Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คฤหาสน์สนธยา ตอนที่ 12 ติดต่อทีมงาน

“...คะ...ครับ คุณ คุณ...”

ทะเลที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ เลือนหายไป จริงใจ มองกลุ่มตำรวจหน้าเข้มราวกับพึ่งเคยพบเคยเห็น ทั้งๆ ที่เขาถูกสอบสวนมาได้พักหนึ่งแล้ว 'จะเรียกว่าสอบสวนก็เกินไป' น่าจะเรียกว่าเป็นการสอบถามมากกว่า แต่ทั้งสี่คนถูกแยกย้ายไปอยู่คนละมุม ก่อนจะถูกเรียกเข้ามาพูดคุยทีละคน เขาเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม

“...ตกลงว่า พวกคุณทั้งสี่คน แอบเข้าไปในบ้านร้างหลังนั้นกันเมื่อคืน เล่นแกล้งกัน จนตัวคุณ กับผู้หญิงอีกคนที่ชื่อ ปุยฝ้าย ตกบันได มีรอยพกช้ำด้วยกันทั้งคู่ หลังจากนั้นก็กลับมาแยกย้ายกันเข้านอน ตอนเวลาประมาณสี่ทุ่ม และตั้งแต่ตื่นเช้ามา ก็พักผ่อนกันอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหนเลย”

เขาทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนอีกครั้ง ตอนที่เขาลืมตา เขาคิดว่าจะได้เห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่งดงามคนหนึ่ง แต่แล้วมันกลับแยกออกเป็นสาม สองคนที่เขารู้จัก กับหนึ่งคนที่เขารัก เขายกมือของตัวเองขึ้น มือที่เคยจับเธอไว้ไม่ยอมปล่อย แต่ตอนนี้มันกลับกัน เป็นเธอคนนั้นที่กำลังกุมมือเขาอยู่

ปุยฝ้าย มีน้ำตาเปื้อนนองใบหน้า แต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นเขาได้สติ ช่วงเวลาที่เหลือของคืนนั้น กลับคืนสู่ความปกติ ความรู้สึกประหลาดที่เคยห่มคลุมทั่วทั้งบริเวณนี้มาตั้งแต่อาหารมื้อสุดท้าย หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เขายังคงรู้สึกหวาดกลัวทะเลเช่นเดิม แต่ทะเลไม่เคยน่ากลัวเหมือนกับในคืนนั้น และคงจะไม่วันเป็นเช่นนั้นอีกเลยตลอดกาล 'เพราะนั่นมันไม่ใช่ทะเล'

“...ใช่ครับ”

เขาลังเลนิดหน่อย แต่คิดว่าความรู้สึกหลอนเหล่านั้น ไม่ใช่คำตอบที่ตำรวจต้องการ และมันอาจนำพาความยุ่งยากมาให้พวกเขาโดยไม่จำเป็น 'มันไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้น' แต่ลึกๆ ลงไป เขาเองก็ยังสงสัยอยู่

“แล้วคุณได้ยิน หรือพบเห็นอะไรที่ผิดปกติบ้างไหม อะไรก็ได้ ทั้งเมื่อคืน และเช้านี้”

“...ไม่เลยครับ”

คำตอบที่ถูกต้องควรเป็น 'ตั้งเยอะตั้งแยะ' มากกว่า เพราะประสบการณ์พวกนั้น 'มันยิ่งกว่าผิดปกติเสียอีก'

“พวกคุณไม่เคยรู้จักกับผู้ตายมาก่อน”

“ครับ”

“...แต่มีพนักงานคนหนึ่งเล่าว่า เห็นเธอเข้าไปทักกลุ่มของพวกคุณ อีกทั้งพวกคุณคนหนึ่งยังเข้าไปคุยด้วย และช่วยเธอสั่งอาหารเมื่อคืน”

“อ๋อ ที่เจอกันครั้งแรก เธอลืมสมุดไว้ที่โต๊ะซึ่งพวกเรากำลังนั่งอยู่พอดี ผมเป็นคนหยิบคืนให้เธอเองกับมือ ส่วนเคนจิ เขาเป็นลูกครึ่ง เขาพูดภาษาญี่ปุ่นได้ พวกเราเห็นเธอกำลังมีปัญหา เขาก็เลยเข้าไปช่วย มีการพูดคุยกันนิดหน่อย เรารู้แค่ว่าเธอชื่อ...รุริโกะ เท่านั้นเองครับ”

'มิยาซาว่า รุริโกะ' เขารู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้อย่างประหลาด เหมือนกับว่าเขาเคยศึกษาเกี่ยวกับเธออย่างทุ่มเท พยายามค้นหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเธอ ถ้าที่ผ่านมาเขายังไม่เคยลงมือ ก็มั่นใจได้เลยว่าเขาจะต้องทำมันในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย

ตำรวจพยักหน้า เขาฟังเรื่องนี้มาหลายรอบแล้ว และคำให้การของคนพวกนี้ดูปกติอย่างที่ควรจะเป็น หลักฐานทั้งหมดต่างชี้ไปยังบทสรุปเดียวกัน การฆ่าตัวตายโดยอุบัติเหตุ และบางทีอาจมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาคาดว่าสิ่งที่อยู่ในซองพลาสติกใบนั้นจะต้องเป็น มัน อย่างไม่ต้องสงสัย

เขาคิดทบทวนคำให้การของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นคนนั้นอีกครั้ง

'พวกคุณสองคนมีนามสกุลเหมือนกัน คุณมีความเกี่ยวข้องอะไรกับผู้ตายหรือเปล่า'

'เปล่าครับ ผมมีชื่อเป็นญี่ปุ่น พ่อผมเป็นคนญี่ปุ่นก็จริง แต่ผมไม่เคยพบหน้าเขาเลย ไม่รู้จักด้วย และไม่เคยรู้จักใครที่ประเทศญี่ปุ่นทั้งสิ้น ผมไม่เคยเดินทางไปที่นั่นด้วยซ้ำ ผมเกิดในไทย โตที่นี่ เรียนภาษาญี่ปุ่นในนี้...และที่ต้องเรียนก็เป็นเพราะชื่อของผมนั่นแหละ'

'หมายความว่าไงครับ'

'ก็ผมมีชื่อเป็นญี่ปุ่น ถ้าพูดไม่ได้มันคงประหลาดพิลึก'

ตำรวจพยักหน้าเหมือนพึ่งเข้าใจ เขาได้ตรวจดูข้อมูลในบัตรประชาชนแล้ว มันถูกต้องอย่างที่อ้าง เขาเกิดในไทย แม่เป็นคนไทย ไม่น่าจะมีแรงจูงใจ อีกทั้งยังมีหลักฐานอ้างอิงที่อยู่ค่อนข้างชัดเจน

'แล้วพ่อของคุณ ชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน คุณพอรู้ไหมครับ'

'...ผมไม่รู้ ไม่เคยอยากรู้ แม่ไม่เคยบอก ผมไม่อยากถามอีก และแม่ผมเสียไปนานแล้ว'

ดูจากท่าทาง และวิธีการตอบของเขา มันต้องเป็นเรื่องราวร้าวลึก ที่สร้างปมบางอย่างขึ้นภายในใจ แต่มันคงไม่เกี่ยวอะไรกับคดีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้

'...เอ่อ ถ้าผมจะขอให้คุณช่วยแปลหลักฐานอะไรบางอย่างในห้องของผู้ตาย คุณพอจะทำได้ไหม'

'ได้ แต่มันจะดีหรือครับ'

'ผมแค่อยากรู้ข้อมูลคร่าวๆ อย่าง...มีจดหมายลาตาย หรืออะไรทำนองนั้นหรือไม่ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่คนอื่นมาจัดการกับพวกมันทั้งหมดอีกที'

เรื่องนี้ไม่ควรมีอะไรซับซ้อน แต่ความรู้สึกบางอย่างรบกวนจนทำให้เขาไม่สบายใจ เขาเป็นตำรวจมาเกือบทั้งชีวิต คนพวกนี้ต้องมีบางอย่าง ในห้องนั้นต้องมีอะไรบางอย่าง แต่เขายังมองไม่เห็น มันเป็นเหมือนกับเสียงกระพือปีกของยุงที่บินวนเวียนอยู่ข้างหู มีตัวตนแต่จับต้องไม่ได้ และก่อให้เกิดความรำคาญอย่างที่สุด

เขาเผลอยกมือขึ้นปัดข้างหูของตัวเองทั้งๆ ที่ไม่มีอะไร

“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”

ทั้งสี่คนกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ไหมเกาะติดเคนไม่ยอมห่างยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น แต่สายตาที่หญิงสาวมีให้แก่ชายหนุ่มนั้น มันคืออะไร เขาไม่แน่ใจว่ามันคือความรักอย่างที่เคยผ่านมาใช่หรือไม่

ปุ้ยเองก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน เธอเริ่มเปิดใจกับเขามากขึ้น นอกจากนี้ดูเหมือนเรื่องบางอย่างระหว่างเธอกับน้องสาว ซึ่งมีมาก่อนหน้านี้จะจบลงแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันจบลงได้อย่างไร หรือมีข้อสรุปว่าอย่างไรก็ตาม

พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาหันไปมองหน้าเคน แวบหนึ่งเขาเห็นหัวของแมลงประหลาดซ้อนทับกับศีรษะนั้น ก่อนจะระลึกได้ว่า ที่แท้แล้วมันคือใบหน้าของคาเมนไรเดอร์หมายเลขหนึ่งที่เขาเคยดูในสมัยก่อนนั่นเอง แล้วมันก็เกิดขึ้น

'เมื่อคืน เขาอยู่กับพวกเราตลอดเวลาจริงหรือ'

เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นภายในใจ น้ำเสียงที่แสดงถึงประสบการณ์ชีวิตที่อาจมีมากกว่า สูงวัยกว่า แต่เป็นเสียงของใครบางคนที่คุ้นเคย

เขารู้สึกว่าโลกรอบตัว 'ความเป็นจริง' เริ่มสั่นไหว เมื่อคำถามนี้ดังขึ้น โอกาส ความเป็นไปได้ กระจัดกระจายออกไปในทุกทิศทุกทาง 'ฉันควรจะสงสัยหรือไม่' เขาใจสั่น 'ฉันควรจะถามออกไปหรือไม่' เขารู้สึกลมหายใจติดขัด 'ฉันควรทำอย่างไร' ถ้าบอกความสงสัยของเขาออกไป ตำรวจพวกนั้นจะว่าอย่างไร

'ไม่มีใครรู้จริงว่าเขาอยู่ที่ไหน นอกจากที่อ้างว่าตนเองซ่อนอยู่ในบ้านร้างหลังนั้นตลอดเวลา' แต่ถึงอย่างนั้น 'เธอก็ฆ่าตัวตายเองอยู่ดี' เขาเริ่มไม่มั่นใจในข้อนี้

'เธออาจถูกฆ่า' ไม่ 'ไม่มีใครฆ่าเธอ'

ดูเหมือนคนอื่นๆ จะพบเห็นท่าทางผิดปกติของเขา ปุ้ยย่อมเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม

“พี่จริง...สวัส...เป็นอะไร...ดี...ไป...ค่ะ...”

#####

สองเสียงที่แตกต่าง สองเสียงที่ผสานรวม ผ่าความเป็นจริงให้แยกออกเป็นสองส่วน กลายเป็น อดีต และ อนาคต ส่วน ปัจจุบัน นั้นเป็นเพียงช่องว่างบางๆ ที่กั้นอยู่ระหว่างทั้งสองสิ่งนั้น มันคือ ที่ว่างแห่งความจริงแท้

ชายไว้หนวดเคราเงยหน้าขึ้น พร้อมกับรีบซุกซ่อนสมุดบันทึกในมือตามความเคยชิน ทะเลกลับคืนมาอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับวงหน้าสวยสดใสของใครบางคน ใครที่เขาไม่เคยรู้จัก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับได้เคยพบเห็นเธอเมื่อนานมาแล้ว

เธอยิ้ม

“ฉันชื่อแพรดาว ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

“...ผม...จริงใจครับ”

เธออึ้ง ไม่นึกว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้กับผู้หญิงที่พึ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของเธอ จะเป็นเรื่องที่คุ้นเคยสำหรับเขา มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เขาใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่เกิด เคยแนะนำมันกับใครมาแล้วมากมาย เพียงแต่เขาไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มาพักหนึ่งแล้ว

“นั่นเป็นชื่อของผม ผมชื่อ จริงใจ ครับ ไม่ได้คิดจะกวน หรือจีบคุณ”

รอยยิ้มเดิมของเธอกลับคืนมาอีกครั้ง

“โอเค เข้าใจแล้วค่ะ เรียกฉันสั้นๆ ว่า ดาว ก็ได้นะคะ”

“เรียกผมว่า จริง ก็ได้ครับ”

เธอนั่งลงบนผืนทราย โดยเว้นระยะห่างที่เหมาะสม ไม่มาก ไม่น้อย โดยหันไปในทิศทางเดียวกัน หันหน้าออกสู่ท้องทะเลกว้าง เสียงโหยหวนของอะไรบางอย่างดังแว่วมาในสายลม มันฟังดูคล้ายกับเสียงร้องไห้ของเด็กทารก แต่ความสั่นไหวที่แฝงมาในคลื่นเสียงนั้น ทำให้น่าสงสัยว่าทารกคนนี้จะมีขนาดของปอดที่ใหญ่โตมหึมาเพียงใด

“...คุณจริง...คุณได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเปล่าคะ”

เขาส่ายหน้า ก่อนเลื่อนแว่นดำลงมาสวมเอาไว้ มันเป็นการกระทำที่ดูไม่ดีนัก เมื่อจงใจซ่อนใบหน้า และดวงตาในเวลาที่พูดคุยกับใคร โดยเฉพาะหญิงสาวที่พึ่งรู้จักกันแบบนี้

'ดูคุณไม่ค่อยจริงใจเหมือนอย่างชื่อเลยนะ' แต่มีอะไรบางอย่างในตัวชายคนนี้ที่ทำให้เธออยากพูดคุยกับเขา ความคุ้นเคย ความผูกพันธ์ สายใยที่อบอุ่น และความลึกลับดำมืดที่ไม่อาจปฏิเสธ

เธอไม่รู้เลยว่า เงามืดของคฤหาสน์หลังนั้นพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อจะติดตามมา พยายามเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ให้ห่างจากเขา แต่ไม่ว่ามันจะมีพลังมากมายเพียงใด ก็ยังไม่อาจบิดเบือนธรรมชาติแห่งแสงอาทิตย์ และท้องทะเลได้ ถึงอย่างนั้น ความมืดจะมาเยือนในที่สุด เหมือนดั่งสมดุลในทุกสิ่ง การเปลี่ยนแปลงอันไม่จบสิ้น สงครามที่จะไม่มีความพ่ายแพ้ หรือชัยชนะตลอดกาล

ไม่ว่าแสงสว่าง หรือความมืด จะไม่มีชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ มีเพียงการต่อสู้อันไม่สิ้นสุด จุดจบที่รออยู่ คือการสูญสิ้นของสิ่งทั้งสอง คือการสิ้นสูญของทุกสิ่ง

“ทะเลสวยดีนะครับ”

มันเป็นคำถามชวนคุยแบบทั่วไป เธอทอดสายตาไปไกล ก่อนพยักหน้า ความเงียบในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อเกิดขึ้น แทรกแซงด้วยเสียงโบกโบยของสายลม เสียงสาดซัดของเกลียวคลื่น เมฆเคลื่อนตัว ต้นมะพร้าวโยกไหว เปิดเผยให้เห็นตัวตนแห่งสายลมอันไร้รูป เสียงโหยหวนเดิมนั้นยังคงดังแว่วมาให้ได้ยิน แต่เธอไม่อยากพูดถึงมันอีก

“คุณมาเที่ยวคนเดียวหรือครับ”

เป็นคำถามทั่วไป แต่หากคิดให้ดีแล้ว คำตอบอาจนำมาซึ่งอันตรายได้ 'แต่คงไม่ใช่กับชายคนนี้'

“...ค่ะ ฉันมีเรื่องต้องตัดสินใจ เลยอยากหาที่สงบๆ ไว้คิดทบทวน”

เขายังคงมองออกไปในท้องทะเล

“คงเป็นทางแยกครั้งสำคัญในชีวิต ที่ต้องตัดสินใจให้ดีสินะครับ”

เหมือนเขาพูดกับเธอ และตัวเองไปด้วยในเวลาเดียวกัน สำหรับเขา เธอไม่รู้ แต่สำหรับตัวเธอ มันคือตัวเลือกระหว่างการแต่งงาน หรืออนาคตที่รอเธออยู่ในดินแดนห่างไกลอันไม่คุ้นเคย การเริ่มต้นชีวิตคู่ที่เธอฝัน หรือความก้าวหน้าในงานที่เธอพากเพียรพยายามทุ่มเทมาโดยตลอด

ในชีวิตของทุกคนย่อมต้องมีช่วงเวลาเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ การตัดสินใจในแต่ละครั้ง จะขึ้นอยู่กับข้อมูล หรือจิตใจ ย่อมไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจน บ่อยครั้งที่มันผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ตระหนักถึง บางครั้งมันดูเป็นเรื่องใหญ่โต แต่พอผ่านพ้น กลับไม่เคยนึกถึงอีก

แต่บางครั้ง มันจะวนเวียนกลับไปกลับมา ทำให้เกิดคำถามขึ้นภายในใจอยู่เสมอ 'หากเลือกอีกทางหนึ่ง มันจะเป็นอย่างไร หากเลือกอีกทางหนึ่ง ชีวิตจะดีกว่านี้ใช่หรือไม่'

คำถามที่ไม่มีคำตอบ คำถามที่ทำให้ต้องเสียเวลาขบคิดไปอย่างเปล่าประโยชน์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้อนกลับไปในวันนั้น ใช้ชีวิตอยู่กับวันนั้น อีกครั้ง และอีกครั้ง จนกว่าระยะห่างแห่งอดีตจะทำให้มันลางเลือนไปจากความทรงจำ ซึ่งบ่อยครั้งมักไม่ยอมเกิดขึ้นตามที่ต้องการ

เธอพยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบให้กับทั้งตัวเอง และเขา

ความเป็นจริง คือจุดเล็กๆ ที่รวบรวมทุกสิ่งเอาไว้ อัดแน่นเป็นรูปร่าง หลอกลวงเราว่าสามารถจับต้องพวกมันได้ ส่วน ความเป็นไปได้ทุกอย่าง จะปลิวกระจัดกระจายออกไปในทั่วทุกทิศ ทุกมิติ เป็นกลุ่มหมอกควันแห่งความไม่แน่นอน เป็นมายาภาพ เป็นโอกาส เป็นความน่าจะเป็นที่พร่าเลือน

ตลอดเวลาที่มีทางเลือกเกิดขึ้น ทั้งหมดจะส่งผลกระทบถึงกัน ก่อกวนกลุ่มหมอกควันทั้งหมดให้ไปในทิศทางที่เหมาะสม เกาะเกี่ยวรวมตัวกัน อัดแน่นจนเกิดความเป็นจริงขึ้นมา

จุดเดิม ที่คงอยู่ แต่ไม่ใช่จุดเดิม ความเป็นจริง แห่งความเปลี่ยนแปลง ความเป็นจริงแห่งหมอกควัน จุดที่แกว่งตัวเองไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเป็นไปได้ทั้งมวล

จักรวาลแห่งความเป็นจริงเพียงหนึ่งเดียว ที่รวบรวมความเป็นไปได้ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน

ถึงแม้ว่าจะมีการสร้างเครื่องจักรย้อนเวลาขึ้นมาได้สำเร็จ มันก็จะยังคงไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง ไม่มีอนาคตที่เรา หรือใครคนใดคนหนึ่งต้องการอย่างแท้จริง การแก้ไขอดีตจะเกิดขึ้นเรื่อยไปอย่างไม่สิ้นสุด จนกว่าเราจะตระหนัก ว่าอันที่จริงแล้ว พวกเราต่างใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเป็นไปได้ทั้งหมดนั้นนั่นเอง

“ไม่มีใครรู้ว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร”

ทั้งคู่ต่างพูดขึ้นมาพร้อมๆ กัน หันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ก่อนนิ่งเงียบไปอีกครั้ง

“ชื่อของคุณเพราะดี ถ้าฉันมีลูกชาย จะขอตั้งชื่อเขาตามคุณได้ไหม”

เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงพูดออกไปอย่างนั้น ถึงแม้เธอกำลังตัดสินใจในเรื่องการแต่งงาน แต่ก็ยังไม่เคยคิดไกลไปถึงเรื่องการมีลูก และยิ่งไม่สมควรจะพูดเรื่องแบบนี้กับคนแปลกหน้าที่พึ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก

เขาขยับแว่นตาดำขึ้น เธอไม่กล้าสบสายตากับเขา

“...ได้สิครับ ไม่มีปัญหา”

เขาตอบแล้วเงียบไป

“แต่...ขอให้คุณรับปากผมเรื่องหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนได้ไหมครับ”

“คะ”

ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว เขาสวมแว่นดำเอาไว้อีกครั้ง

“ถ้าลูกชายของคุณคนนี้ อายุใกล้ครบหกขวบ ไม่ว่าเขาจะชอบทะเลขนาดไหน ไม่ว่าคุณจะชอบทะเลขนาดไหน ก็ห้ามพาเขาไปเที่ยวทะเลโดยเด็ดขาด ถ้าไป ก็ห้ามลงเล่นน้ำ ถ้าเขาแอบลงไปเล่นน้ำแล้วมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น...ห้ามคุณลงไปช่วยเขาโดยเด็ดขาด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่น คุณสัญญาได้ไหม”

“เอ่อ...นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกันคะ”

มีมือข้างหนึ่งยื่นขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลที่ดำมืด เด็กชายหวาดผวาสุดตัว หลงทิศหลงทาง แต่ก็ยังพยายามพุ่งขึ้นไปยังผิวน้ำ เพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้

'วันนี้คลื่นแรง อย่าลงเล่นน้ำเลยลูก'

เด็กชายรู้สึกอึดอัดราวกับปอดจะแตกระเบิดออกมา มือข้างนั้นยังคงติดตามมาอย่างไม่ลดละ มันคว้าจับเขาเอาไว้ได้ในที่สุด ดึงเขา ฉุดเขา ลากเขาลงไปยังก้นทะเล

'ลูกหายไปไหน มีใครเห็นบ้าง อย่าบอกนะว่า...'

เด็กชายใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ต่อสู้กับมันอย่างสุดกำลัง แวบหนึ่งเขาคิดว่าได้เห็นใบหน้าขาวซีดอันแสนน่ากลัว มันคงเป็นนางเงือกผ่าเหล่าที่คิดจะจับเขากินเป็นอาหาร

'ฉันจะลงไปช่วยลูกฉัน'

อากาศ เด็กชายที่คอยบอกใครต่อใครว่าเขาชอบทะเลไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า อากาศที่เขาแหวกว่ายอยู่ทุกวัน อากาศที่เขาไม่เคยรู้สึกถึงมัน อากาศจะมีความสำคัญ อากาศธรรมดาที่เป็นเหมือนดั่งชีวิต เขาสูดกินมันเข้าไปอย่างหิวกระหาย มือในท้องทะเลนั้นหายไปแล้ว หายไปตลอดกาล

'เขาร้องไห้' เธอเห็นน้ำตาของเขาไหลผ่านหลังแว่นดำลงมาเป็นสาย เขาพยายามจะไม่ส่งเสียงสะอื้น เธอก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เสียงโหยหวนจากท้องทะเลที่เธอเคยได้ยิน ดังประสานสอดรับกับความเศร้าของเขา

“...ได้โปรด...ได้โปรดรับปากผมด้วย”

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 21:44:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com