5
สามปีผ่านไป
ในมุมสลัวของร้านอาหารกึ่งผับ ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งโซฟาฝั่งเดียวกัน แต่ไม่เหมือนคู่ของกันและกันเนื่องจากฝ่ายชายวัยราวห้าสิบ อยู่ในชุดทำงานดูภูมิฐาน แสงไฟน้อยนิดพอมองให้เห็นทรงผมตัดสั้น ตรงขมับแซมเส้นสีดอกเลา ขณะที่ฝ่ายหญิงวัยสามสิบต้น ๆ ชุดเดรสสีชมพูขับผิวขาวให้ดูโดดเด่นต้องแสงไฟ ผมยาวสีน้ำตาลระไหล่เปลือยกับท่อนแขนกลมกลึงให้ดูมีเสน่ห์ราวกับรูปปั้น สวย และงดงาม
“มีอะไรอยากคุยกับผมเหรอ ต้องนัดมาในที่แบบนี้”
นภัสรินทร์จุดยิ้ม “รินคิดว่าท่านน่าจะชอบนะคะ เพราะมันเป็นส่วนตัวดี แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น รินขอพูดตรงไปตรงมาเลยแล้วกันนะคะ” หญิงสาวสบตาอีกฝ่าย
“รินอยากได้งานนี้ค่ะ”
ชายวัยห้าสิบนามเมธียกคิ้ว เขารู้ว่าหญิงสาวเป็นใคร พอ ๆ กับที่เธอก็รู้แน่ว่าเขาเป็นใคร มีอำนาจอย่างไรใน ‘งาน’ ที่ทำ หลังจากที่สำนักงานโยธาของกรุงเทพจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างบริเวณถนนเส้นหนึ่งแล้ว จึงมีการประกาศงบกลางเพื่อเปิดประมูลการเปลี่ยนแนวถนนตามผังเมืองจากสามแยกเป็นสี่แยกเพื่อเชื่อมถนนสายหลัก มูลค่าการก่อสร้างสูงราวสี่ร้อยล้านบาท กำลังเป็นที่ต้องการของบริษัทก่อสร้างหลายราย
บริษัทกุลโยธา คอนสตรัคชั่น เป็นหนึ่งในบริษัทก่อสร้างที่ซื้อซองประมูล คนที่ดำเนินการเรื่องนี้คือนภัสรินทร์นั่นเอง แต่การจะประมูลงานในส่วนราชการให้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
“อะไรกัน นี่มันเรื่องเก่า ๆ ไม่มีใครเขาทำกันแล้วนะ” เมธียกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ ทำท่าเฉยชาเชิงตำหนิหญิงสาววัยอ่อนกว่าที่พูดเรื่องการใช้เส้นสาย
“ไม่ใช่เรื่องเก่าหรอกค่ะ เป็นเรื่องที่ไม่ตกยุคสมัยเลยด้วยซ้ำ”
“แต่ผมไม่ต้องการทำ เพราะผมไม่มีอะไรอยากจะได้” เขาพูดดักคอ เอนตัวไปพิงพนัก นภัสรินทร์ยิ้มบาง
“อาจจะจริง เพราะท่านเป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จทุกอย่างแล้ว รินได้ยินว่าผู้ชายที่ประสบความสำเร็จมักจะมีผู้หญิงอยู่เบื้องหลัง ท่านเองก็เหมือนกันใช่ไหมคะ”
เมธีชะงักเล็กน้อย ท่าทางบอกให้รู้ว่าคำนั้นโดนใจ นภัสรินทร์รู้มาก่อนแล้วว่า ชายผู้นี้มีหน้าที่การงานใหญ่โต แต่ไม่ประสบความสำเร็จกับครอบครัว เขาแต่งงานกับภรรยาที่ร่ำรวยแต่ไม่สนใจงานของสามีไปมากกว่าประทินโฉมตัวเอง นานวันเข้าความลุ่มหลงก็จืดจาง
“ไม่เสมอไปหรอก ผู้หญิงบางคนก็ไม่เข้าใจงานของผู้ชายเลย ไม่สนใจด้วย” เขายกแก้วกระดก
“เหรอคะ รินเองก็ยังไม่แต่งงาน เลยไม่รู้ว่าถ้าต้องไปเป็นหลังบ้านของสามีแล้วจะต้องทำตัวยังไง”
เขาหันมา “รินยังไม่แต่งงานเหรอ ไม่น่าเชื่อนะ ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนี้”
นภัสรินทร์ยกมือเสยผมไปทัดหู สีหน้าเอียงอาย “ค่ะ”
“แต่อย่างน้อยก็ต้องมีแฟนบ้างล่ะ จะบอกว่าไม่มีใครมาจีบเลยคงเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง” น้ำเสียงเขารื่นรมย์ขึ้น สีหน้าแววตาก็ผ่อนคลายลง
“รินยังโสดจริง ๆ ค่ะ” เธอเบนหน้าไปมองทางอื่น วินาทีนั้น อยู่ดี ๆ ก็นึกถึงปรเมศขึ้นมา “ริน...คงรักใครไม่ได้อีกแล้ว” มาถึงตอนนี้นภัสรินทร์ได้ยินเสียงตนเองเศร้าหมองโดยไม่ได้ประดิษฐ์
“อ้ะ ไม่ใช่ ท่านหลอกถามเรื่องริน” เธอดึงตัวเองกลับมา ขมวดคิ้วกระเง้ากระงอดเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายได้ “ไม่เอาเรื่องอดีตกับอนาคตนะคะ เรามาคุยกันในปัจจุบันดีกว่าค่ะ”
เมธีลูบคาง “ผมรู้ แต่รินก็รู้ว่าผมเป็นยังไง มีอะไรที่ผมยังจะอยากได้อีกเหรอ”
“ผู้ชายฉลาดอย่างท่านต้องรู้แน่ค่ะว่าตัวเองอยากได้อะไร”
แววตานั้นหวานเชื่อม ลมหายใจอีกฝ่ายเปลี่ยนจังหวะ เขาขยับ โน้มกายเข้ามา
“ถ้าผมมีสิ่งที่อยากได้จริงๆ บอกไปแล้วรินจะกล้าจ่ายไหม”
“ต้องดูก่อนสิคะ” ริมฝีปากหญิงสาวแย้มยิ้ม ไล้หลังมือบนท่อนแขนอีกฝ่าย “ถ้าเป็นของที่มีค่า มันก็คุ้มค่าพอที่จะจ่ายเช่นกัน”
ใบหน้าขรึมของเขาแทนที่ด้วยความปรารถนา
“แล้วผมจะลองคิดดู”
หลังจากยื่นซองประมูลและผ่านการตรวจเอกสารครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว วันนี้เป็นวันเปิดซอง ตัวแทนจากบริษัทเอกชนที่ยื่นซองมารวมกันที่สำนักงานการโยธา เมื่อได้เวลาก็ทำการประกาศรายชื่อผู้ที่ประมูลได้
“บริษัท กุลโยธา คอนสตรัคชั่น จำกัด”
นภัสรินทร์ยิ้มยินดี เธอเดินไปรับจดหมายที่กรรมการออกให้เป็นการยืนยัน โดยมีสายตาจากตัวแทนอื่นมองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย จังหวะนั้นเมธีซึ่งอยู่ในห้องประกาศผลก็มองตา หญิงสาวสบตากลับแล้วเคลื่อนกายออกไป
พอมาถึงที่รถ เครื่องมือสื่อสารก็ดัง เธอหยิบมาดู เหยียดยิ้ม
“ค่ะท่าน”
“เรียบร้อยแล้วนะ หวังว่าหนูรินคงไม่ลืมสัญญา”
นภัสรินทร์เบะปาก ‘หนู’ เปลี่ยนท่าเร็วเชียวนะ วันก่อนยังทำเป็นคนมีศีลธรรมอยู่เลย คิดเช่นนั้นแต่น้ำเสียงที่ตอบหวานฉ่ำ
“ไม่ลืมหรอกค่ะ วันศุกร์เป็นไงคะ”
“วันศุกร์นี้เหรอ เร็วดีจัง อย่าบอกนะว่าเตรียมไว้แล้วน่ะ” เขาล้อเลียน เธอตอบกลั้วเสียงหัวเราะ
“คิดเอาไว้แล้วค่ะว่าท่านต้องช่วยรินได้ เอาเป็นว่า วันศุกร์หนึ่งทุ่มเจอกันที่...” เธอบอกชื่อโรงแรม “เราจะได้มีเวลาคุยกันเงียบ ๆ สองคนว่าท่านอยากได้อะไร นะคะ”
“เยี่ยม”
นภัสรินทร์หยิบแว่นกันแดด “คืนนั้นรินจะทำตัวให้ว่างเพื่อท่าน แต่ถ้าท่านไม่มา ถือว่าสละสิทธ์นะคะ เรียกคืนไม่ได้ด้วย”
“ผมไม่ทางลืมแน่นอน” เขาบอก
นภัสรินทร์วางสาย โยนโทรศัพท์มือถือไปยังเบาะผู้โดยสารอย่างไม่ใยดี ผิดกับกิริยานุ่มนวลก่อนหน้าลิบลับ แล้วขับเคลื่อนรถยนต์ออกไปด้วยความเปรมปรีดิ์
ที่บริษัท นภัสรินทร์ก้าวยาว ๆ ไปยังห้องทำงาน เมื่อสามปีก่อนพื้นที่ของเธอเป็นแค่โต๊ะเหมือนพนักงานทั่วไป อาจจะต่างก็แค่ขนาด แต่บัดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความเป็นสาธารณะร่วมกับคนอื่น เมื่อพ่อให้ตำแหน่งที่สูงขึ้น ห้องทำงานส่วนตัวจึงตามมา
ของขวัญจากความเจ็บปวด เวลาที่คนอื่นก้มศีรษะให้ นภัสรินทร์กลับยิ้มหยันตัวเอง ถึงแม้จะมีเสียงแห่งความอิจฉาจากบางคนที่เข้ามาทำงานพร้อมกันแต่ก้าวช้ากว่า หรืออีกนัยหนึ่งก็ขุดคุ้ยว่าเธอใช้สิทธิ์จากความเป็นลูกเลี้ยง
แต่หญิงสาวไม่ใส่ใจ ทุกอย่างฟ้องด้วยผลงาน การยอมรับจากคนใหญ่โตมีค่ามากกว่าเสียงนกเสียงกาน้อยนิด กระนั้นเธอก็ไม่เคยเหยียบย่ำ ไม่เคยฉีกหน้าใคร นอกจากแผนธุรกิจก็ไม่ลืมที่จะซื้อใจลูกน้องและเพื่อนร่วมงานไว้ด้วย
นภัสรินทร์หยุดที่โต๊ะเลขาส่วนตัว ซึ่งอีกฝ่ายผุดลุกอย่างรู้งาน
“มีโทรศัพท์จากคุณรณภพ คุณเอกสิทธิ์ แล้วก็มีบริษัทจากญี่ปุ่นขอคุยอยากจะเสนอเครื่องจักรค่ะ”
“โอเค” คนเป็นนายรับแค่เอกสารเกี่ยวกับเครื่องจักร “กวาง วันศุกร์นัดประชุมโปรเจคให้ทีนะ เช้าขอเก้าโมง ช่วงบ่ายเป็นบ่ายสอง บอกทุกคนว่าจบการประชุมห้าโมง เดี๋ยวเอาหัวข้อให้”
เลขาชื่อกวางพยักหน้าขณะจดตามคำสั่ง นภัสรินทร์จะเดินไปแต่หันกลับมา
“กลางวันฉันจะทานอาหารที่นี่ เอาร้านเดิม ลองถามคุณพ่อว่าว่างหรือเปล่า สั่งเผื่อท่านด้วย” กวางเกือบจะพยักหน้า แต่คิดได้ “คุณรังสรรค์มีนัดแล้วค่ะ เมื่อกี้พี่ปิ๋มมาบอกกวางไว้ เพราะคิดว่าคุณรินอาจจะมีธุระอะไร จะได้คุยก่อน”
“อ้อเหรอ ไม่เป็นไร เอาแค่นี้แล้วกัน”
“ค่ะ”
นภัสรินทร์เดินเข้าห้อง วางกระเป๋า เพียงแค่หย่อนตัวลงนั่งประตูก็ถูกเคาะและเปิดออก เธอผุดลุกอีกครั้งเมื่อเห็นผู้มาเยือน
“พ่อ”
รังสรรค์เข้ามาอย่างสงวนท่าที แต่สีหน้ากระหายและใคร่รู้ “เป็นไงบ้าง”
ลูกเลี้ยงสาวยิ้มกว้าง “เรียบร้อยค่ะ เราได้งานนี้”
เขากำหมัด เหวี่ยงมือด้วยความลิงโลด “เยี่ยม เยี่ยมที่สุดเลย”
นภัสรินทร์รับรู้อาการดีใจของเขาด้วยหัวใจที่พองโต เธอหยิบกระดาษบนโต๊ะไปวางในลิ้นชักของโต๊ะด้านข้าง รังสรรค์มองตาม เขาเห็นว่ามันเป็นแคตาล็อครถยนต์รุ่นใหม่
“เป็นเพราะรินแท้ ๆ ที่ทำให้เราได้งานใหญ่งานนี้ได้ เก่งมากเลยลูก”
“ไม่หรอกค่ะ มันเป็นความช่วยเหลือจากทุกคน”
“แต่รินเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง รินมีส่วนร่วมกับงานทุกงาน พ่อโชคดีที่มีริน ทำให้บริษัทเราเติบโตได้ถึงขนาดนี้ นี่ตอนบ่ายพ่อมีนัดกับคุณไพศาลที่เป็นนักธุรกิจบ้านจัดสรร เขามีโครงการจะสร้างคฤหาสน์หรู เขาสนใจบริษัทเราถึงเชิญพ่อไปคุย”
“ดีจังเลยค่ะ”
“พ่อไม่ชมรินเกินไปหรอกนะ ทุกอย่างไปได้สวย ชื่อเสียงบริษัทเราตอนนี้ดีมาก ๆ ก็เป็นเพราะรินทั้งนั้น” เขาบอก “นัดประชุมฝ่ายได้เลยนะ เตรียมงานแต่เนิ่น ๆ งานราชการแบบนี้ต้องเอาให้อยู่ ให้ดีที่สุด”
“รินบอกกวางแล้วค่ะ จะคุยกันวันศุกร์นี้”
“สมกับที่เป็นริน” รังสรรค์ยิ้ม พยักหน้าให้ หมุนกายจะเดินออกไปแต่พลันคิดขึ้นได้ “เออ ริน เรื่องงานเลี้ยงต้อนรับนารถน่ะ เอายังไงดี เห็นรินว่าจะจัดอะไรให้เหรอ”
นภัสรินทร์เดินกลับไปที่โต๊ะ ดึงลิ้นชักหยิบกระดาษบาง ๆ ขึ้นมาส่งให้ “รินพอจะรู้ว่าน้องนารถชอบนักร้องวงนี้ พอดีรินมีเพื่อนที่ทำงานในบริษัทนี้ เลยให้เขาติดต่อให้ เขาตกลงมาร้องเพลงให้ค่ะ”
รังสรรค์ยกคิ้ว มองโปสการ์ดของนักร้องชายคู่สไตล์ฟังสบาย เขาไม่รู้จักนักร้องรุ่นใหม่ แต่พอรู้ว่าการจะได้ศิลปินมาในงานส่วนตัวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
“รินติดต่อให้แล้ว ถ้าทางพ่อมีอะไรอยากจะเพิ่มเติมก็คุยได้เลยค่ะ เบอร์ผู้จัดการวงเขาอยู่ในนั้น ชื่อคุณกอล์ฟ บอกว่าโทรจากนภัสรินทร์ เขารู้จักค่ะ”
คนอาวุโสกว่ามองของในมือเพียงเล็กน้อย แต่ส่งสายตาชื่นชมไปยังคู่สนทนามากมาย เขาเดินไปหา ตบไหล่ “พ่อภูมิใจในตัวริน”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของรินอยู่แล้ว”
สีหน้ารังสรรค์เกลื่อนด้วยความปรีดา แม้จะเป็นลูกเลี้ยง แต่หญิงสาวทุ่มเททำงานให้ จากบริษัทก่อสร้างขนาดกลางใช้เวลาแค่สามปีกลายเป็นบริษัทมหาชนที่มีชื่อเสียง หนุ่มสาวคนรุ่นใหญ่ให้ความสนใจจะมาทำงาน นักลงทุนทั้งหลายหันมองเปิดกว้าง ด้วยกราฟผลกำไรที่พุ่งขึ้นทุกปี
เขาได้ยินเสียงชื่นชมลับหลังที่มีต่อนภัสรินทร์มาหนาหู รังสรรค์เคยคิดว่าชีวิตตนเองทำผิดที่มีบ้านเล็ก แต่วันนี้เขารู้สึกเสียดายที่หญิงสาวไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริง
“งั้นพ่อไปก่อนนะ เดี๋ยวจะสาย”
“พ่อคะ” รังสรรค์หันมา “เรื่องนักร้อง อย่าบอกน้องนารถว่าเป็นความคิดรินนะคะ”
เขาขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ”
“ก็...” นภัสรินทร์โคลงศีรษะ ทำหน้าแบบปลงตก รังสรรค์เข้าใจ นีรนารถจงชังนภัสรินทร์มาแต่ไหนแต่ไร ด้วยยึดถือว่าตนเองเป็นลูกโดยเลือดเนื้อเชื้อไข แม่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่ผู้หญิงที่อายุมากกว่าคนนี้เป็นแค่ผู้อาศัยและมาแย่งความรักไปจากพ่อของเธอ นีรนารถไม่เคยคิดว่านภัสรินทร์เป็นพี่สาว ซ้ำยิ่งเมื่อแม่นมบุญที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อยเข้าข้าง ความเกลียดชังจึงทวีคูณ
“บอกว่าเป็นความคิดพ่อดีแล้วค่ะ น้องนารถจะได้ดีใจ มันจะเป็นงานเลี้ยงกลับบ้านที่สมบูรณ์ที่สุด”
รังสรรค์ผ่อนลมหายใจพยักหน้ารับ เหตุผลของนภัสรินทร์มักเหมาะสมเสมอ “ขอบใจนะริน ที่รินทำเพื่อน้องกับพ่อขนาดนี้ ถ้ามีอะไรที่รินอยากได้ก็บอกพ่อนะ พ่อจะให้เป็นของขวัญ”
“ไม่เป็นไรค่ะ รินไม่ได้อยากได้อะไร”
“ก็แคตาล็อครถนั่นไง”
“คะ?”
“จะเอาคันไหน เลือกไว้เลยนะลูก” รังสรรค์ทิ้งท้ายด้วยยิ้ม และประตูก็ปิดลง
นภัสรินทร์เปลี่ยนจากอาการยกคิ้วเหรอหราเป็นรอยยิ้มสมใจ เธอเอนกายกับพนักพิง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอต้องการจะให้เป็น
“แน่นอน นี่เป็นของที่ฉันสมควรได้”
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
23 มิ.ย. 55 09:51:23
|
|
|
|