(ต่อค่ะ)
หากอาเธลไม่ฟังเสียง ยังคงเดินสำรวจห้องไปเรื่อย ไทซ์จึงงัดเอาอัญมณีเวทสีฟ้าอมเขียวออกมาและเริ่มขีดเขียนอักขระเวทในอากาศ ปลายอัญมณีจรดลงบนอากาศที่ใด ความว่างเปล่าตรงนั้นก็เปล่งประกายสีทองขึ้น ไทซ์ตวัดอัญมณีไปมาอยู่นานก็เกิดเป็นลวดลายประหลาดยาวติดกันเป็นพรืดล้อมอยู่รอบตัวเขา จากนั้นนักเวทหลวงใช้อัญมณีวาดอะไรบางอย่างลงบนฝ่ามือ อักษรสีทองเหล่านั้นเปล่งแสงวูบ ก่อนจางหายไป
"เวทต้านเวทอำพราง" เขาบอกเมื่อเห็นว่าอาเธลมองมาอย่างสนใจ "ข้าก็ลองไปอย่างนั้น จริง ๆ ใช้เวทนี้มาสามสี่รอบแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ได้แต่หวังว่ามีเจ้ามาช่วยล้างพลังเวทให้อ่อนลงแล้วอาจจะดีขึ้นบ้าง"
"ข้าก็หวังอย่างนั้น" อาเธลว่าขณะจ้องเป๋งไปยังรูปวาดรูปสีน้ำมันรูปหนึ่งที่ข้างหน้าต่าง มันเป็นภาพของเด็กชายตัวเล็กผู้มีผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงและดวงตาสีม่วงสุกใส กำลังหัวเราะอย่างเป็นสุข แม้ฝีแปรงจะปาดเพียงหยาบ ๆ แต่ก็เหมือนเสียจนอาเธลตัวชาวูบ อยากจะเชื่อว่านี่คือรูปของตัวเขาเอง แต่เขาจำไม่ได้แล้วว่าทำสีหน้าเช่นนี้ครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ และทำไมผู้ทอแสงถึงคิดวาดรูปเขาขึ้นมา
เป็นเพราะคำทำนายหรือ...เพราะอยากจะบันทึกโฉมหน้าของผู้ที่จะลบวินเดเมียร์เอาไว้หรืออย่างไร...
อาเธลสลัดความคิดอันไม่พุงประสงค์นั้นทิ้ง ขยับเดินไปทางหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งสูงตั้งแต่พื้นไปจรดเพดานและเป็นช่องทางเดียวที่เปิดสู่โลกภายนอกที่แท้จริง ตรงข้ามกับในห้องซึ่งสว่างไสว ด้านนอกคือความมืดสีดำสนิท มองต่ำลงไปเบื้องล่างก็ไม่เห็นอะไร คงเป็นเพราะสูงนักประการหนึ่ง ทั้งยังมีชั้นเมฆบดบังเอาไว้อีกด้วย
"อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะเช้าแล้ว พอประชาชนรู้เรื่องคงได้แตกตื่นกันน่าดู" ไทซ์เปรยขณะเริ่มขีดเขียนอักขระเวทชุดใหม่ "และถ้าตำนานสัตว์ร้ายแห่งเวสต์วินด์เป็นจริงก็คงได้เป็นเรื่องกันใหญ่"
"ตำนานที่ว่ามีสัตว์ร้ายซึ่งกลัวแสงสว่างถูกผนึกอยู่ในถ้ำลึกในป่าเพลงพรายน่ะหรือ" อาเธลว่าขณะก้มลงเก็บสิ่งที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา...เส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อน "นั่นมันแค่นิทานหลอกเด็กนี่"
"ก็โชคดีที่มันแค่นิทานหลอกเด็ก" ไทซ์ตอบ แสงสีทองเปล่งขึ้นและดับไปอีกครั้ง
"ท่านไทซ์ทราบไหมว่าผู้ทอแสงคนนี้รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เด็กหรือผู้ใหญ่"
"ไม่รู้เหมือนกัน" เขาบอก
"ข้าเจอผมที่ดูเหมือนผมผู้หญิง"
"งั้นก็ลองถามพวกนักบวชดู" ไทซ์ว่าพลางหันรีหันขวาง ลงท้ายก็ลองตะโกนขึ้น "ไอ้ท่านนักบวชขอรับ ผู้ทอแสงหน้าตาเป็นอย่างไร บอกพวกข้าหน่อย"
'นางเป็นหญิง' เสียงตอบกลับมาหลังจากเงียบไปครู่
"อ้อ บนแผ่นดินนี้มีผู้หญิงอยู่คนเดียวสินะ ข้าเพิ่งรู้นะนี่ว่าเมียข้าเป็นชาย เพราะเมียข้าไม่ใช่ผู้ทอแสง" นักเวทหลวงประชด "บอกให้มันจำเพาะกว่านี้หน่อยสิ"
'จงมองหาตราแห่งหอแสง หากนางมีตรานั้นอยู่กับตัว นางก็คือผู้ทอแสง'
"ถ้ามีตราแห่งหอแสงก็คือผู้ทอแสง ทำไมแม่หนูนั่นจะไม่ใช่ตัวจริง พวกเจ้าจะเอายังไงกันแน่" นักเวทหลวงบ่นอุบ ก่อนหันมาหาอาเธล และสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างซึ่งปรากฏขึ้นขณะที่เด็กหนุ่มเดินผ่านหน้าต่างบานใหญ่นั้น "เดี๋ยว เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นก่อน"
อาเธลทำตามทั้งที่ไม่เข้าใจนัก เมื่อนักเวทหลวงก้าวสวบ ๆ เข้ามาและหยุดยืนมองความว่างเปล่าตรงข้างเอวเขา เด็กหนุ่มก็ยิ่งงง
"แสงนี่มันอะไร" ไทซ์พึมพำ
"แสงอะไร" อาเธลถาม มองตามสายตาของนักเวทหลวงก็ไม่เห็นมีอะไร
"เจ้าไม่เห็นหรือ" ไทซ์ถามอย่างครุ่นคิด "ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งน่าสงสัยว่าจะเป็นร่องรอยเวทมนตร์"
เมื่อนักเวทหลวงจับตัวอาเธลให้ถอยออกจากตรงที่ยืนอยู่ แสงสีขาวที่เขาเห็นเป็นลำก็จางลง และเมื่อห่างราวครึ่งวา แสงนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ เมื่อเจ้าชายถูกดึงให้กลับมายืนตรงที่เดิมใหม่ แสงนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยิ่งอาเธลเข้าใกล้ก็ยิ่งสว่าง มันเป็นลำแสงซึ่งพุ่งทะลุออกไปนอกหน้าต่าง ไทซ์ชะโงกออกไปและเห็นว่าแสงนั้นหักเลี้ยวและพุ่งตรงลงไป แต่ลงไปถึงไหนนั้นระบุไม่ได้ เพราะดูเหมือนจะห่างจากตัวอาเธลเกินไป ลำแสงจึงจางหายไปกลางคัน
"พาเจ้าชายมาด้วยนี่ไม่ผิดหวังจริง ๆ" ไทซ์ว่าพลางยิ้มกว้าง "ขอบใจมาก ถ้าไม่มีความสามารถของเจ้า เราคงไม่เจออะไรเลย"
"เวทมนตร์แน่หรือ"
"เป็นไปได้สูง แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นเวทไหนมีร่องรอยลักษณะนี้" เขาตอบพลางชี้ "นี่ มันเป็นลำแสงสีขาว เริ่มต้นที่ตรงนี้ วิ่งตรงมาถึงตรงนี้ แล้วก็หักเลี้ยวดิ่งลงไป"
"ลงไปข้างล่าง?" อาเธลชะโงกลงไป แปลว่ามีคนใช้เวทมนตร์จากเบื้องล่างและเวทนั้นพุ่งขึ้นมาถึงบนนี้หรือ...อันที่จริงก็ไม่แปลก เพราะบนหอแสงนี่คนขึ้นมาได้ยาก ถ้ามีใครจะลักพาตัวผู้ทอแสง ส่งแค่พลังเวทมาจะง่ายกว่ามาก "แล้วมันไปถึงไหน"
"ไม่รู้ มันไกลตัวเจ้าจนมองไม่เห็นแสง" ไทซ์ตอบ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวหรี่ลงอย่างครุ่นคิด ก่อนเอ่ย "เดี๋ยวข้ารายงานพ่อของเจ้าเรื่องแม่หนูคนนั้นก่อน แล้วเราลงไปดูกัน"
ครู่ต่อมา อาเธลก็ดิ่งวูบลงมาตามความสูงของหอแสง นักเวทหลวงจับแขนเขาไว้แน่นไม่ให้ร่วงลงไปเสียก่อน พลางบรรยายว่าลำแสงที่เขาเห็นนั้นพุ่งขนานกับตัวหอ ก่อนเบนออกเมื่อถึงตรงที่เป็นต้นเทียน มันเรี่ยอยู่ตามกิ่งก้านด้านนอกของต้นเทียนลงมาจนถึงพื้น แล้วจึงหักเลี้ยว พุ่งเข้าไปในบ้านหลังใหญ่แต่หน้าตาโกโรโกโสหลังหนึ่ง
บ้านหลังนั้นก่อด้วยอิฐสีแดงดูใหญ่โตโอ่โถง หากถูกปิดตาย มีแผ่นไม้ตอกปิดประตูทางเข้าเอาไว้ โดยรอบทรุดโทรมบ่งชัดว่าเป็นบ้านร้าง ดูผิดที่ผิดทางเมื่อมาตั้งอยู่ใจกลางของวินด์สอายซึ่งเป็นย่านของเศรษฐีร่ำรวย
เจ้าชายและนักเวทหลวงมองหน้ากัน เห็นตรงกันโดยไม่ต้องพูดว่า 'สมควรเข้าไปดู'
ไทซ์จัดการหลอมตะปูซึ่งตอกยึดแผ่นไม้เข้าไว้ด้วยกัน แผ่นไม้ทั้งหมดร่วงลงพื้น เผยให้เห็นบานประตูเก่าคร่ำที่มีรอยแตกหักยับเยิน บานพับประตูเต็มไปด้วยสนิม เขาเขียนเวทพรางกายและเวทเก็บเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนเรียกภูตออกมาเตรียมพร้อม ขณะที่อาเธลโหมแรงลงไปเกือบสุดตัวเพื่อดันประตูให้เปิดออก เสียงเอียดอาดใด ๆ ที่เกิดขึ้นถูกดูดซับไว้ด้วยเวทมนตร์ทั้งหมด ดาบที่ข้างเอวของเด็กหนุ่มถูกชักออกจากฝัก เตรียมไว้ในกรณีที่คนร้ายกบดานอยู่ภายใน
ในบ้านมืด เย็นจนวังเวงและค่อนข้างอับชื้น ดูเหมือนไม่มีใครอยู่โดยสิ้นเชิง ผู้ที่เคยเป็นเจ้าของที่นี่คงมีเงินและทรัพย์สมบัติไม่น้อย จึงมีเครื่องเรือนจำนวนมากถูกคลุมผ้าไว้ ทว่านอกจากฝุ่นซึ่งจับหนาอยู่ทุกอณูแล้วก็ไม่มีอะไรอีก บนพื้นไม่มีรอยเท้า ไม่มีร่องรอยใด ๆ ซึ่งบ่งว่ามีคนมาที่นี่เมื่อเร็ว ๆ นี้
ไทซ์จับอาเธลให้เดินไปตามทางลำแสงที่เขาเห็นอย่างเงียบเชียบและระมัดระวัง สัญชาตญาณระแวงภัยของคนทั้งสองเขม็งเกลียว พวกเขาเดินผ่านโถงด้านหน้า ไปยังห้องแต่งตัวซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องประดับสารพัดชนิด สายสร้อยยาว สร้อยข้อมือ มีแม้กระทั่งอัญมณีสีใสซึ่งวางอยู่โดด ๆ ไร้ตัวเรือน ถัดมาเป็นห้องครัวที่ระกะระกะไปด้วยหม้อชามรามไหและเครื่องครัวหน้าตาหรูหรา ..ทว่ายังคงไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต...
และลำแสงนั้นก็ทะลุออกประตูหลังบ้าน ผ่านรั้วและตรงเข้าไปยังบ้านอีกหลัง คราวนี้เป็นหลังที่มีคนอยู่ บริเวณที่ลำแสงพุ่งเข้าไปคือห้องที่เป็นห้องเด็กซึ่งมีอู่และของเล่นกองสุมกัน
ทั้งสองถอนใจ
"นึกว่าจะได้ตัวแล้วเชียว บ้าฉิบ" ไทซ์สบถ "แต่ไม่อยู่ในบ้านนี้ มันก็ต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ปลายลำแสงนี่แหละ ไป เราตามกันต่อ !"
แสงนั้นพุ่งเป็นเส้นตรง ทะลุเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ไม่รู้จบ ตามรอยไปเท่าไรก็ยังไม่ถึงสุดปลาย พวกเขากระโดดข้ามรั้วเข้าบ้านหนึ่ง อ้อมไปด้านหลังและปีนข้ามไปยังอีกบ้าน ตามไปจนถึงฟากหนึ่งของเมืองก่อนที่อาเธลจะท้วงขึ้น
"เรากลับกันก่อนดีไหม นี่ก็ใกล้เช้าแล้ว ท่านมีงานต้องทำไม่ใช่หรือ"
ไทซ์ชะงัก ความรับผิดชอบและความอยากรู้ตีกันให้ยุ่ง ก่อนถอนใจ เขายังต้องเตรียมรับมือความวุ่นวายที่จะเกิดเมื่อเช้าแล้วยังไม่มีแสงสว่างอีก
"กลับก็กลับ"
นักเวทหลวงจึงพาอาเธลลอยละลิ่วมาส่งที่ห้องของคิริลตามคำขอ ก่อนที่เจ้าตัวจะเลยไปเข้าเฝ้าองค์ราชา คิริลกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่เพียงลำพังเมื่ออาเธลปีนเข้าไปในห้องผ่านทางหน้าต่าง ในห้องมืดและเงียบ มีเพียงเสียงหายใจสม่ำเสมออย่างเป็นสุขของผู้ที่ครอบครองเตียงคนไข้คนละเตียง เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้าชายองค์เล็ก แพทย์หลวงก็วางมือจากหมากรุก
"เป็นอย่างไร ได้เรื่องไหม"
"ก็ไม่ถึงกับไม่ได้" อาเธลบอกเรียบ ๆ "แต่ข้าคงหนีไม่พ้นต้องออกแกะรอย งานนี้มีข้าทำได้คนเดียว"
"ทำไม"
อาเธลยังไม่ทันตอบ ประตูห้องทำงานของแพทย์หลวงก็เปิดผางออก และเสียงที่ฟังดูกึ่งร้อนใจกึ่งหงุดหงิดก็ดังขึ้น ทำให้คนที่นอนอยู่สองคนสะดุ้งพรวดลุกขึ้นทันที
"ท่านคิริล ทีแลน รู้หรือยังว่าอาเธล..." เสียงนั้นสะดุดกลางคันเมื่อเห็นว่าคนที่เธอเอ่ยถึงเป็นคนสุดท้ายอยู่ในห้องด้วย อเรียนน่าจึงโผเข้ามาในห้อง ตรงเข้ามาจับไหล่เด็กหนุ่มไว้ "อาเธล น้องกลับมาตั้งแต่เมื่อไร"
"เพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี้เอง" อาเธลตอบ พอจะเดาได้จากท่าทางของพี่สาวว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถาม "ท่านมหาปราชญ์กับขุนนางในสภาสูงลงมติกันให้ข้าออกตามหาผู้ทอแสงหรือ พี่อาเรีย"
"ใช่ น้องรู้ได้อย่างไร" อเรียนน่าถามด้วยสีหน้าขัดใจก่อนบ่นโดยไม่สนใจคำตอบ "บ้าที่สุด พี่ไม่ยอมให้น้องไปเสี่ยงหรอก ถ้าเป็นอะไรไปจะว่ายังไง คนอื่นมีก็ให้เขาไปสิ น้องมีความสามารถควบแน่นเวทมนตร์ได้แล้วทำไม มันก็ต้องมีคนอื่นที่ทำได้เหมือนน้องอยู่อีกบ้าง"
อาเธลยิ้มน้อย ๆ ปลดมือของพี่สาวผู้คอยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาเสมอออกจากบ่ามากุมไว้
"ขอบคุณมาก พี่อาเรีย" เขาบอกอย่างนุ่มนวล ดวงตามีประกายกล้าอย่างที่เห็นไม่บ่อยนัก "แต่ข้าว่าข้าควรขอบคุณด้วยซ้ำที่สภาลงมติอย่างนี้ ข้าจะได้หลุดพ้นจากการรอคอยโดยที่ทำอะไรไม่ได้เสียที"
เมื่อแสงสว่างลับหาย คือยามเดียวที่อาจนำไปสู่การปลดเปลื้องพันธนาการซึ่งตีตรวนเขาไว้นานถึงหกปี ต่อให้สิ่งที่รออยู่บนหนทางแห่งการหลุดพ้นคือความตาย เขาก็ยังยินดี !
จากคุณ |
:
พลอยฟ้าปรายฝน
|
เขียนเมื่อ |
:
22 มิ.ย. 55 07:19:24
|
|
|
|