เทวาอัศดา ตอนที่ 4 [นิยายอิงธรรมะ]
|
 |
อัศดาพลิกตัวไปมาบนเตียง แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้ามากจนอยากหลับเต็มทน แต่เขากลับไม่กล้าหลับ ด้วยกลัวจะต้องฝันเห็นเหตุการณ์น่าสยดสยองนั่นอีก หมู่นี้เขาฝันติดกันทุกคืน คืนนี้จึงคาดว่าน่าจะฝันอีก ในฝันช่างทรมานนัก แม้เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่เขากลับรู้สึกเจ็บปวดราวกับเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง แต่จะไม่ให้นอนเลยก็คงไม่ได้ ถ้าร่างกายไม่ได้รับการผักผ่อน ก็จะอ่อนแอจนล้มป่วยในที่สุด เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะหลับหรือไม่หลับก็ล้วนแต่แย่ทั้งนั้น ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า กลัดกลุ้ม และวิตกกังวล เขาอยากหลับเพื่อให้สมองได้พักแต่ก็มิอาจหลับได้ ฝันร้ายทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่าสู้กับเสือตัวเป็นๆเสียอีก ถ้าเป็นเสือในโลกจริง เขายังถือดาบเข้าต่อสู้ได้ แต่เสือร้ายในความฝัน เขาอับจนปัญญาจะต่อกรด้วยจริงๆ แม้แต่ร่างกายตัวเองก็ยังอ่อนแอน่าเกลียด ไร้ทางสู้ ได้แต่นอนมองสัตว์ร้ายกัดกิน โดยไม่อาจหนีไปไหนได้
ชายหนุ่มหวนนึกถึงเรื่องราวเฉียดตายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งที่เขามองรอบๆดีแล้ว แน่ใจว่าไม่เห็นรถม้าสักคัน แต่ทำไมเมื่อเดินไปถึงกลางถนน กลับมีรถม้าปรากฏขึ้นได้ ทั้งยังวิ่งมาด้วยความเร็วสูงผิดจากรถม้าทั่วไป เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จงใจนำเขาไปสู่ความตาย พอเทวาช่วยเขาไว้ ก้อนอิฐก็ดันหล่นลงมาในจังหวะพอดิบพอดี ทำไมมันถึงไม่หล่นลงมาก่อนหรือหลังจากที่เขาอยู่ตรงนั้น ทุกสิ่งเหมือนเกิดขึ้นเพื่อจงใจให้เขาตาย ถ้าเทวาไม่ช่วยเขาไว้อีกครั้ง วันนี้เขาต้องตายไปแล้วแน่ๆ ทั้งยังมีฝันร้ายที่ฝันซ้ำซากทุกคืนนั่นอีก เมื่อนำเหตุการณ์ต่างๆมาประติดประต่อกัน เขาก็ไม่อาจคิดอะไรได้นอกจาก มันคือลางแห่งความตาย อยู่ๆร่ายกายของอัศดาก็หนาวยะเยือก ขนลุกชันทั่วร่าง รู้สึกได้ว่ามีพลังชั่วร้ายบางอย่างพยายามลากเขาไปสู่ความตาย ชายหนุ่มพลิกตัวไปมาอย่างฟุ้งซ่าน รู้สึกกลัวการนอนคนเดียวในห้องที่มืดมิดขึ้นมาจับใจ ขณะเดียวกันก็เกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหวาดกลัว ในที่สุดร่างกายของชายหนุ่มก็ทนความเหนื่อยล้าไม่ไหว อัศดาผลอยหลับไป ความฝันอันน่าสยดสยองฉายขึ้นอีกครั้ง เมื่อเสือร้ายดึงทึ้งไส้ของเขาจนทะลัก อัศดาก็ตื่นขึ้นพร้อมกับแหกปากร้องลั่นบ้าน เขาเห็นร่างหนึ่งนั่งทาบทับบนตัวเขา เทวาอย่างนั้นรึ!? หมอนี่คงกะเล่นงานข้าทีเผลอ เลยขอนอนค้างด้วย ชิ๊! ไม่น่าหลงกลมันเลย!! แสงจันทร์สาดส่องให้อัศดาเห็นใบหน้าผู้ที่นั่งทับเขาอยู่อย่างเลือนลาง นั่นไม่ใช่เทวา! ใบหน้าใต้ฮูดบิดเบี้ยว เหมือนคนที่ถูกเลาะหนังออกไปจนเห็นผิวชั้นใน มีเลือดไหลซึมน่าสยดสยอง ดวงตาแดงก่ำปูดโปนราวกับจะทะลักออกมาได้ทุกเมื่อ มันยื่นมือเหี่ยวย่นที่มีกระดูกปูดโปนมาบีบคอเขา อัศดาพยายามขัดขืน แต่ไม่อาจสั่งร่างกายให้ขยับได้
“อัศดา!” เทวาร้องขึ้นขณะวิ่งพรวดพราดเข้ามา แสงเทียนที่เขาถือไว้ในมือขับไล่ความมืดมิด พร้อมกับร่างอันน่าพรั่นพรึงออกไปจากห้อง “เกิดอะไรขึ้น!?”
เทวาวางเชิงเทียนลงบนโต๊ะตัวเล็กที่หัวเตียง เขาหันมาแล้วพบว่าอัศดา หน้าซีด เบิ่งตาค้างจ้องมองเพดาน ปากที่อ้าค้างอยู่แห้งผากและสั่นเทา หายใจเข้าออกติดขัดเหมือนถูกบีบคออยู่ เทวาทำใจให้สงบ นึกถึงความกรุณาและความความรักที่เขามีต่ออัศดา จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสลงบนใบหน้าและต้นคอของชายหนุ่มเบาๆ
“ขอให้ข้ารับความทรมานและความหวาดกลัวแทนเจ้า” เทวาพูดขึ้น หลังจากเทวาสัมผัสใบหน้าของอัศดา สักพักชายหนุ่มก็รู้สึกสงบขึ้น ดวงตาของเขาขยับไปมาได้แล้ว อัศดาหันมามองเทวา สมองยังงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น แยกแยะความฝันออกจากความจริงได้ยากลำบาก เมื่อครู่เขาเห็นบางสิ่งที่น่าสยดสยอง แต่ทำไมตอนนี้เทวามานั่งอยู่ข้างเขา ซ้ำยังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยบวกกังวลใจ ชนิดที่แม่ยังไม่เคยมองเขาแบบนี้เลย
“รู้สึกดีขึ้นแล้วนะ” เทวายิ้มน้อยๆอย่างโล่งอก
อัศดายันตัวลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ “เจ้าเห็นคนๆนั้นรึเปล่า” เสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือ ความจริงเขาไม่แน่ใจนัก ว่าควรเรียกแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นว่าคนได้หรือเปล่า
“ข้าไม่เห็นใครทั้งนั้น พอได้ยินเสียงร้องของเจ้า ข้าก็ควานหาไม้ขีดมาจุดเทียน แล้วรีบวิ่งเข้ามาทันที” เทวานิ่งไปครู่หนึ่ง “คนที่เจ้าเห็นคงไม่ใช่ขโมยธรรมดาใช่มั้ย...เพราะนายพรานที่ฝึกการต่อสู้มาดีอย่างเจ้า คงจัดการไปแล้ว ไม่มานอนหน้าซีดแบบนั้นแน่ เจ้าเห็นอะไรกัน”
“เมื่อครู่นี้ข้าฝันร้าย มันไม่ใช่ฝันร้ายธรรมดา แต่ข้าฝันซ้ำๆมาหลายครั้งแล้ว พอสะดุ้งตื่นขึ้น ก็เห็นร่างของใครบางคนนั่งทับอยู่ ใบหน้าของมันเหมือนคนถูกถลกหนังออกไป มีเลือดไหลซึมบนเนื้อ ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก ข้าพยายามลุกขึ้นแต่ขยับตัวไม่ได้ มันยื่นมือมาบีบคอ ทำให้ข้าหายใจไม่ออก” อัศดากลอกตาไปมาอย่างเพ้อคลั่งขณะพูด เขายกมือขึ้นลูบหน้า หยุดพักชั่วครู่เพื่อตั้งสติ
“ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นความฝันหรือความจริง แต่หมู่นี้ ข้ารู้สึกเหมือนความฝัน...กำลังหลอมรวมเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงมากเข้าไปทุกที” เขามองไปรอบๆด้วยสายตาหลุกหลิก
จากที่อัศดาเล่ามา และอาการที่เห็นเมื่อสักครู่ เทวารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาจึงไม่พูดปลอบใจว่า มันก็แค่ความฝัน ด้วยรู้ว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น อาจจะเป็นอาการทางจิต ความเครียด หรือแย่กว่านั้นคือเกี่ยวข้องกับสิ่งเล้นลับ ที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจมองเห็น
“ขอโทษด้วยนะ แต่ข้ามีปัญญาเพียงน้อยนิด ไม่อาจให้คำแนะนำอะไรแก่เจ้าได้” เทวาเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่ข้าคิดว่าท่านพ่อน่าจะรักษาอาการฝันร้ายให้เจ้าได้ พรุ่งนี้เราไปพบเขากันมั้ย”
“โชปะงั้นเหรอ...” อัศดาหันมามอง
“ใช่” เทวาพยักหน้า
อัศดาหันไปทางอื่น เขาเงียบไปครู่ใหญ่ “ข้าไม่ชอบตาแก่นั่น แต่คงไม่มีทางเลือกอื่น ก็ได้พรุ่งนี้ข้าจะไปกับเจ้า”
เทวาถอนหายใจอย่างระอา นึกสงสัยว่าอัศดาชอบใครบ้างมั้ย “งั้นข้าไปนอนก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็เรียกละกัน”
ขณะที่เทวากำลังจะลุกขึ้น อัศดาก็คว้าข้อมือเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไรเหรอ” เทวาหันมาถาม
“คืนนี้...ช่วยอยู่เป็นเพื่อนข้าได้มั้ย” อัศดามีสีหน้าลำบากใจ เขาไม่อยากเชื่อว่าตัวเองพูดอะไรอ่อนแอแบบนั้นออกไป กับแม่ยังอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่นี่คือศัตรูคู่แค้น ซึ่งแย่งผู้หญิงที่เขาหมายปองไป แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขากลัวจนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เทวาเอียงคอมองอัศดาอย่างงุนงง ไม่คิดว่าจะถูกขอร้องแบบนี้ “ก็ได้ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
เช้าวันรุ่งขึ้นเทวาพาอัศดาไปพบโชปะที่ห้องรับแขกในบ้านพักอาจารย์ เทวาเปิดประตูไม้ให้อัศดาซึ่งเป็นแขกเดินเข้าไปก่อน โชปะนั่งรออยู่แล้ว เขากล่าวคำทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ เชิญนั่ง” เขาผายมือไปยังเบาะรองนั่งที่วางอยู่บนพรม อัศดาพาร่างกายอิดโรยนั่งลงบนเบาะทรงสี่เหลี่ยม ตรงข้ามกับโชปะ
“ไม่ได้เจอเสียนานเลย ดีใจที่ได้พบเจ้าอีก” รอยตีนกายุบเป็นร่องลึก ขณะที่ชายชรายิ้มให้ด้วยไมตรีจิต
อัศดาไม่แน่ใจว่าโชปะรู้สึกอย่างนั้นจริงหรือเปล่า คนอย่างเขาน่ายินดีที่ได้พบด้วยหรือ
“สวัสดีครับ...ไม่ได้เจอกันนานมากแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มตอบ
เทียนถูกจุดอยู่ในเตาขนาดย่อม มีกาน้ำชาใบเล็กวางอยู่ข้างบนเตา ถาดใส่ขนมที่ทำจากข้าว แป้งและถั่ววางอยู่ข้างๆ บนโต๊ะทรงกลมขนาดเล็กทำด้วยไม้ เมื่อชาร้อนได้ที่เทวาซึ่งเป็นลูกเจ้าบ้านและมีอายุน้อยที่สุดก็ยกกาขึ้น เทชาสมุนไพรใส่ถ้วยสองใบ ยกให้โชปะและอัศดาตามลำดับ จากนั้นจึงเทชาให้ตัวเอง
“เจ้าดูซูบซีดลงไปเยอะนะ ไม่สบายอย่างนั้นหรือ” โชปะถามอย่างห่วงใย อัศดาในแบบที่เขาคุ้นเคย เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรง ดื้อรั้นไม่ยอมใคร ต่างจากวันนี้ ที่หน้าตาซีดเซียว เบ้าตาดำคล้ำ ตาขาวมีรอยแดงเหมือนคนอดหลับอดนอนมานาน ไม่ก็เป็นไข้หนัก ซ้ำยังผอมลงไปมาก เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อัศดาถึงเปลี่ยนไปมากเช่นนี้
“ก็ไม่เชิง...” อัศดารู้สึกอ่อนเพลียมาก เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอน พูดแต่ละประโยคช่างเหนื่อยเหลือเกิน
“แล้วผ้าพันแผลที่หน้าเจ้าล่ะเทวา ไปโดนอะไรมาหรือ เมื่อคืนก็ไม่กลับมาที่บ้นพัก” โชปะหันไปถามลูกบุญธรรมบ้าง
เทวาอ้ำอึ้ง จะให้ตอบไปตามตรงว่าถูกอัศดาชกก็กระไรอยู่ “คะความลับน่ะครับ”
โชปะนิ่วหน้าอย่างข้องใจ
“ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆครับ เชื่อข้าเถอะท่านพ่อ” ชายหนุ่มยืนยัน
“ก็ได้ ถ้าเจ้าไม่อยากบอก ข้าก็จะไม่ถาม” โชปะยกชาขึ้นดื่ม “พวกเจ้ามาหาข้าแต่เช้า มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
“อัศดาฝันร้ายน่ะครับ” เทวาพูด หันหน้าไปมองอัศดา
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที ความจริงเขารู้สึกลำบากใจที่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากโชปะ สมัยเป็นนักเรียน เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่นักเรียนดีเด่น แต่เป็นถึงวายร้ายประจำโรงเรียน สอบตกมากกว่าผ่าน โดดเรียนเป็นประจำ แถมยังแอบหลับในห้องอีกต่างหาก แต่ที่แย่ที่สุดคือเขามีเรื่องชกต่อยได้เสมอ สุดท้ายจึงถูกไล่ออก
อัศดาไม่เคารพอาจารย์แม้แต่น้อย ชอบเถียงหัวชนฝาแบบยังไงข้าก็ต้องชนะให้ได้ ที่สำคัญเขาเคยมีเรื่องกับเทวา ถึงขนาดลงไม้ลงมือ โชปะซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมของเทวา มีหรือจะไม่เกลียดขี้หน้าเขา อัศดาไม่ชอบโรงเรียน เขาเกลียดกฏระเบียน รวมทั้งไม่คิดว่าวิชาที่เรียนมีประโยนชน์ต่อเขาแต่อย่างใด ที่ต้องมาโรงเรียนเป็นเพราะถูกน้องของยายซึ่งเป็นนักทำนายบังคับต่างหาก
“เล่ามาสิอัศดา” โชปะกล่าว น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมรับฟัง ดังที่เขามักปฏิบัติกับทุกคนที่มาปรึกษาปัญหา อัศดาระบายลมหายใจออกมาช้าๆ ชั่งใจอยู่นานว่าจะเล่าหรือไม่เล่าดี แต่สุดท้ายเขาก็เริ่มเล่าความฝัน เหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รวมทั้งปีศาจร้ายที่นั่งทับร่างแล้วบีบคอเขาจนแทบหายใจไม่ออก โชปะไม่ได้พูดแทรกขึ้น เขาเพียงแต่พยักหน้าและส่งเสียงตอบรับเบาๆ เป็นการบอกว่ากำลังฟังอยู่ หลังฟังอัศดาเล่าจบ โชปะไม่ได้ตอบในทันที เขาหลับตาลงนั่งนิ่งเป็นเวลานาน อัศดาทำท่าว่าจะเรียก แต่เทวาจับแขนเขาเพื่อห้ามไว้ก่อน โชปะลืมตาขึ้น มีความกังวลอยู่บนใบหน้าปรกติมักสงบนิ่งอยู่เสมอ
“ความฝันนั่นเป็นลางบอกเหตุ” โชปะกล่าว “ลางบอกเหตุงั้นหรือ” เทวาทวนคำ อัศดารอฟังต่ออย่างตั้งใจ สีหน้าของโชปะเคร่งขรึมขึ้น “เรื่องที่ข้าจะบอก เป็นเรื่องที่พูดยากและคงทำให้เจ้ากลัวมาก...” อัศดาที่อาการไม่ดีอยู่แล้ว พอได้ฟังเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปอีก “มีอะไรก็บอกข้ามาเถอะน่า” ชายหนุ่มคาดคั้น โชปะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดขึ้น “เจ้าจะต้องตายในเร็วๆนี้” เมื่อได้ยินดังนั้นอัศดาถึงกับชะงักนิ่ง เขาตกใจจนนึกคำพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “ท่านล้อข้าเล่นใช่มั้ย!?”
เขาไม่อาจยอมรับได้ จึงแสร้งทำให้เป็นเรื่องตลก ต่างจากเทวาที่นั่งนิ่งด้วยความกลัดกลุ้ม เขารู้ว่าโชปะมีญาณพิเศษ แต่ไม่ค่อยใช้ความสามารถนี้ คนอื่นจึงไม่รู้ว่าเขาทำได้ ชายชราส่ายหน้า “ข้าไม่เอาเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้มาล้อเล่นแน่ เจ้าจะต้องตายในเร็วๆนี้ เหตุการณ์เมื่อวานเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เจ้ารอดมาได้ก็จริง แต่จากนี้ไปจะมีมาอีกเรื่อยๆ จนกว่าเจ้าจะตาย” “ทะทำไม ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับข้า” เสียงของอัศดาสั่นเครือ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว “ข้าเพิ่งอายุยี่สิบหกเองนะ ข้าไม่ควรจะตายเร็วแบบนี้ ท่านต้องผิดพลาดแน่” “ความตายไม่เลือกอายุหรอก บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ บางคนตายหลังคลอดได้ไม่นาน บางคนตายตั้งแต่เยาวว์วัย” โชปะกล่าวความสลดสังเวช เริ่มแรกอัศดารู้สึกกลัวจนตัวสั่น แต่ครู่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นโกรธ ทำไมข้าต้องเชื่อคำพูดไร้สาระของชายชราผู้นี้ด้วย โชปะเกลียดข้า จึงพยายามพูดให้ข้าหวาดกลัว ทั้งเทวาทั้งโชปะ ไม่มีใครหวังดีต่อข้าสักคน ชายหนุ่มลุกขึ้นพรวดพราดอย่างไม่ทันระวัง จึงทำให้เข่ากระแทกโต๊ะล้ม กาน้ำชาและของอื่นๆตกกระจาย โชคดีที่ไม่มีใครถูกน้ำร้อนลวก อัศดายกมือขึ้นชี้หน้าโชปะ “พวกเจ้าสองคนรวมหัวกันขู่ข้าให้กลัวใช่มั้ย!? ข้าไม่เชื่อว่ามันจะเป็นอย่างที่พวกเจ้าพูด ข้าต้องไม่ตายเด็ดขาด ไม่มีวัน!” พูดจบอัศดาก็เปิดประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงกระแทกโครมคราม แล้วเดินหุนหันออกจากห้องไป “อัศดา! อัศดา!” เทวารีบตามออกไป อัศดาสาวท้าวก้าวยาวๆไปตามทางเดิน ในใจก็นึกด่าโชปะกับเทวาไปด้วย จะให้ยอมรับได้อย่างไรว่าเขาจะต้องตายในเร็วๆนี้ แม้โกรธมาก กระนั้นอัศดาก็รู้ว่าสิ่งที่โชปะพูดมามีมูลความจริง ฝันร้ายที่ฝันซ้ำกันทุกคืน เหตุการณ์เฉียดตายสองครั้งติดและยังมีวิญญาณร้ายที่มาหาเขาเมื่อคืนนั่นอีก ทุกอย่างลงตัวเกินไป ชายหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่าเขากำลังหลอกตัวเองด้วยคำว่าไม่มีอะไร แต่เขากลัวเกินกว่าจะยอมรับความจริง ว่าตัวเองกำลังจะตาย เมื่อเดินมาถึงประตูรั้ว ขณะกำลังจะก้าวออกจากประตูโรงเรียน ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ต้องผงะตาเหลือก เขาเห็นวิญญาณอัปลักษณ์ตนเดียวกับที่บีบคอเขาเมื่อคืน ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู มีผู้คนเดินผ่านไปมามากมาย แต่กลับไม่มีใครเห็นวิญญาณร้ายสักคน ดวงตาสีแดงก่ำบนใบหน้าที่มีเลือดไหลซิบจ้องมองมา อัศดาชะงัก เขาก้าวถอยหลังแล้วสะดุดล้มลง ร่างอัปลักษณ์ภายใต้อาภรณ์ขาดรุ่งริ่งไม่ได้ตามเข้ามาในโรงเรียน แต่ยืนรอให้เขาออกไป อัศดากระเถิบตัวถอยหลังอย่างลนลาน ฝันร้ายได้คลืบคลานเข้ามาสู่โลกความจริงเสียแล้ว “อัศดา!” เทวาตะโกนขึ้น ขณะวิ่งตรงมาหาเขา
“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า” เทวาย่อตัวลง ยื่นมือไปประครองอัศดาอย่างเป็นห่วง เห็นใบหน้าของสหายซีดเผือด ตาค้างเหมือนคนเสียสติ
“เจ้าเห็นมันรึเปล่า...วิญญาณร้ายนั่น...” อัศดาชี้ไปที่ประตู มือสั่นระริก เทวาหันไปมอง
“ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” เขาตอบ
อ่านล่วงหน้าได้ที่นี่ค่ะ http://writer.dek-d.com/holywizard/story/view.php?id=827616
จากคุณ |
:
holyneko
|
เขียนเมื่อ |
:
24 มิ.ย. 55 14:10:17
|
|
|
|