สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านทุกท่าน ล่องกัลปาลัยบทที่ 22 มาแล้วครับ ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนทุกท่านเช่นเคยครับ ขอบคุณคุณน้องทะเลเดือดพันธุ์ร็อค,อาจารย์จี Psycho man, คุณ กุหลาบมอญ, คุณโอ เขมปัณณ์, คุณmimny, คุณแก้วกังไส,คุณ Hermosa, คุณเรียวรุ้ง, คุณ wor_lek, คุณเพชรรุ้งพราย, คุณไก่ kdunagin, คุณกาแฟเย็นเพิ่มช็อต, คุณรพิชา, น้องอิน อินทรายุธ และทุกท่านครับ
สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12282920/W12282920.html
และมาต่อด้วยบทนี้กันเลยครับ... บทที่ 22
แล้วตกลง เราจะต้องมาอยู่กลางป่านี่กันอีกนานไหมคะ คุณผู้กองขา หือม์ ตอนนี้ท้องฉันร้องจ๊อกๆแล้วนะคะคุณตำรวจ??
ปีระกาเผลอยืนเท้าสะเอว ทอดสายตามองอีตาผู้กองหนุ่ม ที่กำลังใช้แม่แรงยกเพื่อเปลี่ยนล้อสำรองอย่างทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย ระหว่างที่มืออีกข้างของหล่อนก็ทำหน้าที่จับกระบอกไฟฉายส่องลงมาให้ชายหนุ่ม คมจักรหยีตาเล็กน้อย แล้วเขาก็ยกข้อศอกข้างหนึ่งขึ้นปาดแขนเสื้อที่พับไว้ลวกๆเพื่อซับเหงื่อบนหน้าผาก ตอนนี้ผู้กองหนุ่มหน้าเข้มกำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับเจ้ารถบุโรทั่งของตัวเอง แถมอากาศรายรอบก็ช่างร้อนอบอ้าวอยู่ไม่น้อย
ช่วยๆกันหน่อยสิคร้าบ คุณหนูปีระกา อย่ามาแต่ยืนบ่น นั่นแหละส่องมาใกล้ๆ ไม่ต้องส่องเข้าตาผมหรอก เดี๋ยวมองไม่เห็น
คมจักรแกล้งพูดเบาๆเหมือนบ่นกับตัวเอง แล้วก็เห็น ทายาทสาวร้อยล้าน เปลี่ยนมือที่เท้าสะเอวมาเป็นกอดอก แต่ก็ยังกราดไฟฉายไปข้างหน้า แสงสีเหลืองอ่อนๆจับลงไปยังตำแหน่งมือของเขาที่สาละวนกับเครื่องไม้เครื่องมือช่างที่ติดตัวมาด้วย ปีระกาเผลอยืนมองชายหนุ่มเร่งรีบกับการจัดการปัญหาเบื้องหน้าด้วยความทึ่งเล็กน้อย
แต่แรกคิดว่านายตำรวจขี้เก็กเหมือนคนเจ้าสำอางอย่างนี้ จะสำรวยเสียจนทำอะไรไม่เป็นนอกจากปั้นหน้าเคร่งขรึมเก็กหล่อ หรือคอยแกล้งข่มขู่หล่อนเสียมากกว่า แต่เอาเข้าจริงแล้ว คมจักรกลับเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว โดยไม่มีท่าทางตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาควบคุมอารมณ์ได้ดีสมกับเป็นนายตำรวจจริงๆ
เห็นจะมีแต่หล่อนนั่นแหละ ที่เอาแต่โวยวายตั้งแต่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนเขาต้องเป็นฝ่ายปลอบเสียเอง และมอบหมายให้หญิงสาวช่วยส่องไฟฉาย แทนที่จะทำอย่างอื่นนอกเหนือไปจากนี้
ปีระกามองเสื้อเชิ้ตสีสะอาดของเขาเลอะโคลนจนกลายเป็นสีตุ่นไปในเวลาไม่นาน แถมใบหน้าก็ยังเปรอะเศษดินจนมอมแมมไปหมด ทีแรกก็เอาแต่ยืนหัวเราะจนเขาเอ็ดเบาๆ จริงๆก็อาสาจะช่วยเข็นล้อรถและอื่นๆตามแต่ที่พอจะช่วยได้นั่นแหละ แต่เมื่อเข้าไปช่วยจริงๆแล้ว ปรากฏว่ายิ่งทำให้เหตุการณ์แย่ลงกว่าเดิม จนผู้กองคมจักรเสนอให้หล่อนนั่งเฉยๆรออยู่ข้างทางน่าจะเหมาะกว่า
และปีระกาก็อดไม่ได้ที่จะนั่งอยู่เฉยๆ จนต้องลุกมาดูปฏิบัติการซ่อมรถของเขา ดีกว่าจะนั่งอยู่ห่างๆ จนผู้กองหนุ่มเห็นว่าแสงแดดเริ่มจางลงทุกขณะ เลยให้หล่อนช่วยฉายไฟให้
หล่อนเต็มใจ และอีกส่วนหนึ่งปีระกาไม่แน่ใจว่าเสียงหัวเราะประหลาดชวนขนลุกนั้นจะยังตามมาอยู่ด้วยหรือไม่
ตอนนี้เป็นอันแน่ชัดไปเปลาะหนึ่งแล้ว ดวงวิญญาณของผู้หญิงลึกลับคนนั้น ไม่ต้องการให้หล่อนอยู่ทับสนธยา รวมถึงไม่ยินดีกับการที่ปีระกาจะพยายามสืบเสาะค้นหาประวัติของคุณหลวงหนุ่มผู้นั้น
แล้วดวงวิญญาณดวงนี้เป็นใครกันเล่า?
หล่อนพยายามถามตัวเอง แน่ใจว่านี่เป็นวิญญาณที่ติดอยู่ภายในทับสนธยาแห่งนี้ มิได้ติดตามมาจากกรุงเทพฯ เหมือนอย่างธามแน่นอน
และที่สำคัญ... เจตนาที่อีกฝ่ายต้องการนั้น เป็นไปเพื่ออะไร?
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร คนอย่างปีระกาไม่เคยยอมแพ้อยู่แล้ว หล่อนจะต้องรู้ให้ได้!
เสร็จเรียบร้อยแล้วคร้าบ คุณปีระกา ปิดไฟฉายได้แล้ว เดี๋ยวถ่านจะหมดซะก่อน!
กำลังคิดเพลินๆ เสียงผู้กองหนุ่มร้องมาจากด้านล่าง เมื่อเขาโผล่หน้าออกมาอีกทีก็ยิ้มจนเห็นฟันขาว ในขณะที่ใบหน้ามอมแมมเสียจนปีระกา ต้องยื่นกระดาษทิสชูส่งให้
ขอบคุณมากครับ
เขาเอ่ยเสียงทุ้มห้าวฉีกยิ้มกว้างจนแทบถึงใบหู แล้วหยิบมาเช็ดหน้าลวกๆของตนอย่างไม่ไยดีนัก ก่อนจะรีบเดินอ้อมกลับเข้าไปสตาร์ทรถอีกครั้ง เสียงเครื่องกระตุกสักพัก แล้วก็ดังกระหึ่มกลางความเงียบสงัดของป่ารอบด้าน ปีระกาค่อยใจชื้นขึ้น หล่อนไม่ได้ยินเสียงประหลาดนั้นอีกแล้ว คิดว่าดวงวิญญาณปริศนาดวงนั้น ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ นอกจากข่มขวัญให้หล่อนและคมจักร หันหลังกลับจากทับสนธยา
ไม่มีวัน รู้จักกับฉันน้อยไปแล้ว คนอย่างปีระกา ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ รู้ไว้ด้วย!
แอบพึมพำกับตัวเอง และก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาอีก
คราวนี้ ผมจะพาคุณกลับไปทันทานข้าวมื้อเย็นแน่ๆครับ แต่อาจจะค่ำสักนิด ทนหน่อยนะปีระกา
น้ำเสียงอ่อนโยนเสียจนปีระกา นึกว่าหูฝาด เมื่อหล่อนก้าวขึ้นไปนั่งเคียงข้าง และรถคันเก่งของผู้กองคมจักรก็ออกวิ่งไปตามเส้นทางรกเรื้อสู่ปลายทางของทับสนธยาอีกครั้ง...
เมื่อแสงตะวันลับเหลี่ยมผาฝั่งตะวันตกพอดี พร้อมกับลำแสงสุดท้ายของมัน
************************
ภูไท ทินบดี พาชลธรเดินย้อนกลับมาถึงตำแหน่งเดิมของเมื่อคืนอีกครั้ง
ภายในเส้นทางคดเคี้ยววกวนของทับสนธยา ด้วยสภาพของอาคารที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่ต่างกับเขาวงกต แต่โชคยังดีเมื่อมีแสงสว่างจากบานกระจกที่ส่องเข้ามาเป็นระยะ ตามเส้นทางเหล่านั้น ซึ่งก็ช่วยทำให้หญิงสาวรู้สึกว่า ยังดีกว่าการเดินมะงุมมะงาหลาในยามราตรีเหมือนกับเมื่อคืนมากนัก
เพียงไม่นาน เมื่อหล่อนและเขาเดินกลับมาถึงโถงส่วนกลางอันเป็นช่วงบันไดขึ้นไปยังหอคอยฝั่งใต้ ที่มาออกตามหาปีระกา และทะลุผ่านห้องลับลงไปยังชั้นล่าง เส้นทางที่เชื่อมต่อกับห้องใต้ดิน อันเป็นบริเวณที่ทนายความหนุ่มพบนกหวีดปริศนาตัวนั้นนั่นเอง
เขาบอกให้หญิงสาวรออยู่ยังตำแหน่งด้านบน แล้วตัวเองเดินนำลงไปก่อน
ผมจะสาธิตอะไรให้คุณชลดู รอเดี๋ยวนะครับ
ทนายความหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบๆ แต่นัยน์ตาเป็นประกายอย่างที่เพื่อนของปีระกาอ่านไม่ออก หากหล่อนก็พยักหน้ารับ
ชั่วขณะที่ชลธรกำลังเหลียวมองรอบบริเวณของห้องแห่งนั้น เฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องเรือนทั้งตู้และชุดโต๊ะเก้าอี้ขนาดต่างๆกันที่คลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวกันฝุ่นซึ่งบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีตุ่นเรียบร้อยแล้ว เสียงหวีดแหลมยาวก็ดังขึ้น
แต่คราวนี้หล่อนจับได้แล้วว่ามันไม่ใช่เสียงกรีดร้อง แต่เป็นเสียงนกหวีดนั่นเอง
ไม่นาน ชายหนุ่มก็วิ่งเหยาะๆขึ้นบันไดมา พร้อมกับนกหวีดห้อยคอเอาไว้
เสียงเหมือนกับเมื่อคืนไหมครับคุณชล?
หล่อนส่ายศีรษะทันที
ไม่ใช่เสียงนี้แน่นอนค่ะ แสดงว่า เสียงหวีดร้องที่เราได้ยินเมื่อคืน ถ้าไม่ใช่เสียงของยายปีแล้วละก็ จะต้องเป็นของใครอีกคนหนึ่งแน่ๆ
ชลธรหยุดไปชั่วขณะแล้วพูดต่อ
เมื่อเช้าชลเองก็ลองเช็คดูแล้ว นกหวีดของยายปีก็ยังวางอยู่ที่ห้องไม่มีใครแตะต้องเลยสักคน ดังนั้นนกหวีดตัวนี้ต้องเป็นของใครคนอื่นแน่ๆเลยค่ะ
ทั้งคู่ต่างยืนเงียบกริบไปชั่วอึดใจ
แต่ว่า... นกหวีดตัวนี้เป็นของใคร และเสียงร้องที่ได้ยินเมื่อคืนเป็นเสียงร้องของใครกันเล่า??
ผมว่าเรารีบลงไปที่ห้องใต้ดินกันดีกว่า ก่อนที่ลุงอาตม์จะรู้ตัวเสียก่อน
ในที่สุดทนายความหนุ่มก็เป็นฝ่ายตัดสินใจ เขาสัมผัสมือหญิงสาวอย่างสุภาพ ชลธรปล่อยให้มือนุ่มนิ่มของตัวเองตกอยู่ในอุ้งมือของเขาโดยดุษณี เมื่อภูไทพาจ้ำเดินลงไปตามขั้นบันไดอย่างรีบเร่ง...
**********************
เรือนหลังเล็กด้านข้างของทับสนธยา
เฒ่าอาตม์ถอดแก้วตาเทียมของตนเองออกมาวาง ก่อนจะเอนกายลง ไม่ได้มีความรู้สึกอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้มาก่อนเลย แม้ว่าสภาพร่างกายของตนเองจะปรากฏในร่างชราภาพ เพราะเขารู้ตัวเองดีว่า ตนหาใช่มนุษย์ไม่!
แต่เป็น... หุ่นพยนต์!!
เจ้าคืออาตม์ หรืออาตมะ อันมีความหมายถึงตัวตนของเราเองนั่นเอง เพราะเราเป็นผู้พาเจ้าจรดลมาถือกำเนิดขึ้นใหม่ในโลกใบนี้
ยังจำถึงคำพูดของคุณหลวงอนุรักษ์ผู้เป็นเจ้านายได้เป็นอย่างดี ภายหลังจากที่สภาพร่างกายถูกแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อการ ก้าวข้ามจรดล ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด ในขณะคุณหลวงไม่มีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้น นี่มิใช่โลกแห่งจินตภพอีกต่อไป
แต่เป็นภพแห่งอิสรภาพ... อิสรภพ!!
ดังนั้นเจ้าจักต้องอยู่ในสภาพของมนุษย์ไปก่อน
ข้าไม่เข้าใจ โอ... ข้าปวดเหลือเกิน ปวด...
ใบหน้าคุณหลวงเคร่งเครียด หากยังคุมสภาพอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ หากอาตม์เอง เมื่อความเจ็บปวดรวดร้าวดำเนินมาถึง ความทรงจำที่ผ่านมาคล้ายถูกลบเลือนลงไป ทำให้กลับจดจำสิ่งใดๆไม่ได้เลย ความเจ็บปวดดูเหมือนจะแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายจนสติเจียนดับ แม้แต่ชื่อที่เขาได้ยินคุณหลวงเรียกในตอนแรก ก่อนจะปล่อยตัวเองให้เลื่อนไหลเข้าสู่ห้วงภวังค์
ศลภมาณพ!
และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดสนิทเหมือนผืนผ้าดำสนิทคลี่คลุมร่างทั้งร่างจนไม่เหลือสิ่งใดอีก เขาฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับอาการเจ็บปวดทั้งหลายปลาสนาการไปหมดสิ้น แต่ก็เห็นคุณหลวงนั่งอยู่ข้างเตียงนอน ท่านเป็นฝ่ายแนะนำตนเองสั้นๆ รวมถึงประโยคนั้นที่เป็นเสมือนคำประกาศิตชีวิตของเขานับแต่นั้นมา
เจ้าคืออาตม์ จำไว้!
อาตม์?
และเขาก็ไม่ได้ติดใจสงสัยใดๆอีก เหมือนกับความทรงจำทุกอย่างถูกลบเลือนไปจนหมดและเริ่มต้นขึ้นใหม่ ณ เวลานั้น ในฐานะของข้ารับใช้คนสนิทของคุณหลวง ไม่เคยสนใจต่อที่มา ชาติกำเนิด หรือแม้แต่ความเปลี่ยนแปลงของตัวเองใดๆ
ตราบจนกระทั่งความลับของค้างคาวทองเริ่มปรากฏขึ้นนั่นเอง ชายชรายังจำประโยคที่คุณหลวงบอกความจริงกับเขาได้ไม่มีวันลืม
ความทรงจำ บางครั้งนอกจากจะสร้างความรื่นรมย์ให้กับชีวิตแล้ว ในทางตรงกันข้าม มันก็สร้างความทุกข์ทรมานให้บังเกิดเช่นเดียวกัน ข้าไม่ต้องการให้เจ้าจดจำภพแห่งจินตนาการที่เจ้าจากมาอีก ไม่มีประโยชน์อันใดจะไปรำลึกถึง เมื่อสูญสิ้นความทรงจำไปแล้ว ข้าจึงไม่ได้รื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก เพื่อให้เจ้าดำรงชีวิตและเริ่มต้นใหม่ที่นี่
เขาค้อมกราบ นับถือในน้ำใจของอีกฝ่าย ใช่! ความทรงจำ ย่อมสร้างให้เกิดทั้งสุขและทุกข์ แต่บางครั้ง การปราศจากความทรงจำ ก็สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน หากอาตม์ก็มิได้เอ่ยอันใดอีก เมื่อรับรู้ความจริงนั้นแล้ว
ดังนั้น ข้าคิดว่าเจ้าควรจะอยู่ที่นี่ต่อไป เพื่อช่วยทำหน้าที่ในการเปิดทวารบถแห่งกัลปาลัยให้แก่ข้า
คุณหลวงจะทำสิ่งใด?
เขาจำนัยน์ตาคมกล้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดขาดเช่นนั้นได้ดี ความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีสิ่งใดสามารถเข้ามาขัดขวางได้ แม้แต่ความตาย ดูเหมือนคุณหลวงจะไม่เคยครั่นคร้ามหวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น นอกจากสตรีใน ภพนั้นเพียงนางเดียว
ข้าจะนำมณีเรขา กลับมายังภพนี้ให้ได้ เพื่อให้พ้นจากอำนาจของสิงหเมฆินทร์... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
คุณหลวง...
เขาจดจำไม่ได้ด้วยซ้ำถึงชื่อ แห่งสิงหเมฆินทร์ผู้เป็นนายในอดีตภพ แต่แล้วทุกอย่างก็บิดผันเกินคาดคิด และเขาก็ได้แต่รอ รอคอยการกลับคืนนั้น ตราบจนกระทั่งการปรากฏขึ้นของค้างคาวทองนั่นเอง
มันมาพร้อมกับทายาทผู้ที่ทุกคนติดตามหาตัวจนพบในที่สุด
ผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็น ทวารันตร์ ผู้ปลดปล่อย...
คุณปีระกา
บางทีทุกสิ่งอาจจะดำเนินมาถึงจุดอวสานแล้วก็เป็นได้ เขาเริ่มรับรู้ถึงสภาพของตนเองที่กำลังเสื่อมลงไปทุกขณะ การเสื่อมที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากภายในร่างกายหรืออวัยวะใดๆ แต่เกิดจากพลังแห่งมนตราที่กำลังจะคลายลง พร้อมกับสภาพของกัลปาลัย ที่ถูกซ่อนไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งไม่อาจค้นพบ
มันคงจะเสื่อมสลายลงทีละน้อย ทีละน้อย ตามกาลเวลาเช่นกัน
ชายเฒ่าเหม่อมองไปยังตำแหน่งทับสนธยาอีกครั้ง ก่อนจะหลับนัยน์ตาอีกข้างหนึ่งลง แล้วเริ่มต้นดิ่งลงสู่ห้วงภวังค์....
*************************
ภูไทและชลธรก้าวลงมาถึงพื้นหินเย็นเฉียบด้วยความชื้นของบริเวณหน้าห้องใต้ดินที่พบกับนกหวีดปริศนานั้นแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ถึงกับยืนตะลึงงันก็คือประตูเหล็กที่ใส่กลอนคล้องเอาไว้อย่างแน่นหนากลับเปิดกว้างออกจากกัน
ใครอยู่ในนั้น?
หล่อนลองตะโกนผ่านความมืดสลัวที่มีเพียงแสงแดดจางๆจากหลังคาระเบียงด้านบนส่องเป็นริ้วลงมา
แต่ไม่มีคำตอบ
ภูไทไม่รีรออีกต่อไป ชายหนุ่มตัดสินใจผลักประตูเหล็กบานนั้นแล้วก้าวลงไปทันที เสียงบางอย่างดังขึ้นในความมืดสลัว จนชลธรต้องค่อยๆตามลงไปด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย
คุณภูไทคะ คุณภู...
หล่อนเรียก และเกือบจะหวีดร้องออกมา เมื่อต้นแขนถูกสัมผัสด้วยมืออุ่นจัดของอีกฝ่าย เสียงของเขาอยู่แทบจะชิดริมหู
คุณชล... ผมว่า เมื่อคืนนี้ต้องมีคนถูกขังอยู่ภายในห้องนี้แน่ๆ
คุณภูไท
เห็นเขาหยิบวัตถุบางอย่างขึ้นมาไว้ในมือ เสียงเสียดสีของมันมาจากเนื้อโลหะที่ครูดกับพื้นนั้นเอง
เมื่อนั้นจึงมองเห็นว่ามันเป็นสายโซ่สำหรับใช้ล่ามมนุษย์!
************************
แสงนั่น?
ประกายนวลแสงเจิดจ้ารวมตัวกันอย่างเชื่องช้า ไม่ต่างกับละอองฝุ่นที่ถูกลมหมุนวนและดึงดูดให้มารวมกัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรูปทรงของมนุษย์
ผี!!
มะขิ่นอ้าปากค้าง ประตูเปิดกว้างออกก็จริง จนมองเห็นแสงสลัวรำไรเหมือนอยู่ปลายอุโมงค์ แต่ร่างที่กำลังจะปรากฏเบื้องหน้าหล่อนนั่นต่างหาก ที่ทำให้มะขิ่นหวาดกลัวจนแทบจะขยับกายไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อร่างที่เริ่ม หนาแน่น ด้วยมวลสาร ก่อกำเนิดเป็นรูปทรง ใบหน้า ปาก จมูก และนัยน์ตา ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเดินตรงเข้ามาช้าๆที่ร่างของหล่อน
นะ- นาย...
เด็กสาวเอ่ยปากได้เพียงเท่านั้น ร่างทั้งร่างสั่นระรัว เมื่อร่างนั้นเอื้อมกายชะโงกเงื้อมลงมา ทีละน้อย ทีละน้อย... จนปลายส่วนที่เป็นมือ แตะลงยังสายโซ่พันธนาการข้อเท้าหล่อนเอาไว้
กริ๊ก!
เสียงตรวนเหล็กหลุดจากกันเป็นครั้งที่สอง หล่อนเป็นอิสระแล้ว หากก็ยังไม่อาจขยับกายได้
ไป ออกไปจากที่นี่เสียมะขิ่น
เสียงของร่างที่โปร่งแสงดังขึ้นจากส่วนที่น่าจะเป็นริมฝีปากที่หวำลึกลงไป แล้วใบหน้านั้นก็เริ่มชัดเจนเป็นรูปร่างขึ้นทุกขณะ ยิ่งเมื่อความมืดทึบมากขึ้นเท่าใด พลังของการสร้างเรือนกายให้ปรากฏแก่สายตาก็ชัดเจนขึ้นเฉกเดียวกัน ด้วยใบหน้านั้นเองที่ทำให้เด็กสาวต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
มะขิ่นแน่ใจ... เคยเห็นใบหน้าเช่นนี้มาก่อนแน่นอน จากที่ใดที่หนึ่ง ในความทรงจำ และมันกำลังเป็นรูปชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่คุ้นเคย คลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน...
ไป!
นั่นมิใช่การหาหนทางให้หล่อนหลบหนีออกไปจากที่นี่ แต่หมายถึงการบังคับให้ทำอะไรบางอย่าง
ไปไหน?
ความคิดเด็กสาว ได้รับการสนองตอบจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เมื่อหยัดกายลุกขึ้น เสียงนั้นไม่ต่างกับคำประกาศิตที่รู้ดีว่าไม่อาจปฏิเสธ
หอคอยฝั่งใต้ ขึ้นไปที่นั่น มะขิ่น ขึ้นไปที่นั่น และรอคอยคำสั่งของฉันอยู่ที่นั่น...
สิ้นเสียงสั่ง ก่อนที่ร่างวิญญาณนั้นจะสลายวับ ร่างของหล่อนก็เหมือนถูกบงการให้ขยับเขยื้อนเองโดยอัตโนมัติ คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นบังคับให้มะขิ่นเคลื่อนกายไปตามคำสั่ง ไม่ต่างกับหุ่นชักรอก และพลังอำนาจนั้นก็กำหนดเด็กสาวให้เดินตรงลิ่วขึ้นบันไดหินจากห้องใต้ดินแห่งนั้นไปทันที โดยไม่อาจต้านทานอำนาจสะกดนั้นได้
แม้ว่าจะพยายามสักเท่าใดก็ตาม ร่างทั้งร่างอ่อนเปลี้ย ปราศจากเรี่ยวแรงใดๆ หากแต่ในสมองอันปั่นป่วนด้วยความหวาดกลัวและสงสัย ภาพใบหน้าประหลาด ยังเป็นอิสระจากการควบคุม และเมื่อนั้นเอง ที่หล่อนนึกถึงใบหน้าปริศนาของวิญญาณดวงนี้ได้ออกแล้ว...
เพราะใบหน้านั้น ก็คือเค้าเดียวกันกับรูปวาดที่หล่อนเคยเห็นในห้องประมุขของทับสนธยานั่นเอง
มันคือดวงวิญญาณของ...
********************** ตอบเพื่อนนักอ่านต่อเลยนะครับ
อาจารย์จี : เรื่องนี้เครียดนิดหน่อยครับ แต่น้อยกว่า กีฏมนตรา แน่ๆครับ "เสป็ค" หรือ สเปค"? ตอนพิมพ์คิดเพลินไปเลยครับ ลองมาเช็คดู อาจจะเป็นคำหลังหรือเปล่าครับ? ยังไง ก็ต้องขอขอบคุณอาจารย์มากเลยนะครับ ฝากติดตามไปด้วยกันจนถึงบทอวสานด้วยนะครับ แหะ แหะ
คุณ Laviyar : อ่านกีฏมนตราแล้วเป็นอย่างไรบ้าง แนะนำมาได้เลยนะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ดาร์ก ที่สุดที่เคยเขียนมาเลยครับ
คุณ mimny : ช่วงนี้ปมหลายๆปม กำลังขมวดขึ้นครับ อีกสักพัก จะค่อยๆคลายทีละเปลาะครับ เรื่อง ภูไท ผมขออุบไว้ก่อนนะครับ
คุณแก้ว : ต้องช่วยลุ้นมะขิ่นด้วยนะครับ
คุณ nasa nasa : ช่วงนี้จะมีแต่ปริศนา และ ปริศนา ครับ แหะ แหะ
คุณทะเลเดือดฯ : ปีระกา ยังจะเจอภัยอีกเยอะเลยครับ ช่วงนี้แค่น้ำจิ้มครับ!!
คุณไก่ : ผมเองช่วงนี้ก็งานตรึมเหมือนกันครับ จะโพสตั้งแต่เช้า มาถึงก็ถูกเรียกประชุมด่วน บ่ายสอนตลอด จนมาว่างเอาเย็นๆนี่แหละครับ ตอนหน้าเลยยังไม่กล้าสัญญาว่าจะโพสวันจันทร์ ทันหรือเปล่า
คุณscottie : ขอบคุณมากเลยครับ บางทีเช็คไม่ทันเหมือนกันครับ มินอ่องเป็นพี่ มะขิ่นครับ
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ หมอกมุงเมือง
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ก.ค. 55 19:51:58
|
|
|
|