Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
+ - - + - - มือที่ไร้ไออุ่น - - + - - + ติดต่อทีมงาน

....แรงบันดาลใจที่ทำให้เขียนเรื่องนี้  ก็คือ… น้องทะเลเดือดพันธุ์ร๊อค  ผู้จุดประกาย “ มือที่ไร้ไออุ่น” เรื่องนี้เขียนจากประสบการณ์จริงของครอบครัวหนึ่ง  ที่ผู้เขียนได้สัมผัสมาเป็นเวลาสี่ปีกว่า…เนื้อหาไม่ได้เสริมแต่ง  เป็นเรื่องจริงล้วนๆ เหตุผลที่หยิบขึ้นมาเขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะตอกย้ำซ้ำเติมนะคะ…คงไม่มีใครยินดีและมีความสุข  หากได้รับรู้ว่ามีเหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นจริงกับเพื่อนร่วมโลก…ในขณะเขียน  ผู้เขียนเครียดมาก  คิดจะล้มเลิกก็หลายครั้ง…หากแต่คิดในอีกแง่มุมหนึ่ง  เผื่อว่าเรื่องที่เราเขียน  อาจจะมีประโยชน์ต่อใครบางคนบ้างไม่มากก็น้อย…


เมื่อประมาณสี่ปีที่แล้วฉันได้รู้จักกับครอบครัวหนึ่งโดยบังเอิญ…สองผัวเมียพร้อมกับลูกชายหญิงได้ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ในอพาทต์เม้นเดียวกันกับฉัน….ลูกสาวคนโตอายุน่าจะประมาณขวบนิดๆ  ส่วนลูกชายคนเล็กเพิ่งจะเจ็ดเดือน….เด็กทั้งคู่ถือว่าเป็นเด็กที่หน้าตาดี และน่ารักมากๆ


ทุกๆวันหลังเลิกงาน….ภาพที่ฉันคุ้นตาอยู่ทุกวัน คือสามคนแม่ลูกเดินเล่นที่สนาม  ลูกชายยังเดินไม่ได้   แม่ต้องคอยอุ้มอยู่ตลอดเวลา  หลายครั้งที่เด็กชายตะเกียกตะกายไขว่คว้าที่จะลงคลานที่พื้น  เกินกำลังที่แม่จะต้านทานไหว ยอมปล่อยเด็กลงกับพื้นตามที่เด็กร้องขอ


คนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน …จึงเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ที่มาเจอกันโดยบังเอิญ ความสนิทสนมกลมเกลียวก็เริ่มซึมซับและก่อตัวขึ้นทีละน้อย…ทีละนิด  จนกลายมาเป็นความผูกพันโดยที่แต่ละคนไม่รู้ตัว…


ครอบครัวนี้มีกิจการเล็กๆเป็นของตัวเอง…ผู้เป็นพ่อทำงานเพียงลำพัง  ส่วนแม่เป็นแม่บ้านคอยดูแลลูกๆ…แม่ของเด็กเป็นลูกสาวของคนมีฐานะที่มาจากภาคกลาง…พ่อแม่ของเธอเป็นผู้มีอันจะกิน เป็นเจ้าของที่ดินหลายพันไร่…ชีวิตของเธอดูน่าอิจฉาสำหรับสายตาของคนภายนอก…แต่ความเป็นจริงสำหรับเธอล่ะ  มันคืออะไร…ยากที่หลายๆคนจะคาดเดา…


เวลาผ่านพ้นไปหลายเดือน….เด็กชายเริ่มเดินเตาะแตะ  และเดินได้แข็งแรงในเวลาอันรวดเร็ว…เมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น  สีหน้าของผู้เป็นแม่ก็ยิ่งดูเหนื่อยล้าขึ้นตามลำดับ…เด็กชายดูซุกซนผิดปกติ  เดินแกมวิ่งไปทั่ว  เจออะไรก็ปีนป่าย…ส่วนลูกสาวเธอจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา  เจอหน้าใครๆเธอก็จะยิ้มๆๆ


ความสนิทสนมกลมเกลียวบวกกับความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอมีให้กับบุคคลภายนอก…สิ่งที่อยู่ส่วนลึกภายในใจของเธอได้ถ่ายทอดปลดปล่อยออกมาจากปากของเธอเอง…ปกติเธอจะเป็นคนไม่ค่อยพูด ยิ่งเรื่องส่วนตัวแล้วยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยปากแพร่งพรายให้คนภายนอกได้รับรู้…ณ.วินาทีนั้นสิ่งที่อัดเต็มอยู่ภายในใจมันคงเอ่อล้น   ถึงขีดที่เธอกักเก็บไว้ไม่ไหว  ถึงได้ระบายมันออกมา


สามีของเธอแอบมีรักซ้อน นอกใจ…และที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือ…ลูกทั้งสองของเธอเป็นเด็กพิเศษ แต่ไม่ถึงขั้นร้ายแรง  ถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์  ได้รับการรักษาเยียวยาอย่างต่อเนื่องเด็กจะดีขึ้นและหายขาด…ใบหน้าที่เศร้าหมอง  แววตาไม่มีประกายของเธอทำเอาฉันถึงกับเศร้าใจไปด้วย…ไม่มีเรื่องไหนที่จะเป็นปัญหาหนักหนา ใหญ่หลวง ไปมากกว่านี้อีกแล้วสำหรับผู้หญิง…คนภายนอกอาจจะมองดูว่าเธอเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง  แต่ความเป็นจริงแล้วเธอแบกความทุกข์ระทมไว้เต็มอก



บางคนรับรู้และพร้อมที่จะรับฟังให้กำลังใจ…แต่ก็มีอีกส่วนนึงที่ไม่คิดเช่นนั้น  โลกมีทั้งด้านดีและด้านมืดฉันใด…คนก็มีทั้งด้านดีและด้านมืดฉันนั้น….


เวลาผ่านล่วงเลยมาสองปีกว่า…เวลาเปลี่ยนใจของคนก็เปลี่ยนตามเหมือนอย่างในเพลงบางเพลง…เด็กๆถึงวัยเข้าโรงเรียน  ผู้เป็นแม่มีอิสระมากขึ้น  มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น  นอกจากส่งลูกตอนเช้า  และรอรับลูกกลับตอนบ่าย  เวลาที่เหลือก็เป็นเวลาของตัวเธอเอง…


วันหนึ่งฉันไม่ค่อยสบาย ลาป่วยนอนอยู่ที่ห้อง เธอได้มาเยี่ยมเยือนถามไถ่ถึงห้อง  ที่ผ่านๆมาถึงเราจะเจอหน้าทักทายกันตามประสาเพื่อนบ้าน  หรือเล่นกับเด็กๆบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจับเข่าคุยกันเหมือนอย่างวันนี้…เรื่องที่เราคุยกันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงล้วนๆ  ความสวย  ความงาม…เรื่องส่วนตัวของเธอที่ฉันพอจะได้ยินได้ฟังมาฉันไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยปากถาม  เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวไม่อาจละลาบละล้วง


“ไหมไม่คิดที่จะทำจมูกบ้างเหรอ  พี่ว่าถ้าเสริมอีกนิดหน้าจะดูคมขึ้นกว่านี้นะ” เธอแนะนำ หลังจากที่เราคุยกันถึงเรื่องที่เธอไปทำจมูกมา


“ม่ายยย…พ่อแม่ให้มาอ่ะดีแล้วพี่  อีกอย่างไหมไม่ชอบ  ไม่อยากให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในตัวเรา…เก็บตังค์ไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า”


“เราทำงานมาก็ต้องให้รางวัลกับชีวิตตัวเองบ้าง…อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำเถอะ”


“แล้วเวลาที่พี่ไปเที่ยวตอนกลางคืนอ่ะ พี่ไปกับเพื่อนรึว่าไปคนเดียวค่ะ” นี่คืออีกเรื่องนึงที่คนในอพาตท์เม้นกล่าวถึงไม่เว้นในแต่ละวัน เรื่องที่เธอลุกขึ้นมาแต่งตัว และออกเที่ยวในเวลาค่ำคืน ไม่สนใจแม้กระทั่งลูกๆที่ร้องตามหลัง


“ไปคนเดียวสิ” เธอตอบแบบเหมือนกับว่ามั่นใจในตัวเองสุดๆ


“แล้วมันสนุกตรงไหนอ่ะพี่  แล้วพี่ไม่กลัวเหรอไปคนเดียวอ่ะ  ขนาดไหมไปกับเพื่อนยังไม่ค่อยจะกล้าเลย”


“ไปคนเดียวสบายใจดี  คนอื่นเค้าก็ไปกันคนเดียวเยอะแยะ หาเพื่อนเอาข้างหน้า”


“แล้วเวลาที่พี่ลุกไปเข้าห้องน้ำล่ะ  ไม่กลัวเหรอว่าจะมีใครเอาอะไรไปใส่ในแก้วอ่ะ”



“ไม่มีหรอก  เด็กที่ดูแลโต๊ะก็มี”


“แล้วจะไว้ใจได้เหรอ”


“ได้สิ”


หลังจากที่ได้คุยกันวันนั้น  เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย จะมีก็แต่ทักทายกันนิดๆหน่อยๆ….ต่อมาไม่นานข่าวที่ฉันได้รู้ก็คือ เธอเอาลูกสองคนไปจ้างให้คนอื่นเลี้ยงตอน หลังเลิกเรียนและเสาร์  อาทิตย์…ส่วนตัวเธอเองไปเรียนนวดแผนโบราณและได้ทำงานในร้านนวด…เธอให้เหตุผลที่ต้องลุกขึ้นมาหางานทำว่า  เธอไม่อยากงอมืองอเท้าอีกต่อไป…เธอยากทำให้สามีรู้ว่าเธอก็มีหนทางที่จะไป  ที่เมื่อก่อนต้องอดทนเพราะว่าลูกยังเล็ก


ความเคียดแค้นที่แออัดอยู่ภายในเริ่มระบายออกมาอย่างพรั่งพรู…ส่วนใหญ่เป็นเรื่องระหองระแหงระหว่างเธอกับสามี…เธอสะสมความแค้นเรื่องที่สามีนอกใจ  ทิ้งให้เธอเลี้ยงลูกตามลำพัง…เธอคิดแล้วว่าถึงเวลาที่เธอจะเอาคืนบ้าง


ภาพที่ฉันเห็นเมื่อครั้งแรกที่เจอ…กับภาพของเธอในตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง…จากผู้หญิงที่ไม่แต่งตัว ไม่แต่งหน้าทาปาก…มาบัดนี้ภาพในความทรงจำที่ใครหลายๆคนเห็นหายไปยังกับว่าเป็นคนละคน….เธอเริ่มเที่ยวหนักและกลับดึกทุกคืน  จากคนที่ไม่เคยดื่มเหล้า ไม่เที่ยว กลับกลายเป็นว่าเธอเป็นนักท่องราตรีตัวยง…ส่วนตัวสามีก็กินเหล้ากลับดึกไม่แพ้กัน  หาได้สนใจชีวิตน้อยๆทั้งสองคน … บางครั้งเด็กก็หลับไปหมดแล้ว หรือไม่บางคืนก็ปล่อยให้นอนค้างกับคนเลี้ยงไปเลยจนถึงเช้า


อนิจจา…เด็กน้อยผู้น่าสงสารและไม่รู้อิโหน่อิเหน่  ไม่รู้ว่าอนาคตของตนจะไปในทิศทางใด พ่อแม่ยังคงปล่อยปะละเลยตามแบบฉบับที่เคยทำมา  ไม่สนใจแม้กระทั่งเรื่องพาลูกไปหาหมอ…แม่คอยสนใจแต่เรื่องของตัวเอง คืนวันศุกร์ต้องแต่งตัวออกจากห้อง ปล่อยให้ลูกอยู่กับพ่อร้องไห้กระจองอแงจนหลับไป…


เด็กหญิงวัยห้าขวบกว่าเริ่มต่อต้าน….ไม่อยากไปโรงเรียน  ให้เหตุผลว่าครูตี…ส่วนเด็กชายก็ดื้อและซนเกินกว่าเหตุ  จนมีจดหมายจากทางโรงเรียนมาแจ้งเตือนเป็นประจำ…สุดท้ายเด็กต้องย้ายโรงเรียนกลางคัน  ไม่ใช่เพราะสาเหตุมาจากตัวเด็กหรือมาจากโรงเรียน….สาเหตุที่แท้จริงคือ พ่อกับแม่แยกทางกัน อย่างไม่เป็นทางการ เพราะว่าแม่ย้ายไปอยู่ที่อพาตท์เม้นที่ใหม่เพียงลำพัง  ทิ้งให้สามีอยู่ที่เดิมเพียงคนเดียว  ส่วนเด็กๆเอากลับไปฝากยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัด…


หลังเลิกงานภาพที่ฉันเคยเห็นจนคุ้นตา  บัดนี้เหลือแต่ความว่างเปล่า  เสียงเด็กวิ่งเล่นหยอกล้อกันหายไปเหลือไว้แต่ความทรงจำ…ฉันแอบใจหาย เหมือนอะไรบางอย่างในชีวิตขาดหายไป…เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กที่เคยเรียกน้าไหมๆฉันยังจำได้ดี



“ป่านนี้จะไปซนอยู่ที่ไหนหนอ…ไอ้ลิงน้อย” ในบางครั้งฉันอดทีจะคิดถึงเด็กๆไม่ได้


เหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน….ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสายลมจะพัดพาให้ครอบครัวนี้ไปในทิศทางใด…ทิฐิ  หรือต้องการเอาชนะไม่ได้เป็นผลดีกับใคร  รังแต่จะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง…หากเป็นไปได้  ก่อนที่มันจะสายเกินไป ลองหันหน้าเข้าหากันอีกสักครั้ง…ถ้าคิดว่าคำว่า “ รัก “ ที่มันเคยเกิดขึ้น   หมดลงแล้ว…ก็ขอให้เหลือคำว่า “ ผูกพัน “ ถ้าไม่คิดว่าเพื่อตัวเอง…ก็ขอให้คิดว่าเพื่อ …ลูก


ผู้เขียนภาวนาขอให้ทุกอย่างผ่านลุล่วงไปด้วยดี…เพราะเราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคน….ที่ทำได้ก็คือ…เอาใจช่วยและให้กำลังใจอยู่ห่างๆเท่านั้นเอง



……………อภัย + ให้โอกาส = รักทียิ่งใหญ่ .....................

แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 55 07:26:01

จากคุณ : ใยไหมกะใบม่อน
เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 19:03:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com