ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๘ : หัวใจของบดี
|
 |
+++ อ่า ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อตัวละครหนึ่งตัวค่ะ คือบุญยืน ตัวละครที่เคยโผล่ออกมาชวงบทแรกๆ แล้วเกิดอาการรักแรกพบเกษวดีน่ะค่ะ อินขอเปลี่ยนชื่อจากบุญยืน เป็น "อศิระ" แทนนะคะ ^^ เพื่อให้ลิงค์กับเรื่อง "ทวารวดีศรีนระ" ค่ะ +++
บทที่ ๘ : หัวใจของบดี
พ่ออยู่หัวธรรมปารัชนิ่งตะลึงไปอยู่ครู่ใหญ่ สายตาของจอมคนผู้ชราจับนิ่งอยู่ที่ธิดาคนโปรดอย่างหนักใจนัก อันที่จริงท่านก็ยินดีใช่น้อยที่มหาฤๅษีทั้งสองตนปรารถนาจะยกธิดาของท่านเป็นนางพญายังนคราใหม่นั้น หากด้วยหัวใจของคนเป็นบิดานั้น ระหว่างเมืองใหม่กับลวปุระ ท่านก็อยากให้ลูกรักขึ้นเป็นนางพญาในลวปุระนี้มากกว่า เมืองหนต้นน้ำนั้นใช่เพียงอยู่ไกลจากลวปุระ ทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ไพร่ฟ้าฝุ่นเมืองจะเป็นฉันใด จะยอมรับธิดาของท่านเป็นนายเหนือเกล้าหรือไม่ก็สุดรู้ แต่เมื่อตรองดูถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลวปุระเพลานี้ การให้เจ้าหญิงจามเทวีไปสู่เมืองไกลน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทว่าพอเหลือบมองไปทางลูกเขย ความหนักใจที่เริ่มคลายลงไปก็กลับคืนมาอีกคำรบ การนี้เห็นทีว่าท่านคงไม่อาจตัดสินใจแทนได้เสียแล้ว
“ท่านมหาฤๅษี” พ่ออยู่หัวธรรมปารัชเอ่ยเรียก “ข้านี้ยินดีนักกับเรื่องที่ท่านแจ้งมา แต่ข้าไม่อาจตอบท่านได้เพลานี้ และไม่อาจตอบแทนเจ้าหญิงจามเทวีได้ เพราะถ้านางเต็มใจไปนั้นก็ดีอยู่ แต่ถ้านางไม่ยินดีเสียแล้วข้าก็จนใจที่จะบังคับขืนน้ำใจ”
สุกกทันตะฤๅษียิ้มละไมดุจเคย ดวงตาอันเปี่ยมด้วยความปรานีทอดจับที่ศิษย์เอกของท่านแทนคำถาม เจ้าหญิงจามเทวียกมือขึ้นไหว้แล้วตอบว่า
“การครานี้เป็นเรื่องใหญ่นักเจ้าค่ะครูท่าน ศิษย์ไม่อาจตอบได้ทันที หากขอเพลาตรึกตรองให้ถ้วนถี่เสียก่อนเจ้าค่ะ”
“ตรองให้จงดีเถิดเจ้าหญิงจามเทวี ผิว่าเจ้าหญิงตกลงใจเป็นประการใดแล้ว เราพร้อมจะยอมรับการตัดสินใจนั้นทุกประการ แล้วเจ้าหญิงปรารถนาเพลาตรองให้ถ้วนถี่นานสักเท่าใด”
“แม้นครูท่านเมตตาแล้ว ศิษย์ขอเพลาสามวันเจ้าค่ะ”
เจ้าหญิงจามเทวีตอบเสียงขรึม ดวงหน้านวลไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ ผิดกับนัยน์ตาที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวมั่นคงยิ่งกว่าคราวใด และนอกเหนือจากสุกกทันตะฤๅษีแล้ว เพลาที่นางตอบคำนั้นนางมิได้มองหน้าใครสักคนเดียว แม้กระทั่งผู้เป็นบดีที่ได้แต่นิ่งมองนางอย่างคนที่หัวใจถูกควักออกจากทรวงอกเสียแล้ว
“เช่นนั้นเราจักรอฟัง”
เจ้าหญิงจามเทวีไม่ตอบว่าอย่างไร คงค้อมศีรษะลงจรดปลายมือที่พนมไว้เท่านั้น พ่ออยู่หัวธรรมปารัชสนทนาด้วยสุกกทันตะฤๅาและควิยะอยู่อีกพักใหญ่ก็เรียกข้าราชบริพารให้พามหาฤๅษีและคณะทูตทั้งปวงไปยังที่พักอันจัดไว้แล้ว
คล้อยหลังคณะทูต พ่ออยู่หัวธรรมปารัชก็หันมาทางธิดาที่ยังนั่งพับเพียบอยู่ที่เดิม ความสงบนิ่งไม่ติงกายของนางเพลานี้ทำให้ดูไม่ต่างจากรูปสลักหินเลยสักนิดเดียว ข้างเจ้าชายรามราชเองก็มีสีหน้าท่าทีเคร่งขรึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด ส่วนข้าราชบริพารทั้งปวงนั้นต่างก็พูดถึงเรื่องที่สุกกทันตะฤๅษีมาขอเจ้าหญิงจามเทวีไปเมืองเหนือเสียงเซ็งแซ่ไปหมด กระทั่งสองพี่เลี้ยงที่นั่งรออยู่ด้านนอกอดชะเง้อมองเข้าไปภายในด้วยความสงสัยไม่ได้ จอมคนลวปุระถอนใจยาวก่อนจะให้สัญญาณเจ้าพนักงานประโคมดุริยดนตรีเป็นสัญญาณสิ้นสุดการออกมหาสมาคมและว่าราชการ ทำให้การพูดคุยกันนั้นหยุดลงชั่วระยะหนึ่ง เจ้าชายรามราชแตะแขนชายาเป็นเชิงบอกให้ลุกขึ้น ก่อนจับมือนางเดินตามพ่ออยู่หัวธรรมปารัชออกไปจากท้องพระโรง พอคล้อยหลังผู้เป็นนายเท่านั้น บรรดาข้าราชบริพารก็จับกลุ่มกันสนทนาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทันที
เมื่อออกมาจากท้องพระโรงแล้ว เจ้าชายรามราชคล้ายจะพูดอะไรอย่างหนึ่งกับชายาแต่ก็ยั้งปากเอาไว้เสีย ข้างพ่ออยู่หัวธรรมปารัชที่ออกเดินนำหน้าทิ้งห่างออกไปก่อนหน้านี้ก็ชะลอฝีเท้ารอคนทั้งสองจนกระทั่งเดินมาทันกัน เจ้าหญิงจามเทวีที่เงียบมาตั้งแต่ตอบคำท่านมหาฤๅษีแล้วจึงบอกออกมาเป็นประโยคแรกว่า
“พ่อท่านเจ้าขา ลูกขอไปไหว้พระที่หอพระสักครู่นะเจ้าคะ”
พ่ออยู่หัวธรรมปารัชพยักหน้าแทนคำอนุญาต จอมนารีลวปุระจึงไหว้ลาทั้งบิดาและบดีแล้วผละจากไปอย่างเงียบๆกับสองพี่เลี้ยง เจ้าชายรามราชจะตามแต่ผู้อาวุโสกว่าเรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าราม ไม่ต้องตามไป”
“แต่พ่อท่าน ลูกไม่วางใจ”
“มีเกษวดีกับปทุมวดีอยู่ด้วยไม่เป็นกระไรหรอก เจ้าตามพ่อมาดีกว่าเจ้าราม”
พ่ออยู่หัวธรรมปารัชบอกเสียงเรียบ ใช่ว่าใจท่านจะไม่ห่วงลูกรัก แต่เพราะรู้ดีว่าเพลาใดที่เจ้าหญิงจามเทวีขอแยกตัวไปไหว้พระเยี่ยงนี้ ย่อมหมาายความว่าเจ้าตัวกำลังว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย เพลานี้สีหน้าของท่านแทบจะไม่ต่างจากธิดาคนโปรดเลย เมื่อพูดจบก็ออกเดินไปทางเสลี่ยงคานหามที่รออยู่ทางหนึ่ง โดยไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธใด ๆ กิริยานั้นยิ่งทำให้เจ้าชายรามราชละล้าละลัง ใจหนึ่งอยากตามชายาไป แต่อีกใจก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของพ่อตา กระทั่งยินเสียงจอมคนลวปุระขานชื่อตนเองหนักๆ เจ้าชายรามราชจึงจำต้องตัดใจละสายตาจากนางอันเป็นที่รัก
ดอกบัวหลวงก้านยาวเพิ่งเด็ดมาจากสระ ยังมีหยดน้ำเล็ก ๆ เกาะอยู่ที่ก้านและกลีบดอกนั้นวางอยู่ในพานทอง กรุ่นกลิ่นกำยานหอมอ่อนไปทั่วทั้งวิหาร ร่างบางก้มกราบแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองพระพุทธรูปแก้วใสที่ประดิษฐานอยู่บนบุษบกเบื้องหน้าตน เนตรพระปฏิมาดูคล้ายจะทอดมองมาอยู่ก่อนแล้วด้วยสายพระเนตรปรานี เจ้าหญิงจามเทวีระบายลมหายใจยาว การในลวปุระยังไม่ทันเรียบร้อยดีนักก็มีความลำบากใจอย่างใหม่มาให้เสียแล้ว นางรู้ดีว่าถึงอย่างไรก็ต้องจากลวปุระไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องจากไกลไปถึงดินแดนหนต้นน้ำ ดินแดนที่นางไม่เคยคุ้นทั้งผู้คนและความเป็นอยู่
“พี่ทั้งสองรู้แล้วใช่ฤๅไม่ ว่าครูท่านมาด้วยการใด”
เจ้าหญิงจามเทวีถามสองพี่เลี้ยงที่นั่งเยื้องไปทางด้านหลังโดยไม่หันมามอง นางทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง ปทุมวดีก็ตอบความว่า
“ไม่รู้เลยเจ้าค่ะ แม่นาย เผือข้ารออยู่ด้านนอก เมื่อแรกนั้นก็เห็นเงียบสงบดีอยู่ ต่อไม่นานก็ยินเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ความสักนิด”
“ครูท่านมาขอเราให้ไปยังนครใหม่ที่ท่านสร้าง” น้ำเสียงนั้นราบเรียบราวบอกเล่าเรื่องอันเป็นปกติธรรมดา
“ทางเหนือนั่นหรือเจ้าคะ เห็นจักชวนแม่นายไปชมกระมัง”
ปทุมวดีตอบคำ ยังไม่ฉุกใจคิดว่ามีบางสิ่งที่มากกว่านั้น ตราบจนได้ยินเสียงนายสาวหัวเราะเสียงพร่า
“มิใช่แค่ไปชม แต่ให้เราขึ้นนั่งเมืองนั้นต่างหาก”
“ไปนั่งเมือง!”
เกษวดีกับปทุมวดีอุทานออกมาพร้อมกันจนเสียงดังก้องไปทั้งวิหาร พาให้นกตัวเล็กๆ ที่บินมาจับขอบหน้าต่างตกใจบินผละหนีไป เจ้าหญิงจามเทวีขยับตัวหันมาทางคนสนิท
“ใช่ ที่พวกพี่ยินเสียงอื้ออึงก็ด้วยเหตุนี้”
“แล้วพ่ออยู่หัวตอบความท่านมหาฤๅษีว่าประการใดเจ้าคะ” เกษวดีซักอย่างร้อนใจ
“พ่อท่านว่าอยู่ที่เราว่าจักไปหรือไม่”
“แล้วแม่นายคิดเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ จักไปฤๅไม่”
“นั่นสิพี่ จักไปดีฤๅไม่”
เจ้าหญิงจามเทวีไม่ตอบกลับย้อนถามด้วยสีหน้ายิ้มละไม ทว่านัยน์ตาซ่อนแววโศกอย่างปิดไม่มิด “หากเปรียบลวปุระดุจเรือนนอน เราเคยเป็นสุขและร่มเย็นอยู่ในเรือนนี้ ทว่าวันหนึ่งเรือนเดียวกันนี้กลับทำให้เราต้องร้อนกายร้อนใจไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนเมืองเหนือนั้น อุปมาก็เสมือนเรือนใหม่ ที่เราก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไปแล้วต้องประสบพบเจอสิ่งไรบ้าง อาจร่มเย็น หรืออาจร้อนเสียยิ่งกว่าเรือนเดิมก็เป็นได้”
“เช่นนั้นก็อยู่เสียที่นี่เถิดเจ้าคะ ขึ้นชื่อว่าไฟ ต่อให้แรงร้อนสักเพียงใดก็ต้องมีสักวันที่จักดับมอดลงได้” ปทุมวดีบอก
“ดับกองนี้ ก็มีกองใหม่รออยู่อีก ให้เราตามดับอยู่จนชั่วชีวิตหรือพี่จ๋า”
น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนระคนทอดถอนจนคนฟังรู้สึกได้ เกษวดีเอื้อมมือไปแตะที่เข่าผู้เป็นนายก่อนบอกด้วยเสียงอ่อนโยน
“มหาฤๅษีท่านคงมิได้เร่งเอาคำตอบวันนี้พรุ่งนี้กระมัง แม่นายลองตรองดูให้ถ้วนถี่เถิดเจ้าค่ะ อย่าด่วนปลงใจเพลานี้เลย อีกประการเล่า แม่นายจักเดินทางไกลได้อย่างไร ในเมื่อแม่นายตั้งครรภ์ได้สามเดือนเข้านี่แล้ว เจ้ารามราชท่านคงไม่ยอมให้แม่นายต้องจากไปไกลเพียงนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
เจ้าหญิงจามเทวีนิ่งเงียบไปอีก มือเรียวยกขึ้นแตะท้องตนเอง นางอยากจะเชื่อคำปลอบโยนของเกษวดี แต่อีกใจก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าชายรามราชจะยับยั้งนางให้อยู่ที่ลวปุระนี้ต่อไปหรือไม่ ในเมื่อที่ผ่านมาเจ้าชายรามราชก็ร่ำ ๆ จะส่งนางไปรามนครอยู่แล้ว ครานี้เกรงจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ชายาคนนี้ไปจากลวปุระเสียมากกว่า
ในขณะเดียวกันนั้นที่เรือนหลวง ในห้องทำงานส่วนตัวของพ่ออยู่หัวธรรมปารัช สองบุรุษต่างวัยก็เคร่งเครียดกับเรื่องนี้อยู่เช่นกัน พ่ออยู่หัวธรรมปารัชยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่างมองลูกเขยที่นั่งหน้าเคร่งอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเห็นใจนัก
“ครั้งที่จามเทวียังเด็กนั้น มหาฤๅษีสุกกทันตะและมหาฤๅษีวาสุเทพท่านมาที่นี่ พินิจลักษณะนางแล้วก็บอกว่าจามเทวีมีบุญญานัก จักได้ขึ้นถึงที่นางพญานั้นแล้ว เพลานั้นพ่อยังขบขันอยู่ว่า นางเป็นหญิงจักขึ้นครองแผ่นดินได้อย่างไร ทว่ายิ่งนานไป ความสามารถของจามเทวีก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคน เช่นที่เจ้าก็เคยเห็นแล้วเมื่อครั้งศึกโกสัมพี”
พ่ออยู่หัวธรรมปารัชเห็นเจ้าชายรามราชไม่พูดจาอย่างไรสักคำ นอกจากนั่งนิ่งฟังความอย่างเดียวก็ถอนใจ สืบเท้าเข้ามายืนใกล้ๆ ก่อนวางมือลงบนไหล่กว้างของผู้เป็นเขย
“อย่าหาว่าพ่อนี้ใจดำเลยนะเจ้าราม พ่ออยากให้จามเทวีไปเมืองเหนือด้วยท่านสุกกทันตะฤๅษี ส่วนเจ้าพ่ออยากให้อยู่ช่วยงานพ่อทางนี้ดังเดิม หากว่าเจ้าพอใจหญิงใดแล้ว พ่อจักตบแต่งให้ตามความประสงค์”
“พ่อท่านอย่าหมิ่นน้ำใจรามราชคนนี้นัก” เจ้าชายรามราชที่เงียบมาตลอดกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเกือบจะกระด้าง “ลูกเองก็อยากให้จามเทวีไปเมืองเหนือเช่นกัน เพราะเหตุใดลูกและพ่อท่านย่อมแจ้งแก่ใจตน แต่ข้อที่ว่าจักให้ลูกอยู่ที่ลวปุระต่อไปนั้นเห็นจักมิได้ แม้นจามเทวีไปเมื่อใด ลูกก็จักขอตามนางไปเช่นกัน”
“ไปได้อย่างใด ในเมื่อท่านมหาฤๅษีขอแต่จามเทวี มิได้ขอเจ้าไปด้วย”
เจ้าชายรามราชหน้านิ่งอึดไปชั่วขณะหนึ่ง ความจริงข้อนี้ยากปฏิเสธ แต่ก็ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจยอมรับเช่นกัน
“ตามไปหนต้นน้ำมิได้ ลูกก็จักขอคืนไปอยู่รามนครดุจเดิม ลูกไม่อาจอยู่ลวปุระได้โดยปราศจากนาง ข้อที่พ่อท่านว่าจักหาชายาให้ลูกใหม่นั้น ลูกซาบซึ้งในน้ำใจของพ่อท่านนักแล้ว แต่ลูกให้สัตย์ปฏิญาณต่อตนเองไว้นับแต่แรกพบเจ้าจามเทวีแล้วว่า ชีวิตนี้ลูกไม่ขอปองปรารถนานางใดอีก อย่าว่าแต่นอนทับที่ของเจ้าจามเทวีเลย แค่มาอิงแอบแนบข้างก็ไม่ยินยอมโดยเด็ดขาดแล้ว แม้ต้องจากไกลกันเยี่ยงนี้ ลูกก็ยินดีที่จักขอรำลึกถึงนางทุกชั่วลมหายใจ สิ่งนี้เท่านั้นที่จักหล่อเลี้ยงใจลูกได้ ขอพ่อท่านอย่าหักหาญด้วยการหานางอื่นใดมาให้ลูกเลย”
“เจ้าราม”
พ่ออยู่หัวธรรมปารัชท้วงเสียงอ่อนลง เมื่อเห็นท่าทีของลูกเขยเช่นนั้น เจ้าชายรามราชขบริมฝีปากนิดหนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า
“และถึงแม้ลูกจักเห็นแก่ตนเองไม่ยอมให้นางไปแล้วไซร้ แต่ลูกจักหาญขัดบัญชาพ่ออยู่หัวได้ฤๅเล่า หากพ่ออยู่หัวประสงค์เช่นไร ธุลีเยี่ยงลูกนี้ฤๅจักขัดประสงค์เจ้าหล้าได้ พ่อท่านอย่าเกรงว่าลูกจักรั้งเจ้าจามเทวีไม่ให้นางไปสู่ความเจริญเลย ตรงกันข้าม ทางใดที่จักช่วยให้นางไปสู่ที่สูงสุดนั้นได้ ลูกพร้อมจักทำทุกสิ่งเพื่อนาง แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของรามราชผู้นี้ก็ตาม แม้นพ่อท่านไม่มีการใดแล้ว ลูกขอตัวก่อน”
เจ้าชายรามราชพูดจบก็ยกมือไหว้แล้วลุกออกไปทันที แต่พอไปถึงประตูห้อง ร่างสูงก็ชะงักเหลียวกลับมาบอกผู้เป็นทั้งพ่อตาและเป็นทั้งนายเหนือเกล้าว่า
“ลูกขอให้คำมั่นว่าจักกล่อมนางให้ยอมไปเมืองต้นน้ำให้จงได้ ขอพ่อท่านอย่าได้เป็นห่วงเลย”
พูดไปทั้งที่รู้ ไม่จำต้องใช้วาจาใดกล่อมนางให้ยอมไป มีแต่จะต้องกล่อมให้นางยอมอยู่ที่ลวปุระเสียมากกว่า แต่จะทำเช่นนั้นไปเพื่อการใดเล่า ในเมื่อรู้แก่ใจตนดีอยู่แล้ว ส่วนพ่ออยู่หัวธรรมปารัชพูดไม่ออกเมื่อรู้ถึงน้ำใจของเจ้าชายจากเมืองเล็กๆ คนนี้ ทั้งที่ใจอยากจะเรียกรั้งไว้แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ล่วงพ้นจากปาก ทำได้ก็แต่มองตามหลังเจ้าชายรามราชไปตราบกระทั่งบานประตูบานนั้นปิดสนิทลงเท่านั้นเอง
สิงห์ก้าวเข้ามาในลานฝึก ยืนมองผู้เป็นนายที่โถมแรงฟาดฟันดาบเข้าใส่อศิระซึ่งเป็นคู่ซ้อมอย่างไม่ยั้งด้วยความห่วงใยทั้งคนรุกคนรับ ทั้งที่อศิระนั้นมีฝีมือดาบเป็นเอกซึ่งเขาได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองครั้งทำศึกโกสัมพี สิงห์จึงขอตัวอศิระจากเจ้าหญิงจามเทวีมาเข้าสังกัดของตน ได้ยศเป็นหัวหมู่กองทะลวงฟัน ด้วยฝีมือที่หาตัวจับยากนี้ ทำให้อศิระได้เป็นคู่ซ้อมให้เจ้าชายรามราชเพลาที่สิงห์ติดกิจธุระหรือมาล่าช้าเช่นวันนี้ เพลานี้เจ้าคนซื่อของเขาได้แต่รับดาบพลางถอยพลางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะการต่อสู้ของเจ้าชายรามราชวันนี้ดุดันเกินกว่าการซ้อมธรรมดามากนัก ยังดีที่ดาบซ้อมเป็นดาบไม้ หาไม่แล้วเจ้าหัวหมู่คนซื่อเห็นจะตายกลายเป็นผีเฝ้าลานฝึกนี้เป็นแน่ ส่วนคนอื่นๆ ก็ทำหน้าหวาดสยองไม่แพ้กัน อศิระยกดาบไม้ในมือขึ้นรับแล้วถอยฉากหนีไปอีก แต่เจ้าชายรามราชก็ตามติดไม่ยอมปล่อย จังหวะหนึ่งเจ้าคนซื่อถอยสะดุดขาตนเองล้มหงายลงไม่เป็นท่า พอตั้งตัวได้จะลุกขึ้นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นดาบไม้ของอีกฝ่ายแหวกอากาศลงมาหมายแสกหน้า สุดปัญญาที่จะพลิกหลบไปข้างไหนทัน ยังดีที่มีดาบหนึ่งสอดเข้ามาสกัดเอาไว้ทัน
“พอแล้ว ท่านมหาอุปราช”
สิงห์นั่นเอง เขาเข้ามายืนหน้าเครียดขวางกลางระหว่างเจ้าชายรามราชกับอศิระระหว่างที่เจ้าคนโชคร้ายกำลังยันตัวลุกขึ้นมา สิงห์ตวัดสายตามองไปด้านหลังแวบหนึ่งแล้วบอกเสียงหนักๆ โดยไม่สนใจอาการฮึดฮัดของผู้เป็นนายว่า
“ไปพักก่อนเถิดอศิระ”
สายตาดุตวัดกลับมามองนายที่ฟาดดาบเข้ากับกิ่งไม้ใบหญ้าใกล้ๆ อย่างระบายความอัดอั้น สิงห์ถอนใจยาวรอจนอศิระห่างออกไปแล้วจึงลดเสียงลงแล้วบอกว่า
“ใช่ว่าข้าจักไม่รู้ว่าท่านมหาอุปราชรู้สึกเยี่ยงไร แต่การที่ท่านนำความอัดอั้นดังว่านั้นมาระบายกับคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเยี่ยงนี้ควรแล้วรึ”
“ก็แล้วเจ้าจักให้เราทำกระไรรึสิงห์”
“ถมไป อันที่จริงท่านจักโกรธพ่ออยู่หัวนั้นหาควรไม่ เพราะพ่ออยู่หัวพูดไปด้วยน้ำใจสุจริตจริงแท้” สิงห์รู้เรื่องที่พ่ออยู่หัวธรรมปารัชคิดหาชายาใหม่ให้เจ้าชายรามราชแล้วจากปากของเจ้าตัวเอง เขาทอดเสียงอ่อนลงแล้วพูดต่อไปว่า “ระงับโทสะลงก่อนเถิดแล้วฟังข้าสักนิด ไม่มีบิดาคนใดหาเมียเล็กเมียน้อยให้ลูกเขยเพื่อที่ลูกสาวตัวจักได้ช้ำใจเล่นหรอก แต่ที่พูดไปก็คงหมายจักให้ท่านได้คลายที่เศร้าอาลัยลงบ้างเท่านั้น”
“ใช่ว่าเราไม่รู้ความข้อนั้น” เจ้าชายรามราชเริ่มมีท่าทีอ่อนลงบ้าง “แต่เราก็อดเสียใจมิได้ที่พ่อท่านพูดราวกับหมิ่นน้ำใจเช่นนั้น ผู้ชายอื่นอาจจะดีใจ แต่ไม่ใช่เรา” มหาอุปราชลวปุระถอนใจยาวแล้วเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าไล่อศิระไปแล้ว มาเป็นคู่ซ้อมให้เราหน่อยเป็นไร”
“ไม่จักดีกว่า ข้าไม่แน่ใจว่าท่านจักบ้าดีเดือดขึ้นมาอีกฤๅไม่ อีกประการเล่านี่ก็เย็นย่ำแล้ว ท่านไม่กลับเรือนหรืออย่างไร ป่านนี้แม่นายท่านคงรอกินข้าวด้วยแล้ว”
ท้ายประโยคเอ่ยล้อหวังให้นายคลายที่ขุ่นข้อง แต่ก็กลับเป็นฝ่ายแปลกใจเสียเองเมื่อเจ้าชายรามราชส่ายหน้าช้าๆ ก่อนหันไปกวักมือเรียกอศิระให้เข้ามาหา เจ้าคนซื่อรีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามานั่งคุกเข่ารอรับคำสั่ง
“อศิระ เราให้เจ้ากลับเรือนนอนไปพักผ่อนได้ ถือว่าเราไถ่โทษเจ้าก็แล้วกัน แต่ก่อนกลับไปนั้น เราวานเจ้าฝากความไปบอกเกษวดีสักหน่อย”
ได้ยินชื่อนางในดวงใจ อศิระฉีกยิ้มกว้างแทบว่าจะเห็นฟันครบทุกซี่ จนเจ้าชายรามราชกับสิงห์อดขันไม่ได้
“ดูมันทำหน้าเข้าท่านมหาอุปราช ยินชื่อเกษวดีเท่านั้น ยิ้มปากจักฉีกไปถึงใบหูแล้วกระมังนั่น”
“ข้ารักของข้านี่นะ ท่านสิงห์” อศิระบอกเสียงดังฟังชัด
“เออ รัก แต่ข้าไม่เห็นเกษวดียอมพูดดีกับเจ้าเลยนี่ พบหน้ากันคราใดเห็นนางค่อนว่าเจ้าสารพัด เจ้าก็ดีใจหายยิ้มรับยอมให้โขกให้สับอยู่ได้”
“ท่านสิงห์ไม่เคยได้ยินรึ ผู้หญิงด่าเขาว่าผู้หญิงรัก แน่ล่ะ ใครจักเหมือนปทุมวดีของท่านเล่า”
อศิระเถียงคำไม่ตกฟาก จนสิงห์ร่ำๆ จะปราดเข้าไปเตะเสียสักผางให้หายหมั่นไส้ ดีที่เจ้าชายรามราชขวางเอาไว้ก่อน
“พอเถิด ทั้งสองคนนั่นละ เถียงกันไปไยให้มากความ เอ้า! อศิระฝากไปบอกเกษวดีว่า คืนนี้ข้าไม่กลับเรือน แต่จักไปนอนที่เรือนของสิงห์ ให้บอกเมียข้าด้วย”
อศิระรับคำแล้ววิ่งออกไปทันทีตามประสาคนใจร้อน เจ้าชายรามราชส่ายหน้ามองตามไปอย่างขันๆ นึกไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้มันเป็นช่างหล่อพระได้อย่างไร เกรงว่าที่พ่อไล่มาเป็นทหารนี่เพราะแกะแม่แบบจนเสียของไปโขเสียล่ะมากกว่า ครั้นหันมาทางสหายก็สะดุ้งกับสายตาดุๆ ที่มองมา
“ไยพูดเยี่ยงนั้น ไม่กลับเรือน แต่จักมาอาศัยนอนที่เรือนข้า”
“ไม่ได้รึ เช่นนั้นเราจักไปอาศัยนอนกับอศิระมันก็แล้วกัน”
“ท่านมหาอุปราช ข้าไม่ขันด้วยท่านหรอกนะ อย่าเฉไฉ ตอบความข้ามาบัดเดี๋ยวนี้เทียว”
“นี่เจ้าเป็นสหายหรือนายเรากันแน่นะสิงห์ ก็ได้ ชั่วสามวันนี้เราจักไม่กลับเรือน อย่าเพิ่งพูด ฟังข้าให้จบก่อน” มหาอุปราชลวปุระยกมือห้ามสหายที่ตั้งท่าจะต่อว่า “เราไม่อยากให้ใครหรือสิ่งใดมาทำให้เจ้าจามเทวีไขว้เขว เราอยากให้นางตรองและตกลงใจด้วยตัวของนางเอง”
“ไม่คิดฤๅ ว่าแม่นายจักอยากให้ท่านช่วยคิดด้วย”
“การของนางโดยแท้ ไม่ว่านางจักตัดสินใจเยี่ยงไร เราพร้อมแล้วที่จักรับผลแห่งการนั้น”
เจ้าชายรามราชบอกเสียงหนัก ก่อนเดินผละหนีไปทางหนึ่ง เพื่อไม่ให้สหายได้เห็นแววหวั่นไหวในดวงตา แม้ปากว่าพร้อมยอมรับ แต่ใครเลยจะรู้ดีเท่าตัวเองว่าความจริงแล้ว อยากให้เหตุการณ์ครานี้เป็นเพียงฝันร้ายที่พอตื่นขึ้นมาก็เลือนหายไป อยากให้นางตัดสินใจอยู่ต่อที่ลวปุระแห่งนี้ตลอดไป แต่ก็เป็นเพียงแค่ 'อยาก' เท่านั้น ด้วยรู้ถึงการตัดสินใจของนางตั้งแต่เห็นแววตาคู่นั้นในท้องพระโรงแล้ว
มหาอุปราชลวปุระเดินมาได้เพียงสามก้าวก็ชะงักนิ่งอยู่เมื่อเห็นใครคนหนึ่งก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มและแววตาปรานีที่ทอดมองมาส่งให้อุปราชหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วกราบลงแทบเท้าคนผู้นั้นนิ่งนาน น้ำอุ่นชื้นที่หยดลงต้องหลังเท้าทำให้คนได้รับความเคารพต้องย่อตัวลงแล้ววางมือไว้เหนือศีรษะ คนผู้นั้นก้มหน้าลงกระซิบความบางอย่างแล้วหยัดตัวขึ้นยืนเต็มส่วนสัดดุจเดิม ก่อนจะเดินจากไปช้าๆ เจ้าชายรามราชลุกขึ้นยืนหันไปสั่งให้สิงห์อยู่รอที่ลานฝึกนี้สักครู่ก่อน แล้วรีบวิ่งเหยาะๆ ตามคนที่เดินล่วงหน้าไปก่อนทันที
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
28 มิ.ย. 55 20:21:10
|
|
|
|