หลังจากป้าเดือนต้องออกจากพื้นที่ค้าขายของแต่เดิม แกต้องระหกระเหินไปเช่าบ้านอยู่แถวสุดสายหนึ่ง ระยะแรก ๆ มีกำลังวังชาก็ยังขับรถจักรยานขายส่ง หนังสือพิมพ์และวารสารให้กับสมาชิก/ขาประจำ
ต่อมากำลังวังชาลดน้อยถอยลงไป แล้วยังมีปัญหาไฟไหม้บ้านพักแก ทำให้แกต้องหนีกระเจิดกระเจิงสติแตกไปพักหนึ่ง กว่าจะวิ่งเคลียร์เรื่อง เคลียร์คดีได้ก็หมดไปหลายเงิน ผลคือ ทุนหาย เงินหมด ไม่มีเงินทุนสำรองซื้อหนังสือมาขายอีก เพราะเครดิตร้านค้าเดิมหมดแล้ว หนี้เก่ายังไม่จ่าย อย่าคิดหวังเลย ว่าจะได้ก่อหนี้ก้อนใหม่ ตามประสาการค้าขายแบบทุนนิยมทั่วไป
ป้าเดือนเลยต้องหันมาหุ้นกับเพื่อนอีกคนเดินเก็บขยะขาย ในช่วงแรก ๆ กิจการไปได้ดีเพราะมีคู่แข่งน้อย แต่ช่วงหลัง ๆ เริ่มมีคนทำมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม กว่าจะกลับบ้านได้ก็มืดค่ำแล้ว หมดเรี่ยวหมดแรงที่จะแคะขนมครกขาย ทั้งที่เป็นรายได้ที่ดีพอสมควรในชุมชนคลองหวะ
เลยถามแกว่าเคยเดินผ่านแถวบ้านไหม แกบอกว่าแรก ๆ ก็ประจำ แต่ไม่กล้าทักทายใคร กลัวคนจะจำได้ ต้องปิดหน้าปิดตา อายกลัวคนรู้จัก แต่ช่วงหลัง ๆ ต้องเดินไปหาของไกลจากจุดเดิม เพราะของหายากมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งมีคนมาหาของขายแข่งขันกันมากขึ้น
นี่เพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าแล้ว หลังจากออกจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ เพราะป่วยเป็นไข้หนักเดินไม่ได้เลย อยู่ในโรงพยาบาลนานรวมสองปีแล้ว พออาการดีขึ้นทางโรงพยาบาลจับส่งมาที่นี่เลย
ใจจริงอยากกลับไปอยู่ที่เดิมอีก เพราะเป็นอิสระไปไหนมาไหนก็ได้ แรงใจยังสู้ แต่แรงกายไม่มี ต้องเดินกับขาตั้งเหล็กไปไหนมาไหน ลูกหลานญาติพี่น้องก็ไม่มีแต่อย่างใด จำใจต้องอยู่ที่นี่ มีกิน มีอิ่ม แต่ไม่มีเสรี
เลยถามว่า “ ป้าเดือนตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว “ แกตอบว่า “ 82 ปีแล้ว “ เลยแซวว่า “ อ๋อ อีกสิบแปดปีครบร้อย เวลาใครถามก็ตอบไปว่าสิบแปดปีก็แล้วกัน “ พร้อมกันนั่งหัวเราะกันในเรื่องอายุอานาม
สักพักมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมา แกถามผมว่า “ รู้จักไหม เคยอยู่ร้านทำฟันแถวบ้าน “ เลยบอกแกว่า " จำไม่ได้หรือไม่น่ารู้จัก จำได้รู้จักแต่เพื่อนชายวัยเด็กชื่อว่า เสือ เพราะบ้านหลังนั้นเป็นร้านทำฟัน เดือนหนึ่ง ๆ จะปิดร้านมากกว่าเปิดร้าน รวมทั้งร้านก็ดูทึม ๆ ไม่น่าเข้าเลย แกบอกว่า “ ใช่เลย ครอบครัวนี้ พร้อมกับเสือ ย้ายไปอยู่ลำปางหลายปีแล้ว แต่ญาติพี่น้องส่วนมากยังอยู่ที่นาสีทอง (รัตตภูมิ) บางคนก็ปักหลักอยู่ที่ภาคเหนือเลย “ ส่วนคนนี้เป็นน้องสาวของแม่เสือแถวข้างบ้านเดิม มาอยู่ที่นี่เหมือนกันหลังจากไปอยู่ลำปางหลายปี เพราะอยู่กับญาติพี่น้องแถวนาสีทอง (รัตตภูมิ) ไม่ได้ "
นั่งพูดคุยกับแกแล้ว ต่างยอมรับในสัจจธรรมว่า ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หลายคนบนเส้นทางอาชีพบ้างก็ร่ำรวยไป บางคนในรุ่นเดียวกันก็ยากไร้หมดหนทาง
หลังพูดคุยกับแกพอสมควรแก่เวลา เลยบอกลาแก รับปากว่าจะมาเยี่ยมแกอีกในวันหลัง พบปะกับแกคราวนี้ทำให้คิดถึงบทกลอนบทหนึ่ง ยังจำได้ว่าที่มีคนแปลมาจากป้ายจารึกสุสานจีนงี่ซัวเต็ง ที่ป่าช้า วัดดอนยานนาวา กรุงเทพฯ (จำชื่อคนแปลและที่มาไม่ได้แล้ว)
" เคยล่องผ่านน้ำดำ เคยกินน้ำขม ความในใจอันเต็มอุระ ไหลไปกับสายน้ำ หวังจะเป็นเจ้าสัว ไม่สามารถกลับ สู่แผ่นดินเกิด เมื่อแก่ลง ก็ฝังกระดูกที่งี่ซัว ”
เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนความฝันในวันก่อน
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 23:00:34
จากคุณ |
:
ravio
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ก.ค. 55 20:57:49
|
|
|
|