Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บันทึกความทรงจำบทที่ 18 Bath ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12134405/W12134405.html

บทที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12137466/W12137466.html

บทที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12142609/W12142609.html

บทที่ 4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12155159/W12155159.html

บทที่ 5 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12160123/W12160123.html

บทที่ 6 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12165127/W12165127.html

บทที่ 7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12170398/W12170398.html

บทที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12175926/W12175926.html

บทที่ 9 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12192814/W12192814.html

บทที่ 10 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12198174/W12198174.html

บทที่ 11 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12202507/W12202507.html

บทที่ 12 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12207363/W12207363.html

บทที่ 13 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12220562/W12220562.html

บทที่ 14 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12225332/W12225332.html

บทที่ 15 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12230280/W12230280.html

บทที่ 16 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12234999/W12234999.html

บทที่ 17 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12239919/W12239919.html


จำได้ว่าวันที่เราไปเที่ยวเมือง Bath ด้วยกัน เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิในเดือนพฤษภาคม หลังสอบเสร็จ ผมเป็นคนติดต่อเรื่องโรงแรมที่พัก ไกด์ทัวร์ แต่ที่เป็นทัวร์ที่จะรับเราจาก Bath ไปต่อที่ Stonehenge ผมเข้าไปในเว็บไซต์นำเที่ยว พอดีเห็นโรงแรม YMCA ในตัวเมืองราคาย่อมเยา แต่ใช้ห้องน้ำรวม ซึ่งเราจะพักกันที่นั่นเป็นเวลาห้าวัน ซึ่งผมจะนอนห้องเดียวกันกับเธอ (แยกเตียงนะครับ เพราะห้องที่จองไปเป็นแบบเตียงคู่ ^^) ส่วนทัวร์ ผมจองทัวร์ที่ไปกันแบบกลุ่ม ไม่ได้มีแค่ผมกับยุน จี แต่จะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ไปด้วยกันไม่เกินสิบคน ส่วนรถที่จะนำเราไปยัง Bath ผมจองตั๋วรถโค้ชขึ้นจากสถานีเมืองนอริชของเราไปเปลี่ยนรถที่สถานีวิคตอเรียในลอนดอน แล้วต่อไป Bath เลย ที่นี่สะดวกสบายมากเพราะการจองการซื้อตั๋วรถโค้ชทำแบบออนไลน์ได้เลย และจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต

“เรียบร้อยแล้วเหรอ” ยุน จีถามผมทันที่ที่เห็นผมปริ้นใบ confirm

“ใช่แล้ววว จองเสร็จเรียบร้อย โรงแรมที่ว่านี่ก็หาไม่ยาก มีแผนที่บอกทางเสร็จสรรพ ส่วนเรื่องทัวร์ ทางบริษัทเค้าบอกจุดนัดพบมาแล้ว เห็นว่าจะอยู่แถวๆ ถนนพัลท์นี่ ไกด์จะเป็นผู้ชายมีอายุหน่อย”

“ดีมาก เธอนี่พึ่งได้จริงๆ นะ 55555” เธอตบไหล่ผม ผมจึงเล่าแผนการเดินทางของเราให้เธอฟัง

ตกลงว่าเราจะเดินทางกันในอีก 2 วันหลังจากนี้ ช่วงนี้นอกจากจัดกระเป๋าเตรียมตัวแล้ว ผมยังอ่านข้อมูลเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับเมือง Bath ในหนังสือนำเที่ยว เมือง Bath เป็นเมืองในหุบเขา มีแม่น้ำเอวอนไหลผ่าน มีน้ำพุร้อน สมัยก่อนพวกโรมันมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่และได้สร้างโรงอาบน้ำขึ้น นอกจากนี้เมืองบาธยังมีวิหารขนาดใหญ่ เรียกว่า มหาวิหาร Bath และมีพิพิธภัณฑ์มากมาย เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย Bath ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของอังกฤษอีกด้วย ซึ่งตัวมหาวิทยาลัยตั้งอยู่บนเขา นี่เป็นเพียงข้อมูลเล็กน้อยที่ผมพอจะได้คร่าวๆก่อนเดินทาง ได้เห็นรูปภาพของเมืองในอินเตอร์เน็ตแล้วสวยดี ของจริงก็คงจะสวยไม่แพ้กัน

เราออกเดินทางกันในช่วงเช้าวันเสาร์ ยุนจีแต่งตัวดูสบาย ปล่อยผมยาวสลวย ดูดีมากๆ ส่วนผมก็แต่งแบบเดิมๆ เสื้อแขนยาว กางเกงยีนส์สีดำตัวเก่ง เราต่างหิ้วกระเป๋าเดินทางไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายหลังมหาวิทยาลัยไปยังสถานีรถเมืองนอริช มุ่งหน้าสู่ลอนดอน ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ไปถึงพอดีตอนเที่ยงจะได้แวะหาอะไรกินกันแถวๆ สถานีวิคตอเรีย


รถจะออกจากสถานีวิคตอเรียประมาณบ่ายโมง เราแวะกินสเต็กกันที่ร้านอาหารฝรั่งบรรยากาศทึมๆ แห่งหนึ่งใกล้ๆ สถานี ขอบอกว่าสเต็กร้านนี้รสชาติสุดยอดเป็นอย่างยิ่ง (เสียดายจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ) ผมกับเธอจัดการอาหารตรงหน้าซะไม่มีเหลือ ก่อนจะนั่งพัก คุยโน่นคุยนี่กันไปซักพัก พอถึงเวลอีก 15 นาทีรถออกแล้วค่อยกลับไปที่สถานี

รถโค้ชที่จะนำเราไปยังเมือง Bath เป็นรถใหม่ กลิ่นที่ยังใหม่อยู่เป็นหลักฐานอย่างดี มีทีวีให้ดูแก้เซ็งด้วย แต่ผมกับยุน จีจะคุยกันซะมากกว่า แล้วดูวิวรอบๆ ตัว เวลารถผ่านสถานที่ต่างๆ ประเทศอังกฤษโดยเฉพาะนอกเมืองนี่สวยมากๆเลยนะครับ เห็นทุ่งนา บ้านเรือนริมทาง บรรยากาศดี พอเราคุยกันเรื่อยๆ ไปซักพักเริ่มหมดแรง ต่างคนต่างเงียบ สุดท้ายก็ผล็อยหลับ ผมไม่รู้หรอกว่าเธอหลับรึเปล่า แต่ผมรู้สึกเพลีย อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางช่วงเช้าเพิ่งจะมาออกอาการเอาตอนนี้นี่เอง รู้สึกตัวอีกทีก็ราวๆ เกือบบ่ายสามโมง เห็นยุน จีหลับไปเหมือนกัน ผมเลยเอาหูฟังมาเสียบดูหนังไปเพลินๆ จนเวลาประมาณสี่โมงครึ่งกว่าๆ เข้าใจว่ากำลังจะถึงเมือง Bath แล้ว ยุน จีรู้สึกตัวตอนนั้น เราสองคนจึงนั่งดูแผนที่ หาที่ตั้งของโรงแรม YMCA ที่เราจะไปพัก

“นั่นไง เจอแล้ว โรงแรมอยู่ตรงนี้นี่เอง” ยุน จีพูดขณะชี้นิ้วลงไปบนแผนที่

โรงแรม YMCA ตั้งอยู่บนถนน Broad Street Place ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ๆ เราลงจากรถเท่าไหร่นัก เดินไปใช้เวลาแค่สิบกว่านาทีเท่านั้นเอง ระหว่างเดินไปยังจุดหมายเรามีโอกาสชื่นชมบรรยากาศของเมืองไปด้วย เมือง Bath นั้นให้ความรู้สึกถึงความเก่าแก่ ความขลัง และความสวยงาม มีตึกเก่าแก่ รวมทั้งโบสถ์ที่สวยงาม ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาตามถนนหนทาง เห็นรถทัวร์หลายคันจอดเรียงราย สมกับที่เป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ ถึงตอนนี้ก็จวนจะค่ำแล้ว เราสองคนเดินไปตามแผนที่จนเจอโรงแรม YMCA ในที่สุด โรงแรมมีขนาดเล็กกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ก็พอเหมาะกับเป็นที่นอนพักของพวกนักท่องเที่ยว อย่าลืมว่าโรงแรมไม่จำเป็นต้องดีนัก เพราะเรามาอาศัยนอนพักเท่านั้น จุดหมายหลักของเราจริงๆ คือการเที่ยวชมเมืองและซื้อของ ไม่ใช่นอนแช่อยู่ในโรงแรม ฉะนั้นคงไม่ต้องเรื่องมากกับขนาดของโรงแรม จริงๆนะครับ......

ภายในโรงแรมดูสะอาดตา แม้จะไม่กว้างนัก ล็อบบี้ก็ดูธรรมดา แต่ก็มีนักท่องเที่ยวหลายคนไปมา แสดงว่าที่นี่ก็ดังไม่ใช่เล่น เราสองคนเดินเข้าไปเช็คอิน ก่อนเข้าไปเยี่ยมชมห้อง โรงแรมนี้มีห้องเดี่ยว ห้องคู่ ห้องแบบนอนสามคน และห้องนอนรวม ผมเลือกพักห้องคู่ (ตามที่ได้เคยบอกไปแล้ว...) เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย และมีความเป็นส่วนตัวไปในคราวเดียวกัน อิอิ

ตอนนี้ก็เย็นย่ำแล้ว เราเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง แล้วออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน ว่าแต่จะกินอะไรดี ยุน จี อยากกินพวกสเต็ก (อีกแล้ว) ส่วนผมยังไงก็ได้ เลยเดินไปหาร้านสเต็กในเมืองกัน ช่วงเย็นของที่นี่ก็คล้ายๆกับนอริช คนเริ่มกลับบ้านกัน ถนนเริ่มโล่ง คนน้อยลงเรื่อยๆ แต่พวกร้านอาหารยังเปิดอยู่ เราเดินผ่านมหาวิหาร Bath ลัดเลาะผ่านถนน ไปเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นการประเดิมการเยือน Bath ในครั้งนี้ด้วย เดินไปไม่นานก็เจอร้านสเต็กร้านนึง (ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว >.<) ร้านนี้นอกจากสเต็ก ยังมีสปาเก็ตตี้ มีแฮมเบอร์เกอร์ ครบสูตร เราทั้งคู่ไม่รีรอ รีบสั่งอาหารแล้วเขมือบกันเข้าไปไม่เหลือ 5555555 หลังจากนั้นก็นั่งจิบเบียร์ คุยกันไปเรื่อยๆ ถึงโปรแกรมเที่ยววันรุ่งขึ้น โดยไกด์ของเราที่ติดต่อกันไว้จะมารับเราแถวๆ ถนนพัลท์นี่ ซึ่งเป็นจุดนัดพบประมาณ 9 โมงเช้า สถานที่จุดหมายปลายทางคือ Stonehenge และเมืองมรดกโลก ไม่ไกลมากนัก เสียดายที่จำชื่อไม่ได้ แต่พระราชินีอลิซาเบธเคยเสด็จมาที่เมืองนี้ด้วย น่าเขกหัวนะครับ ดันจำชื่อเมืองไม่ได้ซะงั้น เราคุยกันไปคุยกันมาเพลิน จนถึงเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ จึงกลับโรงแรมเพราะต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ

ผมให้ยุน จีไปอาบน้ำก่อน ระหว่างที่รอเธออาบน้ำ ผมนอนเล่นไปเพลินๆ อ่านหนังสือไปด้วย นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมอยู่ห้องเดียวกับเธอ ครั้งแรกเป็นตอนที่เธอกลับจากลอนดอนด้วยความบอบช้ำจากคนรัก ผมนอนฟุบเฝ้าไข้เธออยู่ที่โต๊ะ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ครั้งนี้ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ เราเข้านอนกันประมาณสามทุ่มกว่าๆ แต่ดันนอนกันไม่ค่อยหลับ อาจเป็นเพราะแปลกที่ซะมากกว่า เลยลงเอยด้วยการคุยกันด้วยเรื่องจิปาถะ เรื่องความฝัน ความคิดเห็น เรื่องของเพื่อนแต่ละคน และเรื่องที่ผ่านๆมาที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสองคน จนผล็อยหลับกันไปในที่สุด

รุ่งเช้า เราตื่นกันราวๆ แปดโมงเห็นจะได้ รีบกุลีกุจอล้างหน้าแปลงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว แล้วลงไปทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว วันนี้เธอแต่งตัวสวยเหมือนเคย สวมเสื้อเชิ้ตรัดรูป สีขาวแขนสั้น กับกางเกงยีนส์สีดำตัวเก่ง ปล่อยผมยาวสลวยลงมาถึงกลางหลัง สีหน้าสดใสแช่มชื่น

“ไปกันได้แล้ว let’s go!!!” เธอพูดพร้อมลากแขนผม ออกวิ่งไปอย่างรวดเร็วปานฟ้าแล่บ เพราะจวนได้เวลาที่นัดกับไกด์แล้ว

เรากึ่งเดินกึ่งวิ่งจากโรงแรมไปถนนพัลท์นี่ สถานที่นัดหมาย เห็นชายมีอายุคนหนึ่ง ยืนอยู่ข้างรถตู้คันงาม เขาเป็นชายอายุราวๆ 60 ผมสีดอกเลา สวมแว่นดำ รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่นัก สีหน้ายิ้มแย้ม ยืนรอรับเราอยู่

“ใช่คุณ David จากบริษัททัวร์ XXX รึเปล่าครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ

“ครับๆ ใช่แล้ว ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมมารอได้ซักพักนึงแล้ว ตอนนี้มีมากันแล้ว 5 คน”

“แล้วกลุ่มเรามีกันทั้งหมดกี่คนครับ”

“ถ้ารวมคุณสองคนด้วย ก็ประมาณ 9 คนครับ ตอนนี้ก็เหลืออีก 2 คน”

เป็นอันว่าเรามากันทันเวลา ผมกับยุน จีขึ้นไปนั่งบนรถตู้ ด้านในมาฝรั่งมานั่งรออยู่แล้ว มากันเป็นคู่ๆ แต่ละคู่ก็ดูจะมีอายุกันแล้ว สรุปว่า เราเป็นคู่ที่อายุน้อยที่สุด (ไม่ใช่คู่แฟนนะครับ ทั้งๆที่ผมอยากเป็นแฟนเธอใจจะขาดก็ตามที 5555) รอกันไปรอกันมาซักพักนึงเห็นจะได้ สมาชิกคู่สุดท้ายก็มาถึง ดูแล้วเป็นคู่สามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่ง ดีนะครับ ฝรั่งรักกันจนแก่เฒ่า ผมเห็นมาหลายคู่แล้ว โดยเฉพาะในเมืองที่ผมอยู่ จะเห็นสามีภรรยาเดินกันตามถนนหนทาง พูดคุยกัน รักใคร่กัน เป็นความรักที่ยั่งยืน รักกันตั้งแต่วันแรกเจอจนวันที่แก่ชรา และก็เชื่อว่า คงจะอยู่กันไปจนกว่าจะมีใครซักคนจากโลกนี้ไป ผมเองก็หวังลึกๆ ว่าคงจะมีซักวันที่ผมกับ ลี ยุน จี จะเป็นแบบนั้น แต่มันเป็นเพียงสิ่งที่ผมยังคงเก็บเอาไว้ในใจเพียงท่านั้นเอง

เมื่อสมาชิกมาพร้อมกันแล้ว รถของเราแล่นผ่านตัวเมืองไปอย่างรวดเร็ว ลูกทัวร์แต่ละคนต่างนั่งคุยกันไป ดูทิวทัศน์รอบตัวกันไป Stonehenge อยู่ห่างต่างตัวเมือง Bath ไปไม่เท่าไหร่นัก ตามความคิดของผม ประเทศอังกฤษนี่สวยมากเลยนะครับ โดยเฉพาะเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเก่าแก่ หุบเขาที่สวยงาม อากาศก็สบาย ไม่นานเราก็มาถึง Stonehenge ผมมองไปที่ลานจอดรถ เต็มไปด้วยรถทัวร์ วันนึงๆ มีทัวร์ลงเยอะมาก คนมืดฟ้ามัวดิน แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเรา ผมกับยุนจี ตรงรี่เข้าไปตรงช่องจ่ายเงินค่าเข้าชม พร้อมกับรับเครื่องบรรยาย (เหมือนวิทยุสื่อสาร) บนตัวเครื่องจะมีภาษาให้เลือก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น อิตาเลียน เกาหลี แต่ไม่ยักมีภาษาไทย 5555 แล้วก็มีหมายเลขต่างๆ พอกดก็จะมีเสียงบรรยายออกมา Stonehenge เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ลี้ลับ มีขนาดใหญ่โต แต่ละจุดจะมีหมายเลขกำกับไว้ พอเดินไปที่หมายเลขไหน ก็กดหมายเลขนั้นบนเครื่องบรรยาย ก็จะมีคำบรรยายเกี่ยวกับมุมๆ นั้นของ Stonehenge ว่า คืออะไร หมายความว่าอะไร แปลกไปอีกแบบ ไหนจะมีทั้งความเชื่อ วิทยาการด้านดาราศาตร์ แล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างจนคร้านที่จะกล่าวถึง ผมถ่ายรูปเก็บไว้ค่อนข้างเยอะ เป็นภาพความประทับใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น

หลังจากดื่มด่ำกับความสวยงามของ Stonehenge และเสร็จสิ้นอาหารกลางวันแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังเมืองมรดกโลกที่ว่า เป็นเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ บ้านแบบโบราณทำด้วยหิน เป็นทั้งที่อยู่อาศัย และร้านรวงขายของที่ระลึกในบรรยากาศที่เงียบสงบ มีลำธารสายเล็ก ใหลผ่าน ลมเย็นสบาย ลูกทัวร์แต่ละคนต่างซื้อของที่ระลึกเก็บไว้ และแยกย้ายกันไปถ่ายรูปที่มุมต่างๆ ไกด์ของเราก็บรรยายถึงที่มาที่ไปของเมืองมรดกโลกแห่งนี้ให้ฟังจนเต็มอิ่ม แต่จะบอกว่า เวลาผ่านไปเร็วมาก ยังไม่ทันไรก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ได้เวลากลับที่พัก ต่างคนต่างเหนื่อยอ่อนไปตามๆ กัน แต่ผมกับยุน จี รู้สึกเหมือนกับการเดินทางของเราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง

เมื่อกลับมาถึงตัวเมือง ผมกับเธอก็หามื้อเย็นทานก่อนกลับโรงแรม ลงเอยด้วยสเต็กแสนอร่อย พร้อมกับเล่นเกมส์ตู้ ที่ทางร้านจัดไว้ให้ วันนั้นเป็นอีกวันที่เรามีความสุข สนุกสนาน และเป็นอีกส่วนหนึ่งในความทรงจำที่งดงามของผม

สำหรับโปรแกรมทัวร์วันที่สอง คณะของเราจะเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมในเมือง Bath ดูอ่างอาบน้ำของชาวโรมัน หรือที่เรียกกันว่า Roman Bath ไปดู Royal Crescent ตึกยาวครึ่งวงกลมที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม แล้วก็ไปที่ The Fashion Museum เป็นที่แสดงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสมัยโบราณ มีหลายอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจ ยุน จี ดูจะกระตือรือร้นมากกว่าเดิม เธอมักขอให้ผมถ่ายรูปให้เธอหลายๆ มุม หลายๆ ท่า ผมว่าเธอเป็นนางแบบได้สบายๆ เลยล่ะครับ ท่าโพสต์แต่ละท่าแจ่มๆ ทั้งนั้น เหมือนนางแบบในแม็กกาซีนแลยทีเดียว เรายังได้ถ่ายรูปคู่ร่วมกันอีก โดยมีคุณไกด์เป็นตากล้องจำเป็น

“เหมือนคู่รักกันเลยนะครับ” ไกด์ แซว

“งั้นเหรอครับ ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันแหละครับ 55555” ผมพูดทีเล่นทีจริงแก้เขิน แต่ไม่วายเหลือบมองไปที่เพื่อนหญิงคนสนิทของผม

“55555 ค่ะ ชั้นก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน จะได้ใช้ให้ทำอาหารให้กินทุกวันเลย” เธอพูดแบบลอยหน้าลอยตา แล้วเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

ถึงจะเป็นอะไรขำๆ ตลกๆ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีทีเดียวนะครับ ^___^

วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่เราเดินทางกับทัวร์ เหลือเวลาอีก 2 วัน เราก็จะกลับนอริชแล้ว ระหว่างนี้เราสองคนวางแผนกันถึงโปรแกรมเฉพาะกิจของเราใน Bath จะไปไหนกันดี

“เธออยากไปไหนล่ะ” ผมถามยุน จี ขณะที่เธอก้มลงอ่านหนังสือนำเที่ยว

“ไปมหาวิทยาลัย Bath กันมั้ยยย” เธอชวน

“ว่าแต่มันอยู่ตรงไหนล่ะ”

“นี่ไง อยู่บนเขา เราต้องขึ้นเขานะ เห็นเค้าว่ากันว่าที่มหาวิทยาลัยนี้ เงียบสงบน่าเรียนมากเลย บรรยากาศดีมากๆ” เธอพูดพลางชี้ไปที่แผนที่ ตรงจุดที่ตั้งของมหาวิทยาลัย
รุ่งขึ้นหลังจากจัดการอาหารเช้าเสร็จ และจัดการธุระเล็กๆน้อยๆ ของพวกเราเสร็จ เราสองคนจึงมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัย Bath ในทันที

“เราเดินไปกันเถอะ!!” ยุน จี เอ่ยปากชวน

“เดินไปเนี่ยนะ!!! มันไกลมากเลยนะ ถ้าเราตั้งต้นเดินจากตรงนี้” ผมตกใจ เมื่อเธอเอ่ยปากชวนเดิน เพราะมันไม่ใช่ไกลธรรมดา แต่มันไกลมาก จากที่พักของเราไป ผมกะเอาคร่าวๆ น่าจะไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตร แถมต้องขึ้นเขาอีก รับรองได้ว่าขาลาก แต่เดินก็เดิน เดินไปก็ด้ายยยยยยยย..........................

รู้มั้ยครับว่า การเดินเท้าขึ้นเขามันเหนื่อยแค่ไหน เพราะต้องใช้แรงมากในการต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ผมเฝ้ามองดูรถวิ่งขึ้นเขาที่ผ่านไปคันแล้วคันเล่าด้วยสายตาอันละห้อย แต่ยุน จี ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ เห็นเธอเดินไปเรื่อยๆ เฉื่อยๆ จนในที่สุดเราก็ถึงที่หมาย ผมสูดลมหายใจลึกๆ เพราะรู้สึกดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มหาวิทยาลัย Bath ก็สวยงาม มีนักเรียนเยอะเลย ไม่แพ้มหาวิทยาลัยของผมแต่อย่างใด เราเข้าไปเดินเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย แวะดูเค้าเล่นพูลกันในคลับของมหาวิทยาลัย ถึงค่อยเดินทางกลับ แต่ขากลับเราไม่ได้กลับธรรมดานะครับ เรานั่งรถเมล์กลับ!!!! ช่างตรงกันข้ามกับขามาเสียนี่กระไร จริงๆ ขามาควรนั่งรถเมล์ ขากลับควรเดินลงเขามากกว่าใช่มั้ยล่ะครับ แต่ก็เอา เอาไงก็เอา!!! หลังจากเดินทางถึงที่พัก ผมไม่อยากทำอะไรนอกจากนอน ส่วนเธอยังดูกระฉับกระเฉงอยู่ ไม่รู้ว่าไปเอาพลังงานมากมายมาจากไหน แต่เธอก็ไม่วายหัวเราะตอนเห็นผมหอบแฮ่กๆๆ

“วันมะรืนนี้เราก็ต้องกลับแล้วสินะ” เธอรำพึงรำพัน ขณะที่เราสองคนนอนอยู่ท่ามกลางความมืดในห้องพัก

“นั่นสิ แต่ยังมีพรุ่งนี้อีกวันนึงนะ เธอคิดโปรแกรมอะไรไว้รึยัง”

“ไม่รู้สิ ตอนแรกก็คิดว่าคงจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ แต่จำได้ว่า เมื่อตอนที่ไกด์พาเราเที่ยว ชั้นเห็นภูเขาล้อมรอบเมือง เป็นเนินสวย หญ้าสั้นๆ สีเขียว ลมพัดเย็นๆ เลยคิดอยากจะเดินขึ้นไปบนนั้น ไปถ่ายรูปเมืองจากบนเขา” (เธอใช้คำว่า Hill ซึ่งก็อาจจะเรียกได้แบบนั้นเหมือนกัน)

“น่าสนใจดี งั้นตกลงตามนั้นแล้วกันนะ”

วันรุ่งขึ้น เราตื่นกันแต่เช้า เพราะต้องเตรียมอะไรหลายอย่าง ทั้งต้องไปซื้ออาหารเตรียมเผื่อมื้อเที่ยงที่เราตกลงกันว่า จะเอาไปกินกันบนเขา พร้อมกับชมวิว แล้วคงต้องใช้เวลาเดินไป ผมกะดูแล้วก็คงนานพอดู แต่ถึงผมจะไม่ชอบเดินแค่ไหน คราวนี้คงต้องอนุโลมไป เพราะเป็นวันสุดท้ายของเราก่อนจะกลับตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เลยต้องขอเดินทิ้งทวน และชมบรรยากาศของเมืองนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่

เราเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเลียบแม่น้ำเอวอน ถ่ายรูปกันไปตามทาง แม่น้ำที่สวยงามอากาศที่สดชื่น ผู้คนที่ดูอัธยาศัยดี เป็นมิตร ทำให้จิตใจเราเบิกบานแจ่มใสไปด้วย ตอนนั้นเป็นเวลาค่อนข้างสายพอดู แต่อากาศไม่ได้ร้อนมากนัก แสงแดดก็เป็นแดดอ่อนๆ ไม่แรงมาก ชวนให้เดินเล่นจริงๆ เราเดินออกนอกตัวเมืองไปเรื่อยๆ จนถึงทางขึ้นเนินเขา มีบ้านเรือนผู้คนอยู่ประปราย ผมกับเธอเดินคู่กันไป เหมือนกับโลกนี้แม่แค่เราเท่านั้นเอง ทางเริ่มชันขึ้นเหมือนวันก่อน แต่ภูมิประเทศรอบตัวแตกต่างออกไปจากเมื่อครั้งที่เราขึ้นเขาไปยังมหาวิทยาลัย Bath เพราะครั้งนี้มีแต่ต้นไปรอบๆ เมื่อเราขึ้นไปสูงขึ้น ก็เห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอยู่เบื้องหน้า ด้านล่างเป็นทิวทัศน์ของทั้งเมือง มันเป็นภาพที่ตรึงตราตรึงใจมาก สมกับเป็นเมืองในหุบเขา หญ้าสีเขียวตัดกับท้องฟ้าสีคราม สายลมเย็นสบาย เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหลายใบ โพสต์ท่าแปลกๆ ไม่นานนักเราก็นั่งเคียงข้างกันจ้องมองลงไปยังเมืองอันเงียบสงบ แล้วนอนแผ่ จ้องมองท้องฟ้าอันสวยงาม

“สวยจังเลยนะ” เธอพูดพลางหันมามองผม

“นั่นสินะ เหมือนสวรรค์เลย อากาศดีมากๆ” ผมพูดยิ้มๆ

“อยากเป็นสายลมจังเลย อยากเป็นเหมือนลมที่พัดอยู่ตรงนี้ ได้เดินทางไกล ไปในทุกที่ที่ต้องการ มีชีวิตที่อิสระเสรี” เธอรำพึงกับสายลม ผมเพียงแต่ได้ฟัง แล้วรู้สึกว่าประโยคที่เธอพูด เหมือนกับที่ผมเคยได้ยินจากที่ไหนมาก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นประโยคที่บรรยายความรู้สึกของเราสองคนตอนนั้นได้ดีที่สุด

เราจัดการอาหารกลางวันของเราจนเกลี้ยง แล้วนั่งเล่นต่อไปอีกซักพัก จึงตัดสินใจกลับที่พัก ไปพักผ่อน ซึ่งกว่าจะกลับไปถึงก็บ่ายแก่ๆ แล้ว วันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่ได้นาน แต่ความทรงจำมันจะอยู่กับเราตลอดไป แล้ววันต่อมาเราจับรถเที่ยวแรกกลับไปยังเมืองที่เรามา เพื่อทำงานชิ้นสุดท้ายก่อนที่เราจะต้องจากกันไป........

จากคุณ : Red Boomer
เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 06:54:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com