4
นภัสรินทร์ได้สติ พอตื่นมาพบความเป็นจริงอีกครั้งก็กรีดร้องจนพยาบาลต้องวิ่งกลับเข้าไป และบอกเพื่อนร่วมงานให้ตามหมอ
“คุณคะ ใจเย็น ๆ ค่ะ”
“ไม่นะ พี่เมศ ไม่ใช่พี่เมศ ไม่ใช่!!”
รังสรรค์ปราดเข้าไปจับมือและเรียกชื่อ นภัสรินทร์พยายามขัดขืนการจับยึดของพยาบาล ข่าวที่รับรู้ไม่สามารถจะทำใจได้ทันที เธอส่ายหน้าพูดซ้ำ ๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง ทั้งที่เธอก็เห็นภาพเต็มสองตา จึงทำให้การปฏิเสธครั้งนี้เหมือนดิ้นรนอยู่ในวงล้อมลวดหนาม ยิ่งฝืนยิ่งเจ็บ ยิ่งบาดลึกเรียกเลือดทุรนทราย
“พ่อคะ พ่อ พี่เมศ”
“ใจเย็น ๆ นะริน พ่อรู้”
“ไม่จริงใช่ไหมคะ พี่เมศไม่ได้ตาย หมอช่วย ได้...”
“ริน...”
นภัสรินทร์สะอึกสะอื้น ครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ รังสรรค์โอบเธอไว้ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นลูกเลี้ยงแสดงอารมณ์มากขนาดนี้ เขารู้แรงกดดันของเธอ เช่นเดียวกับที่รู้ว่าสส.หนุ่มเป็นความหวัง แม้เสียเขาไปคนหนึ่ง หากเหมือนทุกอย่างภิณท์พัง
“ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไม...”
รังสรรค์ทำได้เพียงลูบศีรษะ คำปลอบโยนตีบตัน ไม่ว่าคำใดก็เรียกคืนปรเมศกลับมาได้อีกแล้ว เขามองไปยังครอบครัวผู้สูญเสีย ได้ยินเสียงร้องไห้ระงม ความข่มขื่น หดหู่ เศร้าหมองครอบคลุมจนแทบไม่อาจขยับเขยื้อน
นภัสรินทร์ไม่ได้หลับ แต่นอนไม่ไหวติงอยู่บนเตียงในห้องนอนที่บ้านตามคำขอร้องของพ่อด้วยความเป็นห่วง ไม่ต้องการให้อยู่คนเดียวในช่วงเวลาที่อ่อนไหวและเปราะบาง
ผ่านไปสองวันแล้ว แต่เหมือนกับภาพนั้นเพิ่งเกิดขึ้นในวินาทีที่ผ่านมา ยามใดที่หลับตายังเห็นร่างของคนรักเปื้อนเลือด อ้อมแขนที่เคยกอดเธอ ใบหน้าที่เคยใกล้จนลมหายใจรินรด จมูก ปาก ที่เคยคลอเคลีย ทุกส่วนคลุมด้วยสีแดง
เธอไม่ได้ร้องไห้แล้ว แต่ความรู้สึกของชีวิตยังไม่กลับมา รับรู้แค่ว่าตำรวจขอนัดสอบปากคำในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งสอบถามพยานในที่เกิดเหตุเพื่อเร่งตามตัวเจ้าของรถคนนั้น
‘มีความคืบหน้าล่าสุดในอุบัติเหตุรถชนสส.ปรเมศ ตำรวจได้ตัวนายประเวศ ภพงาม ซึ่งเป็นคนขับรถ นายประเวศให้การว่าได้ขับรถมาด้วยความเร็วเนื่องจากรีบไปเยี่ยมลูกซึ่งป่วยอยู่โรงพยาบาลจึงไม่ทันสังเกตว่าสส.ปรเมศกำลังข้ามถนน’
นั่นเป็นข่าวที่นภัสรินทร์ได้ยินเมื่อตอนหัวค่ำ
‘...นายประเวศให้การเพิ่มเติมว่า รถเบ๊นซ์อีคลาสเป็นของนายจ้างคือ นายยงยุทธ ศิริภัณฑ์เปรม นักธุรกิจเจ้าของบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ซึ่งนายยงยุทธทราบเรื่องแล้วก็เลยให้คำปรึกษาแก่ตนเองว่าควรเข้ามามอบตัว ส่วนเรื่องงานศพ สส.ปรเมศ กำหนดสวดอภิธรรมที่วัด...’
ในสติที่ยังไม่ถูกความเศร้ากลืนกิน นภัสรินทร์มองเห็นรถยนต์คันนั้น มองเห็นคนขับ เธอขบริมฝีปาก บางครั้งก็เลือนลาง แต่สามัญสำนึกเตือนว่ามันชัดเจน ชัดเสียจนปวดในอก แต่สิ่งที่เธอได้ยินจากข่าวตลอดวันมันตรงกันข้าม
เธอเคยเห็นประเวศ เมื่อนำเงามาซ้อนกับภาพคนที่ติดตาแล้วมันไม่สนิท คนขับรถผู้นี้ร่างสูงใหญ่ ตัดผมสั้น ไม่ใช่หุ่นบอบบาง ใบหน้าก็ไม่ได้นวลตาเหมือนที่เห็น ไม่ใช่
สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นก็คือ คนที่เธอรักคนหนึ่ง ทำลายคนที่เธอรักอีกคน
เช้าตรู่ วันนี้ตำรวจนัดสอบปากคำ นภัสรินทร์ตื่นเต็มตาตั้งแต่ยังไม่หกโมงแม้ว่าจะเพิ่งหลับไปเมื่อค่อนรุ่งเพราะใช้ความคิดหนักหน่วง หลังจากจัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ยังไตร่ตรอง ความสูญเสียเตือนให้เลือกความจริง แม้มันจะทำให้สถานการณ์ไม่ดีกว่าเดิม เพราะเธอกำลังเลือกฝ่าย
หญิงสาวกำมือแน่น ตัดสินใจ คว้ากระเป๋าสะพาย กุญแจรถ เปิดประตูไปเจอวีรญายืนอยู่หน้าห้อง มีกลิ่นอายที่ทำให้เธอชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า คนรับใช้ยืนอยู่เบื้องหลัง พอเห็นสีหน้าไม่ยินดีรับแขกของเจ้าของห้องก็ละล่ำละลัก
“พะ พอดี คุณวีมาหาค่ะ ขอตัวนะคะ”
ไม่มีใครสนใจคำนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็รีบผลุนผลันออกไปทันทีเช่นกัน
“เธอจะไปไหน”
ต่างฝ่ายต่างจับจ้องกัน แล้วนภัสรินทร์ก็เป็นฝ่ายยอม ทนไม่ได้กับสายตาเลือดเย็นเสมือนไม่ใช่เพื่อนที่เธอรู้จัก
“จะไปไหน ริน...”
“ไป....สถานีตำรวจ”
วีรญายืนนิ่งไม่ไหวติง เงียบงันจนนภัสรินทร์ได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองหอบถี่ เพื่อนรักพยายามเล่นเกมส์จิตวิทยากับเธอ หญิงสาวเชิดหน้า จะทำให้รู้ว่าอ่อนไหวไม่ได้ จ้องตากลับ กำมือแน่น
“เธอใช่ไหมที่ขับรถชนพี่เมศ”
คำถามทำให้ความว่างเปล่าก็แทนที่เนิ่นนาน บนริมฝีปากวีรญามีรอยยิ้มเคลือบบาง ๆ
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
นภัสรินทร์เย็นเยือกไปทั้งกาย เจ็บหัวใจคล้ายถูกคมน้ำแข็งกรีด ทั้งหนาวสะท้านและเจ็บปวด นั่นเป็นแววตาของคนที่ฆ่าคนรักของเธอ ก่อนมันจะถึงจุดเยือกแข็งแล้วแปรเป็นความเพลิงโทสะ กลิ่นคาวเลือดยังแตะจมูก สายตารวดร้าวของปรเมศ เสียงสั่นที่บอกรักเธอครั้งสุดท้าย ขอบตานภัสรินทร์กรุ่นร้อน กายสั่นสะท้าน
“เธอทำแบบนี้ได้ยังไง ฉันจะบอกตำรวจ!”
นภัสรินทร์ปิดประตูปัง ทำท่าจะก้าวผ่านตัววีรญา ทว่ายังไม่พ้นตัว เพื่อนรักก็ทำฝีเท้าชะงัก
“ถ้าบอก ก็บอกให้หมดนะ ว่ามันทำอะไรฉัน”
อีกฝ่ายหันขวับ ขมวดคิ้วฉงน ยิ่งเห็นท่าทางว่ามีไพ่เหนือกว่า นภัสรินทร์ยิ่งร้อน
“ทำไม พี่เมศทำอะไร”
วีรญายิ้มน่ากลัว “เข้าห้องไปคุยกันดีไหม เรื่องแบบนี้ไม่น่าโพทะนาตรงทางเดินหรอก”
นภัสรินทร์ขุ่นใจ ถอยกลับเข้าห้อง ดึงบานประตูปิด และเมื่อคิดได้ว่าไม่ควรถามมันก็สายเกินไปแล้ว เธอนิ่งงัน ฟังถ้อยคำที่ถูกเรียงร้อยออกจากปากประดุจถูกสาป ยิ่งฟังยิ่งเหมือนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ราวกับว่ากำลังดูภาพยนตร์สักเรื่อง ที่มีเหตุการณ์การล่วงเกินหญิงสาวเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งมันต้องเป็นแค่นักแสดง ไม่ใช่ปรเมศ ไม่ใช่คนรักของเธอ และเมื่อผสมฉากทั้งหมดเข้ารวมกันก็อธิบายได้ว่าทำไมเพื่อนรักถึงกระทำกับคนรักแบบนั้น ความเกลียดชังกลายเป็นความอาฆาตและรุนแรงพอจะชดใช้ด้วยชีวิต
หญิงสาวกุมหน้าอกที่ลมหายใจขาดห้วง ส่ายหน้า
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ พี่เมศไม่ทำอะไรแบบนั้น เธอกล่าวหาเขา”
วีรญาเหยียดยิ้ม “นึกแล้วว่าต้องได้ยินคำนี้ ในสายตาเธอมันคงเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีไม่เคยทำผิด แต่แท้จริงแล้วขึ้นชื่อว่าผู้ชายหน้าไหนก็เลวไม่ต่างกัน”
หญิงสาวโยนของบางอย่างใส่ตัวนภัสรินทร์ เธอสะดุ้ง แต่คว้ามันได้ทันก่อนจะร่วงตกพื้น เนคไทสีเงินอมม่วงอันนั้น
“คิดว่าของแบบนี้จะมาอยู่ที่ฉันได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าตัวจงใจ”
หญิงสาวมือสั่น เนคไทเส้นนี้เป็นของขวัญที่เธอให้ปรเมศ เส้นเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน เป็นหลักฐานที่ยิ่งตอกย้ำว่าเหตุการณ์ของวีรญาเป็นเรื่องจริง
“แต่ถ้าเธอไม่เล่า แล้วตำรวจมาจับฉันล่ะก็ ฉันก็จะบอกว่าที่ฉันทำเพราะว่าแค้น แค้นที่มันทำกับฉันแบบนั้น”
นภัสรินทร์แทบทรุด เธอเอนไปพิงพนังเพื่อพยุงกาย
"ลองคิดดูสิริน ถ้าเรื่องมันแดงออกไป ใครจะเดือดร้อน เมศน่ะมันตายไปแล้วไม่รับรู้แล้ว" วีรญารุกหนัก "แล้วถ้าเธอคิดว่าฉันไม่กล้าล่ะก็ เธอรู้จักฉันดีนี่นา”
พื้นที่ยืนอยู่อ่อนยวบ นภัสรินทร์รู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่บนโลก แต่ตกไปในห้วงมหาศาลของจักรวาลมืดดำ หยดน้ำรินจากดวงตา
“ต่อให้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ครอบครัวมันต้องเสียหายแน่นอน ถ้าเธอกล้าบอก ฉันก็กล้าแลก” วีรญาพูดแล้วเดินจากไป นภัสรินทร์โซเซไปสั่งที่โซฟา ปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
นภัสรินทร์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่างในห้องนอน เห็นภาพตัวเองสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย ในวันฝนตก พ่อกับนีรนารถใช้รถที่บ้านไปเยี่ยมเพื่อน ปล่อยเธอยืนรอแท็กซี่ที่หาได้ยากเย็น พอมีโทรศัพท์เข้ามา และเมื่อเธอบอกเรื่องราว รถคันหนึ่งก็มาเทียบฟุตบาทในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ในรถคันนั้นคนขับคือวีรญา
ในช่วงเข้าสู่การทำงาน นภัสรินทร์เป็นลูกจ้างโดยไม่มีตำแหน่งลูกเจ้าของ เป็นพนักงานคนหนึ่งที่เจ้านายสามารถตำหนิได้ ถูกลูกค้าเอาแต่ใจวีนใส่ เมื่อนั้นเธอจะไประบายให้ใครคนหนึ่งฟัง คนนั้นคือวีรญา
วีรญาเป็นยิ่งกว่าเพื่อน เป็นเหมือนพี่น้องซึ่งยืนคอยอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน นภัสรินทร์รู้ว่าตนเองใช้การพึ่งพิงกับเพื่อนคนนี้มากกว่าที่ควร เธอมีคนให้กอดยามเหน็ดเหนื่อย มีคนคอยปลอบยามท้อแท้
หรือนี่เป็นสิ่งที่วีรญาเรียกตอบแทน
ขณะที่ภาพของปรเมศเข้ามาพร้อม ๆ กัน เขาเป็นรุ่นพี่ เป็นประธานนักศึกษา เป็นคนดังประจำมหาวิทยาลัย กลายมาเป็นคนรู้จัก เริ่มใกล้ชิดจนเป็นคนรัก เขามีความห่วงใย หนักแน่นมั่นคงที่สุดในบรรดาผู้ชายที่มายื่นไมตรี
นภัสรินทร์เริ่มมีช่องว่างกับเพื่อนสนิทจนทะเลาะกันบ่อยครั้ง แต่ทุกอย่างก็ดำเนินมาได้ด้วยการแบ่งโลกทั้งสองออกจากกัน กระนั้นวีรญาก็ยังไประรานในโลกของปรเมศอยู่เนือง ๆ ทำให้นภัสรินทร์หวั่นใจ พอกับเรื่องของปัญวิชช์
หรือนี่เป็นสิ่งที่ปรเมศควรได้รับ
เธอควรจะชี้แจงต่อสังคมว่าเพื่อนทำให้คนรักเธอตาย แต่เพื่อนสนิทจะตอบแทนชายในดวงใจของเธอด้วยข้อหาข่มขืน ซึ่งจะแปดเปื้อนกระจายไปถึงครอบครัวของเขา สมาชิกชัยเตชินญ์จะตกเป็นเป้าสายตาและคำนินทา ซ้ำอาจจะถูกตีโต้กลับมาว่าเป็นการกล่าวหาคนตายโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสแก้ตัว
โทรศัพท์บนโต๊ะส่งเสียง เนิ่นนานกว่าเธอจะเคลื่อนกายไปถึงด้วยสภาพอ่อนแรง รับสายเสียงแผ่ว
“รินค่ะ”
“หนูริน ลุงเองนะ”
ยงยุทธ พ่อของวีรญาและเอกสิทธิ์ เธอรู้แน่ ๆ ว่าจุดประสงค์ที่ผู้สูงวัยติดต่อเธอคืออะไร เพราะในอกเจ็บจี๊ด
“เรื่องสส.ปรเมศน่ะ หนูรินเห็นใช่ไหมว่าใครเป็นคนขับ”
ขอบตาร้อนผ่าว ความเจ็บช้ำของเธอมันยังหนักหนาไม่พอหรือไง ทุกคนบีบจนเธอไม่มีแม้แต่อากาศหายใจ “คุณลุงอยากให้เป็นใครล่ะคะ”
อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อย “ถ้างั้นเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีของมันดีไหม อย่าไปทำให้เรื่องมันบานปลายเลย หนูเองก็จะได้ช่วยรักษาสภาพความเป็นมิตรของสองครอบครัวไว้ได้ ไหน ๆ คนก็ตายไปแล้ว ถ้าหนูลืมเรื่องนี้ซะ เราสองครอบครัวก็จะเกื้อกูลกันได้เหมือนเดิม”
หญิงสาวปิดหน้า ไม่เพียงแค่สูญเสียคนรัก แต่เธอเสียความศรัทธา ความดีงาม สูญเสียความรู้สึกทุกอย่างที่ประกอบเป็นชีวิต เจ็บร้าวจนไม่อยากหายใจ
หยดน้ำไหลรินลงมาที่แก้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่สถานีตำรวจ กว่าที่นภัสรินทร์จะแหวกฝูงชนและนักข่าวเข้าไปในห้องสอบสวนได้ก็ทุลักทุเล หญิงสาวปิดบังดวงตาช้ำด้วยแว่นกันแดดสีดำยิ่งข่มให้ความซีดบนใบหน้าดูไร้วิญญาณ เธอเห็นทรงพลนั่งอยู่ในห้องรับรอง พ่อของอดีตคนรักมารอฟังคำยืนยันของเธออย่างไม่ต้องสงสัย ความเจ็บปวดพุ่งพล่านขึ้นมาเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตั้งใจกระทำ
พอไปนั่งเบื้องหน้าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ นภัสรินทร์ถอดแว่นออกตามมารยาท
“คุณรินคงพอจะทราบข่าวแล้ว...” นายตำรวจคนหนึ่งพูด ท่าทางเขาไม่พอใจนักที่มีข่าวเล็ดลอดออกไป แต่ก็พูดคุยเรื่องราวก่อนจะเข้าประเด็นด้วยคำถาม
นภัสรินทร์หลุบตามองโต๊ะวูบหนึ่ง เห็นรอยยิ้มของปรเมศแจ่มชัด แต่เธอตัดสินใจแล้ว “ใช่ค่ะ คนขับรถที่ฉันเห็นวันนั้นใช่คนนี้ถูกแล้วค่ะ”
หัวใจเต้นไหวจนต้องกำมือระงับอารมณ์ ผู้ฟังทั้งสองเหลือบมองกัน “แต่วันนั้นคุณรินบอกว่า เป็นผู้หญิงแล้วก็ตัวเล็กไม่ใช่เหรอครับ ผิดกับนายประเวศนี่เลยนะครับ”
“วันนั้น...ฉัน...สับสนค่ะ กำลังตกใจ อีกอย่างรถมาจากทางโค้ง ก็เห็นไม่ถนัด”
“แต่พยานคนอื่นบอกว่า รถคันนั้นจอดอยู่และพุ่งเข้าชนนี่ครับ”
หญิงสาวส่ายหน้า “อย่างที่บอกนั่นล่ะค่ะ ฉันกำลังสับสน ตรงนั้นมีทางโค้ง ฉันเห็นจากหางตาว่ารถขับเข้ามาเร็วมาก ไม่ได้สังเกตว่าจอดหรือวิ่งมา มันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอคะ”
ท้ายประโยคเธอเชิดหน้า น้ำเสียงตวัด นายตำรวจสบตา
“ต่างครับ การที่รถจอดหรือกำลังแล่นก่อนจะพุ่งเข้าชน สามารถบอกเจตนาของคนขับได้ รูปคดีขับรถโดยประมาทกับเจตนาทำร้ายมันคนละบทกัน” อีกฝ่ายชี้แจง “แน่ใจนะครับว่าใช่คนนี้”
นภัสรินทร์นิ่ง ครั้นแล้วก็พยักหน้าหนักแน่น “ใช่ค่ะ คนนี้แหล่ะค่ะ ที่ขับรถชนคุณปรเมศ คนรักของฉัน”
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
18 มิ.ย. 55 14:38:44
|
|
|
|