Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กนกนาคราช (บทที่ 10 แรงอาฆาตของปลายฟ้า) ติดต่อทีมงาน

กนกนาคราช (บทที่ 1 ผ้าไหมโบราณ)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12086966/W12086966.html
กนกนาคราช (บทที่ 2 แรงดึงดูด)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12103088/W12103088.html
กนกนาคราช (บทที่ 3 แรงปรารถนานำพา)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12115475/W12115475.html
กนกนาคราช (บทที่ 4 ชายชุดแดง)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12128775/W12128775.html
กนกนาคราช (บทที่ 5 คำทำนายของอดีตชาติ)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12147685/W12147685.html
กนกนาคราช (บทที่ 6 ญาณทิพย์ของพิศลย์)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12152536/W12152536.html
กนกนาคราช (บทที่ 7 ความลับของปลายฟ้า)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12182646/W12182646.html
กนกนาคราช (บทที่ 8 ลางสังหรณ์ของพงศกร)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12200476/W12200476.html
กนกนาคราช (บทที่ 9 คำขอร้องของพิมพ์วารี)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12214553/W12214553.html








บทที่ 10 แรงอาฆาตของปลายฟ้า

พิมพ์วารีกระโจนลงน้ำด้วยหัวใจที่เป็นสุข สายน้ำเย็นใสไหลผ่านเรือนร่างอรชรในชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดตัวเล็ก หญิงสาวว่องว่ายอย่างคล่องแคล่ว ทั้งขาและแขนตีน้ำกวักไกวด้วยความพลิ้วไหว ก่อนจะดำดิ่งลงสู่สายน้ำเบื้องล่าง

ดวงตากลมใสเบิกมองสภาพใต้ลำน้ำโขง ไกลออกไปเห็นเพียงอณูสีเขียวเข้ม ความอยากรู้ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้น เธอไม่เคยดำน้ำออกไปไกลเกินเขตบริเวณหน้าบ้านเลย ใต้ผืนน้ำไกลออกไป จะมีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่หนอ...

“เอื้อยพิม อุสาว่ารีบขึ้นมาเถอะค่ะ เดี๋ยวแม่ใหญ่ก็จะกลับมาจากถวายเพลพระแล้ว อีกอย่างฟ้าทางพู้นก็มืดมาแล้ว สงสัยฝนคือสิตกแน่ๆ” อุสาร้องบอกอยู่ที่ริมฝั่ง ก่อนแหงนหน้าไปทางทิศตะวันตก เกลียวเมฆสีดำเข้มก่อตัวตั้งเค้ามาแต่ไกล และกำลังเคลื่อนตัวตรงดิ่งมาทางนี้

พิมพ์วารีที่กำลังจะดำมุดลงสู่ผืนน้ำก็จำต้องตัดใจ ว่ายกลับเข้าฝั่งก่อนเดินขึ้นมาคว้าเอาผ้าขนหนูจากอุสา

“เดี๋ยวเอื้อยสิฟ้าวไปอาบน้ำเดออุสา แล้วเฮาสิได้มาเย็บพาขวัญต่อกัน” ผู้มีศักดิ์เป็นพี่บอกเสียงใส ก่อนเดินดุ่มๆ ตรงเข้าสู่ห้องน้ำที่อยู่ท้ายบ้านไม้หลังย่อมของเธอ

ไม่นานนักเมื่อคุณยายพันวลีกลับมาจากถวายเพลพระ หลานสาวทั้งสองก็หอบเอาใบตองถาดใหญ่มานั่งพับเพื่อทำพาขวัญกันที่ศาลาริมน้ำ โดยที่อุสาค้านว่าให้ขึ้นไปทำพาขวัญกันบนบ้านหากแต่พิมพ์วารีก็ห้ามไว้ ด้วยที่อยากสัมผัสไอเย็นของฝนให้ชื่นใจ สัมผัสบรรยากาศริมแม่น้ำโขงพร้อมกับการนั่งพับใบตอง เย็บทำพาขวัญ

“เอื้อยพิมนี่เป็นคนโรแมนติกสุดๆ เลยเดอฮู้บ่อ...” อุสาว่าเสียงหวาน ก่อนที่อีกฝ่ายจะคลายยิ้มกว้าง มือเรียวฉีกใบตองออกกว้างราวสองนิ้ว ก่อนนำมาม้วนให้ปลายแหลม เย็บโคนติดกับอันที่ม้วนไว้ก่อนหน้า

“สองพี่น้อง เป็นหยังจั่งไปนั่งอยู่ในศาลา ฝนสิตกฮำแล้วนั่น ฟ้าวขึ้นเฮือนเร็วลูก” ยายพันวลีร้องเรียกอยู่บนบ้าน ก่อนที่หลานสาวคนโตจะตอบกลับไปเสียงใส

“บ่เป็นหยังจ้ะแม่ใหญ่ ฝนคือสิตกบ่แฮงดอก ศาลาเฮาออกสิใหญ่ ฝนสาดบ่ฮอดดอกจ้า...” จบคำก็หันมาหาอุสาที่นั่งหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นผู้เป็นยายทำหน้าบึ้งตึงใส่

“ถ้าเป็นไข้มา อย่ามาบอกแม่ใหญ่กะแล้วกัน...” คนแก่บ่นงึมงำก่อนเดินกลับเข้าไปภายในบ้าน เปิดไฟให้สว่างเพราะบริเวณด้านนอกเริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆฝน

พิมพ์วารีหยัดกายลุกขึ้นยืน ดวงตากลมใสเพ่งมองพาขวัญที่จะใช้ในพิธีงานแต่งงานของหญิงสาวในหมู่บ้านวันพรุ่งนี้ เหลืออีกสิบเปอร์เซ็นต์ก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

มือเรียวสวยเอื้อมไปหยิบเอาใบตองที่พับจีบไว้เพื่อนำมาเย็บต่อ แต่มันก็พลันหล่นร่วงหลุดจากมือเมื่ออสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงยังผืนนาใกล้ๆ หมู่บ้าน

“หูย...ตกใจเบิดเลย เดี๋ยวอุสาสิยกพาขวัญขึ้นเฮือนเดอค่ะ” เสียงฟ้าผ่าเมื่อครู่ทำให้อุสาต้องรีบช้อนเอาพานพาขวัญขึ้นอุ้มไว้ขณะที่พิมพ์วารีรวบเก็บเอาใบตองส่วนที่เหลือใส่ถาด เตรียมออกเดินตามหลังน้องสาว แต่ทว่าพลันนั้นเอง... เด็กสาววัยสิบเจ็ดก็พลันได้หยุดชะงักด้วยความตกใจ รถยนต์สีบรอนซ์คันงามขับพุ่งมาจอดอยู่ต่อหน้า

พานพาขวัญแทบจะล้มคว่ำลงจากอ้อมกอดของเด็กสาว ขณะที่พิมพ์วารีรีบสาวเท้าเดินลงมาจากศาลาพร้อมกับปลายฟ้าที่เปิดประตูลงมาด้วยความฉุนเฉียว ก่อนกระแทกปิดมันอย่างแรง

หญิงสาวทั้งสองคนสบสายตากัน กระแสลมแรงพัดต้นไม้ดังหวีดหวิว ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องครืนๆ ที่ชวนให้หวาดเสียวทุกครั้งไป ดวงตากลมรีของหญิงจากเมืองกรุงจ้องมองวงหน้าคมคายของพิมพ์วารีตาไม่กระพริบ สองตาของปลายฟ้าลุกโชนด้วยไฟแห่งโทสะที่ยากจะดับมอด

“เอาผ้าไหมของฉันคืนมา ส่งคืนมาเดี๋ยวนี้...”

ตวาดใส่ร่างอรชรตรงหน้าขณะที่มือทั้งสองข้างกำแน่น ริมฝีปากเรียวบางเม้มแน่นเข้าหากัน ภาพในความฝันฉายวาบขึ้นมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง ผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มลายกนกที่ใช้ห่อรัตนมณีของกนกนาคราช คือสิ่งแทนตัวเพียงชิ้นเดียวที่ชายาทั้งสองต่างแย่งชิงเพื่อจะได้ครอบครองมัน

พอได้ยินเสียงเอะอะ คุณยายพันวลีจึงโผล่หน้ามาดูที่หน้าชานเรือน เมื่อเห็นคนแปลกหน้ามายืนคุยกับหลานสาวสีหน้าเคร่งเครียดจึงรีบก้าวขาเดินลงกระไดมาดู

“นี่แกฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง ฉันบอกว่าเอาผ้าไหมของฉันคืนมา แกไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแตะผ้าผืนนั้นซะด้วยซ้ำ แล้วยังกล้าเอามาเก็บไว้อีกเหรอ...” คำต่อว่าที่ได้ยินทำให้คนที่กำลังจะหันหลังเดินขึ้นเรือนต้องกัดฟันแน่น พิมพ์วารีเชิดหน้าขึ้นสูง ดวงตากลมโตทั้งสองข้างเบิกกว้างสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้

“ฉันไม่ได้เป็นคนเอามันมานะ มันมาหาฉันเอง อันที่จริงเธอควรจะขอร้องฉันซะด้วยซ้ำ หากเธอพูดจากันดีๆ ฉันก็จะรีบไปเอามาคืนให้...”

“ทำไม... แกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง แกจะไม่คืนผ้าให้ฉันใช่มั้ย?” พูดจบ สองตากลมรีก็เหลือบไปเห็นหญิงแก่ที่เดินเนิบนาบมาหาหลานสาว ปลายฟ้าจึงยิ้มเหยียดใส่พร้อมกับต่อว่า

“นี่ยายแกใช่มั้ย เลี้ยงหลานประสาอะไรคะ ทำไมถึงปล่อยให้มีนิสัยขี้ขโมยแบบนี้ แก่จนหัวหงอกแล้วยังไม่มีปัญญาสั่งสอนลูกหลานอีก...”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะปลายฟ้า เธอว่าฉันได้แต่ไม่มีสิทธิ์มาว่ายายฉันแบบนี้” พิมพ์วารียกนิ้วชี้หน้า

“จะทำไม... ฉันจะว่าแก ว่ายายแก ก็หรือที่ฉันพูดมันไม่จริง แกเอาของฉันไปและคิดจะพรากพี่ธันย์ไปจากฉันด้วย...”

“ฉันไม่เคยคิดจะพรากใครไป คุณธันย์...เขาไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น !” พิมพ์วารีเน้นเสียง สายตาคมกล้าจ้องมองดวงหน้านวลเนียนที่เริ่มแดงซ่านของปลายฟ้า

“นังหน้าด้าน...” ปลายฟ้าตวาดใส่หน้าพิมพ์วารี ก่อนจะถลาร่างตรงดิ่งไปที่บันไดบ้านแต่ทว่าอีกฝ่ายก็มาขวางไว้

“เธอไม่มีสิทธิ์ขึ้นบ้านฉัน ฉันไม่ให้เธอเข้า...” พิมพ์วารีเอาสองมือจับแขนอีกฝ่ายไว้ ขณะที่ปลายฟ้าโถมร่างเข้าหาสุดแรง สายลมพัดกระหน่ำรุนแรงขึ้น พร้อมกับเม็ดฝนเย็นเฉียบที่เริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ก่อนที่ปลายฟ้าจะดันร่างพิมพ์วารีออกไปอย่างแรง จนพลาดล้มไปถูกยายพันวลี

“แม่ใหญ่...” สองหลานสาวกรีดร้องพร้อมกันเมื่อเห็นผู้เป็นยายล้มคว่ำลงกับพื้นตรงหน้า อุสาวางพาขวัญลงกับพื้นรีบตรงเข้ามาประคองร่างหญิงชรา

“ยายเจ็บแฮงบ่อ เจ็บหม่องได๋บ่อ...” พิมพ์วารีแทบน้ำตาร่วงเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของผู้เป็นยาย ก่อนที่หญิงสาวจะหยัดกายขึ้นและหันหลังกลับมา

“ก้มลงกราบเท้าขอโทษคุณยายฉันเดี๋ยวนี้...” ตวาดใส่หน้าปลายฟ้าแต่อีกฝ่ายกลับยังเม้มปากแน่นยืนนิ่ง

“ทำไมฉันต้องทำ...ในเมื่อแกเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น”

“ถ้าเธอไม่ทำก็อย่าหวังว่าจะได้ผ้าไหมผืนนั้นเลย เชิญไสหัวกลับไปได้แล้ว...” ภายในดวงตาของพิมพ์วารีซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้ ความเจ็บช้ำที่ก่อตัวเป็นความเคียดแค้นและโกรธเคือง จนมิอาจอภัยให้แก่ผู้ที่กระทำมันได้

“ก็ได้...ในเมื่อไม่ยอมคืนให้ดีๆ ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน” ปลายฟ้ายิ้มเหยียด ก่อนก้าวขาฉับๆ เดินกลับไปยังรถยนต์ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับภาพวาดพญานาคสีเขียวเล่นน้ำที่พิมพ์วารีมอบให้กับธันย์

สองมือของปลายฟ้าจับกระดาษแผ่นใหญ่ไว้ สองตากลมรีจ้องมองพิมพ์วารีที่ยืนหน้าซีดเผือด หญิงสาวผู้ถือภาพวาดอันวิจิตรงดงาม ซึ่งผู้รังสรรค์ตั้งใจบรรจงขีดเขียนมันด้วยหัวใจอันเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ฉีกกระดาษแผ่นใหญ่ออกจนสุด พิมพ์วารีจ้องมองภาพวาดที่ฉีกขาดออกจากกันตาไม่กระพริบ รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอได้แตกสลายออกเป็นสองเสี่ยงก็มิปาน ก้อนแข็งๆ ราวกับลูกตะกั่วจุกแน่นอยู่ที่คอหอย ดวงตากลมโตทั้งสองค่อยๆ แดงก่ำก่อนเอ่อล้นด้วยม่านน้ำตา ขณะที่ปลายฟ้าฉีกภาพนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความสาแก่ใจ ก่อนโปรยมันให้ละลิ่วลอยไปกับสายลมแรง

พิมพ์วารีทอดมองกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ลอยคว้างไปตกลงในสายน้ำโขงอย่างอาวรณ์ ดวงหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บช้ำหันมาหาปลายฟ้าที่เชิดหน้ามองด้วยคิดว่าตนเหนือกว่า

ดวงตาโศกเศร้าอาลัยด้วยหยาดน้ำตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความขึ้งโกรธสุดขีด พิมพ์วารีสะบัดตัวหันหลังกลับ วิ่งดุ่มๆ กลับขึ้นเรือนก่อนเดินลงมาพร้อมกับผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มลายกนกในมือ

พิมพ์วารีจ้องหน้าปลายฟ้า อีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ไปเธอจะได้รับความเจ็บปวดมากกว่าที่ตนได้รับเป็นร้อยเท่า

มือเรียวสวยยึดผ้าไหมลายกนกไว้ พร้อมชูมันระดับอก ก่อนกดปลายนิ้ว ฉีกมันให้ขาดออกจากกันอย่างแรง ก่อนรีบฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผ้าผืนเก่าโบราณขาดออกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าเจ้าของผู้เดินทางมาตามถึงบึงโขงหลง

ปลายฟ้าแทบหัวใจแตกสลาย หญิงสาวตรงปรี่เข้าไปหาพิมพ์วารีแต่อีกฝ่ายก็วิ่งหนีตรงไปยังริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมกับโยนเศษผ้าล้ำค่าทิ้งลงน้ำไป

“ผ้าไหมของฉัน...”

ปลายฟ้าน้ำตาร่วงเผาะ จ้องมองเศษผ้าที่ลอยละล่องอยู่บนผิวน้ำด้วยความอาวรณ์ ก่อนกระชากร่างพิมพ์วารีให้หันมาประจันหน้า และฟาดฝ่ามือลงยังแก้มซ้ายอีกฝ่ายอย่างแรง

เมื่อพิมพ์วารีตั้งตัวได้ก็ตบหน้าฟ้าฉายไปสุดแรงเช่นเดียวกัน สองร่างยื้อยุดฉุดกระชากกันริมฝั่งแม่น้ำโขงอย่างไม่มีใครยอมใคร จนในที่สุดพิมพ์วารีก็พลาดท่าเซล้มลงยังแม่น้ำใหญ่

“เอื้อยพิม...” อุสากรีดร้องเสียงหลงอยู่หน้าบันไดบ้านขณะประคองยายพันวลีมานั่งที่แคร่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ กำลังจะวิ่งตรงไปช่วยพี่สาวหากแต่ว่าปลายฟ้ากลับกระโจนร่างลงแม่น้ำตามลงไป

หญิงเมืองกรุงว่ายตรงไปหาร่างที่พลาดตกลงไปซึ่งกำลังทรงตัวไม่ให้ไหลลอยไปตามกระแสน้ำที่เริ่มเชี่ยวกราก หากแต่ปลายฟ้าก็ว่ายน้ำเร็วเหมือนปลา จุดมุ่งหมายคือพิมพ์วารีที่กำลังหันหน้าว่ายกลับเข้าฝั่ง

เมื่อไปถึงตัวคนที่จิตใจเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นก็ใช้สองมือยึดไหล่ของอีกฝ่ายไว้ ก่อนกดให้จมลงไปในน้ำอันเย็นเยือก

พิมพ์วารีพยายามต่อสู้สุดกำลัง เธอยกสองมือขึ้นจับแขนที่กดร่างเธอลงมาในน้ำไว้ ดึงลากให้ร่างนั้นดำดิ่งลงสู่ก้นบาดาลไปด้วยกัน...


สองร่างกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันใต้สายน้ำโขงที่กำลังเกรี้ยวกราด ดวงตาทั้งสองคู่เบิกโพลง จ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมใครขณะที่เบื้องบนนั้นมวลพายุกำลังโถมซัดเข้าใส่หมู่บ้านที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำใหญ่ และเมื่อพิมพ์วารีสลัดกายพ้นจากการเกาะกุมของปลายฟ้า เธอก็รีบดีดตัวให้ศีรษะโผล่พ้นน้ำอย่างรวดเร็ว

ปลายฟ้าโผล่หน้าขึ้นเหนือผืนน้ำตามมาขณะที่พิมพ์วารีว่ายทวนกระแสน้ำกลับเข้าฝั่ง พอรู้สึกว่าเท้าเหยียบพื้นดินแล้วจึงหันไปหาศัตรูที่กำลังว่ายตามมา

ดวงตากลมใสจ้องมองปลายฟ้าด้วยแววตาคมกล้า แสงแลบแปลบปลาบของอสุนีบาตเบื้องบนสะท้อนลงบนนัยน์ตาของพิมพ์วารีเป็นสีเขียวมรกตประหนึ่งมณีอันมีค่า

แม้ปลายฟ้าจะรู้สึกกริ่งเกรงอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แต่เธอก็พยายามกัดฟันว่ายกลับเข้าฝั่ง ขณะที่หญิงสาวผู้ผูกพันกับสายน้ำแถบนี้เพ่งจิตลงไปยังกระแสธารด้วยความอาฆาตแค้น... จงพัดมันไป พัดมันไปให้ไกลๆ

พิมพ์วารีกัดฟันแน่น ดวงตาโกรธเกรี้ยวจ้องมองกระแสน้ำเย็นที่พัดเอาร่างของปลายฟ้าห่างไกลจากฝั่งออกไปเรื่อยๆ หากแต่ว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สองแขนยังคงพยุงร่างไม่ให้จมดิ่งและไหลไปกับสายธารา ก่อนที่เสียงแหบห้าวของบุรุษหนุ่มผู้เดินทางมาจากเมืองกรุงจะฉุดให้หญิงสาวในน้ำทั้งสองหันขวับไปมอง

ธันย์ รัตนเวคินทร์ วิ่งตรงมาที่แม่น้ำโขงอย่างไม่คิดชีวิต แวบแรกที่เขาเห็นคือร่างของพิมพ์วารี แต่เมื่อหญิงสาวยืนนิ่งอยู่ในผืนน้ำอย่างไม่เป็นไรสายตาชายหนุ่มจึงหันไปที่ปลายฟ้าซึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ ลอยออกไปจนเกือบกลางแม่น้ำแทน...

“ฟ้า...” ชายหนุ่มตะโกนก้อง ใบหน้าอัดแน่นไปด้วยความห่วงใย ก่อนกระโจนร่างลงสู่ผืนน้ำ ว่ายตรงไปหาหญิงสาวที่ใกล้จะหมดแรง

ปลายฟ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ กัดฟันว่ายเข้าไปหาชายหนุ่มก่อนจะหมดแรงอยู่ในอ้อมอกเขา เมื่อธันย์คว้าได้ตัวเธอแล้ว จึงรีบพาร่างหญิงสาวกลับเข้าฝั่งท่ามกลางสายฝนที่ซัดกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“แกเป็นอะไรรึเปล่าพิม...ทำไมถึงตกน้ำลงไปได้...” พงศกรค่อยๆ พยุงร่างอรชรที่เดินขึ้นฝั่งมาด้วยสีหน้าซีดเซียวไม่แพ้ปลายฟ้า สายตาของพิมพ์วารียังคงจับจ้องไปที่ธันย์ รัตนเวคินทร์อย่างไม่กระพริบตา

พอเขาพาเธอขึ้นฝั่งได้ ปลายฟ้าก็โถมร่างเข้ากอดชายหนุ่มพร้อมกับร้องไห้กระซิก แนบใบหน้าลงซบกับแผ่นอกเขา โดยที่พิมพ์วารีทำได้แต่เพียงยืนดูทั้งสองยืนกอดกันกลม โดยมิอาจทำอะไรได้...

“รีบกลับเข้าบ้านเถอะพิม เดี๋ยวจะไม่สบายนะ คุณพิศลย์ก็ช่วยไปบอกคุณธันย์ให้พาคุณปลายฟ้าเข้ามาหลบฝนบนบ้านก่อนเถอะครับ...” พงศกรร้องบอกพิศลย์ท่ามกลางเสียงฝนที่ซัดกระหน่ำอย่างหนัก ก่อนประคองร่างเพื่อนสนิทมายังใต้ถุนบ้าน ขณะที่อุสารีบวิ่งดุ่มลงบันได้มาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่

“แล้วแม่ใหญ่ล่ะอุสา แม่ใหญ่เจ็บแฮงบ่...” พิมพ์วารีเอ่ยถามเด็กสาว อีกฝ่ายยื่นผ้าขนหนูให้จึงตอบเสียงค่อย

“กะฟกช้ำน่ะจ้ะเอื้อย ว่าแต่...แม่หญิงคนนั้นเผิ่นเป็นไผกัน...” อุสาลากเสียงค้างพร้อมกับหันไปมองร่างระหงของปลายฟ้าที่เดินเคียงคู่มากับธันย์ในสภาพเปียกโชกทั้งคู่

พิมพ์วารีไม่ตอบผู้มีศักดิ์เป็นรุ่นน้อง ได้แต่กัดฟันแน่นอย่างพูดไม่ออก อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับคุณธันย์ว่าอย่างไร

“ฟ้าไม่เข้าไปที่บ้านนั้นค่ะ ยังไงฟ้าก็ไม่เข้าไป พี่ธันย์ช่วยขับรถไปส่งฟ้าที่โรงแรมได้มั้ยคะ...” หญิงสาวเขย่าต้นแขนชายหนุ่มเพื่อบังคับ ก่อนที่ธันย์จะก้มลงมองเรือนหน้านวลเนียนด้วยความฉงน

“ทำไมล่ะครับ เข้าไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวบนบ้านคุณพิมก่อน แล้วจากนั้นค่อยกลับไปพักก็ได้”

“ไม่...ฟ้าไม่ขึ้นไปบนบ้านนั้นเด็ดขาด พี่ธันย์ไปส่งฟ้าที่โรงแรมนะคะ ไปส่งเดี๋ยวนี้เลย...” หญิงสาวยังคงยืนยันในเจตนารมณ์ทั้งสีหน้าและแววตา ด้วยความที่เป็นห่วงในสุขภาพของหญิงสาวมากกว่าจึงทำให้ธันย์ต้องยอมทำตามที่เธอขอ ชายหนุ่มพาร่างอ่อนแรงนั้นไปยังรถยนต์ของเธอ ก่อนวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาพิศลย์ที่ยืนหลบฝนอยู่ใต้ถุนบ้านพร้อมกับพิมพ์วารีและพงศกร

“เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งน้องฟ้าก่อนนะ ให้ฝนหยุดตกแล้วแกค่อยขับไปรับฉันก็ได้นะ นี่กุญแจ” ธันย์ยื่นกุญแจรถให้เพื่อนหนุ่ม ก่อนหันมาส่งยิ้มเรียบๆ ให้กับพิมพ์วารี

“คุณพิมไม่เป็นไรนะครับ วันนี้ผมตั้งใจจะมางานเสียเคราะห์คุณพิมตามที่คุณกรบอกไว้ ผมสัญญาว่ายังไงก็จะมาให้ได้...” ชายหนุ่มบอกช้าชัด ทอดมองหญิงสาวด้วยแววตามุ่งมั่น

“ค่ะ...ดิฉันจะรอ” พิมพ์วารีฝืนยิ้มทั้งที่รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหัวใจ ได้แต่ทอดมองรถยนต์ของปลายฟ้าที่ค่อยๆ ขับเคลื่อนออกไปโดยมีธันย์เป็นสารถี

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 18:35:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com