่าปล่อยเธอ ไอ้บัดซบเอ๊ย ไอ้ผีบ้า แกมันผีนรก แก.. "

แม่นางแพรคำรามอะไรก็ไม่รู้ ก่อนจะเหวี่ยงมวลผกาขึ้นไปกลิ้งบนระเบียงสกปรก ร่างในชุดแดงเพลิงกระโจนพุ่งมาจิกคอเหยื่อปากกล้า ถลึงตาไร้แววกำราบ

ธิสัยลืมหายใจไปเลยเมื่อประจันกับความน่ากลัวที่หมดคำบรรยาย มันแน่ใจได้แล้วว่าเขากำลังปะทะเข้ากับผีร้ายตนหนึ่งจริงๆ

โอ.. ใช่แล้ว หล่อนเป็นผี ดูสิ วงหน้าเรียวขาวกระจ่างแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ แก้มผุดผ่องกลายกลับเป็นซีดจนคล้ำและเต็มไปด้วยรูพรุนจนแยกไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นตาจมูกปากคาง เลือดสีดำผุดปุดๆ เหมือนน้ำเดือดออกมาจากรูพรุนส่งกลิ่นเหม็นประหลาดรุนแรง

ธิสัยผะอืดผะอมได้ไม่นานก็อาเจียนทรมาน เจ็บร้าวทั่วแผงอกก่อนจะร้อนอบอ้าวเหมือนถูกเหวี่ยงเข้าไปในปล่องไฟ ร่างบาดเจ็บลอยละลิ่วไปร่วงลงทับร่างแน่นิ่งของมวลผกา

เขาร้องไห้ขณะเค้นพลังเท่าที่มีดึงร่างภรรยาขึ้นมากอด ไม่ได้นึกรังเกียจเลือดข้นเหนียวเหนอะทั่วตัวหล่อนแม้แต่น้อย เขาเองก็เหมือนหล่อนนั่นแหละ นี่มันเป็นเวรกรรมอะไร ทำไมเขากับหล่อนต้องมาเจอกับเรื่องอุบาทว์พรรค์นี้ที่นี่

"ผกา ได้ยินผมไหม ผกา คุณแข็งใจไว้นะ ผมจะช่วยคุณออกไป ผกา ตอบผมสักคำสิ ผกา ได้ยินไหมผกา ผกา"

เสียงเรียกสุดท้ายเปล่งจากแรงตระหนกสุดขีด เมื่อร่างของมวลผกาโดนกระชากหลุดจากอ้อมแขน

แม่นางแพรหัวเราะปนคำรามเย็นยืด เสียงอันน่ากลัวนั้นระงมพลิ้วเหมือนคลื่นกระเพื่อมกลางทะเล มือชั่วจิกลำคอบอบบางแล้วชูแกว่งไปมา บีบคั้นให้สามีเขม็งมองตาเบิกโพลงด้วยใจเจ็บปวด

"ตามเรามา อยากช่วยภรรยาของเจ้าก็ตามเรามา ตามเรามา ตามเรามา"

เสียงเรียกลำพองนั้นแหบพร่าและต่ำลึกราวกับบทสวด คำว่า 'ตามเรามา' มันทอดเย็นยะเยือกและยาวเป็นห้วงๆ พร้อมกับร่างนางผีก็ลอยวืดๆ ฝ่าความมืดลึกเข้าไปทุกที

มันฉวัดเฉวียนและคล่องแคล่วเหลือเกิน ร่างไร้สติของมวลผกาที่มันจิกคอแน่นก็พลอยแกว่งไปไหวมาตามจังหวะลอยวืดๆ ของมันไปด้วย

ธิสัยบดกรามคับแค้น ตลอดร่างอ่อนล้าเหมือนโดนดูดพลังออกไปจนหมด แต่เขาก็ไม่ย่อท้อและยอมแพ้ต่อความเจ็บปวดรุนแรงที่กำลังเผชิญ เดินเองไม่ค่อยไหวก็อาศัยเกาะราวระเบียงชำรุดเลื่อนตัวเองไปตามทางมืด

ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องไปไกลแค่ไหน หรือไปที่ไหน แต่เขาไม่สนใจมันหรอก ต่อให้ที่ที่จะไปเป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด เขาก็จะไป ตามนางผีร้ายไป โอ.. ตาพร่าลงมากแล้ว สมองฟูขึ้นแล้วแฟบลงสลับกัน ฝีเท้ามันหนักอึ้งจนลากแทบไม่ไหว

ธิสัยร้องไห้อย่างเจ็บแค้น ขณะที่เห็นปลายเท้าของภรรยาแกว่งไปแกว่งมาในอากาศ เขาก็ได้แต่เรียกความฮึกเหิมที่หลงเหลือน้อยนิดขึ้นมาปลุกเร้าตัวเองว่า 'อย่าล้ม อย่าฟุบ อย่าหยุด อย่าหมดสติ'

แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 17:18:33

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 17:15:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com