Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๗ : สาสน์จากเมืองเหนือ (ท่อนจบ) ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๗ : สาสน์จากเมืองเหนือ (ท่อนจบ)


แสงประทีปที่จุดอยู่รายรอบห้องนั้นสาดแสงสีแดงอมส้มไปทั่งทั้งห้อง เงาดำที่ไหววูบตามเปลวเทียนบางครั้งก่อให้เกิดภาพอันน่ากลัวขึ้นที่ผนังห้อง แต่บางครั้งก็เป็นเงาที่สวยงามดูแปลกตาเช่นกัน เจ้าของห้องนั่งหลับตาดิ่งสู่สมาธิจิตนิ่งอยู่กลางห้อง จู่ๆ ลมหอบหนึ่งก็วูบเข้ามาทั้งที่หน้าต่างประตูปิดสนิท จันทรีกะพริบตาลืมขึ้นทันใด ก็เห็นเด็กสาวผมยาวคลุมหน้าคลุมตานั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้าแล้ว นางข้าหลวงสาวไม่มีท่าทีว่าจะสะดุ้งตกใจแต่อย่างใด กลับถามเสียงเรียบว่า

“ได้ความมาว่าอย่างไร เจ้าปีบ”

“พระนางปริชมันคิดการใหญ่เจ้าข้า”

ปีบบอกเสียงยานคาง จันทรีทอดถอนใจกับคำตอบนั้น เกือบสองปีเข้านี่แล้วพระนางปริชมันยังไม่ล้มเลิกแผนการกำจัดเจ้าหญิงจามเทวีอีกหรือนี่ อันที่จริงนางก็กำลังคิดจะเลิกจับตามองพระนางปริชมันแล้ว แต่เพราะสังหรณ์ที่วูบขึ้นมาเมื่อตอนหัวค่ำทำให้นางต้องส่งปีบ โหงพรายที่เลี้ยงไว้ออกไปสืบความที่เรือนนั้น และก็เป็นดั่งที่สังหรณ์จริงๆ    

“จงว่ามา พระนางปริชมันคิดทำสิ่งใดอีก”

จันทรีหน้าขรึมลงเมื่อฟังความที่ปีบเล่าจบลง นางขบริมฝีปากตนเองอย่างครุ่นคิด ถึงขั้นฆ่าปิดปากนางข้าหลวงในเรือนย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว แต่ไปบอกใครใครเขาจะเชื่อ มธุคู่หูรุ่นน้องก็กลับออกไปนอกวังเพื่อดูแลแม่ที่กำลังเจ็บหนักตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ข้างกฤษณาถึงรู้ความแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้นนางก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจนแทบขยับไปไหนไม่ได้ เหลือก็แต่เกษวดีกับปทุมวดีเท่านั้นเองที่พอจะเป็นที่พึ่ง

“นายจักให้ข้าทำกระไรต่อเจ้าคะ”

ปีบถามเมื่อเห็นนายของตนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ นางข้าหลวงผู้ทรงกฤตยามนต์จึงตอบความว่า

“ไปดูให้ข้าทีเถิดเจ้าปีบ พระนางปริชมันจักลงมือเมื่อใดแน่ ได้ความดีแล้วจงเร่งมาบอกข้า”

“เจ้าค่ะ นายท่าน”

โหงพรายสาวรับคำนายแต่โดยดี แล้วหายวับไปในบัดดล จันทรีมองเปลวไฟจากเทียนเล่มที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าตนนิ่งอยู่พักใหญ่ รอยยิ้มอย่างเยาะผุดขึ้นที่ริมฝีปาก พระนางปริชมันสำคัญว่าสิ่งที่ทำลงไปไร้คนรู้เห็น แต่พระนางลืมไปหรือเปล่าว่าเรื่องราวทุกแห่งทุกหนในแผ่นดินนี้ ไม่อาจรอดสายตาของปวงเทพและภูตพรายที่เฝ้ามองเลยแม้แต่อย่างเดียว ที่เหนือไปกว่านั้น ตัวพระนางเองนั่นล่ะที่รู้ที่เห็นการกระทำเหล่านั้นชัดเจนยิ่งกว่าใคร นางโบกมือขึ้นทีหนึ่ง เทียนและประทีปที่จุดอยู่ก็ดับลงสิ้น ร่างเล็กสันทัดอาศัยความเคยชินลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างห้องของตนออก มองดูเดือนที่ยังจรไม่ถึงกึ่งกลางฟ้า ป่านนี้เกษวดีกับปทุมวดีน่าจะยังไม่นอน ถ้าต้องรับมือก็ต้องรีบลงมือทำเสียแต่ตอนนี้  



สองพี่เลี้ยงพากันอมยิ้มเมื่อเห็นเจ้าชายรามราชประคองชายาจนแทบจะเป็นอุ้มเข้ามาในห้องนอน เจ้าหญิงจามเทวีเห็นท่าทีนั้นก็ยิ่งอายรีบเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของบดี แต่เจ้าชายรามราชรู้ทันจึงไม่ยอมปล่อย มิหนำซ้ำยังสนองความต้องการของพี่เลี้ยงตัวดีด้วยการช้อนร่างบางขึ้นอุ้มเสียด้วย ทำเอาชายาเผลอร้องอุทานด้วยความตกใจเสียงลั่น

“อย่าดิ้นเทียวเจ้าจามเทวี เกิดพลัดตกลงไปพี่ไม่รู้ด้วยนะ”

คนตัวใหญ่ชอบแกล้งโน้มหน้าเข้าใกล้แล้วกระซิบขู่ ทั้งที่ความจริงไม่มีวันจะปล่อยให้เจ้าดวงใจหล่นตุบลงไปอย่างแน่นอน คนถูกอุ้มหยุดดิ้นทันทีแล้วทำหน้ามุ่ย ก่อนหยิกเข้าที่ต้นแขนแกร่งเต็มแรงจนเจ้าชายรามราชถึงกับสะดุ้งสูดปากด้วยความเจ็บ

“เจ็บนะ”

“เจ็บนั่นแหละดี อยู่ไม่อยู่ก็มาอุ้มกันอย่างนี้ ต่อหน้าพี่ทั้งสองด้วย ไม่อายหรือเจ้าคะเจ้าพี่”

คนตัวเล็กแหวเบาๆ แต่เจ้าชายรามราชกลับฉีกยิ้มกว้าง

“ไม่อาย อายด้วยเหตุใดเล่า ให้พี่ทั้งสองของน้องรู้เป็นไรว่าพี่นี้รักเจ้าเพียงใด เดินยังไม่ให้เดินเลย”

“แหม” ทำเสียงสูงด้วยความหมั่นไส้เต็มแก่ แต่อีกฝ่ายกลับทำเสียงขึงขังตอบมา

“ไม่แหมล่ะ เรื่องจริงแท้เทียว”

“ก็อยากรู้นักว่าจักอุ้มได้นานสักเท่าใด”

“อยากอุ้มเสียทั้งคืน อยากให้ทางเดินจากหน้าประตูถึงเตียงยาวออกไปกว่านี้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่จนใจว่าเป็นไปไม่ได้ จำใจจำยอมต้องอุ้มเพียงเท่านี้เอง”

เจ้าชายรามราชบอกหน้าตาเฉยพลางวางร่างบางลงนอนบนฟูกนุ่ม พอหลังแตะฟูกได้ เจ้าหญิงจามเทวีก็พลิกตัวหันหลังให้ทั้งบดีทั้งพี่เลี้ยงด้วยท่าทีงอนๆ แกมเขิน แล้วเลยแกล้งข่มตาหลับเสียเลยเป็นอันหมดเรื่อง ถึงกระนั้นหูเจ้ากรรมก็ยังอุตส่าหห์ได้ยินเสียงคิกคักที่ดังเกินปกติของสองพี่เลี้ยงจนได้ พร้อมๆ กับเสียงของบดีที่...ฟังอย่างไรก็ไม่ดุเอาเสียเลย เพราะมันเจือเสียงหัวเราะอย่างไม่ปิดบัง

“หัวเราะกระไรนักเกษวดี ปทุมวดี ดูสิ แม่นายของพวกเจ้ากลายเป็นนางอายเสียแล้ว ไปพักผ่อนเถิด หน้าที่พวกเจ้าคืนนี้หมดแล้วล่ะ”

สู้อดใจนอนหลับตารอฟังเสียงประตูปิดแล้วก็ลุกพรวดขึ้นทันใด นัยน์ตาคู่สวยเริ่มฉายแววดุจ้องมองบดีที่ยังนั่งหน้ายิ้มแย้มอยู่ริมขอบเตียง มือเล็กๆ กำแน่นทุบรัวไปที่แขนและอกกว้างของเจ้าชายรามราชอย่างไม่นับ ทำเอาคนถูกทุบปัดป้องแทบไม่ทัน แต่กระนั้นก็ยังอดหัวเราะยั่วไม่ได้

“เอา ดุใหญ่แล้วเมียพี่ เอ...ลูกคนนี้ท่าจักเป็นผู้ชายเสียแล้วกระมัง หรือไม่ก็ลูกสาวที่เหมือนแม่มากๆ แน่เทียว”

“ยังจักหัวเราะอีก”

“ก็พูดจริง โธ่เอ๋ย! เจ้าจามเทวีของพี่ อย่าดุนักเลย พี่เกรงความดุนี้จักถ่ายทอดไปถึงลูกด้วย ทุกวันนี้พี่กลัวน้องคนเดียวก็พอแล้ว อย่าให้พี่ต้องกลัวลูกอีกคนเลยนะ”

“ไม่อยากให้น้องดุก็อย่าทำประเจิดประเจ้อต่อหน้าคนอื่นสิเจ้าคะ ถึงเป็นพี่ทั้งสองก็เถิด เยี่ยงไรก็ไม่งามอยู่นั่นเอง”

“ก็ได้ พี่ยอมแล้ว แต่ถ้าอยู่สองคนก็ทำได้ตามใจใช่ฤๅไม่”

เจ้าชายรามราชไม่พูดเปล่า แต่นัยน์ตายังทอประกายเจ้าเล่ห์วิบวับอีกด้วย คราวนี้คนโกรธเลยกลับขวยเขินอีกคำรบ เมื่อไม่รู้จะทำตัวประการใดจึงล้มตัวลงนอนดังตุบ กิริยานั้นทำให้บดีถึงกับทำตาโต

“อย่าทำกิริยาเช่นนี้สิ เดี๋ยวกระเทือนถึงลูกกันพอดี”

“อ๋อ! ดี  ห่วงลูกยิ่งกว่าแม่ เช่นนั้นก็เชิญเจ้าพี่ออกไปนอนนอกห้องเถิดเจ้าค่ะ”

“ไฮ้! ใจน้อยเสียอีก พี่ห่วงทั้งสองคนนั่นล่ะ ไม่เอาแล้ว นอนดีกว่า เอ้า หลับตาลง”

“แน้ น้องไม่ใช่เด็กแล้วนะเจ้าคะ”

“เด็กดื้อ หลับตาสิ ไม่หลับพี่จักจูบ”

คำขู่ได้ผลชะงัดนัก เด็กดื้อรีบหลับตาปี๋ทันใด เจ้าชายรามราชหัวเราะหึๆ พลางลุกขึ้นไปดับประทีปที่มุมห้อง แล้วเดินกลับมาล้มตัวลงนอนข้างชายาที่ไม่ยอมลืมตาจนเพลานี้ แสงเดือนส่องลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดกว้างทำให้เห็นสีหน้าของเจ้าชายรามราชที่ไม่เหลือเค้าความรื่นรมย์เมื่อครู่เลยสักนิด ความห่วงหาลึกล้ำถ่ายทอดออกมาจากแววตาที่มองคนข้างกายที่นอนหลับตานิ่งอยู่ ค่อยๆ รั้งตัวนางเข้ามากอดกระชับไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างนั้นก่ายหน้าผากอย่างคนกำลังคิดหนัก



“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ น้องบอกแล้วว่าจักไม่เป็นไร”

เสียงหวานกระซิบแผ่ว พร้อมกับมือบางที่ยกขึ้นวางเหนืออกแกร่งดุจปลอบประโลม คนเป็นบดีสะดุ้งนิดๆ เพราะไม่คิดว่านางจะรู้ พอก้มลงดูร่างในอ้อมกอดก็เห็นชายานอนลืมตาแป๋วมองมาอยู่ก่อนแล้ว

“ยังไม่นอนอีกรึ พี่เห็นน้องนิ่งไปก็คิดว่าหลับแล้วเสียอีก”

“มีธรรมเนียมที่ใดบ้างเจ้าคะที่ให้ชายานอนก่อนบดี โดยเฉพาะบดีที่แสนจักคิดมากเยี่ยงนี้”

เจ้าหญิงจามเทวีตอบกลั้วหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่ความจริงคือพยายามดึงบดีออกจากเรื่องที่กำลังครุ่นคำนึงอยู่มิรู้วาย เจ้าชายรามราชถอนใจหนักหน่วงก่อนตอบด้วยน้ำเสียงดุๆ อย่างที่ไม่เคยใช้กับชายามาก่อน

“ใครที่ไหนจักวางใจแล้วหลับสบายได้ ในเมื่อคนที่ตัวรักต้องตกอยู่ในอันตราย แต่ละวันกว่าจักผ่านพ้นก็ต้องใจหายใจคว่ำว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นหรือเปล่า พี่ให้น้องไปอยู่ที่รามนครเสียชั่วคราวก็ไม่ยอมไป”

“ห่วงน้องมากเท่าไร” จู่ๆ เจ้าหญิงจามเทวีก็ตั้งคำถามสวนขึ้นมา

“เท่าชีวิตของพี่ ไฉนจึงถามเยี่ยงนี้”

“แม้นห่วงเพียงนี้ แต่เหตุใดจึงอยากให้ไปอยู่ไกลตานัก รามนครปลอดภัยจริงน้องไม่เถียง แต่ระหว่างทางไปนั้นเล่าจักมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็สุดรู้ กลางป่าเยี่ยงนั้นการลงมือย่อมง่ายกว่าอยู่ในลวปุระเสียอีก” เจ้าหญิงจามเทวีบอกเสียงเบาแต่เน้นหนักทุกคำ “เจ้าพี่แน่ใจฤๅว่าไปอยู่รามนครแล้วภัยจักไม่ตามไปถึง”

คราวนี้เจ้าชายรามราชพูดไม่ออก เหตุผลที่ชายาให้มานั้นเป็นสิ่งที่โต้เถียงไม่ได้เลย จริงอย่างที่นางว่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าที่รามนครจะไม่มีคนของพระนางปริชมันกับเจ้าชายกฤตมุขแทรกตัวอยู่ ร่างในอ้อมกอดขยับตัวน้อยๆ กลิ่นผมนางหอมระรวยเข้าจมูก แล้วกลุ่มผมหนานุ่มนั้เลื่อนขึ้นมาเคลียอยู่บนอกของตน ดวงหน้างามที่โน้มเข้าหานั้นอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบดี

“อยู่ที่ลวปุระนี้น้องยังพอรู้ความเคลื่อนไหวของน้าปริชมันบ้าง หากต้องไปอยู่ที่อื่น กว่าจักรู้ความคนพวกนั้นคงเข้าประชิดตัวเสียแล้ว เจ้าพี่เจ้าขา วางใจจามเทวีคนนี้เถิดเจ้าค่ะ และวางใจคนของน้องด้วยว่าจักสามารถดับไฟกองใหญ่ใจกลางลวปุระนี้ได้ ขอเพลาน้องสักหน่อยนะเจ้าคะ เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว น้องสัญญาว่าจักขอตามเจ้าพี่ไปทุกถิ่นที่”

“พี่คิดถวายคืนตำแหน่ง พ่อท่านจักยอมฤๅ”

“ถึงเพลานั้นน้องเชื่อว่าพ่อท่านจักยอมเจ้าค่ะ น้องหมายตาคนที่เหมาะสมไว้แล้ว เมื่อเพลานั้นมาถึงน้องจักช่วยพูดกับพ่อท่านอีกแรงหนึ่ง ถึงคนผู้นั้นจักไม่ได้เก่งกาจเท่าเจ้าพี่กฤตมุข แต่เรื่องศีลธรรมทั้งปวงนั้นยากหาผู้ใดเปรียบปาน ถ้าเขาได้นั่งเมืองแล้ว น้องเชื่อว่าเขาจักทำให้ลวปุระสู่ความเรืองรุ่งได้เจ้าค่ะ”

“ใครรึ บอกพี่ได้ฤๅไม่”

เจ้าหญิงจามเทวีไม่ตอบ กลับเอนตัวลงนอนหนุนแขนบดีแล้วหลับตาลงเป็นการตัดบทแทน เจ้าชายรามราชเงียบไปชั่วครู่ก็หัวเราะเบาๆ ไม่คิดจะไต่ถามความเพิ่มเติมอีก เพราะรู้จักนิสัยของชายาดี ลงว่าการใดเป็นความลับแล้วก็ยากที่นางจะยอมเปิดปากบอก และอย่าคิดที่จะไปถามสองพี่เลี้ยงคนสนิทให้เหนื่อยเปล่า เพราะแม้แต่บดียังไม่ยอมบอกเช่นนี้ก็อย่าหมายเลยว่าสองนางนั้นจะรู้ความด้วย มหาอุปราชลวปุระพลิกตัวกอดชายาคนงามไว้แนบอกพร้อมกับฝังปลายจมูกลงบนเรือนผมนุ่มหอมทีหนึ่ง แล้วกดเปลือกตาให้หลับลง ไม่นานนักทั้งสองก็ดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา คืนนี้พอแล้วสำหรับเรื่องราวหนักหนาทั้งหลายทั้งปวงที่ขอถอดวางละไว้



ประตูห้องเปิดผางออก ทำให้เจ้าของห้องที่เมาสุราได้ที่หน้าแดงก่ำกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับสาวงามสะดุ้งเฮือก รีบผลักไสคู่ออกไปแทบไม่ทัน นางนั้นยังไม่ทันตั้งตัวก็เซถลากลิ้งตกจากเตียงลงไปนอนอยู่บนพื้น ผ้าผ่อนหลุดลุ่ย พระนางปริชมันปรายตาดุแกมหมิ่นหยามมาที่นาง ส่งให้หญิงนั้นรีบลุกออกไปจากห้องแทบไม่ทัน ส่วนคนที่อยู่บนเตียงก็มีสภาพไม่แพ้กัน และหายเมาเป็นปลิดทิ้ง

“แม่ท่าน”

“ยังดีที่จำแม่ได้ เร่งนุ่งผ้าเสียให้ดีกฤตมุข เสร็จเมื่อใดให้คนไปเรียกแม่ด้วย”

พระนางปริชมันบอกเสียงเฉียบแล้วหันหลังกลับออกไปทันที เจ้าชายกฤตมุขหน้าเสีย ร้อยวันพันปีมารดาไม่เคยมาที่เรือนของตนในยามวิกาลเช่นนี้มาก่อนเลย จึงรีบนุ่งผ้าอย่างรวดเร็วแล้วออกไปตามมารดาเสียเองโดยไม่ยอมให้บริวารทำหน้าที่เหมือนเคย

“แม่ท่าน มีการใดฤๅจึงมาหาลูกเพลานี้”

“ฮึ! ถ้าไม่มีก็มาไม่ได้กระมัง หากแม่ไม่เห็นด้วยตาคงไม่เชื่อเป็นแน่ ว่าที่คนเขาโจษกันว่าเจ้าชายกฤตมุขเอานางข้าหลวงมาทำเมียไม่ซ้ำหน้าจักเป็นเรื่องจริง”

“พอสำราญเท่านั้นแม่ท่าน หาได้จริงจังกระไรไม่”

“แรกก็คิดจักเจรจาความด้วยเจ้าในห้อง แต่เห็นสิ่งที่เจ้าทำแล้ว แม่คงนั่งฟูกเจ้าไม่ลง คนพวกนี้ยังต้องทำการใดอีกฤๅไม่ ถ้าไม่ก็ให้มันกลับไปพักกันได้แล้ว”

พระนางปริชมันกวาดสายตาไปทางบ่าวไพร่ที่หลบมุมอยู่อย่างกลัวเกรง น้ำเสียงหมิ่นหยามโดยไม่ปิดบังนั้นทำให้เจ้าชายกฤตมุขหน้าร้อนผ่าวด้วยความอายกึ่งไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่ได้เถียงว่าอย่างไรกลับหันไปไล่บ่าวไพร่ให้ลงจากเรือนไปแทน รอจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บนเรือนแน่แล้ว เจ้าชายกฤตมุขจึงถามมารดาเสียงแข็งขึ้น

“แม่ท่านไม่ได้มาหาข้าเพียงเพื่อจักดุด่าเท่านี้กระมัง”

“อย่ามาทำเสียงเยี่ยงนี้ใส่แม่” พระนางปริชมันขึ้นเสียงตอบกลับ แล้วค่อยลดเบาลงเมื่อเอ่ยความต่อไป “ได้ของมาแล้ว จักลงมือวันพรุ่ง เจ้าพอจักช่วยหลอกล่อรามราชให้อยู่ห่างจามเทวีได้ฤๅไม่”

“เร็วดีนี่แม่ท่าน เรื่องล่อรามราชใช่เรื่องยาก ซ้ำไม่ต้องให้ถึงมือลูกด้วยซ้ำไป วันพรุ่งมันจักต้องออกมหาสามาคมว่าราชการแทนพ่อท่าน กว่าจักเสร็จก็เย็นย่ำ แม่ท่านห่วงแต่นางสองคนนั่นเถิด มันตามติดนายของมันทุกฝีก้าว แล้วไหนจักข้าหลวงคนอื่นอีกเล่า จักลวงให้ห่างได้อย่างไร”

“สองคนนั่นแม่สั่งคนเอาไว้แล้วว่าต้องทำอย่างไร เรื่องนางข้าหลวงติดตามนั้นก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป วิสัยจามเทวีไม่ชอบให้มีคนติดตามเอิกเกริกอยู่แล้ว นอกจากนางสองคนนั่นก็มีนางข้าหลวงตามอีกคนเดียวเท่านั้น แน่นอน แม่สับเปลี่ยนเอาคนของเราเข้าไปแล้ว เจ้าไม่ต้องคอยกันรามราชก็ดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าตามไปดูคนของแม่ด้วย หากเห็นว่าไม่ชอบมาพากลอย่างไรก็จัดการปิดปากเสีย แม่คงไม่ต้องซ้ำความเจ้ากระมังว่าลงมือประการใดจึงจักไม่เหลือร่องรอย”

“ลูกรู้”

“ก็ดี แม่มาบอกความเจ้าเท่านี้ล่ะ”

“ประเดี๋ยวก่อนแม่ท่าน ลูกพอรู้เรื่องที่แม่ท่านให้ลูกลงมือ แต่ไม่แจ้งใจว่าไยต้องกันตัวทุกคนให้ออกห่างจากจามเทวีด้วย ในเมื่อของสิ่งนั้นลูกยินว่าสรรพคุณของมันใช้เพียงนิดเดียวก็ล้มช้างลงได้ทั้งตัว ฤๅแม่ท่านเกรงว่าจักมีผู้ใดมาช่วยมัน”

“ช่วยเยี่ยงไรก็ไม่ทันหรอก” พระนางปริชมันตอบเสียงเหี้ยม “แต่แม่ไม่อยากให้พลาดอีก ปทุมวดีมันฉลาดเรื่องสมุนไพรอยู่ไม่น้อย ฉวยมันหาทางถอนพิษได้จักยิ่งยุ่ง”

เจ้าชายกฤตมุขได้ฟังก็หัวเราะอย่างสมใจ พลอยให้ผู้เป็นมารดาหัวเราะผสมโรงอีกคนหนึ่ง ด้วยวันพรุ่งแล้วที่เสี้ยนหนามสำคัญจะถูกกำจัดออกไปจากลวปุระตลอดกาล แต่แล้วเจ้าชายกฤตมุขก็สะดุ้ง รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนจ้องมองอยู่ พอมองไปทางทิศนั้นก็ถอนใจอย่างโล่งอกด้วยคิดว่าคงคิดไปเอง เพราะตำแหน่งมุมห้องนั้นมีเพียงรูปปั้นนาคนัยน์ตาทับทิมที่วางอยู่ ทว่าพอเจ้าชายกฤตมุขหันกลับไป ดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นเป็นประกายขึ้นวาบหนึ่งก่อนจะเลือนหายไม่เหลือร่องรอยอื่นใดไว้เลย



ห้องนั้นไร้แสงไฟทั้งปวง นอกจากแสงจันทร์ที่ส่องเป็นลำเข้ามาด้านในเท่านั้น ร่างตะคุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างอันเปิดกว้างยังคงนิ่งอยู่ในลักษณาการเดิม แม้ว่าจะได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกก็ตามที ฝ่ายคนที่เพิ่งเข้ามานั้น แรกทีเดียวก็สะดุ้งตกใจไม่น้อย แต่พอฉุกคิดได้ว่าเป็นใครก็ผ่อนลมหายใจยาว หนึ่งในสองเคลื่อนตัวไปที่มุมห้องเพื่อจุดไฟในตะเกียง แสงสีส้มอ่อนที่ลุกโรจน์ขึ้นส่องให้เห็นใบหน้าที่เอี้ยวมามองได้ถนัดตาขึ้น เกษวดีรีบหับประตูลั่นดาลอย่างแน่นหนาทันที

“จันทรี มาได้อย่างไร ก็ไหนได้ยินเจ้าว่าจักตามไปเยี่ยมแม่ของมธุ แล้วเลยค้างเสียข้างนอกไม่ใช่รึ”

“บอกอย่างนั้น แล้วเปลี่ยนใจไม่ได้รึ” จันทรีตอบความด้วยสีหน้านิ่งเฉย มีเพียงสายตาเท่านั้นที่มีแววยิ้มๆ “ข้ากลับมาตั้งแต่ก่อนประตูเมืองปิดแล้ว แต่ไม่ได้ตรงมาที่นี่ทันที”

นางบอกพลางเดินเข้ามานั่งพับเพียบลงที่กลางห้อง ซึ่งเจ้าของห้องทั้งสองนั่งรออยู่ก่อนแล้ว สายตาจ้องมองมีแววดุดัน บางคาบคราก็เสมือนจ้องจับผิดของเกษวดีทำให้จันทรีอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ดูทำตาเข้าเกษวดี ที่นางข้าหลวงคนอื่นเขาว่าเจ้าดุนักก็เห็นจักเป็นความจริงเสียแล้ว ปทุมวดีดูสหายเจ้าสิ”

“ข้าก็อยากทำเช่นเกษวดีเหมือนกันจันทรี กีดที่ว่าข้าทำแล้วไม่ดุเท่านาง อย่ามัวเล่นอยู่เลย มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นฤๅ เจ้าถึงเปลี่ยนใจกลับเข้าวัง”

ปทุมวดีบอกเสียงเรียบ นัยน์ตาไม่มีแววเล่นเหมือนเคย จันทรีมองสหายทั้งสองแล้วก็แสร้งถอนใจเฮือก

“แล้วกัน จักไม่ให้ข้าพักเสียก่อนรึ”

“จันทรี”

คราวนี้สองสาวประสานเสียงขานชื่อหนักๆ นางข้าหลวงสาวผู้ถนัดอาคมจึงยอมเลิกเล่นแต่เพียงนั้น

“แม่ของมธุอยู่ได้ไม่เกินเย็นวันพรุ่ง ที่ข้าจักตามนางไปก็ด้วยหมายจักอยู่ช่วยงานนั่นล่ะ แต่ข้าเกิดสังหรณ์ประหลาดจึงเปลี่ยนใจ ดูเหมือนมธุเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน จึงเร่งให้ข้ากลับเข้ามาก่อน ข้ามาถึงก็วานเจ้าปีบไปสืบความ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ”

“กระไร”

สองพี่เลี้ยงถามพร้อมกันอย่างร้อนใจ เพราะหากถึงขั้นที่จันทรีใช้โหงพรายไปสืบความแล้วล่ะก็ คราไหนครานั้นเป็นต้องมีเรื่องเกิดขึ้นทุกคราวไปจริงๆ เสียด้วย

“พระนางปริชมัน” จันทรีตอบเสียงต่ำลึก แล้วเล่าความทุกอย่างที่ปีบนำมาบอกจนสิ้นกระบวนความ ก่อยตบท้ายว่า “เหลือเพียงว่าพระนางจักลงมือเมื่อใดและอย่างไร รออีกสักหน่อย ข้าวานเจ้าปีบไปเสาะความโดยละเอียดมาแล้ว อีกพักหนึ่งคงมาบอก”

สิ้นคำนั้น กระแสลมหอบหนึ่งก็พัดวูบเข้ามาปรากฏเป็นร่างของปีบนั่งเยื้องไปทางด้านหลังของจันทรี เกษวดีกับปทุมวดีคุ้นชินกับโหงพรายของจันทรีอยู่แล้วจึงไม่ตกใจกลัว สามนางต่างมองปีบเป็นตาเดียวอย่างรอฟังความทั้งหมดด้วยใจจดจ่อ      



สำรับเครื่องว่างได้รับการเชิญมาเทียบที่โต๊ะเล็กอันวางอยู่ตรงชานเรือนแพ เจ้าหญิงจามเทวีวางมือจากการกรองมาลัยบูชาพระหันมายิ้มให้นางข้าหลวงที่เชิญเครื่องมาอย่างขอบใจ ทว่าคิ้วเรียวกลับขมวดมุ่นเมื่อไม่เห็นสองพี่เลี้ยงตามเข้ามาด้วย เพราะเกษวดีกับปทุมวดีบอกเองว่าจะเป็นคนไปดูแลเรื่องนี้

“เกษวดีกับปทุมวดีไปข้างไหนเสียแล้วรึ”

“ยินว่าจักไปเก็บดอกไม้มาเพิ่มให้แม่นายเจ้าค่ะ อีกสักครู่คงกลับมา”

นางข้าหลวงนางนั้นตอบแล้วก้มหน้าลง ทว่านัยน์ตาหลุกหลิกคู่นั้นเหลือบมองอากัปกิริยาของเจ้าหญิงจามเทวีอย่างสนใจ ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าติดใจสงสัยก็ลอบยิ้มอย่างสมใจ นางไม่ได้โกหกเลยสักคำเดียว ทั้งที่ความจริงนางก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะล่อหลอกสองพี่เลี้ยงด้วยวิธีใด เพราะการจะหาเรื่องราวมากันให้สองนางออกห่างจากเจ้าหญิงจามเทวีเป็นเรื่องยากเอาการ เคราะห์ดีนักที่สองนางชวนกันไปเก็บดอกไม้มาเพิ่มเติมเสียก่อน นางจึงไม่ต้องออกแรงมากนัก อย่าโทษข้าเลยนะเกษวดี ปทุมวดี เพราะถ้าไม่ทำข้าก็ต้องตายเสียเอง


*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 55 16:18:19

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 55 16:13:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com