คุณ N_Foxtrot: มีนิดหนึ่งค่ะ มันเป็นปมนะ ^^ ส่วนคู่ศาสตรา สองสามตอนนี้มีลุ้นค่ะ
บทที่ ๑-๗ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11983207/W11983207.html บทที่ ๘ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11983317/W11983317.html บทที่ ๙ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12022148/W12022148.html บทที่ ๑๐ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12053256/W12053256.html บทที่ ๑๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12093651/W12093651.html บทที่ ๑๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12149869/W12149869.html บทที่ ๑๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12211282/W12211282.html
% ====================
บทที่ ๑๔
ฟ้ามืดแล้ว หากแต่ในสนามฟุตบอลยังคงสว่างด้วยแสงสปอร์ตไลท์
ศาสตรายังคงอยู่ในชุดกีฬา ยังคงวิ่งรอบสนามเป็นรอบที่สิบสี่
สัปดาห์สุดท้ายก่อนงานกีฬามหาวิทยาลัยประจำเขตจะเริ่ม ศาสตราไปนอนค้างที่ชมรม เพื่อฝึกซ้อมอย่างหนัก และเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงบาดเจ็บ
แม้ว่าวันนั้น เขาจะไม่ได้รับคำตอบจากนฤตยา แม้ว่าผลแพ้ชนะในการแข่งขันจะไม่ได้ทำให้เธอหันมามองเขาก็ตาม แต่เขาก็ต้องซ้อมให้หนัก ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อทีม...
ศาสตราชลอฝีเท้าลงจนกระทั่งหยุด หายใจหอบด้วยความเหนื่อย ทั้งเส้นผม หน้าตา และเนื้อตัวเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
...หรือเพื่อให้ลืมกันแน่นะ
เขาสูดลมหายใจลึกๆ สองที แล้วเริ่มออกวิ่งใหม่อีกครั้ง
"ข้าว่ามันบ้าไปแล้วแน่ๆ เลยว่ะ" เสียงวสุพูดขึ้น หลังจากมองลงมาจากอัฒจันทร์
"เออว่ะ" ปฤษฎ์เห็นพ้อง "ซ้อมมาทั้งวันแล้วยังวิ่งต่ออีก"
"ว่าแต่มันอึดจริงๆ นะ คราวที่แล้วเจ็บขนาดนั้นยังหายทันอีก"
"ทีนี้จะเอายังไงดีล่ะ สิโรตม์" คำถามของปฤษฎ์ ชักชวนให้วสุหันไปมองเพื่อนที่ยืนอยู่สูงกว่าสองขั้นบันได
สิโรตม์มองคนบนสนามอย่างไม่สบอารมณ์ "จะไปทำอะไรได้ล่ะ อาทิตย์หน้าก็จะแข่งแล้ว เกิดมีอะไรขึ้นมา ทีมจะยุ่ง"
เขาหันหลังแล้วประทับเท้าใส่ที่นั่งบนอัฒจันทร์โดยแรง "โธ่โว้ย! ทำไมคณินทรไม่เลือกข้าเป็นกัปตันวะ"
"เพราะแค่เก่งอย่างเดียว ยังไม่พอน่ะสิ" เสียงคณินทรดังมาจากทางด้านข้าง ห่างออกไปไม่ไกลนัก
"ประธานฯ!" คนทั้งสามหันมองผู้มาใหม่โดยพร้อมเพรียง
ประธานชมรมฟุตบอลเดินเข้ามาใกล้ พลางพูดขึ้น "นอกจากเก่งแล้ว ยังต้องทุ่มเท และมีน้ำใจด้วย" เขามองลงไปยังกัปตันทีมที่ตนเลือก แล้วอธิบายต่อ "ศาสตรามันมีครบอย่างที่ข้าบอก ข้าถึงได้เลือกมันไงล่ะ"
"มันมีครบตรงไหน ประธานฯ เอาอะไรมาวัด" สิโรตม์ถาม สีหน้ายังคงบูดบึ้ง น้ำเสียงก็แข็งกร้าว
"พวกเอ็งเคยเห็นสถิติที่ข้าจดแล้วไม่ใช่เหรอ"
คำถามของคณินทรทำเอาทั้งสามคนสะดุ้งเฮือก
ในฐานะประธานชมรม คณินทรดูแลสมาชิกเป็นอย่างดี ในฐานะผู้จัดการทีมและโค้ช เขาก็เอาใจใส่ลูกทีมอย่างดีไม่แพ้กัน ดังนั้นไม่ว่าสมาชิกหรือลูกทีมจะทำอะไรมีหรือที่เขาจะไม่รู้
"เออ ข้ารู้ว่าพวกเอ็งขโมยดู แต่ไม่เป็นไรนี่ ไม่ใช่ความลับอะไร" ประธานชมรมหัวเราะนิดหนึ่งก่อนจะบอกต่อ "จากสถิติพวกเอ็งก็เห็นอยู่แล้วว่าผลงานศาสตรามันดี เอ็งก็ทำได้ดีเหมือนกัน สิโรตม์ แต่ที่ข้าเลือกศาสตรา เพราะมันทำเพื่อทีมมากกว่าเพื่อตัวเอง ตอนที่มันเป็นกองหน้า มันยอมส่งลูกบอลให้เพื่อนที่มีโอกาสทำประตูได้มากกว่าหลายครั้ง ถึงจะพลาดบ้างก็เถอะ พอมาปีนี้เราขาดผู้รักษาประตู ข้าบอกให้มันมาเป็นแทน มันก็ฟังเหตุผล และยอมรับแต่โดยดี"
คณินทรกยกแขนอดอก สายตายังคงมองไปที่ศาสตรา "ข้ารู้ว่ามันอยากเล่นเป็นกองหน้ามากกว่า ดูสไตล์การเล่นของมันก็รู้ มีแต่บุกอย่างเดียว เมื่อตอนแข่งกระชับมิตรกับทีมนอกเขต ข้าเห็นมันลากบอลไปยิงเอง ก็รู้ว่ามันคงเก็บกดพอสมควร แต่ทำยังไงได้ คนมันขาดนี่หว่า เด็กใหม่ที่เทรนอยู่ก็ยังไม่ได้เรื่องสักคน ข้าก็เลยให้มันเป็นโกลไปก่อน ไว้มีคนแทนเมื่อไหร่ ค่อยย้ายมันกลับ"
สิโรตม์ฟังแล้วพลอยหันมองเพื่อนร่วมทีมในสนามไปด้วย แม้ในใจยังรู้สึกขัดแย้ง แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร
...จะหาอะไรไปเถียงได้ ในเมื่อที่ประธานชมรมของเขาพูด เป็นความจริง
"เอาล่ะ ข้าว่าพวกเอ็งไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องซ้อมแต่เช้า เดี๋ยวข้าจะเรียกศาสตราขึ้นมาเหมือนกัน"
ลูกทีมทั้งสามรับคำ แล้วเดินกลับออกไป
เมื่อคณินทรเห็นพวกเขาออกไปกันหมดแล้ว ก็หันกลับมาทางศาสตราที่ยังคงวิ่งอยู่ แล้วถอนหายใจเงียบๆ
ระยะนี้ ถึงแม้ศาสตราจะทำตัวเป็นปกติ แต่เขาก็รู้ว่ากัปตันทีมของเขา ต้องเก็บอะไรไว้ในใจอย่างแน่นอน
% ###
วสวัตติ์เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องไปนอนค้างที่ชมรมในช่วงเวลาแบบนี้ แม้เขาจะถอนตัวจากการแข่ง ไม่ได้เป็นนักกีฬาในปีนี้ แต่ฐานะประธานชมรมที่ค้ำคออยู่ รวมถึงฐานะแชมป์เก่า ทำให้เขาต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการดูแลนักกีฬาคนอื่นๆ
"ระหว่างที่อยู่ในห้องแต่งตัว ทำสมาธิให้ดีก่อน สูดลมหายใจลึกๆ แล้วผ่อนยาวๆ จากนั้นก็พยายามทรงไว้ อย่าวอกแวก" เขาบอกบดินทร์ ซึ่งจะลงแข่งในระยะสามสิบเมตรแทนเขา แม้บดินทร์จะทำแต้มได้ไม่ดีเท่าที่เขาหมายมั่น แต่เขาก็ไม่ได้ต่อว่ารุนแรงแต่อย่างใด
หากเป็นช่วงก่อนหน้านี้ ในเวลาที่จิตใจของเขายังว้าวุ่น เขาคงต้องเกรี้ยวกราดใส่บดินทร์เป็นแน่ แต่ในยามนี้ จิตใจของเขาแน่วแน่อยู่ที่การฝึกซ้อมให้คนในชมรม ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องฟุ้งซ่านอีกแล้ว
...เมื่อคิดจะตัดใจแล้ว ไฉนยังต้องไปนึกถึงอีก
ทว่าผู้ที่ฟุ้งซ่าน กลับเป็นผู้ที่ได้เธอมาครอง...
การได้คบกับรมัณยา น่าจะเป็นสิ่งวิเศษที่สุด เธอทั้งสวย มีเสน่ห์ ไม่ว่าใครก็ต้องการเธอ ไม่ว่าวสวัตติ์ หรือจิรัชย์ แต่คนที่ได้เธอมาคือเขา
รามภณนั่งมองหญิงสาว ซึ่งจรดพู่กันแต่งแต้มสีสันลงบนกระดาษขาว ที่มีรอยดินสอร่างภาพทะเลเบื้องหน้าให้เห็นอยู่จางๆ บนดาดฟ้าของอาคารกิจกรรม
ในช่วงที่อาการของรามภณยังไม่หายดีเช่นนี้ รมัณยาจึงขับรถไปรับไปส่งเขาเป็นประจำ ก่อนจะไปเล่นดนตรีที่ผับ เขาได้อยู่กับเธอแทบทุกวัน บาครั้งเขายังไปดูเธอที่ผับด้วย ทว่ายิ่งได้คบ ได้รู้จักเธอมากขึ้น กลับยิ่งรู้สึกห่างไกล...
ทำไมนะ...
สายลมเย็นโชยพัดมา เส้นผมยาวสวยของรมัณยาก็พลิ้วไหวอยู่ในสายลม ชวนให้นึกถึงครั้งแรกที่เขาเห็นเงาของเธอบนดาดฟ้าแห่งนี้
วันนั้น ลมเจ้าเอยพัดพาเอาริบบิ้นของเธอตกลงไปข้างล่าง เขาเองที่เป็นคนเก็บมันได้ หากแต่กลับใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาเจ้าของพบ กว่าจะได้รู้จัก กว่าจะได้สนิทสนม และกว่าจะได้คบกับเธอ
ทว่าทั้งที่อยู่ใกล้เพียงนี้ กลับยิ่งรู้สึกเหินห่าง...
เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ... ในความคิดของเธอตอนนี้มีเขาอยู่บ้างหรือเปล่า หรือจะมีเพียงแผ่นกระดาษตรงหน้า กับทิวทัศน์ห่างไกลออกไป... แต่ไม่มีเขา
ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นฉิวขึ้นมาเมื่อคิดถึงตรงนี้ รามภณค่อยๆ เลื่อนมือมาแต่ที่หน้าอกตัวเอง
"เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บแผลเหรอ" รมัณยาวางพู่กัน แล้วผละจากภาพบนกระดานรองเขียน ตรงมาทางเขาทันที
รามภณมองสายตาคู่คมสวยที่ทอประกายห่วงใย แล้วต้องยิ้มออกมา
นี่เขาคิดบ้าอะไรอยู่ เธอคบกับเขา ในความคิดของเธอก็ต้องมีเขาอยู่ด้วยสิ
"ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงหรอก วาดรูปต่อเถอะ"
"แน่ใจนะ" หญิงสาวถามย้ำอีก จ้องมองในหน้าเขาราวกับจะค้นหาคำตอบที่แท้จริง
"แน่ใจสิ วาดรูปต่อเถอะ" เขาบอกเสียงนุ่มนวล ดังนั้นรมัณยาจึงพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วชักเท้า ก้าวกลับไปยังหน้ากระดานรองเขียน จากนั้นจึงหยิบพู่กันขึ้น มองภาพตรงหน้า ก่อนจะจุ่มสีแต้มลงบนกระดาษอีกครั้ง
รามภณมองคนรักที่อยู่ตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาบางๆ
...ห่างเหินหรือ ไม่ใช่หรอก เธอเป็นห่วงเป็นใยเขาถึงขนาดนี้ จะเรียกว่าห่างเหินได้อย่างไร
"รมัณยา..." เสียงเรียกของชายหนุ่มดึงให้หญิงสาวหันกลับมา พลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"จันทร์หน้าเราไปดูศาสตราแข่งบอลกันนะ"
"จะไหวเหรอ แผลนายยังไม่หายเลยนะ" หญิงสาวท้วง พลางวางพู่กันลงอีกครั้ง
"ไหว ไม่เป็นไรหรอก แค่นั่งดูเฉยๆ ไม่ไปกระโดดโลดเต้นตามคนอื่นก็พอ"
รมัณยามองรอยยิ้มอ่อนโยนของชายหนุ่ม แล้วถอนหายใจ... ถ้าเขาอยากไป เธอก็ควรจะไปเป็นเพื่อน อย่างน้อย ก็ควรจะไปดูแลเขา เธอคิดเช่นนี้แล้วจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ
% ###
ห้องนอนสีขาวดูเรียบร้อยสะอาดตา หญิงสาวภายในห้องก็อยู่ในชุดนอนหลวมๆ ซึ่งประกอบด้วยเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวสีขาวลายตุ๊กตาหมีสีชมพู เธอกำลังนั่งมองปฏิทินตั้งโต๊ะ ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือข้างเตียง
...วันจันทร์หน้าแล้วสินะ ที่งานกีฬามหาวิทยาลัยจะเริ่ม ศาสตราก็คงมีแข่งในวันนั้นด้วย แล้วนี่เธอควรจะไปดูเขาดีรึเปล่านะ
ระหว่างที่ความคิดกำลังวนเวียนอยู่ในสมอง เสียงเพลงช้าในทำนองหวานจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดู ที่หน้าจอปรากฏภาพเพื่อนสาวของเธอ พร้อมชื่อเจ้าตัวกระพริบขึ้นถี่ๆ
"ยา... วันจันทร์จะไปดูศาสตราแข่งด้วยกันรึเปล่า ฉันจะได้บอกเพื่อนจองตั๋วไว้ให้" ปลายสายส่งเสียงถามสดใส
"เอ่อ... ฉัน..."
"ไปเถอะ ยา ไปดูด้วยกัน ฉันอยากไปดูนักฟุตบอลหล่อๆ" ภารดีคะยั้นคะยอชวนเพื่อนด้วยคำพูดติดตลก
"แต่ว่า..."
"ไม่ต้องมาแต่เลย เธอต้องไปเป็นเพื่อนฉันด้วย" เสียงของเพื่อนสาวเริ่มเข้มขึ้น "แล้วฉันจะให้เพื่อนจองตั๋วไว้ให้ แค่นี้นะ"
ปลายสายพูดเองเออเองแล้วตัดสัญญาณไปเสียเฉยๆ โดยที่เธอยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
นฤตยามองโทรศัพท์ในมือแล้วถอนหายใจ ...จะให้เธอไปดูจริงๆ หรือ
...ถ้าทีมฉันชนะ คบกับฉันนะ
คำถามในวันนั้นวนเวียนกลับมาวุ่นวายในสมองเธออีกครั้ง
วั้นนั้นเธอไม่ได้ตอบเขา ไม่...แม้แต่จะตัดสินใจ แบบนี้แล้ว เธอควรจะไปหรือ หากเจอหน้าเขาแล้ว เธอควรทำตัวอย่างไร
...ไม่สิ คงไม่เจอหรอก เขาอยู่ในสนาม ส่วนเธออยู่บนอัฒจันทร์ เกมจบเธอก็กลับ จะไปเจอกันได้อย่างไร อีกอย่าง เธอก็แค่ไปดูในฐานะเพื่อนเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก
% ###
หลังจากตัดสายจากนฤตยาแล้ว ภารดีก็กดต่อสัญญาณไปยังชายหนุ่มอีกคนทันที เธอไม่ต้องรอนานเลย เพียงสัญญาณดังขึ้น ปลายสายก็กดรับทันที
"แหมๆ รีบรับเชียวนะ" หญิงสาวกระเซ้าปลายสายอย่างอารมณ์ดี
"ก็อยากรู้นี่" เสียงศาสตราดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ "แล้วยาว่ายังไงล่ะ"
"ฉันชวนนะ มีเหรอ ยาจะไม่ไป"
"เยี่ยมเลย!" ปลายสายร้องออกมาอย่างยินดี ทำเอาหญิงสาวต้องหรี่ตา พร้อมดึงโทรศัพท์ออกห่างจากข้างหู
"น้อยๆ หน่อย ทำอย่างกับเขารับจะไปเดทด้วยอย่างนั้นแหละ"
ได้ยินเสียงศาสตราหัวเราะแหะๆ "เอาน่า แค่นี้กำลังใจก็มาโขแล้ว ขอบใจนะ"
"ไม่เป็นไร อย่าลืมที่บอกไว้แล้วกัน ไอศกรีมสองถ้วยน่ะ"
ได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย ก่อนที่เธอจะกดตัดสัญญาณไป
ภารดียิ้มนิดหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ...เธอคงช่วยเขาได้เท่านี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
% ###
งานกีฬามหาวิทยาลัยประจำเขตจัดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ หากแต่ด้วยข้อตกลงระหว่างมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเขตเดียวกันนั้นกำหนดให้หนึ่งสัปดาห์นี้เป็นวันหยุด ไม่มีการเรียนการสอน ผู้ใดจะมาร่วมในงานหรือไม่ก็ได้ ทว่าสำหรับศาสตราและวสวัตติ์ซึ่งอยู่ในชมรมกีฬา งานนี้ถือเป็นงานใหญ่งานหนึ่งในรอบปี
พวกเขาซ้อมหนักกันมาตลอดปีเพื่อช่วงเวลานี้
และเนื่องจากในมหาวิทยาลัยของพวกเขามีศูนย์กีฬา ซึ่งมีสนามที่ได้มาตรฐานสำหรับกีฬาประเภทต่างๆ มหาวิทยาลัยของพวกเขาจึงได้รับการคัดเลือกให้จัดงานกีฬาใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้ง ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในมหาวิทยาลัยกันมากมาย ทั้งนักกีฬาและกองเชียร์
ที่นั่งบนอัฒจันทร์ของสนามฟุตบอลในเวลานี้ก็ถูกจับจองไปบ้างแล้วบางส่วน ในขณะที่กองเชียร์ของทั้งสองทีมจากสองมหาวิทยาลัยกำลังทยอยเข้าสนาม
ในมือข้างหนึ่งของภารดีถือบัตรสองใบ มืออีกข้างหนึ่งจูงนฤตยาเดินตรงมายังประตูทางเข้าสนามฟุตบอล ทว่าก่อนที่ภารดีจะยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ตรวจ เธอก็รู้สึกว่ามือข้างที่จูงเพื่อนอยู่ถูกดึงไว้ และรู้สึกถึงแรงบีบ...
เธอหันกลับไปมองเพื่อนรัก เห็นสายตาของนฤตยาจ้องมองออกไปทางหนึ่ง
ภารดีมองตามสายตาเพื่อน ภาพที่เธอเห็นเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ยืนอยู่ในบริเวณไม่ไกลเท่าใดนัก หากแต่ตำแหน่งที่พวกเธอยืนอยู่ เยื้องไปทางด้างหลังพวกเขา ชายหญิงคู่นั้นจึงไม่เห็นพวกเธอ
มือของชายหนุ่มเกาะกุมมือหญิงสาวไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นสิ่งหวงแหนที่ไม่ยอมให้ใครพรากไปได้โดยง่าย รูปร่างและท่าทีของชายหนุ่มนั้นเป็นที่คุ้นตา เป็นคนที่ทั้งนฤตยาและภารดีรู้จักเป็นอย่างดี
...รามภณกับรมัณยา!
นฤตยาหันหลังกลับ สลัดมือจากเพื่อนสาว แล้วเดินลิ่วจากไป ทำเอาภารดีหันไปคว้าตัวไว้ไม่ทัน ต้องเดินตามออกมาด้วยอีกคน
"ยา..." ภารดีเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงปลอบโยน แสดงความเห็นใจ หลังจากที่พวกเธอทั้งสองเดินออกจาศูนย์กีฬามาแล้ว "นี่ ยา อย่าไปสนใจเลยนะ เธอควรจะตัดใจได้แล้ว"
"ฉันรู้ภา" เสียงของเพื่อนสั่นเครือด้วยแรงสะอื้น "แต่ฉันทำใจไม่ได้ ฉันทำไม่ได้จริงๆ"
เธอยังรับไม่ได้ มันยากเหลือเกิน ในเมื่อเธอแอบชอบเขามานาน ถูกแล้ว แอบชอบ... ที่ผ่านมา เธอก็ทำได้แค่นั้น
ภารดีได้แต่นิ่งมองเพื่อนอย่างเห็นใจ จะได้ทำอย่างไรได้มากกว่านี้อีกเล่า เธอเองก็ใช่จะเชี่ยวชาญด้านความรักเสียเมื่อไหร่ แม้ประสบการณ์รักใครจริงจังก็ยังไม่เคยมี
...หรือจะต้องทนมองเพื่อนเสียใจเพราะคนๆ นั้นตลอดไป
% ###
หากแต่จะว่าไป เป็นนฤตยาอาจจะยังดีกว่า เธอสามารถหลีกเลี่ยงภาพชวนเสียดแทงหัวใจนั้นได้ เพราะสำหรับบางคน เจ็บอย่างไรก็ต้องทนฝืนไว้ ไม่อาจแสดงออกมา
วสวัตติ์มองเห็นชายหญิงคู่นั้นแล้ว ทั้งเขา ภวาภพ และธาวินกำลังเดินตรงไปยังคนทั้งสองนั้น พวกเขานัดกันไว้ก่อนแล้วว่าจะมาเชียร์ศาสตรา ทว่าตอนที่นัดกัน รามภณไม่ได้บอกว่าจะพารมัณยามาด้วย
ต้องตัดใจให้ได้... ความรู้สึกของวสวัตติ์ แม้จะบอกชัดอยู่อย่างนั้น ทว่าเมื่อเจอกับเหตุการณ์จริง มันกลับยังเจ็บ...
ทว่าแม้จะเจ็บอย่างไร ก็ยังคงต้องก้าวเข้าไปหาพวกเขา แม้หัวใจจะถูกบีบเค้นสักปานใด ก็ยังคงต้องฝืนยิ้มไว้... ในเมื่อมือที่บีบหัวใจเขาอยู่ เป็นมือของเพื่อนเขาเอง
"เอาล่ะ เข้าไปกันเถอะ" รามภณบอก เมื่อเพื่อนๆ มาสมทบกันครบแล้ว พลางควักบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วหันหลัง เดินจูงมือรมัณยา นำคนอื่นๆ ตรงไปยังเจ้าหน้าที่หน้าประตู
"เดี๋ยว ภณ" เสียงเพื่อนของเขาเรียกไว้ เมื่อรามภณหันกลับมา จึงเห็นวสวัตติ์กำลังถอนหายใจ ปั้นหน้าเครียด "ฉันคงดูด้วยไม่ได้แล้ว"
"ทำไมวะ"
"พอดีที่ชมรมมีปัญหานิดหน่อย ต้องกลับไปดูก่อน พวกเอ็งเข้าไปดูกันเองก็แล้วกัน" จบคำ วสวัตติ์ก็หมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ
ภวาภพและธาวินมองตามหลังเพื่อนร่างใหญ่แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาพร้อมกัน... รามภณจะไม่รู้เชียวหรือว่าทำไมเพื่อนจึงต้องหาเหตุไม่เข้าไปดูด้วยกัน แต่ถ้ารู้แล้วทำไมยังต้องถามอีก
รามภณเองก็มองเพื่อนจนลับหายไปในฝูงชนที่จับกลุ่มรวมกันอยู่ตรงบริเวณหน้าประตูสนามฟุตบอล จากนั้นเขาจึงก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
"ไปกันเถอะรมัณยา ไอ้ภพ ไอ้วิน" เขาส่งเสียงชวนคนอื่นๆ แล้วหมุนตัว เดินนำลิ่วไปยังประตูทางเข้าสนาม มือข้างที่ถือบัตรของเขา แอบรวบกำเข้าหากันแน่นจนบัตรชมฟุตบอลนัดแรกยับยู่ยี่เมื่อถึงมือเจ้าหน้าที่
เพื่อนยังตัดใจไม่ได้ เขารู้... วสวัตติ์ยังคงชอบรมัณยา
...เพื่อนเจ็บ เขาเองก็เจ็บ
% ###
ทั้งเสียงกลอง เสียงโห่ร้องดังอื้ออึง บรรยากาศรอบๆ สนามช่างครึกครึ้น บรรดากองเชียร์ก็คึกคัก ไหนเลยจะรู้ว่านักกีฬาที่รอเวลาอยู่ภายในห้องแต่งตัวจะรู้สึกแตกต่างออกไป
'ขอโทษด้วยนะ ฉันกับยาคงไปดูเธอไม่ได้แล้ว สาเหตุจะเล่าให้ฟังทีหลัง ยังไงก็สู้เข้าล่ะ'
ข้อความที่ส่งมาจากภารดี ทำเอาหัวใจของศาสตราห่อเหี่ยวไป ราวกับผลส้มที่ถูกคั้นน้ำจนเหือดแห้ง... จะสู้ได้อย่างไร ในเมื่อกำลังใจปลาสนาการไปหมดสิ้นแล้ว
"ศาสตรา ประธานฯ เรียกรวมแล้ว ไปเร็ว" เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งหันกลับมาเรียกเขา เพราะเห็นว่าในขณะที่คนอื่นๆ กรูกันออกไปรวมกันที่ทางออก กัปตันทีมยังคงนั่งนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่
"อ้อ อืม" ศาสตรารับคำเพื่อน แล้วจึงเก็บโทรศัพท์เข้าล็อกเกอร์ จากนั้นจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปที่อุโมงค์ทางออก
เมื่อทุกคนมากันครบแล้ว คณินทรก็เริ่มการอบรมครั้งสุดท้ายก่อนลงแข่ง แต่ไหนแต่ไร เขาก็เป็นคนที่พูดจากระตุ้นลูกทีมได้ดี แม้กับใจที่ห่อเหี่ยว เขาก็ทำให้มันกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้
"...ถึงยังไงก็ขอให้พวกเอ็งทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อทีม เพื่อมหาวิทยาลัยด้วย" สิ้นเสียงคณินทร ศาสตราก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมายาวๆ
จริงสิ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เขาต้องทำเพื่อทีม แม้ไม่มีนฤตยา แต่คนดูในสนามก็คอยดูเขาอยู่ จะให้ทุกคนผิดหวังไม่ได้
คิดถึงตรงนี้แล้ว ศาสตราก็ประสานมือกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ส่งเสียงเรียกความมั่นใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่ออกสู่สนาม...
จากคุณ |
:
ตรีพันธ์
|
เขียนเมื่อ |
:
17 มิ.ย. 55 21:12:08
|
|
|
|