Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Black Gun And Red Rose - กุหลาบแดงและปืนดำ - บทที่ 21 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11691462/W11691462.html

บทที่ 2 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11703633/W11703633.html

บทที่ 3 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11718987/W11718987.html

บทที่ 4 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11728001/W11728001.html

บทที่ 5 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11751888/W11751888.html

บทที่ 6 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11770861/W11770861.html

บทที่ 7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11795300/W11795300.html

บทที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11817498/W11817498.html

บทที่ 9 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11842423/W11842423.html

บทที่ 10 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11862773/W11862773.html

บทที่ 11 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11882295/W11882295.html

บทที่ 12 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11912513/W11912513.html

บทที่ 13 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11956587/W11956587.html

บทที่ 14 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12030384/W12030384.html

บทที่ 15 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12065218/W12065218.html

บทที่ 16 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12096110/W12096110.html

บทที่ 17 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12133324/W12133324.html

บทที่ 18 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12160720/W12160720.html

บทที่ 19 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12193492/W12193492.html

บทที่ 20 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12226517/W12226517.html

-----------------------------------

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณห้าสิบป่าย - บทนี้ไม่โหดแล้วครับ  

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณ zoi - บทที่แล้วออกรบ ส่วนบทนี้ให้หยุดพักหายใจกับบทรักฮะพี่โส้ย(คิดว่ามันเป็นบทรักนะ ฮี่ๆ)

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณสามปอยหลวง - ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ไม่เคยขาดครับผม

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณใยไหมกะใบม่อน - จบบทนี้ไป ก็เหลืออีกแค่สามบทแล้วครับพี่ไหม

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณให้เพียงเธอหมดใจ - บทนี้จะมีอะไรให้ระทึกมั้ยหนอ ช่วยติดตามด้วยนะครับ

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณ Sniper-1500watt - อั่ก แม่หญิงสไนเปอร์ มาดื่มน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในเป็นเพื่อนพิชิตดีไหมท่าน คร่อก

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณ Psycho man - อาจารย์เปรียบเทียบได้เห็นภาพจังเลยครับ บรรยากาศของเรื่องเหมือนรถแข่งที่กำลังเร่งความเร็วระยะสุดท้ายจริงๆ ด้วย บทหน้าปมที่ตึงเปรี๊ยะก็จะขาดสะบั้นลงแล้ว พร้อมกับที่รถแข่งคันนี้ปลดพลังไนโตรลูกสุดท้ายออกไป ฟริ้ววว์

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณรุริกะ - ค้าบ แค่มีกำลังใจมาให้ก็ขอบคุณมากๆ แล้วค้าบ

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณชมภัค - ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้กันมาตลอดนะคร้าบ

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณเพชรรุ้งพราย - อะแฮ่ม(ปรับโหมดเคร่งขรึมก่อน) บทนี้พระเอกของเราคงหายเศร้าไปได้หน่อยแล้วครับ บทหน้าค่อยบู๊ผสมดราม่ากันต่อ สัญญาแล้วห้ามลืมนะครับ ไม่งั้นโป้งจริงๆ ด้วย ฮ่ะๆๆ

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณกาปอมซ่า - บทนี้ไม่ต้องอะไรมากครับพี่กาปอม ผมขอน้ำใบบัวบกแก้ชำในให้คุณอาพิชิตหนึ่งแก้วครับ!

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณน้ำพรมหนำ - บทที่แล้วทั้งมึนทั้งเมากันเต็มที่เลยนะฮะ ยังไงก็ขอให้ภาระกิจในหนองน้ำแห้งเสร็จสิ้นเร็วๆ และเดินทางกลับเข้าเมืองโดยสวัสดิภาพครับผม

redrose ขอบคุณกิฟท์จากคุณสะเก็ดดาวเสาร์ - ไม่ต้องอารมณ์เสียนะครับ อีกสองบทคนโฉดก็จะได้รับผลตอบแทนในสิ่งที่กระทำแล้วเน้อ โอ๋ๆ

ทูตกุหลาบ ถ้านิยายเรื่องนี้เป็นรถแข่ง มันก็เข้าสู่โค้งสุดท้ายอย่างที่อาจารย์จีบอกแล้วครับ บทหน้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ขมวดปมมาตลอดเรื่องก็ถึงเวลาที่จะระเบิดออกและผลจะออกมาเป็นเช่นไรบ้าง ก็ช่วยติดตามกันต่อไป ส่วนตอนนี้ มาลุ้นกันดีกว่าว่าจะมีบทจูจุ๊บจริงไหม อิอิ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆ ครับ รักคุณ


-----------------------------------

บทที่ 21

เมืองลำปาง,ห้างฉัตร
โรงแรมภูนิล


นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มยี่สิบนาที

ริสากำลังกระวนกระวายใจ เธอไม่อยากยอมรับเลยว่าสิ่งที่ทำให้เธอกระวนกระวายใจเป็นเพราะพวกของพีภัทรเงียบหายไป เธอไม่อยากเชื่อกับความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นในใจของตนเองขณะนี้ แต่ความเป็นจริงก็ทำให้ริสาไม่สามารถปฏิเสธมันได้

เธอกำลังเป็นห่วงเขา...

ริสาเป็นห่วงเขามากเท่าๆ กับที่รัมภาเป็นห่วงทิวากร

พวกเขาควรจะกลับถึงที่นี่ตั้งแต่สองชั่วโมงก่อน แต่จนวินาทีนี้ทุกอย่างยังไร้ข่าวคราว สมองของเธอวาดภาพในจินตนาการอันเลวร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความเลวร้ายที่อยู่ในจินตนาการของเธอก็เริ่มหนักหนามากขึ้นเป็นเงาตามตัว

และความหวาดหวั่นใจของเธอก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ริสายกมือกอดอก เดินย่ำเท้ากลับไปกลับมาบนพื้นห้องอย่างเคร่งเครียด ในขณะที่รัมภาลากเก้าอี้ไปนั่งเท้าคางกับหน้าต่างคอยจ้องมองลานจอดรถเบื้องล่าง ในห้องพักอันซอมซ่อแห่งนี้จึงมีร่างหนึ่งที่เคลื่อนไหวตลอดเวลากับอีกหนึ่งร่างที่นิ่งแข็งราวรูปสลักอันงดงาม

เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนพวกเธอถึงกับเดินไปเคาะประตูเรียกให้จ๊อดลองโทรหาพวกของพีภัทรและทิวากร แต่จ๊อดก็บอกว่าในเวลาปฏิบัติงานอย่างนี้ ไม่รบกวนได้เป็นดีที่สุด ถึงแม้ใบหน้าของจ๊อดจะยังคงยิ้มแย้มแสดงความทะเล้นเช่นเคย แต่ริสาก็พบว่าในดวงตาของหนุ่มศีรษะโล้นปรากฏความตึงเครียดและหวาดวิตกอยู่ไม่น้อย

นั่นแสดงว่าแม้แต่จ๊อดก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมพวกลูกพี่ถึงไม่กลับมาสักที

ริสาระบายลมหายใจหนักๆ ออกมาเมื่อหวนนึกถึงภาพวาดที่เธอพบใต้ตารางงานบนโต๊ะอาหารแผ่นนั้น แม้พีภัทรจะไม่พูดถึงมันเลย แต่เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนวาดและมอบให้เธอด้วยเหตุผลบางอย่าง ใบหน้าของริสาแดงระเรื่อขึ้นทุกครั้งที่นึกหญิงสาวในภาพวาด

หญิงสาวคนนั้นคือตัวเธอเองที่กำลังถือดอกกุหลาบในมือระดับหน้าอก มันเป็นภาพวาดแบบครึ่งตัวไล่ตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นมาจรดศีรษะ ริสาคิดว่าถ้าเขาไม่มีฝีมือในการวาดภาพอยู่บ้างคงไม่สามารถสร้างภาพนั้นให้สวยจับใจได้ขนาดนี้ด้วยดินสอเพียงแท่งเดียว อย่าว่าแต่เขาไม่มีเธอไปนั่งเป็นแบบให้วาด เขาไม่มีแม้กระทั่งรูปภาพของเธอ

สิ่งเดียวที่เขามีคือภาพของเธอในจินตนาการของเขาเท่านั้น -

“มากันแล้วค่ะ พี่โรส!”

ริสาหยุดเท้ายืนนิ่ง หัวใจเต้นระรัวเมื่อเสียงของน้องสาวดังมาเข้าหู ทันทีที่ตั้งสติได้ เธอก็หมุนตัวกลับไป เห็นรัมภาลุกขึ้นยืน ริสาเดินเข้าไปหยุดยืนด้านข้าง เพ่งสายตาฝ่าความมืดออกไปยังลานจอดรถที่มีเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งให้แสงสว่าง

ฉับพลันนั้น เธอก็รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดพลาด

ใบหน้าอันเลือนรางภายใต้แสงไฟของทุกคนที่ก้าวลงจากรถตู้ปราศจากรอยยิ้ม  แม้แต่โจ๊กก็ไม่ร่าเริงเหมือนปกติ

คนที่เดินนำหน้าขบวนมาคือพีภัทร ริสาเห็นเขากระโดดลงจากรถเดินดุ่มๆ โดยไม่สนใจใครเลย  ส่วนทิวากรเดินตามมาด้านหลัง ก้มหน้ามองพื้นตลอดเวลาราวกับคนที่มีปัญหาอันหนักหนามากที่สุดในชีวิตกดทับศีรษะจนเงยหน้าไม่ขึ้น

ริสาหันมาสบตารัมภา ชักชวนกันออกไปยืนรอที่บันได รัมภาผงกศีรษะตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พริบตาต่อมา พวกเธอก็พบตนเองอยู่ในจุดที่ต้องการ ภายในเฉลียงทางเดินมีไฟเพดานติดตั้งไว้เป็นจุดๆ แต่บางจุดไฟก็ไม่ติด ส่งผลให้เฉลียงทางเดินในตอนกลางคืนจึงมีสภาพคล้ายทางเดินในบ้านผีสิงอย่างไรชอบกล

แต่ในขณะนี้สองสาวไม่ได้นึกหวาดกลัวกับบรรยากาศอันแสนวังเวงเลย

พวกเธอกำลังกลัวสิ่งที่จะได้ยินว่าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นระหว่างการช่วยเหลือแม่บุญธรรมของพีภัทร

เสียงฝีเท้าเดินย่ำขึ้นบันไดมาอย่างหนักแน่น ริสาไม่สามารถโล่งใจหรือคลายความเป็นห่วงลงได้เมื่อเห็นใบหน้าของนักฆ่าหนุ่มถนัดตา ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาไม่นาน ความรู้สึกของเธอบอกอย่างนั้น เครื่องสำอางบนแก้มนั้นถูกลบออกไป เผยให้เห็นรอยแผลเป็นของเขาหลังม่านผมที่ปิดบัง  

พีภัทรเดินผ่านไปราวกับไม่เห็นว่าสุภาพสตรีกุหลาบแดงยืนอยู่ตรงนั้น

ริสาเหลียวมองตามแผ่นหลังของเขาไปจนกระทั่งเขาหยุดยืนหน้าประตูห้องพักของจ๊อดกับโจ๊กซึ่งเป็นห้องวางแผนปฏิบัติการเมื่อตอนบ่าย

จังหวะนั้นเองจ๊อดก็เปิดประตูออกมาจากห้องที่ใช้คุมตัวพ่อเลี้ยงกำธรพอดี

หนุ่มศีรษะโล้นเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ อ้าปากถามพีภัทรว่า “โหย เงียบหายไปตั้งนาน ผมห่วงแทบตายแน่ะเพ่ ทุกอย่างเป็นไงบ้างฮะ?”

แต่พีภัทรทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาเปิดประตู ก้าวเข้าไปในห้องและงับประตูปิดอย่างไม่ใส่ใจต่ออะไรทั้งสิ้น

“มีอะไรชิตหายแน่ๆ” จ๊อดครางเสียงแผ่ว ยกมือเกาศีรษะโล้นเลี่ยน ใบหน้าเหยเก

“เกิดอะไรขึ้นคะพี่หมิง ทำไมกลับมาช้าจังเลย” เสียงของรัมภาฉุดสายตาของริสาให้กลับมาอยู่ที่หัวบันไดดังเดิม ทิวากรกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเธอด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด

“พวกเราไปช้าเกินไป” เขาตอบเบาหวิวคล้ายหมดแรงที่จะเอื้อนเอ่ยคำพูดใดอีก

ริสาใจหายวูบ “หมิงหมายความว่ายังไง อะไรที่ช้าเกินไป?”

“แม่บุญธรรมของพีภัทรตายก่อนที่พวกเราจะไปถึง” หนุ่มตี๋ก้มหน้า บดกรามกรอด

เงียบ

ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้

ริสาตกตะลึง หมุนตัวกลับไปจับจ้องประตูห้องของพีภัทรด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงแสดงอาการเหมือนตัดขาดทุกอย่างรอบกายออกไปโดยสิ้นเชิงแบบนี้

“เฮียชอน เกิดอะไรขึ้นฮะ ป้ารัตน์ตายจริงๆ หรือฮะ?” จ๊อดเดินมาถามเมื่อเห็นภุชงค์กับโจ๊กเดินขึ้นบันไดมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับทิวากร

“เรื่องแบบนี้หมาที่ไหนจะเอามาล้อเล่นล่ะเว้ย” โจ๊กพูดเสียงเขียว ถลึงตามองเพื่อน

ภุชงค์ถอนหายใจยาว ก่อนถาม “นี่ไอ้พัตไปไหนแล้ว?”

“เข้าห้องไปแล้วฮะ ไม่พูดไม่จากับใครเลย” จ๊อดตอบ

เจ้าของอู่ PV – Motor ผงกศีรษะ “ดีแล้ว อย่าเพิ่งไปกวนใจมันล่ะกัน ให้ไอ้พัตอยู่คนเดียวสงบสติอารมณ์ไปก่อน”

“แต่เพื่อนคุณอาจต้องการกำลังใจก็ได้นะ”  ริสาโพล่งขึ้น ก่อนที่ใบหน้าเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อทุกสายตาหันมามองที่เธอเป็นจุดเดียว ริสาจึงรีบกล่าวเสริมทั้งๆ ที่หน้าแดง “คือฉันหมายความว่า คนเราพอเสียใจก็ต้องการคนปลอบใจอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดา”

“แต่เพื่อนผมไม่ใช่คนธรรมดา” ภุชงค์ส่ายหน้า “ตัวจริงไอ้พัตน่ะเปราะบางจะตาย สิ่งที่คุณเห็นมันเป็นแค่เปลือกนอก เวลาที่เจอเรื่องเสียใจ ไอ้พัตชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ขืนจู่ๆ มีเดินเข้าไปปลอบ มีแต่จะทำให้มันเสียใจมากกว่าเดิมเท่านั้น ผมเป็นเพื่อนมัน ผมรู้ดี”

“แต่ฉันคิดว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อน ยังไงก็ดีกว่าการอยู่คนเดียว” ริสาพูดด้วยเสียงที่แข็งกระด้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะเธอกำลังนึกถึงตนเองที่พอเผชิญเรื่องเลวร้าย ก็มีเพื่อนแท้อย่างหมิงคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ กายเสมอ “เขาอาจจะคิดสั้นขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้”

“ผมไงที่รู้” ภุชงค์ตอบกลับทันที “ผมรู้ว่าไอ้พัตไม่ใช่คนที่ดูถูกชีวิตตัวเอง และอีกอย่าง คนที่ฆ่าพ่อแม่มันทั้งหมดยังลอยนวลอยู่ข้างนอก ไอ้พัตไม่ยอมคิดสั้นแน่”

คำพูดของภุชงค์ลอยวนอยู่ในหูของริสา ขณะทิวากรหมุนตัวเดินผละออกจากวงสนทนาตรงดิ่งไปที่ประตูห้องของพวกเธอด้วยไม่อยากได้ยินคำพูดแทงใจดำอีก

“พี่หมิง.” รัมภาร้องเรียกเบาๆ แล้วเดินตามทิวากรหายเข้าไปหลังประตู
“ระหว่างที่พวกเฮียไม่อยู่ ตาเฒ่านั่นแผลงฤทธิ์อะไรบ้างมั้ย?” ภุชงค์หันมาถามจ๊อด ไม่สนใจทิวากรอีก

“ไม่ฮะ  เรียบร้อยยังกะเด็กห้าขวบ” จ๊อดตอบ “ว่าแต่เฮียช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ ทำไมเรื่องมันลงเอยอีหรอบนี่ได้อ่ะ แล้วศพป้ารัตน์อยู่ที่ไหน?”

“อยู่ในโรงพยาบาลที่เพื่อนนายตี๋นั่นเป็นหมออยู่” ภุชงค์ตอบพลางพยักพเยิดหน้าไปยังประตูห้องที่ทิวากรหายเข้าไป “ส่วนน้าตองเฮียเช่าโรงแรมให้อยู่แถวนั้นไปก่อน พวกเฮียกลับมาที่นี่เพื่อให้ไอ้พัตได้มีเวลาสงบจิตใจสักพัก แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะเอายังไงต่อไป”

พูดจบ เจ้าของอู่ PV – Motor ก็ชำเลืองมองริสาแวบหนึ่งด้วยความเห็นใจ ก่อนพาลูกน้องสองคนหายเข้าไปในห้องที่ใช้คุมตัวพ่อเลี้ยงกำธรและเชา เขากล่าวกับเธอว่า

“ผมไม่ได้ห้ามถ้าคุณอยากเข้าไปคุยกับไอ้พัต บางทีมันอาจต้องการกำลังใจจริงๆ อย่างที่คุณพูดก็ได้ อ้อ ส่วนไอ้ที่ผมพูดไปเมื่อกี้คุณอย่าสนใจเลยนะ ผมก็แค่พูดกันเอาไว้ไม่ให้ไอ้นายทิวากรนั่นห้ามคุณเข้าไปคุยกับไอ้พัตเท่านั้น”

“ทำไมหมิงต้องห้ามไม่ให้ฉันคุยกับเขาด้วยล่ะ?” ริสาถามด้วยความไม่เข้าใจ

ภุชงค์ยิ้มฝืดฝืน “ผมคิดว่าหลังจากที่เขาเห็นไอ้พัตขู่ผมบนรถ เขาก็คงไม่ไว้ใจให้คุณอยู่กับมันตามลำพังสองคนแน่ๆ”

“ขู่?” หญิงสาวไม่เข้าใจหนักกว่าเก่า “เขาขู่อะไร พวกคุณเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ?”

“ขู่อะไรก็อย่าสนใจเลย ไอ้พัตมันไม่ทำผมจริงๆ หรอก” ภุชงค์ตอบ “กับคุณเองก็เหมือนกัน ไอ้พัตมันไม่มีวันทำร้ายคนที่มันรักแน่”

แล้วภุชงค์ก็เดินเข้าห้องตามหลังจ๊อดกับโจ๊กไป ปล่อยให้ริสายืนเผชิญกับระเบิดที่เขาหย่อนทิ้งไว้เพียงคนเดียว

...ไอ้พัตไม่มีวันทำร้ายคนที่มันรักแน่...

นั่นหมายความว่าอะไรกัน?

ภุชงค์กำลังจะบอกว่าเพื่อนของเขารักเธออย่างนั้นหรือ?

เฉลียงทางเดินอันน่าวังเวง ริสายืนกัดริมฝีปากครุ่นคิดด้วยความสับสน เธอมองดูประตูสองบานอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะเข้าไปหาพีภัทรหรือทิวากรก่อนดี

ริสาสูดหายใจลึก ในขณะนี้ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างก็กำลังเผชิญปัญหาหนักใจคนละอย่าง ฝ่ายแรกเพิ่งสูญเสียแม่บุญธรรม ฝ่ายหลังก็เครียดที่พ่อของตัวเองทำให้แม่บุญธรรมของอีกฝ่ายเสียชีวิต ริสาขยับเท้าเดินอย่างไม่รู้สึกตัว ทิวากรเป็นเพื่อนสนิทของเธอ เป็นมิตรแท้ที่อยู่ข้างเธอเสมอมา พอเขามีปัญหา เธอจะหนีหน้าไปหาคนอื่นเชียวหรือ?

แต่พีภัทรล่ะ?

ใบหน้าที่โศกสลดกับดวงตาเศร้าหมองคลอน้ำตาคู่นั้น เป็นสิ่งยืนยันได้ดีถึงสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้  เพียงเห็นพีภัทรเดินผ่านไปราวมนุษย์ไร้วิญญาณ ไม่เหมือนชายหนุ่มที่พอพบหน้าก็ชอบยั่วโมโหเธอคนเดิม หัวใจของริสาก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

หรือบางทีเธออาจทราบสาเหตุอยู่แล้ว

และถึงเวลาที่ต้องยอมรับกับตัวเองสักที...ว่าอาการที่เธอเป็นมาตลอดทั้งวัน ทั้งวิตกกังวล หัวใจร้อนรน นั่งอยู่เฉยๆ ก็นึกถึงภาพตัวเองกับพีภัทรในเหตุการณ์ตลอดหลายวันที่ผ่านมาอย่างไม่รู้ตัว  มันล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอกำลังหลงรักเขา!

...ไอ้พัตไม่มีวันทำร้ายคนที่มันรักแน่...

หัวใจของริสาเต้นตึกตัก ใบหน้าร้อนผะผ่าว ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลงรักนักฆ่าอย่างเขา มันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง จิตใจด้านลบของริสาพยายามต่อต้าน พยายามฉุดดึงให้เธอเบนฝีเท้าไปทางประตูห้องของตัวเอง แต่เมื่อเธอหยุดเท้า กลับพบว่าได้มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของพีภัทรเรียบร้อยแล้ว

...ไอ้พัตไม่มีวันทำร้ายคนที่มันรักแน่...

ริสาสลัดความคิดทั้งหมดทั้งมวลออกไป ไม่ว่าเขากำลังจะรักเธอหรือว่าเธอกำลังจะรักเขา ริสาก็หลงเหลือไว้เพียงความห่วงใยอันบริสุทธิ์ขณะเอื้อมมือแตะลูกบิดประตูซึ่งพีภัทรลืมแม้กระทั่งกดล็อคตามอุปนิสัยระมัดระวังตัวของเขา

ในยามที่เศร้าเสียใจ พีภัทรก็เกิดอาการลืมเลือนทุกเรื่องราวได้ดั่งเช่นคนปกติธรรมดา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและหัวใจคนหนึ่ง ย่อมมีช่วงเวลาที่หัวใจสลาย หมดสิ้นศรัทธาในทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของตัวเองได้เสมอ

ริสาหมุนลูกบิดผลักประตูก้าวเท้าเข้าไปในห้อง จนปิดประตูตามหลังแล้วจึงค่อยกล่าวว่า “นี่ ฉันเข้ามาได้มั้ย?”

ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ แต่โชคดีที่เปิดหน้าต่างไว้ แสงจันทร์ด้านนอกจึงสาดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้แสงสว่างเลือนรางภายในห้องและส่องต้องเงาร่างที่นั่งคู้ตัวบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างอย่างชัดเจน

ริสาเห็นไหล่ของเงานั้นไหวสะท้านขึ้นลง พร้อมกับแว่วเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังร้องไห้แผ่วเบาลอยมาเข้าหู

“นี่ ฉันเข้ามาได้รึเปล่า?” ริสาส่งเสียงอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยพูดกับเขา

แต่พีภัทรยังคงไม่ตอบ ไม่เหลียวมองหรือแสดงอาการรับรู้ใดๆ เลย
ดังนั้น ริสาจึงคลำมือไปบนผนัง กดสวิตช์ไฟนีออนที่ติดบนเพดาน ไฟกระพริบสองครั้งก็ชะงักค้างส่งเสียงครางต่ำๆ ก่อนติดพรึบแผดแสงสว่างในอีกสิบวินาทีต่อมา

เมื่อห้องพักถูกอาบไล้ด้วยแสงไฟนีออนแทนแสงจากดวงจันทร์ ริสาก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปหา เธอพบว่าพีภัทรกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้ไม้ ใบหน้าของเขาซุกอยู่กับหัวเข่า เขากำลังร้องไห้อย่างสุดที่จะอดกลั้น ขนาดริสาเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ เขาก็เหมือนยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

“นี่...”

ริสาพยายามจะเปล่งเสียงพูด แต่ความเสียใจที่พีภัทรแสดงออกมาทำให้เธอหาคำพูดไม่ถูก ริสาไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรถึงจะเหมาะสมเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา เธอเป็นคนที่มักได้รับการปลอบโยนมากกว่าไปปลอบโยนคนอื่น เวลานี้จึงเกิดอาการไปไม่เป็นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ในขณะนี้ พีภัทรถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกไปแล้ว หลงเหลือเพียงเสื้อยืดสีดำที่ใส่เมื่อกลางวันกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ที่พร้อมสำหรับออกเดินทางได้ทุกเมื่อ  ริสาได้แต่ถอนหายใจออกมาในที่สุดและเอื้อมมือไปวางบนหัวไหล่ของเขาอย่างปลอบโยนเท่านั้น

และเมื่อมือของเธอแตะลงไปบนไหล่ของพีภัทร นักฆ่าหนุ่มก็เงยหน้าที่นองน้ำตาขึ้นทันที

“คุณไม่ควรเข้ามาในนี้” เสียงของเขาสั่นเครือ ใบหน้าคมสันเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ยังคงพูดกับเธอต่ออีกหนึ่งประโยคว่า “ผมอาจควบคุมตัวเองไม่ได้ จะทำอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้”

ลำคอของริสาแห้งผาก ใบหน้า แววตาและน้ำเสียงที่เหมือนคนหมดหวังของเขาทำให้เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม

น้ำตาของพีภัทรยังคงไหลไม่หยุด เขาพูดต่อไปด้วยเสียงเบาหวิวคล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับเธอ “เมื่อเย็นผมเอาปืนจ่อหัวไอ้ชอน เขาเป็นเพื่อนตายของผม แต่ผมกลับเอาปืนจ่อหัวเขาได้ลงคอ...ผมไม่อยากเชื่อว่าตัวเองทำอะไรลงไป ผมเกือบจะฆ่าเขาแล้ว!”

“แต่เพื่อนคุณมั่นใจว่าคุณไม่มีวันทำร้ายเขานะ” ริสาเปล่งเสียงพูดออกมาได้ในที่สุด

พีภัทรสั่นศีรษะ สองตาเหม่อมองดวงดาวบนฟ้า สองมือกอดหัวเข่าที่ยกขึ้นมาแนบอก ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีร่างกายสูงใหญ่อย่างเขาจะสามารถนั่งคู้ตัวบนเก้าอี้ไม้สภาพง่อนแง่นตัวนี้ได้ไม่ต่างจากเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

เขาพูด “ผมอาจยิงเขาโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ทุกอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของผม ผมไม่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเหมือนเดิม แม่ผมตาย ผมไม่เหลือใคร ผมกำลังเสียใจ ผมอยากร้องไห้ ผมอยากอยู่คนเดียว ริสา คุณออกไปเถอะ ปล่อยผมไว้ตรงนี้ อย่ามายุ่งกับผมอีก”

“คุณคิดหรือว่าการอยู่คนเดียวจะช่วยคุณได้” ริสายกมือขึ้นจากไหล่ของเขามาป้ายน้ำตาของตัวเองที่ไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอกล่าวต่ออย่างเศร้าใจ “อย่าลืมว่าฉันก็เคยรู้สึกเหมือนคุณ ฉันเสียแม่ ฉันเสียพ่อ ฉันเสียทุกคนที่ฉันรัก ฉันก็เคยอยากอยู่คนเดียว อยากร้องไห้ให้มันขาดใจตายไปซะ แต่ฉันก็ได้รู้ว่าการทำอย่างนั้นมันไม่มีประโยชน์ คุณควรจะหาใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน ฉันเสียใจเรื่องแม่บุญธรรมของคุณ แต่ถึงคุณร้องไห้ไปจนตาย คุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงทั้งหมดได้หรอก”

พีภัทรนั่งนิ่งเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีดังเดิม ริสาไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินสิ่งที่เธอพูดบ้างหรือไม่ นาทีนั้นพวกเขาสองคนตกอยู่ภายใต้ความเงียบ เสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกระงมลอยมากับสายลมแทรกความเงียบสงัดนั้น ผ่านไปครู่หนึ่ง นักฆ่าหนุ่มก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า

“คุณเชื่อในความยุติธรรมมั้ย ริสา?”

“ความยุติธรรม?” สุภาพสตรีกุหลาบแดงทวนคำ เหลียวซ้ายแลขวามองหาที่นั่ง จิตใจชุ่มชื้นขึ้นเป็นกองที่เขาเริ่มพูดคุยบ้างแล้ว เธอพูดต่อเมื่อได้ที่นั่งเป็นฟูกแข็งกระด้างบนเตียงเหล็ก “เชื่อสิ ถ้าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม มนุษย์จะอยู่มาจนถึงวันนี้ได้ยังไง”

“เมื่อก่อนผมก็เคยเชื่อแบบคุณ” นักฆ่าหนุ่มหันหน้าชำเลืองมองริสาเป็นครั้งแรก “กระทั่งเมื่อเช้านี้ผมก็ยังเชื่อ ผมเชื่อเสมอว่าความยุติธรรมมีอยู่จริงในกำมือของเรา แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อเย็น ผมก็ไม่รู้แล้วว่าอะไรคือความยุติธรรมกันแน่ ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ผมฆ่าคนตายเป็นสิบๆ คน แต่ละคนเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ ผมเชื่อว่าผมกำลังทวงคืนความยุติธรรมให้ผู้ที่ถูกกระทำ”

พีภัทรเว้นวรรค เบือนหน้ากลับไปที่หน้าต่างอีกครั้งและพูด

“ผมหวังว่าสักวันสวรรค์คงจะให้รางวัลตอบแทนผมบ้าง แต่เปล่าเลย คุณดูสิ่งที่เกิดขึ้น แม่บุญธรรมของผมต้องตายโดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้ บางทีสิ่งที่ผมทำทั้งหมดอาจจะไม่ใช่การทวงคืนความยุติธรรม แต่มันอาจเป็นแค่การฆาตกรรม และผมก็ไม่ได้เป็นนักฆ่าผู้ผดุงความยุติธรรมอย่างที่ไอ้ชอนชอบพูด ผมมันก็แค่ฆาตกรคนหนึ่งที่จิตใจสกปรก สวรรค์ถึงลงโทษผม แบบนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับผม ไม่ควรปลอบใจผม ไม่ควรแม้แต่จะพูดกับผมอีก”

“แต่คุณกำลังสับสน” ริสาสวนคำ ไม่รู้เหมือนกันว่าอคติที่เคยมีกับเขาในอาชีพนักฆ่าหายไปไหนหมดแล้ว “เพื่อนคุณเล่าให้ฉันฟังว่าคุณไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ผดุงความยุติธรรม แต่คุณก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเป็นฆาตกรเหมือนกัน”

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น?” พีภัทรหันมองเธออย่างเพ่งพินิจ ดูเหมือนว่าคำพูดของสุภาพสตรีกุหลาบแดงประโยคนั้นจะเรียกสติของเขากลับคืนมาได้พอสมควร

ริสาจ้องเข้าไปในดวงตาอันเศร้าหมอง “ก็เพราะคุณช่วยชีวิตฉัน ช่วยชีวิตหมิง ช่วยชีวิตยัยมิน”

“คุณยังไม่รู้จักผมดีพอ” นักฆ่าหนุ่มหลุบตามองพื้น “คุณรู้มั้ยว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้คุณอยู่ในห้องนี้?”

“คุณบอกว่าอยากอยู่คนเดียว” ริสายกมือกอดอก

“ไม่ใช่หรอก” พีภัทรเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อและหันมาจ้องมองใบหน้างามละมุนของเธอ “แต่ผมกลัวว่าผมจะรักคุณต่างหาก  หัวใจของผมมันไม่ฟังเหตุผลอีกแล้ว ยิ่งคุณพยายามทำดีกับผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งห้ามใจตัวเองลำบากมากขึ้นเท่านั้น”

ริสาหน้าร้อนวูบ คำพูดแบบตรงไปตรงมาของเขาแทงทะลุหัวใจเธอจนเจ็บแปลบ เป็นอันว่าเขาหลงรักเธอจริงๆ ด้วย แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรดี ริสารีบหลบสายตาเขาแสร้งมองไปทางอื่น ความคิดสองฝากฝั่งระหว่างสมองและหัวใจตีกันชุลมุนวุ่นวายคล้ายสงครามที่เพิ่งเริ่มต้นและยังมองหาจุดจบไม่เจอ  

เมื่อเห็นกิริยาของสุภาพสตรีกุหลาบแดง รอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฏบนมุมปากของพีภัทร เขากล่าวต่ออย่างหนักแน่นมั่นคงว่า “รู้แบบนี้คุณก็ควรจะอยู่ให้ห่างจากผมมากที่สุด เพราะถ้ายังมีคุณอยู่ในห้องนี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปบ้าง”

น้ำเสียงและแววตาของเขาบอกต่อริสาว่านายพีภัทรจอมยั่วโมโหคนเดิมกำลังจะกลับมาแล้ว เธอเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อหันกลับมาพูดกับเขาว่า “แต่ภุชงค์บอกว่าคุณไม่มีวันทำร้ายคนที่คุณรักเด็ดขาด”

“มันก็ไม่เสมอไปหรอก” นักฆ่าหนุ่มข่มใจพูด หัวใจเจ็บปวดกับสิ่งที่กำลังจะทำต่อไป “โดยเฉพาะกับคุณ”

จบคำ พีภัทรก็หย่อนขาลงจากเก้าอี้ เหยียดกายลุกขึ้นยืนและด้วยขนาดห้องที่คับแคบ มันก็ทำให้เขาใช้เวลาเพียงวินาทีเดียวก็มาถึงตัวหญิงสาว พีภัทรเอื้อมมือฉุดเธอให้ลุกขึ้นก่อนตวัดแขนรวบเอวบางและดันกายเธอไปจนติดผนังริมหน้าต่าง

สุภาพสตรีกุหลาบแดงกำลังประหลาดใจต่อการเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือของเขาจนลืมเลือนที่จะเปล่งเสียงร้องหรือขัดขืนอย่างเคย มารู้สึกตัวอีกที แผ่นหลังของเธอก็ติดผนัง ส่วนด้านหน้าก็ติดแผ่นอกของเขาเสียแล้ว

“นี่ คุณจะทำอะไร ปล่อยนะ!” ริสาหาเสียงของตัวเองกลับมาได้ เธอพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดนั้น แค่ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งหลุดยากมากขึ้นทุกที

“ผมบอกแล้วไงว่าอย่ามาอยู่ใกล้ผม” พีภัทรใช้สองมือจับไหล่ของเธอให้แนบติดผนัง ก่อนโน้มใบหน้าลงไปช้าๆ

“หยุดนะ คุณจะทำอะ...” ริสาร้องด้วยความแตกตื่น สองมือพยายามดันหน้าอกของเขาอย่างเต็มกำลัง แต่เธอก็ไม่สามารถต้านทานแรงเขาได้ ริสาก้มหน้างุดหลับตาปี๋เมื่อใบหน้าของเขาโน้มต่ำลงมา พร้อมกันนั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และปลายจมูกของเขาที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มนวลของเธอ

เสียงพีภัทรกระซิบอีกครั้ง “รู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าผมอาจจะทำอะไรคุณก็ได้”

“ฉันรู้แล้ว ปล่อยฉันออก – “  ริสาเผลอตัวลืมตา เงยหน้าผงกศีรษะพูดกับเขา กว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลอีกฝ่ายก็เห็นรอยยิ้มของพีภัทรผุดวาบขึ้นบนใบหน้าที่อยู่ห่างไปไม่ถึงนิ้ว ริสาไม่สามารถพูดให้จบประโยคได้เพราะริมฝีปากเขาทาบทับลงมาบนริมฝีปากเธออย่างไม่ทันให้มีเวลาตั้งตัว!

พีภัทรบดขยี้ริมฝีปากอย่างหนักหน่วงรุนแรง เตรียมใจพร้อมรับผลที่จะตามมาขณะรวบมือทั้งสองของเธอไว้ไม่ให้เธอขัดขืน

ทำแบบนี้ไม่เกลียดเขาก็ให้รู้ไปสิ...

เข็มนาฬิกากระดินผ่านแต่ละวินาทีเนิ่นนานกว่าปกติ

ทว่าก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เมื่อจูบที่เขามอบให้เธอเพื่อทำให้เธอเกลียดเขาดำเนินมาถึงจุดที่เหมาะสม พีภัทรก็ถอนริมฝีปากออก ผ่อนคลายกำลังมือที่เกาะกุมเธออยู่ ริสาจึงสามารถเรียกสติกลับคืนมาและสะบัดมือเขาทิ้ง ก่อนผลักอกเขาออกด้วยความโมโห

พีภัทรเซถอยหลังตามแรงผลักมาสองก้าว พบว่าทั้งตนเองและสุภาพสตรีกุหลาบแดงต่างพากันหอบหายใจอย่างหนักหน่วง  นักฆ่าหนุ่มรีบปั้นสีหน้าเฉยชา ยืนมองริสายกมือลูบริมฝีปาก ใบหน้าแดงระเรื่อ สองมือสั่นเทาอย่างโกรธจัด

ริสาโกรธจนพูดไม่ออก ใบหน้าร้อนผ่าวมากที่สุดในชีวิต เธอทราบแล้วว่าความรู้สึกของคนที่โกรธจนควันออกหูเป็นเช่นไร เธอรู้แล้ว! เธอมันหวั่นไหวไม่เข้าเรื่อง เขาก็แค่ผู้ชายเลวๆ ที่คิดฉวยโอกาสอย่างไม่เลือกเวลาคนหนึ่ง ไม่ได้น่าสงสาร ไม่ได้โดดเดี่ยว ไม่ได้เป็นคนที่เหมาะสมสำหรับให้เธอชายตามองเลย

ริสาเดินเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้าพีภัทร

เขาส่งยิ้มมุมปากน้อยๆ ให้เธอ แต่นัยน์ตากลับเป็นประกายหวั่นไหวอย่างประหลาด

จริงอยู่ที่สุภาพสตรีกุหลาบแดงยังคงพูดไม่ออก ทว่าเรี่ยวแรงที่เหือดหายไปขณะถูกเขาจูบก็กลับคืนมาแล้ว เธอกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลเมื่อตวัดมือขวาตบแก้มซ้ายของเขาเต็มแรงสิบครั้งซ้อน ตอบแทนที่เขาทำลายความหวังดีของเธอให้ย่อยยับไม่เหลือชิ้นดีอย่างสาสม

เสียงของฝ่ามือที่กระทบแก้มดังบาดลึกลงไปในจิตใจ สร้างความเจ็บปวดให้พีภัทรมากกว่าถูกเธอตบเป็นสิบเท่า แต่เขาก็ไม่ได้ปัดป้อง เขาปล่อยให้เธอตบเขา ตบจนกว่าเธอจะพอใจ

แต่นักฆ่าหนุ่มกลับพบว่า ยิ่งเธอตบเขามากเท่าไหร่ แรงมือที่เธอตบ ก็ยิ่งลดน้อยถอยลงตามลำดับเท่านั้น

ตบสุดท้ายของเธอคือการแปะมือลงบนรอยแผลเป็นรูปกากบาท ก่อนที่มือนั้นจะลดลงมาขยุ้มคอเสื้อเขา และโดยไม่รู้ตัว ริสาก็ฝังใบหน้าลงไปในอ้อมอกเขาอีกครั้งอย่างหมดแรง พีภัทรเองก็เผลอตัวโอบกอดเธอตอบอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นกัน

น้ำตาของพวกเขาไหลทะลัก  สองหนุ่มสาวไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้ พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นเหมือนเมื่อวินาทีก่อนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น เหมือนไม่เคยถูกจูบ เหมือนไม่เคยถูกตบ ไม่เคยเกิดอะไรทั้งนั้นนอกจากความจริงที่ปรากฏว่าพวกเขากำลังหลงรักกันและกันอย่างสุดที่จะหักห้ามใจ

“ผมรู้ว่าผมห้ามใจตัวเองไม่ให้รักคุณไม่ได้” พีภัทรพูดแผ่วเบา แนบปลายจมูกลงกับเรือนผมของหญิงสาว “เพราะฉะนั้นคุณถึงต้องเกลียดผม คุณต้องไม่สนใจผมอีก เพราะผมอาจเจ็บปวดมากกว่านี้ถ้าคุณยังทำแบบนี้กับผมอยู่ ผมจะรักใครไม่ได้ มันเป็นกฎสำหรับคนที่มีชีวิตอย่างผม”

“แต่ฉันก็ทำไม่ได้เหมือนกัน” ริสาตอบกลับมาจากหน้าอกของเขา “วันนี้ฉันเป็นห่วงคุณตลอดทั้งวัน คุณคิดว่าฉันจะรู้สึกแบบนี้กับใครง่ายๆ ใช่มั้ย คุณมันคนเห็นแก่ตัว คิดว่าตัวเองทำไม่ได้แล้วคนอื่นจะทำได้หรือไง”

สุภาพสตรีกุหลาบแดงช้อนสายตาที่คลอด้วยหยาดน้ำใสสบตานักฆ่าหนุ่ม

ริมฝีปากที่รสจูบยังติดตรึงสั่นระริกขณะพูดต่อ “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้กับคุณ แต่ฉันเกลียดคุณไม่ได้”

ด้วยน้ำตาที่รื้นเต็มเบ้า ใบหน้าของริสาพร่าเลือนในดวงตาของนักฆ่าหนุ่ม เขาหลับตาลง โอบศีรษะเธอแนบติดกับหน้าอกตัวเอง ไม่ว่ากาลเวลาข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น พีภัทรจะจดจำวินาทีนี้ตลอดไป มันจะคอยเตือนให้เขาได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ ในวันที่เขาเศร้าเสียใจมากที่สุด ยังเคยมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ร้องไห้พร้อมกับเขาด้วยความเต็มใจ

ไม่มีเสียงใดในห้องแทรกกลางระหว่างความเศร้าที่แปรเปลี่ยนเป็นความอิ่มเอิบใจอย่างประหลาด พีภัทรลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนเชยคางเธอขึ้นมาจ้องมองดวงตาคู่งามนั้น พวกเขาจ้องมองกันอย่างไม่สนใจโลกที่กำลังหมุนไปข้างหน้า ริสาเอื้อมมือปาดน้ำตาให้เขา พีภัทรเผลอตัวยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำเมื่อครู่ เขาใช้นิ้วชี้เกี่ยวเส้นผมที่ร่วงปรกใบหน้าเธอไปทัดไว้ข้างหู

“ผมขอโทษ” พีภัทรกระซิบ อดนึกไม่ได้ว่าหากเขาไม่ใช่นักฆ่า เรื่องทุกอย่างคงวิเศษสุดมากกว่านี้

แต่ฉับพลันนั้น ประตูห้องก็เปิดผางออกอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ทิวากรก้าวเท้านำรัมภาพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าที่ใครๆ ก็ดูออกว่าเพิ่งรับทราบข่าวร้ายชนิดคอขาดบาดตายมาหมาดๆ

พีภัทรกับริสาหันขวับมองแขกไม่ได้รับเชิญในวินาทีเดียวกัน ทิวากรกับรัมภาหยุดชะงักเท้ากลางห้อง สีหน้าที่เคร่งเครียดของหนุ่มตี๋ถูกความประหลาดใจยึดครองพื้นที่แวบหนึ่ง ขณะรัมภาที่ถูกฝ่ายชายกุมข้อมือก็ได้แต่มองพีภัทรกับริสาสลับกันไปมาด้วยดวงตางงงวย

นักฆ่าหนุ่มหันกลับมามองสุภาพสตรีกุหลาบแดง ยิ้มพลางพูดด้วยเสียงห้วนสั้นตามปกติ “คุณไม่ได้ล็อคประตูห้องอีกแล้ว?”

“ก็คุณลืมล็อคเองนี่” ริสาขึงตามองเขา แต่กลับอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

(ต่อด้านล่าง)

แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 55 18:37:08

แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 55 13:01:29

แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 55 12:52:18

แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 55 12:47:21

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 12:45:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com