สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านทุกท่าน ล่องกัลปาลัย ดำเนินมาถึงบทที่ 21 แล้วครับ ขอบคุณทุกท่านและกิฟต์จากคุณทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, กุหลาบมอญ, เขมปัณณ์, mimny, แก้วกังไส, kdunagin, เรียวรุ้ง, กาแฟเย็นเพิ่มช็อต, wor_lek, Hermosa และคุณ เพชรรุ้งพราย ครับ
สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12249602/W12249602.html บทที่ 21
ทำไมธามถึงไม่ติดต่อมาอีกเลยนะ ตกลงนายหายไปไหนหรือธาม บอกให้ปีรู้ด้วย?
ปีระกาถามตัวเองในใจหลายครั้งในวันนี้ แม้จะไม่ได้รับคำตอบใดๆทั้งสิ้นกลับมาเลย หญิงสาวทรุดกายลงนั่งยังห้องรับรองอันโอ่โถงของทับสนธยา พลางทอดสายตามองผ่านหน้าต่างบานเฟี้ยมออกไปยังเพื่อนสาว ชลธรกำลังเดินทอดน่องพูดคุยกับทนายความหนุ่มอย่างเป็นกันเองอยู่ในสวนด้านนอก ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของยายชลคนสวยกับคุณภูไทจะก้าวหน้าไปเร็วกว่าที่คิด ท่าทางของฝ่ายชายแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความพึงใจต่อชลธรจนชัดแจ้ง แม้ว่าจะดูเหมือนรวดเร็วเกินไปหน่อยก็ตาม
รักแรกพบ!
นักเขียนนิยายประโลมโลกย์อย่างหล่อนยังอดคิดด้วยความขบขันไม่ได้ ไม่นึกว่าจะเกิดขึ้นจริงๆแบบนี้ กับคนใกล้ตัวอย่างยายชล ที่อุตส่าห์รักษาความโสดมานานแสนนาน จนคิดว่าจะ ขึ้นคานพร้อมกันเสียแล้ว
ดันมาหนีลงจากคาน ก่อนหล่อนได้เสียนี่!
อันที่จริงแล้ว ยายชลก็เป็นคนน่ารักอ่อนหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่น่าแปลกที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะรู้สึกพึงใจ
ผมคงต้องรอเอกสารที่จะส่งมาจากกรุงเทพฯ อีกทีนะครับ ตอนแรกไม่ทันได้นึกว่าจะลืมเอามาด้วย
เขาพยายามอธิบายในเวลาก่อนหน้าด้วยสีหน้ากังวลอยู่ไม่น้อย แต่ปีระกาก็พยักหน้ารับรู้เข้าใจ หล่อนยังไม่คิดจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ เช่นเดียวกัน การตัดสินใจต่อเงื่อนไขของเจ้าเสือเข่นฟ้า และ เรื่องของธาม ยังเป็นปริศนาคาใจ ที่ทำให้ปีระกา คิดว่าตัวเองจะต้องพิสูจน์ให้รู้ชัดเจนเสียก่อน อย่างน้อยก็บอกกับผู้เป็นมารดาแล้วว่าจะมาพักผ่อนสักหลายวันหน่อย ทางโน้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ยกเว้นเรื่องที่ปล่อยปัญหาทิ้งค้างเอาไว้ที่กรุงเทพเท่านั้น ที่ทำให้นักเขียนสาวรู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก
ต้นฉบับนิยายกุหลาบอาเพศ ที่ไม่สามารถเขียนต่อได้นั่นเอง!
เห็นทีว่าจะต้องขอความช่วยเหลือจากภูไทให้พาเข้าไปโทรศัพท์ในเมืองเสียหน่อยแล้ว อย่างน้อยอาจจะต้องขอความเห็นใจและฟังเสียงสวดจากพี่เต๋สักกระบุง! แต่ก็ยังดีกว่ามานั่งกลุ้มใจอยู่อย่างนี้
คิดว่าคืนนี้ ถ้ามีโอกาสได้พบกับธามอีกครั้ง จะขอความช่วยเหลือจากเขาในเรื่องนี้ให้ได้เช่นเดียวกัน
ปีระกามองขีดสัญญาณโทรศัพท์ที่ไม่ปรากฏบนหน้าจอเลยสักขีดเดียว แล้วจึงตัดสินใจ...
******************
ถ้าอย่างนั้นผมจะไปส่งคุณเองแล้วกัน คุณทายาทเศรษฐี
อ้าปากจะพูดยังไม่ทันจบ อีตาผู้กองตัวดีก็ขัดขึ้นมาทันที เขาตัดบทง่ายๆนุ่มนวลจนน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
คุณชลไม่ต้องกังวลหรอกครับ รถของผมค่อนข้างสมบุกสมบันสำหรับการนี้อยู่แล้ว และยิ่งไปกับตำรวจ รับรองปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
เขาตอบกับชลธรหน้าตาเฉย แล้วผายมือโค้งคำนับให้หล่อนตามลงเนินไปที่รถกระบะคันบุโรทั่งที่ควบขับมาจากกรุงเทพ เหมือนเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก จนยายชลและทนายความหนุ่มแทบไม่ทันต้องตอบเลยด้วยซ้ำ
คุณแน่ใจนะ ผู้กอง ว่าฉันจะไม่ต้องมาช่วยเข็นรถกลางป่าอย่างนี้น่ะ
ปีระกาเอ่ยอย่างไม่แน่ใจในสภาพของตัวรถ แต่คมจักรกลับยักคิ้วเผล่ เอ่ยเสียงล้อเลียนพร้อมแกล้งยกมือตะเบ๊ะ
แน่นอนคร้าบ คุณทายาทสาวร้อยล้าน รับรองว่าผมจะพาคุณไปถึงอำเภอเมืองโดยปลอดภัยแน่ๆ และได้โทรศัพท์กลับกรุงเทพฯแน่นอนที่ซู๊ด
นี่ฉันขอร้องอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ คุณผู้กองคมจักร
หล่อนกอดอก เอ่ยเคร่งขรึมเอาการเอางาน จนเขาต้องรีบหุบยิ้ม
ว่ามาได้เลยครับ ฉันยินดีไปกับคุณ แต่ห้ามเรียกฉันว่าทายาทสาว ทายาทเศรษฐีร้อยล้าน อะไรนั่นอีกล่ะ ฉันไม่ชอบ รู้ไว้ซะ
ถือโอกาสสำทับ อีกฝ่ายรีบยกมือขึ้นวันทยหัตถ์ล้อเลียน นัยน์ตาคมพราวระยับ
ได้คร้าบ แต่ถ้าเช่นนั้น คุณก็ต้องเรียกผมว่าจักร เหมือนกัน ห้ามมาแอบเรียกอีตาผู้กองคมหอกคมดาบอะไรแบบนั้นอีกเหมือนล่ะ
ท่าทางเขายังไว้เชิง ทำทีต่อรองเหมือนเป็นเด็กชายตัวเล็กๆจอมเกเรสักคนที่ไม่ยอมแพ้เอาเรื่อง อยู่เหมือนกัน จนในที่สุดปีระกาต้องเป็นฝ่ายยกมือยอมแพ้ และปล่อยเสียงหัวเราะกิ๊กออกมา
หล่อนก้าวขึ้นรถคันเก่ง ของเขา โดยนายตำรวจหนุ่มรับอาสาเป็นสารถีขับออกจากบ้านปางงิ้วดำออกมา
โดยไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรบางอย่างรอคอยอยู่เบื้องหน้า...
**********************
คุณภูไทเคยมาที่ทับสนธยามาก่อนหรือเปล่าคะ?
ภายหลังรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันเพียงสองคนแล้ว ชลธรก็เอ่ยปากถามทนายความหนุ่มอย่างเป็นกันเองมากขึ้น แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกับปีระกา ที่ดูบุคลิกค่อนข้าง เปรี้ยวซ่าอยู่ไม่น้อย แต่ตัวเองกลับมีนิสัยตรงกันข้าม เสียจนบางทียายปียังอดหมั่นไส้ไม่ได้
เธอนี่ช่างเป็นคุณหนูแสนหวานเสียจริงๆนะ ยายชล อย่างนี้สงสัยแกต้องหาแฟน ประเภทคอยดูแลเทคแคร์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
แม้แต่การตัดสินใจตามปีระกามาเที่ยวปางงิ้วดำแห่งนี้ ชลธรเองก็ยังอดหวั่นๆในใจไม่ได้ด้วยซ้ำ โดยปกติแล้ว อย่างมากก็ไปนอนค้างบ้านเพื่อนสนิทได้สักคืนเดียว และแถมยังต้องโทรศัพท์รายงานตัวกับมารดา ไม่ต่างกับเป็นคุณหนูอย่างที่ปีระกาว่าไว้ไม่มีผิด
ยกเว้นในกรณีนี้เท่านั้นแหละ ถ้าหากยายปีไม่เป็นฝ่ายไปให้คำรับรองกับมารดาของหล่อนด้วยตัวเอง รับรองว่าอาจจะไม่ได้มาเป็นเพื่อนที่ทับสนธยาแน่ๆ
รวมทั้งไม่มีโอกาสรู้กับทนายความหนุ่มรูปงามผู้นี้ด้วย
ไม่ปฏิเสธว่า ทนายความภูไทผู้นี้มีคุณสมบัติที่ครบครันตามเสป็คสาวๆทั้งหลายเลยทีเดียว ด้วยมาดเนี๊ยบสะอาดตา และมีอารมณ์ขันไม่เคร่งขรึมจนเกินไป นี่ถ้าใส่แว่นตาเสริมเข้าไปด้วย คงจะยิ่งทรงภูมิเหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือนายแพทย์หนุ่มโก้ๆสักคน มากกว่าจะมาเป็นทนายความเสียด้วยซ้ำ ยิ่งรวมถึงท่าทางเอื้ออาทรที่แสดงออกต่อหล่อนอย่างเด่นชัดเป็นพิเศษ จนชลธรอดหวามไหวไปด้วยไม่ได้ ทั้งที่พยายามจะปฏิเสธตนเองอยู่บ่อยครั้ง
หล่อนกลัวความผิดหวัง! ความผิดหวังที่จะนำมาซึ่งความเจ็บปวดจนแทบเกินทนอย่างที่เคยเผชิญกับมันมาแล้ว
ชลธรเคยมีความรักครั้งแรกเพียงครั้งเดียว สมัยเรียนอยู่ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย มันคงจะดำเนินไปตามวิถีทางที่เรียบง่ายอย่างที่เคยฝันเอาไว้เป็นสีชมพูเช่นนั้น แต่แล้วทุกอย่างก็กลับพังครืนลงอย่างไม่มีชิ้นดี เมื่อเขาคนนั้นตัดสินใจไปเลือกคบกับน้องใหม่หน้าใสปีหนึ่ง ตอนที่หล่อนและเขาเรียนอยู่ปีสุดท้ายพอดี
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะหล่อนมองโลกในแง่ดีเกินไป และคิดว่าทุกคนจะคิดเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างน้องคนนั้นและเขา ผ่านเข้าหูมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสนใจแม้แต่จะไต่ถาม ตราบจนกระทั่ง เวลาที่ไม่คาดฝันมาถึงนั่นเอง ที่ทำเอาพูดไม่ออก
คุณดีเกินไปชล ผมผิดเอง!
ประโยคอย่างนี้แหละที่ชลธรเกลียดนักหนา ทั้งเกลียดและกลัวว่าจะต้องได้ยินมันอีกเป็นครั้งที่สอง! หล่อนไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่เพื่อนคนอื่นๆคิดไว้ ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดจากับใครเป็นเวลาเกือบเดือน ปล่อยให้น้ำตาไหลให้ตกอยู่ภายในหัวใจอันบอบช้ำ ใครหนอที่เคยเขียนกลอนเอาไว้อย่างเข้าใจคนเจ็บปวดจากพิษความรักได้เป็นอย่างดีว่า...
น้ำตาริน ไหลพร่าง อย่างเงียบเงียบ มันเย็นเฉียบ เหมือนเชือด ให้เลือดไหล ทั้งปวดลึก ร้าวทั่ว เนื้อหัวใจ วันทำไม จึงมืด ยืดยาวนัก*
โชคยังดีที่สามารถรักษาระดับการเรียนเอาไว้โดยไม่พลาด จึงสามารถจบการศึกษาได้พร้อมกับเพื่อนๆ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โลกของหล่อนจึงมีแต่เพื่อนและเพื่อน รวมถึงยายปี ที่เป็นเพื่อนสนิทและเข้าใจมากที่สุด
ไม่ลองเปิดใจดูหน่อยหรือจ๊ะ หรือกะจะขึ้นคานไปตลอดชีพฮึ?
ปีระกา พูดกับหล่อนตรงๆ และชลธรก็เริ่มคล้อยตามความคิดเพื่อนสาว ความรู้สึกปิดกั้นในวันแรกที่เกิดขึ้นจึงคลายลงโดยไม่รู้ตัว แม้จะเหลือความหวั่นระแวงอยู่บ้างก็เป็นเพียงแค่เศษตะกอนที่กำลังจะสลายตัวไปในไม่ช้า
หญิงสาวสลัดความคิดฟุ้งซ่านจากในอดีต แล้วช้อนสายตามองทนายความหนุ่มที่กำลังตอบข้อสนทนาของหล่อนพอดี
ผมมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนคุณนั่นแหละครับคุณชล แต่ผมว่าตอนนี้ เราน่าจะกลับไปที่บริเวณห้องใต้ดินนั่นอีกครั้งนะครับ
กลับไปห้องใต้ดินหรือคะ?
หล่อนตามความคิดของชายหนุ่มไม่ทันเอาจริงๆ สายตาคมเข้มของภูไทหันมองไปยังเรือนหลังเล็กในเงาพุ่มไม้หนาทึบที่อยู่ถัดออกไปเหมือนกับเขาสังเกตไว้อยู่ก่อนแล้ว ชลธรจำได้ว่านั่นคือเรือนพักของลุงอาตม์ ผู้ดูแลทับสนธยานั่นเอง
ผมเห็นลุงอาตม์เดินกลับเข้าไปที่เรือนพักแล้ว เราน่าจะใช้จังหวะเวลานี้ กลับไปที่นั่นอีกครั้ง
ทำไมคะ คุณภูไทคิดว่า...
นัยน์ตาชายหนุ่มเป็นประกายประหลาด
ผมคิดว่า นกหวีดที่เราเห็นมันตกอยู่บนพื้นนั่น น่าจะเป็นอุบายอะไรบางอย่างที่จะเบี่ยงเบนประเด็นของใครบางคน และบังเอิญเมื่อคืนนี้ คุณปีระกา ก็ตามลงมาเสียก่อน พวกเราก็เลยรีบกลับกันออกไป โดยไม่ทันได้สังเกตอะไรมากไปกว่านั้น
เขาหยุดไปชั่วขณะเหมือนพยายามเรียบเรียงประโยค ในขณะที่ชลธรอดทึ่งกับความละเอียดอ่อนและช่างสังเกตของทนายความหนุ่มเสียไม่ได้
คุณภูไท น่าจะไปเป็นนักสืบ หรือแกะรอยฆาตกรรมอะไรพรรค์นี้มากกว่าเป็นทนายซะอีกนะคะ ละเอียดรอบคอบจริง
ประกายบางอย่างวุบขึ้นบนใบหน้าทนายหนุ่มหน้าหยก เขาเอ่ยต่อเหมือนครุ่นคิดกับเรื่องนี้ตลอดเวลา
คุณชล ชมซะผมเขินไปเลย เพียงแต่ผมคิดว่ามีบางอย่างที่รู้สึกสังหรณ์ว่า น่าจะยังอยู่ที่นั่น และช่วงนี้แหละที่เหมาะที่สุดที่เราจะลงไปที่นั่นกัน
แล้วลุงอาตม์...
ชลธรเผลอท้วงขึ้นมา ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับตัวเองและเพื่อนสาวอย่างปีระกา ทำให้หล่อนไม่กล้าตัดสินใจอะไรบ้าบิ่น เหมือนกับเมื่อคืน
ชายหนุ่มลดเสียงลงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ
ผมกลับรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจ ผู้ชายคนนี้สักเท่าไร เขามีอะไรที่แปลกจนน่าสงสัย...
คุณภูไท พูดเสียชลชักกลัวเสียแล้วสิคะ
***********************
คุณกลัวอะไรหรือเปล่า? คุณปีระกา?
จู่ๆนายตำรวจหน้าเข้มก็หันมาถามหล่อน ที่เอาแต่นั่งนิ่งสายตามองผ่านกระจกหน้ารถออกไปข้างนอก จนดูราวกับว่ามีอะไรที่น่ามองเสียเต็มประดา เขาสังเกตเห็นท่าทีนี้ตั้งแต่ออกรถกลับมาจากตัวเมืองเพื่อมุ่งตรงสู่ปางงิ้วดำนั่นแล้ว
แต่คุณหนูปีระกา ก็ยังไม่ขยับ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนไม่ได้ฟังเสียงเย้าของเขาเลยด้วยซ้ำ
แสงตะวันยามบ่ายใกล้พลบเริ่มทอดแสงลงอ้อยอิ่งกับเหลี่ยมเขา แนวเทือกภูยาวเหยียดที่ปรากฏเป็นเป็นพรมแดนธรรมชาติเรียงรายอยู่ไกลลิบๆ จนแทบจะแตะริมขอบฟ้า อันที่จริงเมื่อเสร็จสิ้นธุระที่ในเมืองแล้ว... ภายหลังจากที่พี่เต๋สวดชยันโตให้สักพักใหญ่ทางโทรศัพท์ และหล่อนก็แก้ตัวขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน โดยอ้างว่าจะรีบปั่นต้นฉบับตอนต่อไปให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า ท่านบอกอหญ่ายจึงยอมวางหู
ปีระกาจึงถือโอกาสคลายเครียดกับภารกิจโดยบอกชายหนุ่มว่าจะแวะซื้อข้าวของอีกเล็กน้อย... จริงๆก็แค่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นเอง! เพื่อนำกลับไปที่ทับสนธยาด้วย โดยที่ผู้กองคมจักร อาสาช่วยขนข้าวของให้อย่างเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก แน่นอน ในเมื่อข้าวของในถุงพะรุงพะรัง หล่อนยกให้เขาเป็นคนหิ้วมาเองทั้งหมด ในขณะที่หล่อนเดินตัวปลิวนำหน้าเขามาที่รถ โดยมีสายตาของคนบริเวณนั้นมองมาอย่างขันๆกับท่าทางชายหนุ่ม ยิ่งเมื่อเห็นท่าทางเก้ๆกังๆอย่างนี้แล้วสรุปได้เลยว่า อีตาผู้กองนี่คงจะไม่เคยขนของอย่างนี้มาก่อน จึงทำหน้าปูเลี่ยนเสียจนแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้
คุณนี่ชอปปิ้งเก่งเหมือนกันแฮะ ขนาดไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯนะนี่ สงสัยถ้ามีแฟนคงต้องให้แฟนตามใจ ถือถุงเดินตามต้อยๆ แบบผมนี่แหละ... ชัวร์
คนบ๊อง พูดอะไรเข้าน่ะ! ไม่รู้ว่าหน้าตัวเองแดงรึเปล่า แต่ก็ส่งค้อนแถมให้วงหนึ่งกับคำบ่นเบาๆ โดยไม่พูดอะไรอีก ฝ่ายอีตา คนบ๊อง ก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปแทน ปีระกาจึงเลี่ยงขึ้นไปนั่งบนรถ รอให้ สารถีกิตติมศักดิ์ เป็นฝ่ายเก็บข้าวของท้ายรถจนเสร็จ แล้วเขาก็เดินกลับมาสตาร์ทเครื่อง
นั่นก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นเข้าไปแล้ว....
และระหว่างการเดินทางกลับนั่นเอง ที่หล่อนได้ยินอีกครั้ง!
กลับไปเสีย อย่ามาที่นี่อีก!
เสียงแผ่วหวิวดังกระทบโสตสัมผัส เจาะจงหล่อนแต่เพียงผู้เดียว เสียงของผู้หญิงคนนั้น ที่หล่อนไม่อาจจับกระแสความรู้สึกในด้านใดได้ชัดเจน ไม่รู้ว่า มาด้วยเจตนาดี หรือ ร้าย กันแน่? หล่อนพยายามเพ่งมอง คลื่นเฉดสีที่ควรจะปรากฏ หากก็เลือนรางในม่านอากาศเบื้องนอกหน้าต่างรถ จนไม่อาจจับกระแสอารมณ์แห่งดวงวิญญาณนั้นได้
ปีระกาตัวแข็ง สายตาทอดมองไปตามเส้นทางข้างหน้า ไม่กล้ามองแม้แต่ผู้กองหน้าเข้ม เพื่อไม่ให้เขารับรู้ถึง ญาณพิเศษ ที่หล่อนมี และมันกำลังถูกนำมาใช้อีกครั้ง
เธอเป็นใคร...
แทบจะกระซิบถามออกไป คลื่นสัญญาณถูกส่งผ่านโดยไม่จำเป็นต้องใช้ คลื่นเสียง เลยด้วยซ้ำ แต่หล่อนก็เคยใช้กับ ธาม จนเคยชินไปเสียแล้ว
ไม่ต้องรู้จักฉันหรอกปีระกา รู้แต่ว่า เธอควรจะกลับไปจากที่นี่ ไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ทับสนธยา...
เสียงหัวเราะคล้ายขันขื่น ดังขึ้นเบาๆริมหู จนขนลุกซู่
ฉันไม่ไป จนกว่าจะรู้เรื่องราวทั้งหมด
หล่อนตะโกนตอบออกไปในใจ เมื่อเริ่มปรับการสื่อสารจนคุ้นเคยขึ้น เสียงหัวเราะเย็นยะเยียบดังกังวานขึ้นอีกครั้ง โดยไม่มีคำตอบใดๆ ก่อนที่จะเลือนหายไปกับสายลม...
และจังหวะนั้นเองที่สติของปีระกาถูกดึงกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อรถที่วิ่งอยู่อย่างปกติ ก็กระตุกค้าง ก่อนจะหยุดชะงักลงเฉยๆ
หญิงสาวหันขวับกลับมาหา คนขับ ที่ยังกุมพวงมาลัยค้างเอาไว้ ใบหน้าคมคายของคมจักรเองก็ส่อแววพิศวงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เขารีบเปิดประตูรถแล้วกระโดดลงไปอย่างคล่องแคล่ว เพียงครู่เดียว ตาผู้กองจอมกวนก็ร้องตะโกนโหวกเหวกขึ้นมา
คุณปีระกาคร้าบ ตอนนี้ล้อคันหน้าของรถเราติดหล่มเข้าแล้วครับ!!
หา... ว่าไงนะ?
คราวนี้เป็นหล่อนเองที่ร้องอุทานเสียงหลง วูบนั้นเสียงหัวเราะเย็นยะเยือก ก็ดังแว่วหลอนขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความสาสมใจ...
*********************
มะขิ่นรู้สึกตัวขึ้นในความมืด มิดสนิทเหมือนกับหล่อนอยู่ในขุมนรก เด็กสาวพื้นเมืองขยับกายด้วยความปวดร้าวไปทั้งตัว และสดับเสียงเคลื่อนไหวบางอย่าง
มันดังครูดกับพื้นเบาๆ และเมื่อหล่อนเริ่มเคลื่อนตัว เสียงนั้นก็ดังตามขึ้นมาด้วย จนเมื่อสติเริ่มกลับคืนเข้าที่นั่นเอง ที่ทำให้หล่อนตระหนักรู้ที่มาของเสียงนั้น
เป็นสายโซ่ที่พันธนาการขาเอาไว้นั่นเอง!!
ชะ ช่วยด้วยยยยย
มะขิ่นส่งเสียงกรีดร้องออกมา พยายามปรับสายตาในความมืดดำเหมือนหมึกข้นรายรอบ ด้วยความหวั่นกลัว ความทรงจำสุดท้ายถูกปลุกขึ้นมาอย่างรางเลือนและค่อยแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
ตาเฒ่าอาตม์...
ในราตรีนั้น เพียงวูบที่เผลอตัวกรีดเสียงร้องออกไป สัมผัสถึงอุ้งมือแข็งแกร่งที่กดลงครึ่งปากครึ่งจมูกจนแทบขาดอากาศหายใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดของสัมปชัญญะ มะขิ่นรู้จักตาเฒ่าผู้นั้นมาไม่นาน เมื่อเข้ามารับช่วงต่อในการดูแลความสะอาดภายในทับสนธยาแห่งนี้ เพียงไม่กี่ปี ต่อจากนางแปงแม่บ้านคนเก่า ที่เป็นหญิงชราที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของหล่อนนั่นเอง และเป็นโอกาสที่ นายท่าน ต้องการส่งตัวหล่อนให้เข้ามาตามหาของชิ้นสำคัญชิ้นนั้นด้วย
หนังสือค้างคาวทอง...
ไม่ใช่สิ... นายท่านเรียกมันว่า กัลปาลัย!
ตัวของมะขิ่นกับพี่ชายเอง ก็เคยสงสัยว่าเหตุไฉน นายท่าน ผู้ที่ดูเหมือนจะมีพลังอำนาจและความเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าใครที่แถบถิ่นนี้ กลับไม่กล้าเข้ามาใกล้บริเวณของทับสนธยา เพียงแต่เฉียดใกล้ เวลาที่ต้องการให้หล่อนและมินอ่องออกมาพบ ซ้ำยังเป็นผู้วางแผนส่งตัวมะขิ่น เองให้เข้ามาทำหน้าที่คนรับใช้ในคฤหาสน์หลังนี้แทน แต่ความกลัวต่อท่าทีลึกลับและทรงอำนาจนั้นมีมากกว่าจนไม่กล้าถาม
นายท่าน ผู้ที่มะขิ่นรู้แต่เพียงว่าเป็นเจ้าฟ้าเจ้านายชั้นสูง ที่อพยพมาจากดินแดนไกลโพ้น และเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตของตัวเองและพี่ชาย มาตั้งแต่จำความได้
จงจำไว้ ชีวิตของเจ้าทั้งสองอยู่ในอุ้งมือของข้า เพราะฉะนั้น ไม่มีวันที่พวกเจ้าจะหนีไปจากข้าได้พ้น มะขิ่น มินอ่อง
คำประกาศิตของเจ้านาย ทำให้เด็กทั้งสองหวาดกลัวจนตัวสั่น และยังจดจำความหวาดกลัวเหล่านั้นได้ แม้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม ไม่เคยมีสิ่งใดที่จะสามารถปกปิดเป็นความลับแก่นายท่านได้เลย
ตั้งแต่เป็นเด็กน้อยที่กำพร้าพ่อแม่ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ มะขิ่นรู้ดีว่า เมื่อใดที่สัญญาณเป่าเขาสัตว์ดังขึ้น เด็กทั้งสองต้องเล็ดลอดหนีออกมาที่ชายป่า เพื่อรอพบ นายท่าน ถ้าหากปฏิเสธเมื่อใด นายท่านจะส่งทหารพวกนั้นออกมาจับตัวออกไปพบเอง
และเมื่อนั้นการลงทัณฑ์ที่ทรมานก็จะเกิดขึ้น สำหรับมะขิ่นเคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ก็ทำให้เด็กหญิงจดจำความเจ็บปวดนั้นไปจนชั่วชีวิตและสาบานว่าจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
โดยเฉพาะคำสั่ง ล่าสุดของนายท่าน ที่ทั้งมะขิ่นและพี่ชายยังไม่สามารถทำได้สำเร็จ รู้เพียงว่ากัลปาลัยมีลักษณะเป็นหนังสือ และรู้แต่เพียงชื่อของมัน แม้แต่รูปภาพรูปถ่ายใดๆก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
การค้นหา ดำเนินไปอย่างระมัดระวัง หล่อนรู้สึกว่าตาเฒ่าผู้ดูแลปราสาทแห่งนี้ ไม่ใช่คนชราภาพที่ประมาทได้เลย หูตาของอาตม์ว่องไวไม่ต่างกับคนหนุ่มฉกรรจ์ทั่วไปเสียด้วยซ้ำ หล่อนต้องคอยหาจังหวะให้อีกฝ่ายตายใจ และพยายามค้นหาของที่ว่า
แต่ก็ยังไม่อาจพานพบเลยสักครั้ง ตราบจนนายผู้หญิงคนนั้นเดินทางมาถึง และการปรากฏของสุวรรณชตุกา บนยอดหอคอยฝั่งใต้ จุดที่ตัวเองยังไม่เคยขึ้นไปสำรวจนั่นเอง
มันทำให้สาวใช้แห่งทับสนธยา สังหรณ์ว่า ตำแหน่งที่ซ่อน ค้างคาวทอง จะต้องอยู่บนนั้นแน่นอน...
หากบัดนี้ ตาเฒ่าอาตม์ผู้ดูเหมือนปราศจากพิษสง กลับเป็นฝ่ายทำร้ายและจับหล่อนมาขังไว้ที่นี่ มันมีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดออกไป มะขิ่นพยายามขยับร่างกาย ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ตอนนี้คิดว่าร่างของตัวเองน่าจะถูกขังอยู่ภายในบริเวณสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งภายในทับสนธยา ที่เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือไม่อาจดังออกไปถึง
ห้องใต้ดิน!
แค่นึกขึ้นมา มะขิ่นก็ขนลุกกรูเกรียว ไม่ใช่ความเหน็บหนาวด้วยอากาศเย็นชื้นภายในสถานที่แห่งนั้น แต่หล่อนรู้ดีว่าห้องใต้ดินแห่งนี้ถูกล็อคด้วยสายโซ่ขนาดใหญ่ปิดเอาไว้ โดยมีตาเฒ่าอาตม์เท่านั้น ที่มีกุญแจดอกเดียว สำหรับไขเปิดออก ถ้า... ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่ปล่อยหล่อนออกไป ต่อให้มีปีก มะขิ่นก็ไม่สามารถบินหนีออกไปได้เด็ดขาด
ยกเว้น จะออกไปในสภาพไร้ชีวิต!
เด็กสาวพยายามส่งเสียงร้องออกไปด้วยน้ำเสียงโหยหวนอย่างน่าเวทนา ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่แล้วเสียงบางอย่างก็ดังขึ้นในทิศทางเบื้องหน้า
กริ๊ก...
เป็นเสียงของกุญแจที่คล้องอยู่ด้านนอก หลุดออกจากกัน!
แล้วเมื่อนั้นเองแสงสว่างเจิดจ้าก็ฉายวาบเข้ามาสัมผัสใบหน้าของเด็กสาวจนต้องหยีนัยน์ตาลง ประตูบานที่ปิดกั้นเอาไว้เปิดออกแล้ว?
มะขิ่นเบิกยิ้มกว้างด้วยความปิติ ใครบางคนลงมาช่วยหล่อนแล้ว อาจจะเป็นคุณผู้หญิงใจดีสองคนนั้นหรือไม่ก็...
ความคิดของเด็กสาวชาวบ้านสะดุดค้าง ความดีใจแต่แรก แปรเปลี่ยนเป็นความพิศวง เมื่อตระหนักแสงสว่างที่เกิดขึ้นหาใช่แสงที่ส่องมาจาก ด้านนอกไม่...
และความพิศวงนั้นก็เปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกสุดขีด เมื่อประจักษ์ความจริงว่า...
**************************
* จากบทกวีในหนังสือ "คำหยาด" ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ตอบเพื่อนนักอ่านครับ
คุณทะเลเดือด : สำหรับบทนี้ ก็มีกลอนเหมือนกันครับ แต่เป็นของอาจารย์เนาวรัตน์ ที่ผมชอบมาก เลยอดนำมาลงไว้ด้วยไม่ได้ครับ
คุณ mimny : ตอนนี้พ่อรปทองเป็นตัวเอกครับ เลยต้องใส่ฉากให้เยอะหน่อยครับ ส่วนความห่วงใยนั้น... มีเหตุผลแน่นอนครับ
คุณ nasa nasa : เหตุการณ์บางอย่างกำลังจะเฉลย เพื่อนำเข้าไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่งครับ ลองติดตามดูนะครับ
คุณ Laviyar : ขอบคุณครับที่แวะเวียนเข้ามาทักทายกันครับ เนื้อเรื่องกำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ ตัวเอกเรื่องนี้มีหลายคนและหลายตนครับ ลองติดตามดูนะครับ หลังบทที่ 24 ไป จะเริ่มคลี่คลายทีละเปลาะแล้วล่ะครับ
คุณ scottie : ขอบคุณมากครับ
และขอขอบคุณทุกท่านครับ หมอกมุงเมือง
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 55 20:24:59
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
24 มิ.ย. 55 20:22:16
|
|
|
|