Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Mission Failed ตอนที่ 2 การเริ่มต้นของภารกิจลับ ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1 ฟาเบียน ฮาร์เดนเบิร์ก
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12293747/W12293747.html#1


บทที่ 2  การเริ่มต้นของภารกิจลับ

ดอกเตอร์อิริคเดินนำหน้าฉันผ่านประตูห้องหลายห้องที่เรียงรายอยู่สองข้างทางอย่างเป็นระเบียบ  ที่ด้านขวาของประตูทุกบานถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบป้องกันความปลอดภัยที่รูปร่างลักษณะเหมือนเครื่องสแกนฝ่ามือ  ฉันเดินตามดอกเตอร์อิริคเข้าไปในลิฟต์โลหะขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดออกหลังจากแสงวาบสีเขียวที่เครื่องสแกนดวงตาวิ่งผ่านดวงตาสองสีใต้แว่นเลนส์หนาของดอกเตอร์   ชายร่างกำยำ อารอน  เดินตามเข้ามาในลิฟต์อย่างเงียบๆ  ตามด้วยโดมินิค และหญิงสาวที่ฉันพบในห้องพยาบาลก่อนหน้านี้  

ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเมื่อแสงไฟแสดงตำแหน่งของลิฟต์หยุดตรงที่หมายเลข  ลบสาม  (ฉันเดาเอาว่านี่คือชั้นใต้ดินลึกสุดของอาคารหลังนี้)  ฉันเดินตามดอกเตอร์ออกจากลิฟต์มายังห้องโถงสีขาวทางตันที่เชื่อมต่อกับประตูลิฟต์ที่เปิดออก  ห้องโถงเล็กๆแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวลิฟต์เพียงเล็กน้อย  ผนังทุกด้านของห้อง  นอกจากด้านที่เชื่อมต่อกับลิฟต์  เป็นผนังสีขาวว่างเปล่า  ไม่มีประตู  หรือแม้แต่หน้าต่างระบายอากาศ  ฉันสงสัยว่าดอกเตอร์ต้องการให้ฉันมาทำอะไรในห้องแคบๆที่ว่างเปล่าแห่งนี้??  

ดอกเตอร์อิริคเดินตรงไปยังเพดานห้องฝั่งตรงข้ามกับประตูลิฟต์  เขาเอาฝ่ามือทั้งสองข้างค่อยๆทาบลงที่เพดานว่างเปล่าอย่างระมัดระวังและเลือกสรรค์ตำแหน่งที่เหมาะสม    สักพัก  ภาพห้องโถงทางตันสีขาวค่อยๆจางหายไป  กลับกลายเป็นห้องโถงสีฟ้าขนาดเท่ากันที่มีประตูโลหะเชื่อมต่อไปยังอีกห้องหนึ่ง  เสียงแหบแห้งของดอกเตอร์กล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

“เมื่อสักครู่นี้  เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้นหน่ะ  ฟาเบียน”

ฉันสังเกตเห็นชายร่างเล็กส่งยิ้มให้กับฉันเล็กน้อย  ก่อนที่จะเดินตรงไปยังเครื่องสแกนดวงตาที่ติดอยู่ด้านขวาของประตูโลหะ  สักพัก  ไฟเล็กๆที่เครื่องแสกนส่งสัญญาณไฟสีเขียว  ประตูโลหะค่อยๆเปิดออก  พร้อมกับเสียงกล่าวต้อนรับจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้น

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ของแล็ปชั้นใน  ดอกเตอร์ อิริค  ชิลเลอร์”

ดอกเตอร์อิริคเดินนำหน้าฉันและลูกทีมผ่านเข้าไปยังห้องแล็ปชั้นใน   ฉันได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์ที่ประตูห้องแล็ปร้อง  „Clean“   ทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน   เมื่อเข้ามายังด้านในของห้องแล็ปแล้ว   ฉันเดินสำรวจมองดูรอบๆห้องสักพักจนกระทั่งสายตาของฉันสะดุดหยุดชะงักอยู่ที่ห้องกระจกเล็กๆบริเวณด้านในสุดของห้องแล็ป  ฉันค่อยๆเดินตรงไปยังห้องกระจกดังกล่าว   สายตาของฉันจับจ้องอย่างแน่วแน่ไปยังร่างของหญิงสาวที่หลับไหลในแคปซูลสีฟ้าที่วางตั้งอยู่ภายในห้องกระจก...  บริเวณศีรษะของเธอถูกเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งสัญญาณไฟกระพริบสีเขียวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ  

หญิงสาวผู้นั้นก็คือฉัน...  

ฉัน...  ที่กำลังหลับไหลอยู่ในโลกของความคิด...  กำลังมองดูตัวเองจากโลกความจริง  ผ่านทางร่างกายของมนุษย์อีกคนหนึ่ง!!  

นี่คือห้วงแห่งจินตนาการ...  จินตนาการที่ฉันสามารถสูดลมหายใจเข้าออก  รับรู้  และสัมผัสสิ่งต่างๆได้จริง
 
ฉันพยายามรวบรวมสติของตนเองให้ยอมรับต่อความมหัศจรรย์และความอัจฉริยะเหนือมนุษย์ของดอกเตอร์อิริค  และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฉันเพียงแค่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว  ชายร่างกำยำ  อารอน  ที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างกระวนกระวาย  สลับสายตาจ้องมองที่ฉันและร่างของหญิงสาวในแคปซูลสีฟ้าไปมาอย่างไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง  เขาส่ายหัวเบาๆพร้อมกับบ่นพึมพำเป็นภาษาที่มนุษย์ไม่เข้าใจ  

สักพักหนึ่งฉันได้ยินเสียงกระแอมแหบแห้งดังมาจากด้านหลัง

“อะแฮ่ม!”  เจ้าของเสียงกระแอมแหบแห้งทิ้งจังหวะสักพัก  เมื่อฉันหันหลังกลับไปสบตาสองสีของเขา  เขายิ้มให้เบาๆพร้อมกับชี้มือไปที่หญิงสาวที่ฉันเจอในห้องพยาบาลก่อนหน้านี้

“ผมต้องขอโทษที่ยังไม่ได้แนะนำคุณให้รู้จักกับลูกทีมของผม  นี่คือ เรนาเต้  เธอเป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของผม”  ดอกเตอร์ทิ้งจังหวะเล็กน้อยก่อนที่จะชี้มือไปยังชายหนุ่มอีกสองคนที่เหลือในห้อง  “เช่นเดียวกับ  โดมินิค  และ  อารอน”  

ฉันพยักหน้าเบาๆ  และยิ้มทักทายบุคคลทั้งสามอย่างเป็นมิตร  ฉันสังเกตเห็นเรนาเต้รีบหลบสายตาของฉันทันทีที่ฉันมองไปยังเธอ  ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลัน...  ชายหนุ่มทั้งสองแอบหัวเราะคิกคักในลำคอเบาๆ  ก่อนที่เสียงแหบแห้งของชายสวมแว่นตาเลนส์หนาดังขึ้นอีกครั้ง

“ฟาเบียน   เรนาเต้จะช่วยอธิบายรายละเอียดเบื้องต้นของงานให้คุณเข้าใจ  หลังจากนั้นอารอนจะขับรถพาคุณกลับไปยังห้องพักของคุณ  ส่วนผมและโดมินิค  ต้องขอตัวไปดูงานทดลองอื่นๆที่พวกเราทำค้างเอาไว้ก่อน...”  ดอกเตอร์อิริคทิ้งจังหวะเล็กน้อย  ก่อนกล่าวเพิ่มเติม

“ฟาเบียน   ผมอยากให้คุณรีบแจ้งให้ผมทราบทันทีที่คุณรู้สึกว่าบางอย่างในตัวคุณผิดปกติไป...”  ดอกเตอร์ทิ้งประโยคให้จบลงเพียงเท่านั้น  เขามองฉันอย่างแน่นิ่งอีกครั้งเหมือนชั่งใจดูว่าเขาควรจะกล่าวประโยคต่อไปหรือไม่...  จากนั้น  เขาได้เพียงแต่พยักหน้าให้ฉันเบาๆก่อนเดินจากไปพร้อมกับโดมินิค

ฉันเดินตามเรนาเต้ที่ใบหน้ายังคงแดงอยู่ไปยังโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งอยู่กลางห้อง  อารอนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากห้องกระจกที่ตั้งของแคปซูลสีฟ้า  เฝ้ามองดูฉันและเรนาเต้อย่างเงียบๆ

เรนาเต้นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม  แล้ววางแฟ้มเอกสารและกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสองกล่องที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ  เธอกระแอมหนึ่งครั้งเบาๆ  หลบเลี่ยงที่จะสบตาฉันโดยตรงด้วยการทำเป็นมองหาอะไรสักอย่างในแฟ้ม  พร้อมทั้งกล่าวขึ้นด้วยเสียงเล็กๆใสๆของเธอ

“คุณชื่อ ฟาเบียน  ฮาร์เดนเบิร์ก  อายุ 28 ปี  เป็นอดีตผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่ง ขององค์กรลับที่เรียกตัวเองว่า อัลฟ่า  ที่มีดอกเตอร์อิริค  ชิลเลอร์เป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่...” เธอกระแอมเบาๆอีกครั้ง ก่อนกล่าวต่อไป  สายตายังคงจับจ้องไปที่แฟ้มที่เปิดวางอยู่บนโต๊ะ

“เมื่อ... ห้าปีก่อนหน้านี้...  ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจ  คุณถูกตัดขาดจากระบบการสื่อสารของทีมปฏิบัติงานอย่างไม่ทราบสาเหตุ  ไบรอัน  ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ปฏิบัติการหมายเลขสอง  ได้ยินเสียงร้องตะโกนของคุณ  เขารีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ  และพบร่างของคุณล้มลงบนพื้น  โดยมีชายปริศนาผู้สวมหน้ากากสีขาวยืนอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ  ชายปริศนาผู้นี้หนีรอดจากไบรอันไปได้อย่างหวุดหวิด   และเมื่อไบรอันพบว่าคุณยังมีชีวิตอยู่  เขารีบพาคุณกลับมายังศูนย์ปฏิบัติงานหลักของอัลฟ่าแห่งนี้ทันที...”  หญิงสาวทิ้งจังหวะเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อไป  ฉันสังเกตเห็นคิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย  ใบหน้าของเธอเปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีขาวซีดเหมือนปกติ

“หลังจากดอกเตอร์อิริคได้ตรวจดูร่างกายของคุณอย่างถี่ถ้วน  เขาพบว่า  ระบบการทำงานของหัวใจของคุณยังทำงานเป็นปกติ  ในขณะที่สมองทั้งสองซีก  รวมถึงเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับสมองทุกเส้นของคุณ  ไม่มีร่องรอยการกระทบกระเทือนหรือตำหนิใดๆ  แต่กลับไร้ซึ่งการสั่งการ...  เหมือนกับว่า  ร่างกายที่สมบูรณ์แบบครบถ้วนของคุณ...  ไม่มี  สิ่งที่ถูกเรียกว่า  จิตวิญญาณ  แม้ว่าดอกเตอร์อิริคไม่สามารถหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายคุณได้...  แต่แทนที่เขาจะยอมรับว่านี่คือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ  เขากลับเชื่อว่า  นี่คือความท้าทายที่เขาต้องพิสูจน์  ดอกเตอร์อิริคได้พยายามค้นคว้าหาทางทำให้สมองของคุณกลับมาทำงานอีกครั้ง  จนกระทั่งเขาสามารถประดิษฐ์เครื่องมือที่ยืมการสั่งการจากสมองหนึ่ง  เข้าสู่อีกสมองหนึ่งได้สำเร็จ  โดยเขาตั้งชื่ออุปกรณ์นี้ว่า  อิมเปร์-เชเรบรุม   อย่างไรก็ตาม...  สิ่งที่ชายหน้ากากขาวทำกับร่างกายของคุณยังคงเป็นเงื่อนงำปริศนาที่แสนท้าทายสำหรับดอกเตอร์อิริค...  เขาเริ่มต้นตามหาผู้ที่สามารถใช้งาน  อิมเปร์-เชเรบรุม  เนื่องจากการใช้งานเครื่องมือดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัย  โอเนโรเนาท์  (Oneironaut) หรือ  ผู้ควบคุมความฝันที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเท่านั้น   ดอกเตอร์อิริคใช้เวลานานกว่าสามปีในการตามหาบุคคลดังกล่าว  จนกระทั่ง...  เขาได้พบกับหญิงสาวที่ชื่อ  แอนนามาเรีย...”  

ฉันสังเกตเห็นเรนาเต้หยุดชะงักเมื่อเอ่ยชื่อจริงของฉัน  เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองฉันอย่างช้าๆ  และอีกครั้ง  ในทันทีที่เธอสบตาฉัน  เธอรีบหลบสายตามองไปทางอื่น  แล้วก้มลงมองดูที่แฟ้มเอกสาร   ท่าทางเธอดูเหมือนครุ่นคริดอะไรบางอย่าง...  แล้วใบหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนๆ

ฉันยังคงเงียบไม่ได้พูดอะไร

คิ้วของเรนาเต้ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง  ท่าทางของเธอดูเหมือนกำลังสับสนกับความรู้สึกบางอย่างของตัวเอง...  เธอกัดริมฝีปากล่างเบาๆ  ก่อนที่จะเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงใสๆที่พยายามทำให้ฟังดูเรียบปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ดอกเตอร์อิริคเชื่อว่า...  การกลับมาของคุณ  จะเป็นตัวล่อให้ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง...”  เรนาเต้ค่อยๆขยับกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสองกล่องที่วางอยู่ข้างแฟ้มเอกสารมาทางฉัน  
“นาฬิกาที่อยู่ในกล่องจะช่วยบอกตำแหน่งของคุณ  และหูฟังเล็กๆในอีกกล่องหนึ่ง  จะช่วยให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับศูนย์กลางของอัลฟ่าได้ตลอดเวลา...  ดอกเตอร์อิริคอยากให้คุณมีสองสิ่งนี้ติดตัวไว้เสมอเวลาที่คุณออกไปข้างนอก...”

หลังจากจบประโยค  เรนาเต้รีบจัดเก็บเอกสารบนโต๊ะเข้าแฟ้มทันที  เธอยิ้มให้ฉันเล็กน้อยแต่ยังคงไม่ยอมสบตา  เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างผลุนผลัน  แล้วเดินจากไปโดยไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม  ฉันมองดูเธอด้วยความงงงวยจนลับสายตา...  อารอนที่คอยสังเกตดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ  พยายามเก็บเสียงหัวเราะของตนไว้ที่ลำคอ...  ฉันจ้องมองไปที่อารอนด้วยใบหน้าอ้อนวอนขอคำอธิบาย...  เขาไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับฉัน  ได้แต่ส่ายหน้าให้และหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

“อย่าคิดมากไปเลยน่า   หนุ่มหล่อหน้าตาดีอย่างคุณ  ก็คงต้องทำให้สาวๆประหม่าเป็นเรื่องธรรมดา”  อารอนกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ยังเจอปนกับเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ

ฉันยักคิ้วสองข้างขึ้นโดยไม่ตั้งใจ   อารอนกระพริบตาหนึ่งข้างให้ฉันพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร   ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้  แล้วเดินตามเขาไปยังลานจอดรถ  

จริงสินะ...  ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าตาของนายฟาเบียน  ฮาร์เดนเบิร์กเลยนี่นา...



*******************************************



ในห้องพักสุดหรูริมแม่น้ำไรน์ใจกลางกรุงโคโลญ  ฉันยืนอยู่หน้ากระจกในน้องน้ำที่เครื่องสำอางของผู้หญิงถูกแทนที่ด้วยครีมโกนหนวดและเครื่องสำอางอื่นๆของผู้ชาย  ฉันจ้องมองดูร่างกายเปลือยเปล่าท่อนบนของชายหนุ่มในกระจกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นแข็งแรง  ใบหน้าและสายตาอันเฉียบคมของเขาบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นจริงจัง...  ทว่าในขณะเดียวกันเต็มไปด้วยความอ่อนหวานและมีเสน่ห์...  นี่คือ  ฟาเบียน  ฮาร์เดนเบิร์ก  อดีตผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่งขององค์กรลับที่เรียกตัวเองว่า  อัลฟ่า

ฉันเดินไปยังตู้อาบน้ำ  และเปิดให้กระแสน้ำเย็นไหลผ่านชำระร่างกาย  แม้ฉันจะพยายามสัมผัสถึงความสดชื่นที่สายน้ำมอบให้  แต่สมองของฉันกลับยังคงรู้สึกหนักหน่วง  มึน และเบลอ  เหมือนผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วงอยู่ตลอดเวลา...  ฉันทำใจยอมรับกับสภาพของตัวเอง...  นี่คือสภาวะที่ฉันต้องเผชิญตลอดทั้งช่วงเวลาของภารกิจ...  ฉันปล่อยให้ความคิดของฉันล่องลอยผ่านไปกับสายน้ำ...  

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจลึกลับนี้   องค์กรอัลฟ่าจะทำอะไรกับร่างกายที่ไร้วิญญาณของฟาเบียน??  
เมื่อความลับของชายปริศนาผู้สวมหน้ากากสีขาวถูกเปิดเผย  ดอกเตอร์อิริคจะยังคงต้องการฉัน  และ  เครื่องอิมเปร์-เชเรบรุมหรือไม่??  
และเมื่อฉันไม่เป็นที่ต้องการขององค์กรอัลฟ่าอีกต่อไป...  จะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน...

ฉันปล่อยให้ความคิดของตัวเองหยุดลงแค่นั้น...  แล้วเดินออกจากห้องอาบน้ำไปยังตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าราคาแพงเข้ารูปกับขนาดร่างกายของนายฟาเบียน   ฉันเลือกหยิบเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงยีนส์สีใกล้เคียงกันมาสวมทับร่างกาย  จากนั้นเดินไปหยิบกุญแจรถปอร์เช่สีดำที่ตกเป็นสมบัติของฉันพร้อมๆกับอพาร์ทเม้นท์สุดหรูแห่งนี้ทันทีที่ฉันรับงานที่เสนอจากดอกเตอร์อิริค

ฉันขับรถผ่านถนนที่ลาดยาวขนานกับแม่น้ำไรน์  เข้าไปยังย่านการค้าของกรุงโคโลญ  หลังจากนำรถไปจอดยังลานจอดใกล้ๆกันแล้ว  ฉันเดินย้อนกลับลงมาเล็กน้อยเพื่อไปยังร้านเบเกอรี่ที่เปิดขายตั้งแต่เช้าของวัน   ฉันชะเง้อมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือสุดหรูอันใหม่ที่เพิ่งได้จากเรนาเต้  เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาแปดโมงเช้ากว่าๆ  ฉันเดินเข้าไปในร้านเบเกอรี่  หลังจากชำระเงินค่ากาแฟ และแซนวิช เสร็จเรียบร้อย ก็ยกถาดอาหารไปวางลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงมุมด้านในสุดของร้าน   สักพัก  หลังจากที่ฉันปล่อยทิ้งให้กาแฟให้แก้วเย็นลงเล็กน้อย   ฉันสังเกตเห็นชายรูปร่างสมส่วนในชุดวิ่งออกกำลังกายเดินเข้ามาในร้าน  ชั่วพริบตาหนึ่ง  ฉันรู้สึกเหมือนว่า  เขามองมาที่ฉัน...   แต่เมื่อฉันมองกลับไปที่เขา  สายตากลับจับจ้องไปยังขนมปังในตู้โชว์ของร้านเบเกอรี่ และพูดคุยกับพนักงานในร้านอย่างปกติ  ฉันละสายตาจากชายแปลกหน้าผู้นี้  แล้วลงมือจัดการแซนวิชสุดอร่อยที่วางอยู่ตรงหน้า  

อีกสักครู่เล็กๆต่อมา  กลุ่มแก๊งค์วัยรุ่นสี่คนที่เต็มไปด้วยรอยสัก ผมทรงพังค์หลากสีสัน  และเครื่องประดับเงินที่เจาะเต็มใบหน้าและร่างกายเดินส่งเสียงดังเข้ามาในร้าน  หลังจากส่งเสียงกล่าวคำหยาบทักทายใส่พนักงาน  ก็ใช้นิ้วชี้เลือกแซนวิซสำหรับสมาชิกแก๊งค์แต่ละคน   แล้วยื่นเงินที่น้อยกว่าราคาขนมปังจริงให้กับพนักงานสาวน้อยผู้น่าสงสาร  หลังจากที่สาวน้อยเริ่มมีน้ำตาซึมคลอเนื่องจากไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร   ชายผมทรงพังค์สีแดงก็โยนเงินส่วนที่ขาดลงกระจายเต็มบนพื้นด้านหลังเคาท์เตอร์ใกล้ๆกับที่พนักงานหญิงยืนอยู่   พร้อมทั้งหัวเราะเยาะอย่างชอบใจ  แล้วก็ยกถาดอาหารมาวางลงบนโต๊ะข้างๆโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่  

เสี้ยววินาทีหนึ่ง  ฉันสบตากับวัยรุ่นพังค์ผมสีแดงที่มองดูฉันด้วยสายตาและรอยยิ้มที่น่าเกลียด  เต็มไปด้วยเลศนัย...

ฉันรีบจัดการกับอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จ...  พยายามเก็บซ่อนความประหม่าของตัวเองเอาไว้...  ฉันรู้สึกอ่อนแอ  มึนหัว  และเพลีย  เกินกว่าที่จะรับมือกับสถานการณ์  

หลังจากเสร็จจากการทานอาหารเช้าที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว  ฉันลุกขึ้นยืน  ทิ้งถาดอาหารและแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าไว้บนโต๊ะ...  แล้วรีบเดินออกจากร้านเบเกอรี่ทันที

ฉันรีบเดินตรงไปยังรถปอร์เช่สีดำที่จอดอยู่ในลานจอดรถไม่ไกลจากร้านเบเกอรี่มากนัก...  และต้องตกใจเมื่อเห็นแก๊งค์ผมพังค์อีกสองคนยืนพิงเสาอยู่ใกล้ๆกับบริเวณที่รถปอร์เช่ของฉันจอดอยู่  สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์มองดูฉันเหมือนกวางที่กำลังวิ่งเข้าถ้ำเสือ  ฉันรีบหันหลังกลับเพื่อมองหาความช่วยเหลือ  

แต่ทว่า...  สิ่งที่เห็นกลับเป็นอันตรายที่เพิ่มมากขึ้น   แก๊งค์วัยรุ่นสี่คนที่ฉันเจอที่ร้านเบเกอรี่เดินอยู่ห่างจากฉันเพียงแค่ไม่กี่เมตร!!  ในมือชายผมทรงพังค์สีแดงถือมีดสปาต้าด้ามเล็กๆ!!

ไม่ทันที่ฉันจะได้ร้องขอความช่วยเหลือ...  หนุ่มพังค์สองคนด้านหลังตรงเข้าจับแขนทั้งสองข้างของฉันไว้แน่น   เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา  ทั้งหมัด  ศอก  และเข่า  รวมถึงมีด  ถ่าโถมเข้าทำลายร่างกายของฉันอย่างเมามันสะใจ   ฉันไม่เคยรู้สึกเจ็บขนาดนี้มาก่อน...  ฉันล้มลงนอนขดตัวอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด...  สูดกลิ่นเลือดที่ไหลมาจากสักแห่งบริเวณใกล้ๆเบ้าตาด้านซ้าย...  กุญแจรถ และ กระเป๋าเงินถูกขโมยออกจากกระเป๋ากางเกงด้วยความละโมบของกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี...  สักพักหนึ่ง  ฉันได้ยินเสียงปืนติดกระบอกเก็บเสียงดังขึ้นใกล้ๆสองนัด  

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของใครสักคนดังขึ้น  กุญแจรถ  และกระเป๋าเงินของฉันตกลงบนพื้นซีเมนต์ใกล้ๆกับบริเวณที่ฉันนอนขดตัวอยู่...  เลือดที่ไหลลงมาคลอดวงตาทำให้ฉันไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้ชัด  

สักพักเล็กๆ  ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของแก๊งค์วัยรุ่นผมพังค์จะวิ่งหนีตะกุยตะกายเพื่อเอาตัวรอด

เสียงฝีเท้าอีกคู่หนึ่งของใครสักคน  เดินตรงมาที่ฉันด้วยความใจเย็น...  

ฉันพยายามพยุงร่างกายที่เจ็บปวดของตัวเองขึ้น  แต่เลือดที่คลอเต็มดวงตาทำให้ฉันไม่สามารถลืมตาขึ้นได้...

เมื่อเสียงฝีเท้าคู่นั้น  หยุดอยู่ที่ตรงหน้าของฉัน...  ฉันพยายามลืมตาที่นองเลือดเพื่อมองดูบุคคลปริศนา...

และเพียงชั่ววูบเดียวกันนั้นเอง  ฉันรู้สึกเหมือนถูกปักเข็มฉีดยาเข้าที่บริเวณแขนด้านซ้าย...  ฉันล้มลงกับพื้นอีกครั้ง  ภาพเลือนลางสุดท้ายที่เห็น  คือรองเท้าออกกำลังกายผ้าใบสีขาวแถบดำของบุคคลปริศนา...  ฉันหมดสติไป



แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 10:35:59

แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 10:35:38

แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 55 21:20:00

จากคุณ : myladyannbook
เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 55 21:19:18




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com