Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เทวาอัศดา ตอนที่ 5 [นิยายอิงธรรมะ] ติดต่อทีมงาน

อัศดาทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะ สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมาพบโชปะอีกจนได้ เทวานั่งพับเพียบลงข้างเขาอย่างสงบเสงี่ยม

        “ทำไมเจ้าถึงกลับมาล่ะ พ่อหนุ่ม” โชปะยกชาขึ้นดื่ม แขนเสื้อยาวส่ายไปมาดูรุ่มร่าม ท่าทางสบายอารมณ์ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
นั่นยิ่งทำให้อัศดารู้สึกขัดใจ แต่จะว่าไป โชปะมีเหตุผลอะไรต้องห่วงเขาด้วยเล่า คงสะใจด้วยซ้ำเมื่อคนที่ตัวเองไม่ชอบมีเรื่องเดือดร้อน
อัศดายกมือขึ้นกอดอก ถึงเขาจะกลับมาขอความช่วยเหลือ แต่ไม่คิดจะแสดงท่าทางนอบน้อมแต่อย่างใด “ขณะกำลังจะก้าวออกจากประตูโรงเรียน ข้าเห็นปีศาจร้ายเมื่อคืนยืนอยู่นอกประตู ท่านบอกข้าได้มั้ยว่ามันคืออะไร”

         “มันคือนิมิตแห่งความตาย ” โชปะตอบเสียงเรียบ

         “นิมิตแห่งความตาย...” อัศดาทวนคำอย่างใจไม่ค่อยดี รู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วทั้งกาย

         “เจ้าเป็นหลานของสุมนตรา ลางสังหรณ์นั่นคงได้มาจากนาง ยมฑูตที่เจ้าเห็นคือนิมิตแห่งความตาย เช่นเดียวกับความฝันที่เจ้าฝันซ้ำๆในช่วงนี้” โชปะอธิบาย

         สิ่งที่ชายชราพูดมา เลวร้ายเกินกว่าจะทำใจยอมรับได้ ชายหนุ่มกลัดกลุ้มใจจนสมองเหนื่อยล้า ถึงเขาไม่ตายโหงแต่ถ้าต้องฝันร้ายเช่นนี้ทุกคืน ซ้ำยังถูกยมฑูตตามรังควาญ เขาคงได้เสียสติก่อนเป็นแน่

         “ท่านพ่อบอกว่าอัศดาต้องตายในไม่ช้านี้ พอจะบอกได้มั้ยครับว่าเป็นเพราะเหตุใด” เทวาถาม เขาเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเช่นกัน

        “ใช่แล้ว! มันต้องมีเหตุผลบางอย่าง ท่านจะมาพูดลอยๆว่าอีกไม่นานข้าจะตายไม่ได้นะ” อัศดาเอนตัวไปข้างหน้า สายตามุ่งมั่นคาดคั้น

         โชปะหันไปมองอัศดาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบเคราสีขาว ซึ่งทำเป็นประจำจนติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว “พวกเราทุกคนล้วนอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม หรือเรียกอีกอย่างว่ากฏแห่งเหตุและผล แน่นอนการที่เจ้าจะต้องตายในเร็วๆนี้ ย่อมมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง ตามกฏแห่งกรรมเราทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น เราให้สิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้นตอบ ทั้งดีและร้าย ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม”
“เลิกพูดอะไรวกไปเวียนมาสักทีจะได้มั้ย” อัศดาพูด เขาเป็นคนห่ามๆ ไม่ซับซ้อน เพราะอย่างนี้ถึงได้ไม่ชอบพวกปัญญาชนที่พูดอะไรเข้าใจยากๆ

         “พวกคนหนุ่มนี่ใจร้อนเสียจริง” โชปะเปรยออกมา “งั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่า ตั้งใจฟังที่ข้าพูดให้ดีล่ะ”

         “อือ” อัศดาครางในลำคอ มันไม่ใช่การกระทำที่สุภาพเลยสักนิด

         “เพราะเจ้าฆ่าสัตว์มามาก จึงเป็นดหตุทำให้เจ้าต้องตายตั้งแต่อายุน้อย”
อัศดานิ่งอึ้งไป พยายามคิดแต่ยังไงก็ไม่เข้าใจ เทวาซึ่งได้รับการอบรมสั่งสอนจากโชปะมาตั้งแต่เล็ก เข้าใจได้ในทันที เขาเองก็คิดไว้แล้วว่าคงเป็นเพราะเหตุนั้น

         “ทำไมท่านถึงบอกว่าข้าอายุสั้นเพราะฆ่าสัตว์ล่ะ สัตว์พวกนั้นมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” อัศดาถามต่อ

         “อย่างที่ข้าบอกไป เราทุกคนล้วนอยู่ภายใต้กฏแห่งเหตุและผล ซึ่งคือกฏแห่งกรรมถ้าเรียกตามแบบศาสนาพุทธ เราทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตอบ เจ้าทำให้สัตว์พวกนั้นตาย ทั้งๆที่มันไม่อยากตาย ผลของสิ่งที่เจ้าทำไว้จึงตามมาสนอง” โชปะอธิบาย ชุดสีขาวที่สวมอยู่ทำให้เขาดูทรงภูมิ

          “ท่านกำลังบอกว่ามีพลังลึกลับบางอย่าง จัดการเรื่องพวกนี้อยู่งั้นหรือ” อัศดาโพล่งขึ้น

         โชปะอดนึกแปลกใจไม่ได้ที่อัศดาหัวไวเช่นนี้ ทั้งๆที่เขาโดดเรียนวิชาศาสนาและปรัชญามากกว่าเข้าเรียน ซ้ำยังหลับมากกว่าตื่น “ใช่แล้ว ทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์, สัตว์, เทพ, ภูติผีปีศาจ ล้วนแต่อยู่ใต้พลังของกรรมทั้งสิ้น”

           “ท่านรู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไรกัน แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริง” อัศดาแย้ง

          “เป็นคำถามที่ชาญฉลาด ข้าชอบเด็กช่างสงสัยแบบนี้ น่าเสียดายที่เจ้าชอบทำตัวขวางโลก ถ้าเจ้าลดอัตตาลงแต่ยังคงความช่างสงสัยไว้เช่นเดิม คงได้รับความรู้จากโรงเรียนไปมาก” ชายชรายิ้ม

          เทวายิ้มตาม นี่แหละข้อดีของโชปะ เขามีความอดทนต่อเด็กดื้อและพวกชอบลองดี อย่างไม่มีอาจารย์คนไหนเทียบได้

          “แต่ข้าไม่ชอบท่าน รวมทั้งอาจารย์คนอื่นๆด้วย ตอบคำถามข้ามาสักทีเถอะน่า” อัศดาเร่ง ความจริงในโลกนี้คนที่เขาเคารพมีอยู่น้อยมาก หนึ่งในนั้นคือหัวหน้านายพราน ผู้สอนวิชาล่าสัตว์ให้เขา ทว่าหลังจากออกล่าเสือด้วยตัวคนเดียว หัวหน้านายพรานก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาอีกเลย

         “สิ่งที่ข้าพูดไป เป็นความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาคำสอนของศาสนาพุทธ จากประสบการณ์ส่วนตัว และญาณหยั่งรู้ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าชัดเจนนัก แต่การที่เจ้าจะเชื่อหรือไม่ เจ้าต้องศึกษาและลงมือปฏิบัติ จนค้นพบด้วยตนเอง ถ้าทำต่อเนื่องไปสักระยะหนึ่งแล้วยังไม่เห็นผลอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อข้าหรอก” โชปะตอบ

         “แต่ศาสนาแต่ละศาสนาก็สอนต่างกันไม่ใช่เหรอ ในวิชาศาสนาและปรัชญาอาจารย์สอนหลักการของทุกศาสนาอย่างคร่าวๆ แต่ละอันไม่เห็นเหมือนกันเลย บางศาสนาก็บอกว่ามีพระเจ้าหลายองค์ บางศาสนาบอกว่ามีพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว เป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งหมด บางปรัชญาบอกว่าพวกเราเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้น จากความบังเอิญของจักรวาลเท่านั้น บ้างก็บอกว่าชาติหน้าชาติก่อนมีจริง บ้างก็บอกว่าไม่มี แล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าอันไหนถูกต้อง ข้าเคยเดินทางไปค้าขายยังเมืองที่ผู้คนบูชาเทพเจ้า พวกเขาก็สรรหาหลักฐานสารพัด มาทำให้คนเดินทางอย่างข้าเกือบเชื่อว่าเทพเจ้ามีจริง คนเราจะเห็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าเชื่อในสิ่งไหนต่างหาก ดีที่ข้าฉลาดพอจะไม่หลงกล” อัศดาเถียงต่อเป็นวรรคเป็นเวร

          “แล้วเจ้าเชื่อในสิ่งใดล่ะอัศดา” เทวาถาม

ิ           “ข้าเชื่อในตัวเองเท่านั้น” อัศดาตอบ เขายกถ้วยชาที่ดื่มจนหมดแล้วยื่นให้เทวา เป็นเชิงบอกว่าเทชาให้ที เทวานิ่วหน้า

          “เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดเลิศเลอ มีความรู้มากกว่าที่ศาสดาและนักปราชญ์ทั้งหลายสอนไว้อย่างงั้นหรือ” เทวาเทชาจากกาลงไปในถ้วย การกระทำของอัศดานั้นไม่สุภาพเอาเสียเลย แม้เขาจะอายุน้อยกว่า แต่ก็แค่สองปีเท่านั้น การยื่นถ้วยเปล่าให้เขารินชาให้โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ เป็นการวางท่าข่มกันชัดๆ ถ้าแก่กว่าสักสิบปีก็ว่าไปอย่าง แต่เอาเถอะยังไงอัศดาก็คือคนที่เขาเห็นในความฝัน

          “ถ้าพวกเขาพูดไปในทางเดียวกัน ข้าคงคล้อยตามอยู่หรอก ทว่าว่าแต่ละศาสนาแต่ละลัทธิพูดไม่ตรงกันสักอย่าง แล้วข้าจะเชื่ออันไหนได้ล่ะ นอกจากเชื่อตัวเอง” อัศดารับถ้วยชามา

           เทวาว่าจะไม่พูดอะไรแล้ว แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ “ถ้าเจ้าเชื่อว่าตัวเองฉลาดยิ่งกว่าบรรดาศาสดาและนักปราชญ์ทั้งหลาย แล้วเจ้าแก้ปัญหาเรื่องฝันร้าย เหตุการณ์เฉียดตาย และยมฑูตน่าสยดสยองนั่นได้เหรอ ข้าไม่เห็นว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะทำได้ ดูหน้าเจ้าสิซีดยิ่งกว่าอะไรดี อดหลับอดนอนจนตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าแล้ว”

          “นี่เจ้า!!” อัศดาอยากจะโกรธอยู่หรอก แต่พอได้ยินคำว่าหมีแพนด้า เขาถึงกับทำหน้าไม่ถูก เจ้าเทวามันตั้งใจว่าเขาหรือเล่นมุขกันแน่

          โชปะนั่งฟังชายหนุ่มสองคนสนทนากันอย่างสนใจ เขารู้สึกสนุกเสมอเวลาได้ยินมุมมองแปลกๆจากคนอื่น

         “ข้าจัดการปัญหาของตัวเองไม่ได้ก็จริง แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นเก่งกว่าข้า” อัศดาแย้ง

           “เจ้านี่มัน ทิฐิเยอะ! อัตตาจัด! นอกจากนั้นยังหลงตัวเอง!” เทวาสวนกลับไป

          อัศดากระชากเสื้อเทวาเข้ามามองหน้าอย่างเอาเรื่อง

          “พวกเจ้ารู้มั้ยว่าประโยชน์ของความทุกข์คืออะไร” โชปะแทรกขึ้น
อัศดาปล่อยมืออย่างเสียไม่ได้ เขาหันมามองชายชรา เทวาจัดเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง พยายามบอกตัวเองให้อดทนและมีเมตตา

         โชปะเริ่มพูดต่อ “ความทุกข์เป็นจุดเริ่มต้นให้มนุษย์ออกแสวงหาทางดับทุกข์ ถ้ามนุษย์คนใดไม่เคยเผชิญกับความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสพอ พวกเขาก็จะไม่มีเหตุให้ต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์ นอกจากนั้นความทุกข์ยังให้ทำให้มนุษย์ลดทิฐิลง กระทั่งถ่อมตนมากพอจะปฏิบัติตามคำสอน” โชปะนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองอัศดาแน่นิ่ง ราวกับสามารถเห็นทะลุไปถึงจิตใจ

           “สำหรับเจ้าซึ่งเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ช่างสงสัยและมีเหตุผล จัดว่าเหมาะกับคำสอนของศาสนาพุทธมาก”

          “ถึงศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า แต่คำสอนก็พิลึกพิลั่นสิ้นดี ทั้งชาติหน้าชาติก่อน ทั้งเรื่องเปรต เรื่องเทวดานางฟ้าอะไรนั่นอีก ถ้าชาติก่อนมีจริงทำไมข้าจำไม่ได้ล่ะ อีกทั้งเทวดานางฟ้าก็ไม่เคยมาให้เห็น”

          “แต่เจ้ากลับได้เห็นยมฑูตแทน...ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน” เทวาเปรยออกมา เขาพยายามยั้งปากไม่ให้พูดจาประชดประชันแล้ว แต่อัศดาไร้สัมมาคารวะจนเขาเหลืออด

          อัศดายื่นมือไปกระชากคอเสื้อเทวา จ้องมองเขาอย่างประสงค์ร้าย “เจ้าพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง!!” เขากล่าวเสียงเข้มอย่างข่มขู่

          เทวาจ้องกลับ “ข้าไม่ได้อยากหาเรื่องเจ้าแต่อย่างใดสหายรัก ความปรารถนาเดียวของข้าคืออยากให้เจ้าพ้นทุกข์ แต่ข้าไม่อาจทนได้เมื่อเจ้าลบหลู่ท่านพ่อและคำสอนของพุทธศาสนา”

          โชปะวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่มทั้งสองแล้วผลักออกเบาๆ อัศดาจึงจำใจต้องปล่อยมือจากคอเสื้อของเทวา

          โชปะหันไปหาเทวา “ข้ามิได้โกรธเทวา พระธรรมไม่เสื่อมค่าเพราะคำสบประมาท แล้วใยเจ้าต้องโกรธแทนข้าและพระธรรมด้วย อย่าได้ถือสาอัศดาเลย คิดในแง่ดีเขาเป็นคนฉลาดถึงได้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เจ้าเองก็เคยอ่านเรื่องความว่างแต่ไม่เข้าใจ เลยบอกว่าศาสนาพุทธสอนเรื่องพิลึก แต่ตอนนี้เจ้าได้ประจักษ์ถึงความว่างแล้ว ทั้งยังสรรเสริญว่าเป็นคำสอนที่ล้ำค่ายิ่ง อัศดาเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น อย่าใจร้อนกับเขานักสิ”

           เทวาก้มหน้าลงอย่างละอายใจ โชปะพูดถูก เขาควรมีความอดทนให้มากกว่านี้ “ข้าเข้าใจแล้วครับ”

           “ส่วนเจ้า” โชปะปล่อยมือจากเทวา ยื่นมืออีกข้างไปจับไหล่อัศดาให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา “นักเรียนที่ไม่เชื่อว่าครูมีความรู้สูงกว่า ทั้งยังไม่เชื่อว่าครูสามารถช่วยได้ ไม่สมควรที่จะมาเรียน ข้ายินดีช่วยเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ยินดีให้ข้าช่วย คงไร้ประโยชน์ที่พวกเราจะคุยกันต่อไป” เขาเขย่าไหล่อัศดาเล็กน้อยก่อนปล่อยมือ

           อัศดาได้แต่อ้าปากค้าง แต่ไม่มีคำพูดอะไรออกมา เขาถูกไล่แล้วสินะ

          “งั้นข้าลาล่ะนะครับ” อัศดาโค้งศีรษะเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นท่าทางสงบ

           “ก่อนจะไปข้ามีคำแนะนำอย่างหนึ่ง” โชปะกล่าว “ข้าไม่อาจพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่าสิ่งที่พูดมาเป็นความจริง แต่การที่เทวาช่วยเจ้าให้พ้นจากความตายถึงสองครั้ง นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง บางทีเทวาอาจจะเป็นเครื่องรางนำโชคของเจ้าก็ได้” โชปะยิ้มให้อัศดา เหมือนมีปริศนาบางอย่างแฝงอยู่ในรอยยิ้มของเขา ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าโชปะมีเรื่องอะไรให้ยิ้มนักหนา

           หลังคุยกับโชปะเสร็จ เทวาพยายามเกลี้ยกล่อมอัศดาด้วยสาระพัดวิธี จนชายหนุ่มรำคาญจึงตะเพิดกลับไป เทวาจึงจำใจต้องเลิกพูด ปล่อยให้อัศดาอยู่เงียบๆคนเดียว

          วันนี้เป็นวันอาทิตย์จึงไม่มีนักเรียนในโรงเรียน อัศดาเดินไปตามทางเดินปูด้วยหินอันคุ้นเคย ตัดผ่านสวนที่มีต้นไม้ปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบไปยังสระน้ำ เขานั่งลงที่ใต้ต้นมะม่วง เฝ้ามองกังหันวิดน้ำหมุนไปเรื่อยๆขณะส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เขาหยิบก้อนหินปาลงไปในน้ำ เกิดเสียงดังจ๋อมพร้อมกับวงคลื่นที่แผ่ขยายออก เขาครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะหยิบก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าโยนลงไปในน้ำ ไม่นานก้อนหินที่อยู่ใกล้ตัวก็หมดลง

           กระรอกน้อยตัวหนึ่ง ปีนป่ายไปมาอย่างซุกซนบนต้นมะม่วง มันกัดก้านมะม่วงจนขาด ทำให้ลูกมะม่วงขนาดใหญ่ที่ยังไม่สุกดีหล่นลงมา โชดดีที่อัศดาเอี้ยวตัวไปหยิบก้อนหิน มะม่วงลูกนั้นจึงกระแทกใส่หลังแทน มันทำให้เขาเจ็บมากเนื่องจากตกลงมาจากกิ่งที่อยู่สูง

         “โว๊ย! เจ้ามะม่วงเวรนี่ ที่อื่นมีให้ตกตั้งเยอะตั้งแยะ ดันมาตกใส่หลังข้า!” ขณะที่อัศดาพ่นคำด่าออกมานั้น เขาก็นึกถึงคำพูดของโชปะ ที่บอกว่าเขาต้องตายในเร็วๆนี้ขึ้นมา มะม่วงลูกนี้คงเป็นอีกหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้เขาตาย ใช่แล้วถ้าข้าไม่เอี้ยวตัวไปข้างหน้าเพื่อหยิบก้อนหิน มะม่วงลูกนี้ต้องตกลงกลางหัวข้าพอดี ถึงไม่ตายในทันทีแต่ก็มีความเสี่ยงเป็นเลือดคลั่งในสมองแล้วตายเอาภายหลัง

         อัศดายันตัวลุกขึ้นด้วยความตระหนก เขามองดูมะม่วงที่แตกกระเทาะเห็นเนื้อในอย่างหวาดผวา จากนั้นก็รีบเดินออกไปให้พ้นจากใต้กิ่งก้านของต้นมะม่วง ถ้าต้องตายเพราะมะม่วงหล่นใส่หัว คงทุเรศสิ้นดี เขาบ่นในใจ ไหนๆก็ต้องตายแล้ว ชิงฆ่าตัวตายก่อนเลยดีมั้ยนะ ชายหนุ่มปาหินที่เก็บมาเมื่อสักครู่ลงไปในน้ำ

          “คิดอะไรบ้าๆ นั่นมันวิธีของคนขี้ขลาดชัดๆ ข้าต้องไม่ตาย” เขากัดฟันกรอด แต่จะทำอย่างไรล่ะ?

           อัศดานั่งลงบนผืนหญ้าใต้ฟ้าสีคราม พยายามครุ่นคิดหาคำตอบ คำถามอีกข้อผุดขึ้นมาในใจ ตายแล้วทุกอย่างจะจบสิ้นลงด้วยหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวให้มากมาย มีเพียงความอาลัยในความสนุกเพลิดเพลินของชีวิตเท่านั้น เขายังหนุ่มยังแน่น มีเงินเก็บมากมายที่ยังไม่ได้ใช้ นอนกับผู้หญิงยังไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ เขายังอยากหาความสำราญให้ตัวเองมากกว่านี้

           แล้วถ้าความตายไม่ใช่การสิ้นสุดของทุกอย่างล่ะ!? ถ้ามีโลกอื่นรออยู่หลังความตาย ถ้าเขาต้องกลายเป็นวิญญาณที่ไม่สามารถติดต่อกับผู้คน ต้องเร่ร่อนไปทั่วโดยไม่มีใครเห็น ถ้าเขาต้องไปนรก ต้องถูกทรมาน ถูกสัตว์ร้ายกัดกินร่างเหมือนในความฝัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรดี ยิ่งคิดอัศดาก็ยิ่งกลุ้มใจ หนึ่งในเหตุผลที่มนุษย์กลัวตาย คือไม่รู้ว่าหลังจากตายแล้วจะเป็นเช่นไร แม้อัศดาจะคิดไปต่างๆนาๆ แต่ความคิดที่เขาไม่มีอยู่ในหัวเลย คือตายแล้วไปสวรรค์ ด้วยรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดี

         รองเท้าบูทหนังสัตว์สีดำเหยียบลงบนหินสีเทาอ่อน อัศดาเดินก้มหน้าอย่างคนทุกข์หนักไปตามทางเดิน เมื่อเขาไปถึงประตูใหญ่ก็พบเทวายืนพิงกำแพงอยู่ข้างประตู

       “จะไปไหนเหรอ” เทวาถาม

         อัศดามองผู้ที่ทักเขา “ข้าคิดว่าจะลองเชื่อโชปะดู ข้าต้องทำอะไรบ้าง”

         เทวายิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เขายืดตัวขึ้นยืนตัวตรง “ท่านพ่อบอกว่า ถ้าเจ้าอยากให้ช่วย ให้มาพักที่นี่จะได้ดูแลเจ้าได้สะดวก”

          “เข้าใจแล้ว...ข้าจะกลับบ้านไปเก็บของ”

          อัศดามีท่าทางว่าง่ายจนเทวานึกแปลกใจ ช่างเปลี่ยนเร็วจนตามไม่ทัน

         “ข้าไปด้วย จะได้ช่วยเจ้าขนของ” เทวากล่าว

         “ถ้าชอบทำตัวเป็น( ^o^ )นักก็ตามใจ” อัศดากล่าว มองเทวาด้วยหางตาอย่างดูแคลน

จากคุณ : holyneko
เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 55 19:56:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com