Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนตราปาหนัน บทที่ ๑๓ : การแผ่นดินการหัวใจ ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๓ :  การแผ่นดินการหัวใจ


ปั๊บสาผูกเดิมวางอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ แต่ไม่มีใครคิดจะเปิดมันออกอ่านสักคนเดียว อติรุทธ์เล่าเรื่องที่เขาไปวัดเจ็ดยอดเมื่อหลายวันก่อนให้สินธุกับปาหนันฟังหลังจากที่คิดอยู่นาน สินธุเคาะนิ้วลงบนโต๊ะช้าๆ อย่างครุ่นคิด อติรุทธ์เล่าจบก็หันมาทางหญิงสาวคนเดียวแล้วถามว่า

“สารภีเคยพูดอะไรเกี่ยวกับคืนเดือนดับบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ ที่ผ่านมา สารภีบอกเพียงว่าคุณคือผู้ชายตระบัดสัตย์ ไม่รักษาสัญญาจนทำให้เธอต้องตรอมใจจนตายเท่านั้นเอง”  

“ตระบัดสัตย์ ไม่รักษาสัญญาหรือ”

อติรุทธ์ทวนคำ เขามองหน้าคนทั้งสองแล้ว ก็ตัดสินใจล้วงมือเข้าไปหยิบกระดาษที่พับเรียบร้อยแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอนของตนเอง ราวกับเอาติดตัวเตรียมไว้อยู่แล้ว ส่งให้สินธุเป็นคนแรก สินธุรับมาคลี่อ่านอยู่ชั่วอึดใจก็ส่งผ่านไปทางปาหนัน หญิงสาวรับมาอ่านแล้วก็นิ่งไปพักใหญ่

“นายไปเอามาจากไหน รุทธ์”

“นักศึกษาฉันเอง เขาทำสัมมนาหัวข้อนี้ ให้ตาย ฉันตามนายออกภาคสนามมาก็หลายครั้ง ทำไมถึงไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินเจ้าชื่อลิงคะอะไรนี่เลย”

“ไม่แปลก ลิงคอุทภวมูรติ หรือที่เรียกอีกแบบว่าลิงโคทภวมูรติ ก็คือศิวลึงค์ที่ปรากฏภาพนูนต่ำของพระศิวะแหวกเจ้าเสาไฟนี่ออกมาทั้งตัว อยากเห็นก็ต้องตามไปดูที่อินเดีย บ้านเราพบแต่แบบที่เรียกว่ามุขลึงค์ คือพระศิวะโผล่ออกมาแค่หน้าเท่านั้น แต่ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเราอยู่ดีนั่นแหละ ปัญหาคือที่พระเจ้าติโลกราชท่านบอกนาย อะไรคือมนตราปาหนัน เราต้องถอดปริศนาตรงนี้ให้ได้”

“คุณเคยฝันอะไรแปลกๆ บ้างไหมคะรุทธ์ หนันหมายถึงก่อนที่คุณจะพบกับหนันน่ะค่ะ ลองทบทวนดู อาจจะพอคิดออก หรือมีอะไรเชื่อมต่อกันก็ได้”

อติรุทธ์ส่ายหน้า

“ทุกครั้งที่ฝัน พอตื่นขึ้นมาผมก็จะลืมมันหมด”

“หมดเลยหรือคะ”

“ครับ ยกเว้นครั้งล่าสุดที่พอจำได้ และถ้าคืนไหนผมฝัน ตื่นเช้าขึ้นมาก็จะมีดอกปาหนันปริศนาวางอยู่บนหมอนดอกหนึ่งทุกครั้งไป”

“ครั้งล่าสุด คุณฝันว่ายังไงคะ”

ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้นกดขมับเหมือนพยายามจะเค้นความทรงจำของตัวเองออกมาให้ได้ เพราะถึงเขาจะบอกว่าพอจำได้ แต่พอจะเล่าจริงๆ ภาพในสมองก็กลับเลือนรางเต็มที ถ้อยคำต่างๆ ที่พร้อมจะเล่าเมื่อครู่ก็พลอยกลืนหายลงคอไปด้วย ยิ่งเขาพยายามคิดและพูดเท่าไหร่ก็ยิ่งปวดศีรษะ วลีเดียวที่หลุดจากปากของอติรุทธ์คือ

“สระบัว”

ปาหนันขมวดคิ้ว ความรู้สึกบางอย่างแล่นปลาบในหัวใจ สระบัวอย่างนั้นหรือ ทำไมต้องจำเพาะเป็นที่นี่ด้วย ใจหนึ่งอยากถามต่อ แต่อีกใจหนึ่งกลับบอกให้หล่อนระงับความอยากรู้เอาไว้ก่อน ยิ่งเห็นอาการของคนตรงหน้าแล้วก็ยิ่งลังเล อติรุทธ์ดูทรมานกับการพยายามจะบอกเล่าอย่างนี้แล้ว หล่อนยังจะใจดำเค้นให้เขาพูดอยู่อีกหรือ ระหว่างที่หล่อนพยายามต่อสู้กับความต้องการของตนเองอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาราวกับคำตัดสิน

“หนัน วานช่วยไปเอายามาให้เจ้ารุทธ์ทีเถิด”

“ค...ค่ะ”

หญิงสาวรับคำแล้วรีบลุกออกไปทันที พอคล้อยหลังแล้วสินธุก็เอื้อมไปจับมือเพื่อนบีบแรงๆ ทีหนึ่ง คล้ายเรียกสติ

“รุทธ์ พอแล้ว คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด ปวดหัวเปล่าๆ นั่งพักเถอะ ฉันให้หนันไปเอายามาให้แล้ว”

“แปลก ทำไมฉันกลับนึกไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ”

“ฉันกลับคิดว่าไม่แปลกว่ะ”

สินธุบอกเสียงเรียบ อติรุทธ์หันขวับมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู ขณะที่คนถูกมองกลับหัวเราะเบาๆ ในคอ ก่อนจะบอกต่อไปว่า

“อย่าทำหน้าทำตาอย่างนี้กับฉันเลยรุทธ์ ฉันพูดจริงๆ บางทีเรื่องนี้อาจยังไม่ถึงเวลาที่นายต้องพูดก็ได้ ที่แปลกน่ะหนันต่างหาก เขามองนายเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว จนฉันต้องบอกให้เขาลุกไปเอายามาให้”

“คุณหนันน่ะหรือเฉย”

“ใช่ นี่นายไม่เห็นเลยหรือไง”

“ถ้าเห็นฉันคงไม่มานั่งถามอย่างนี้หรอกวะ เออแฮะ หายปวดแล้วว่ะธุ หายสนิทเลยด้วย”

อติรุทธ์เพิ่งรู้ตัว อาการปวดหัวที่เหมือนกับมีเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงอยู่ภายในเมื่อครู่ มาถึงตอนนี้กลับหายเป็นปลิดทิ้ง สินธุยิ้มนิดๆ

“อืม หาย แต่พนันกันได้เลยว่าถ้านายพยายามคิดถึงความฝันอีกเมื่อไหร่ นายก็จะปวดหัวขึ้นมาอีก พอเลย หยุดคิดไปก่อน เพราะไม่ใช่แค่นายจะทรมานอย่างเดียว แต่มันจะทำให้พวกเราเสียเวลาด้วย สู้อ่านปั๊บสาผูกนี้ไม่ดีกว่าหรือ บางทีสิ่งที่พวกเราอยากรู้น่ะหานไสสูงอาจเขียนบันทึกเอาไว้ก็ได้”


สินธุพูดจบก็พอดีกับเสียงเคาะประตูห้อง ตามมาด้วยร่างของปาหนันที่เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำในมือและขวดยาขนาดเล็กสีขาวขวดหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงโต๊ะ หล่อนก็ส่งแก้วน้ำให้อติรุทธ์รับไป ส่วนตนเองลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมพลางหมุนฝาขวดยาเปิดออก แล้วเทยาเม็ดสีขาวลงบนฝ่ามือสองเม็ดส่งให้ชายหนุ่ม อติรุทธ์รับไปแล้วก็มองยาในมือเฉยอยู่ ไม่ยอมกินเสียทีจนพยาบาลคนสวยต้องถามอย่างแปลกใจ

“ทำไมไม่ทานยาล่ะคะ”

“ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นยาพิษหรือเปล่า”

เขาบอกหน้าตาเฉย ขณะที่สินธุทำทีเป็นหมุนเก้าอี้ให้หันไปทางชั้นหนังสือด้านหลังแทนเพื่อกลั้นยิ้ม หญิงสาวคนเดียวในห้องได้ยินคำพูดนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

“คุณคิดว่าฉันจะวางยาคุณอย่างนั้นหรือคะ คุณอติรุทธ์”

“อะไรก็เกิดขึ้นได้ไม่ใช่หรือ เมื่อครู่ตอนที่ผมปวดหัวแทบตายคุณยังมองเฉยไม่คิดจะช่วยเลยนี่นา ถ้าเจ้าธุไม่ขอให้คุณออกไปเอายามาให้ ผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณจะปล่อยให้ผมลงไปนอนดิ้นพราดๆ แทบเท้าคุณหรือเปล่า”

คราวนี้คนฟังชักหน้าตึง มีอย่างหรืออยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหา ที่นั่งเฉยเมื่อครู่ก็เพราะทั้งสับสนทั้งห่วงเขาปนๆ กันไปจนทำอะไรไม่ถูกต่างหาก ทีแรกหล่อนกะว่าจะเป็นฝ่ายออกปากขอโทษเขาก่อนแท้ๆ ดีล่ะ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว หล่อนคว้ายาในมือเขาทันทีพร้อมกับพูดว่า

“ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นยาพิษก็ไม่ต้องทานค่ะ ฉันไม่ได้บังคับ เอ๊ะ!”

ปาหนันร้องเพราะมือของหล่อนถูกอุ้งมือแข็งแรงรวบจับไว้แน่น หล่อนมองหน้าเจ้าของมือแล้วก็เม้มปากแน่นเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏในดวงหน้าเข้มๆ  

“โกรธอะไรผมเหรอ ผมยังพูดไม่จบเลยนะ ผมกำลังจะบอกว่าต่อให้เป็นยาพิษก็จะกิน เพราะมันเป็นความต้องการของคุณ”

“ปล่อยฉันนะ คุณสินธุนั่งอยู่ตรงนั้นไม่เห็นหรือไง อายเพื่อนคุณบ้างสิ”

หล่อนขู่เสียงเบา อติรุทธ์เหลือบไปทางคนถูกพาดพิงก็เห็นฝ่ายนั้นทำเป็นหยิบหนังสือลงมาพลิกอ่านเหมือนสนใจหนักหนา เขาอมยิ้มนิดๆ

“ลงนายธุได้อ่านหนังสือแบบนั้น ต่อให้มีคนฆ่ากันตายตรงหน้าก็ไม่สนหรอก”

“คนบ้า ทำไมต้องพูดถึงเรื่องตายบ่อยๆ แบบนี้ด้วยนะ”

“ทำไมจะพูดไม่ได้”

“ไม่อยากได้ยินเข้าใจไหม สนุกหรือไงนะที่เห็นฉันเป็นแบบนี้”

“ไอ้ที่ว่าแบบนี้น่ะแบบไหน” ชายหนุ่มถามยั่วไม่จบไม่สิ้น

“คุณรุทธ์ คุณอยากเห็นฉันเป็นบ้าเพราะห่วงคุณหรือไงกันนะ”

“เท่านั้นแหละที่ผมอยากได้ยิน”

เขายิ้มก่อนปล่อยมือหล่อนแต่โดยดี นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มตวัดมองที่ยาในอุ้งมือแวบหนึ่งก่อนมองปาหนันนิ่ง มือใหญ่จัดการกรอกยาเข้าปากตัวเองแล้วดื่มน้ำตาม ตลอดเวลานั้นไม่มีสักวินาทีที่สายตาคู่นั้นจะละไปจากหน้านวลที่เริ่มเป็นสีเรื่อของคนตรงหน้า เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้หล่อนพลางบอกเสียงเบา

“เอาล่ะ ทีนี้ยาพิษของคุณก็อยู่ในตัวผมแล้ว รอเวลาให้มันออกฤทธิ์เท่านั้นเอง”

“ยาพิษอะไรของคุณ นี่มันพาราเซตามอลธรรมดา”

หล่อนเอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างเข่นเขี้ยวนัก คนบ้าอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ ยั่วเก่งเป็นที่หนึ่งเชียว

“พิษรักไงครับ”

เขาบอกยิ้มๆ ด้วยแววตาหวานจัดจนปาหนันชักทำอะไรไม่ถูก พอเห็นมืออีกฝ่ายขยับเข้ามาวางแปะที่เข่าหล่อน ก็เม้มปากแน่นแล้วจัดการฝากรอยเล็บไว้ที่หลังมือคนชอบยั่วเสียเลย เล่นเอาอติรุทธ์ร้องลั่น

“โอ๊ย!”

“อะไร เป็นอะไรรุทธ์”

สินธุตกใจกับเสียงร้องของเพื่อน รีบหมุนเก้าอี้กลับมาแทบไม่ทัน อติรุทธ์แอบลูบมือตัวเองป้อยๆ ปรายตาไปทางคนต้นเหตุแวบหนึ่ง

“ไม่มีอะไร มดกัดนิดหน่อย”

“มดอะไร ห้องนี้ไม่มีสักหน่อย”

'ไอ้ธุ ไอ้บ้า บทจะพาซื่อก็ซื่อเสียจนน่าเตะ มดตัวใหญ่นี่ก็อีกคนจะหัวเราะอะไรนักนะ ตัวทำเขาเจ็บแท้ๆ ยังจะขำอีก เฮ่อ! ให้มันได้อย่างนี้สิไอ้รุทธ์เอ๊ย'  

ชายหนุ่มบ่นอยู่ในใจคนเดียว  แล้วทำทีเป็นหยิบปั๊บสามาพลิกๆ อยู่ไปมาแก้เก้อ แต่แล้วเขาก็สะดุดกับข้อความหนึ่ง หน้าเข้มๆ กลับขรึมลงทันที อีกสองคนที่เหลือเลยพลอยลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไปหมด

“เจออะไรเข้าน่ะรุทธ์”

“คิดว่าเจอนะ ฉันจะอ่านให้ฟัง” อติรุทธ์บอก แล้วเริ่มต้นอ่านทันที  “ข้ามาอยู่ที่เรือนของพระอินทเดชแล้ว วันนี้คุณพระทำวิกลนักที่พาข้าไปพบพระยากลาโหม ทั้งที่ก่อนนี้คุณพระบอกเองว่าจักพาข้าไปฝากตัวก็ต่อเมื่อเห็นข้าอ่านออกเขียนได้แล้ว แต่ข้อนี้ข้าเข้าใจว่า เป็นด้วยคุณพระต้องการให้ข้าแน่ใจชั้นหนึ่งก่อนว่าจักทำดั่งรับปากไว้จริงแท้ จึงพาข้ามาให้พระยาอภัยราชาดูตัวเสียก่อน...”



ความที่เจ้าของเรือนทราบล่วงหน้าว่าจะมีแขกมาพบ จึงให้บ่าวชายคนหนึ่งมารอรับอยู่ก่อนแล้ว เมื่อคนพายวาดหัวเรือเข้ามาใกล้เกือบจะเทียบท่า บ่าวคนนั้นจึงช่วยจับเรือให้เทียบท่าอย่างเรียบร้อย เพื่อให้คนในเรือก้าวขึ้นมาได้อย่างสะดวก พอช่วยคนพายจับเชือกคล้องเรือพันไว้กับเสาท่าน้ำแล้วก็เลยนั่งคุยกันเสียเลย

“เรือนของผู้ใดขอรับ คุณพระ”

โมกถามขณะที่เดินตามหลังพระอินทเดชพลางเหลียวมองไปรอบตัวอย่างระวังตัว อาณาเขตเรือนนี้กะด้วยสายตาแล้วเห็นจะกว้างขวางกว่าเรือนของพระอินทเดชประมาณสองไร่เป็นอย่างต่ำ ทั้งข้าทาสบริวารก็มีมากกว่าด้วย ชะรอยว่าจะเป็นเรือนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งกระมัง

“เจ้าคุณกลาโหมน่ะ ตำแหน่งท่านเรียกได้อีกชื่อว่าพระยาธรรมไตรโลก ท่านเป็นหนึ่งในแปดผู้ช่วยเสนาบดี ดูแลกลาโหมฝ่ายเหนือ แต่คนทั้งหลายเรียกท่านว่าเจ้าคุณกลาโหมเพราะคุ้นปากมากกว่า”

พระอินทเดชอธิบายความโดยไม่ได้หันมาดูคู่สนทนา จึงไม่เห็นแววตาที่วาววับขึ้นชั่วขณะของอีกฝ่าย โมกเกือบรั้งตัวเองไว้ไม่ทันเมื่อจู่ๆ คนเดินนำหน้าก็หยุดเดินเสียดื้อๆ ยังไม่ทันได้ถามว่าอย่างไรก็ได้ยินขุนนางหนุ่มเอ่ยปากทักทายใครบางคนด้วยเสียงอ่อนหวานผิดไปจากเคย

“แม่หญิงดาวเรือง ดีใจจริงที่ได้ปะหน้าแม่หญิงวันนี้ พี่คิดว่าแม่หญิงยังอยู่ในวังเสียอีก”

“ฉันเพิ่งออกเวรจ้ะ คุณพระ กลับมาถึงเรือนสักชั่วอึดใจนี่เอง”

เสียงหวานค่อนข้างแหลมตอบกลับมาอย่างมีจริต โมกนิ่วหน้า นึกอยากเห็นหน้าเจ้าของเสียงขึ้นมาครามครัน เพราะเสียงเยี่ยงนี้ค่อนข้างบอกถึงพื้นนิสัยคนพูดว่าเจ้าชู้ใช่ย่อย แต่เขาก็ไม่อยากปักใจตัดสินคนเพียงแค่เสียง แต่พอเห็นหูตาแพรวพราวของแม่สาวตรงหน้าแล้วก็ทอดถอน หล่อนสวยผุดผาดยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนๆ ที่เขาเคยพบก็จริง แต่แปลกที่เขาไม่คิดสนใจหรือแม้แต่จะชายตามองซ้ำสอง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพระอินทเดชนึกชอบเข้าไปได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้ลงว่าเป็นชาวบ้านทั่วไปเห็นจะไม่แคล้วมีผัวไปทั่วบ้านทั่วเมืองกระมัง

“อย่าเรียกว่าคุณพระเลย เรียกว่าคุณพี่เถิด”

“จักดีฤๅเจ้าคะ”

ดาวเรืองถามด้วยท่าทีเอียงอายยิ่ง ส่วนนางบ่าวที่นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ นั้นก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม ด้วยรู้ดีว่าคุณหนูของตนเริ่มร่ายเสน่ห์ใส่พระอินทเดชอีกแล้ว ข้างชายหนุ่มที่ถนัดเพียงเชิงรบ แต่ไม่เท่าทันเชิงจริตมารยาสตรียิ่งฉีกยิ้มกว้าง

“ดีสิแม่ เรียกพี่ฟังแล้วชื่นใจกว่านัก จริงสิ ท่านเจ้าคุณอยู่เรือนฤๅไม่”

“อยู่บนเรือนเจ้าค่ะ คุณพี่รออยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยวเถิด ฉันจักขึ้นไปเรียนท่านให้ ว่าคุณพี่มาพบตามที่บอกไว้ หากท่านว่าประการใดแล้ว ฉันจักให้บ่าวลงมาตาม”

ดาวเรืองบอกพลางยิ้มหวานให้สองหนุ่ม โมกไม่ได้คิดไปเองแน่ที่เห็นสายตาชม้อยชม้ายชำเลืองมาทางเขาอย่างสนใจนัก เมื่อเห็นเขาไม่มีท่าทีสนองตอบ ริมฝีปากบางจึงขบเม้มเข้าหากันนิดๆ อย่างคนไม่ได้ดั่งใจ ก่อนสะบัดหน้าเดินนำไปทางเรือนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก



“ผู้ใดหรือขอรับคุณพระ”

พอคล้อยหลังดาวเรืองไปได้สักครู่ โมกก็อดปากไว้ไม่ได้เพราะความอยากรู้ว่าผู้หญิงที่เต็มไปด้วยจริตมารยาผู้นี้มีความสัมพันธ์ประการใดกับเจ้าคุณกลาโหม

“ผู้ใด อ๋อ แม่หญิงดาวเรืองน่ะ เป็นลูกสาวคนเดียวของท่านเจ้าคุณ งามหรือไม่เล่าโมก ข้าปองดาวเรืองดอกนี้มานานนักแล้ว เจ้าใคร่รู้ด้วยเหตุใดรึ”

โมกย่นหัวคิ้ว ครั้นเห็นพระอินทเดชที่หันขวับมามองตนเองด้วยสายตาดุๆ ก็ลอบถอนใจ พิษรักบดบังดวงตาดวงใจได้ถึงเพียงนี้เทียวหรือ ทั้งคำพูดคำจาที่กล่าวถึงนางก็เจือด้วยความหึงหวงนิดๆ อาจเป็นเพราะเข้าใจว่าเขานึกชอบแม่ดาวเรืองที่สวยเพียงรูปด้วยกระมัง โมกจึงรีบออกตัวเสียก่อนว่า

“หามิได้คุณพระ ที่ข้าพระเจ้าถามก็ด้วยเห็นว่าคุณพระดูต้องใจนางนักเท่านั้นขอรับ หาได้คิดเป็นอื่นไม่”

พระอินทเดชค่อยยิ้มออกมาได้กับคำตอบนั้น แล้วบอกว่า

“ข้าผูกไมตรีด้วยนางมาหลายเพลา ตั้งใจว่าเดือนสิบนี้จักสู่ขอนางมาเป็นศรีเรือนเสียที”

สองหนุ่มหยุดเจรจาความลงแต่เพียงนั้น เมื่อบ่าวคนหนึ่งเข้ามาเชิญให้ขึ้นไปบนเรือน พระอินทเดชทำหน้าผิดหวังนิดหนึ่งที่สาวคนรักไม่ตามลงมาด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดว่ากระไร คงเดินนำโมกขึ้นไปบนเรือนแต่โดยดี  


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 19:46:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com