เจ้าของบ้านคนใหม่...
ราสส์ กิโลหก
ผมเกิดมาดูโลกแล้วเกือบ 60 ปีครองตัวเป็นโสดใช้ชีวิตโดดเดี่ยวทำตัวเหมือนนกขมิ้นค่ำไหนนอนนั่น แต่ใช่ว่าผมจะยากจนข้นแค้นจนถึงขนาดนอนกลางดินกินกลางทราย เพียงแต่ผมชอบใช้ชีวิตที่อิสรเสรี ไม่นิยมเอาตัวไปผูกพันกับใครๆ
ผมรับราชการในหน่วยงานแห่งหนึ่ง หน้าที่ของผมต้องออกไปทำงานยังต่างจังหวัดปีหนึ่งประมาณ 8-9 เดือนเมื่อหมดงบประมาณก็กลับกรมฯต้นสังกัด ในระหว่างที่ออกไปทำงานยังต่างจังหวัดข้าราชการอย่างผมมีสิทธิ์เบิกจ่ายเงินจากต้นสังกัด เช่นค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะเดินทาง และเบี้ยเลี้ยง โดยยังไม่รวมกับเงินเดือนที่ยังได้รับประจำแต่ละเดือนอีกถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร วันที่มีความสุขที่สุดคือวันที่เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงออก เงินตุงกระเป๋าใช้จ่ายเหมือนเบี้ยทั้งการพนัน เหล้า ผู้หญิง ไม่ถึงครึ่งเดือนเงินแทบเกลี้ยงกระเป๋าจากเสี่ยใหญ่ตอนต้นเดือนกลายเป็นยาจกในตอนใกล้สิ้นเดือน
ผมนั้นเริ่มกินเหล้าสูบบุหรี่ตั้งแต่เข้าเรียนระดับอาชีวะ ชั้นปีที่ 2 ขณะนั้นเรื่องสูบบุหรี่เป็นเรื่องธรรมดาเพราะพวกเพื่อนผมใครๆก็สูบกันทั้งนั้น การสูบบุหรี่ถือเป็นเรื่องที่โก้เก๋ในช่วงพักเวลาพวกเราจะมานั่งเป่าบุหรี่กันตามริมบันใดของวิทยาลัยฯ บุหรี่ตราขอสมัยนั้นขายดี ใครที่ควักเอาบุหรี่มาจุดสูบเป็นคนแรกถือว่าโชคร้ายเพราะพรรคพวกจะขอเอาไปดูดด้วยความคะนองดูดเข้าปอดลึกๆแล้วพ่นควันออกมาเป็นทางยาวแสดงถึงความเก๋าในการดูด การดูดมีโอกาสดูดได้ครั้งเดียว เพราะพวกคนอื่นๆมันจะเอื้อมมือคว้าเอาบุหรี่ไปดูดต่อกว่าจะกลับถึงตัวเจ้าของบุหรี่มันเหลือสั้นแค่นิ้วเดียวจนต้องเอามือหนีบๆแล้วดูด
ในสมัยที่ผมเรียนประมาณปี พ.ศ. 2513 สถาบันของผมซึ่งเป็นของรัฐ นับว่าให้ความอิสระพอสมควรไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติเหมือนเด็กๆและตัดคะแนนเป็นเกรด ในยุคนั้นพวกอาชีวะอื่นๆยังใช้คำว่าโรงเรียนแต่ของผมใช้คำว่าวิทยาลัยฯ ทั้งยังเรียนได้ถึงปี 5 (ปวส)ต่างจากที่อื่นๆมีเพียงแค่ปี 3(ปวช) สมัยนั้นการเปิดสอนระดับ ปวส มีน้อยมากและส่วนมากเป็นของรัฐบาล เครื่องแบบของพวกเราเป็นกางเกงขายาวสีกรมท่าดูแล้วเป็นผู้ใหญ่เมื่อเทียบกับสถาบันอื่นที่ยังต้องนุ่งกางเกงขาสั้น ใครไม่รู้นึกว่าเป็นเด็กมหาลัย..โก้อย่าบอกใคร..คุยประวัติมาเสียยาวมาต่อในปัจจุบันดีกว่า
ผมเป็นคนเพื่อนแยะเพราะความที่ไม่มีภาระหน้าที่ส่วนตัวอะไร ลูกเมียไม่มี พ่อ-แม่ไปสวรรค์กันหมดแล้ว พี่น้องก็ไม่มี มีแต่ญาติห่างๆแต่ก็ไม่ได้ติดต่อสื่อสารอะไรกัน เงินทองเป็นของนอกกายได้มามากก็ใช้มาก เพื่อนฝูงอยากกินอะไร อยากไปไหนหากไม่เกินกำลังผมไม่เคยขัดใจ ผมไม่มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง จะเช่าบ้านก็ตอนที่ออกไปทำงานโครงการที่ต่างจังหวัด โดยเช่าไว้ในท้องที่นั้นๆ อยู่คนเดียวมันเหงา จึงต้องจ้างคนมาทำงานบ้าน ประเภทมาเย็นกลับเช้า ก็ถือว่าไม่มีอะไรผูกพันกันพออกพอใจกันทั้งสองฝ่าย จบโครงการก็กลับกรมฯ พองบประมาณมาใหม่ก็ออกไปอีกเป็นอย่างนี้ประจำทุกปี เพียงแต่เปลี่ยนเป็นท้องที่จังหวัดอื่น เปลี่ยนจังหวัดก็เปลี่ยนคนทำงานบ้านใหม่ ถ้าผมมีลูกป่านนี้ลูกผมคงมีทั่วประเทศ...
เมื่อหมดปีงบประมาณก็กลับมารองบประมาณรอบใหม่ที่กรุงเทพฯ บ้านไม่ต้องเช่าอาศัยเร่ร่อนไปนอนตามบ้านเพื่อน ทุกคนไม่มีใครรังเกียจคนอย่างผม กินเหล้ากันทุกวันพอเบื่อก็ไปบ้านคนอื่นจนได้เวลาออกโครงการ งบประมาณงวดใหม่มาก็ออกไปทำงานต่างจังหวัด ผมใช้ชีวิตวนเวียนแบบนี้มาเกือบครึ่งชีวิต ผมมีบุญอยู่อย่างคือไม่ชอบเป็นหนี้ใครจึงทำให้ผมไม่มีความทุกข์ในเรื่องการใช้เงิน สิ่งของไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ รถยนต์ก็ไม่มี อาศัยรถเมล์หรือถ้าจำเป็นก็แท็กซี่ ค่าใช้จ่ายของผมจะเป็นเรื่องเที่ยวกินซะเป็นส่วนใหญ่ เคยมีผู้หญิงมาเกาะแกะผมบ้างเหมือนกัน มากินมาเที่ยวกันได้แต่จะเอาถึงขั้นเป็นผัวเมียกันผมไม่เอา เรื่องอะไรจะเอาหมูเอาควายมาอุ้มให้เหนื่อย ผมไม่ใช่แต๋วนะครับเป็นแมนร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ความที่ชอบอิสระจึงไม่มีความคิดที่จะหาใครมาเป็นเมีย
เมื่ออายุเลยเลข 5มาหลายปี ผมไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเงินได้มาก็ใช้ไปจนหมด พรรคพวกที่แต่งงานมีครอบครัวมันเริ่มเป็นห่วงกลัวว่าตอนแก่ตัวผมจะไม่มีอะไรติดตัว จะเที่ยวไปนอนค้างตามบ้านพรรคพวกเหมือนแต่ก่อนคงไม่สะดวก เพราะพวกเขาต้องมีภาระหน้าที่ลูกเต้าโตเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนเป็นปู่เป็นตาแล้วก็แยะ
อ้ายว่อง กูว่าเอ็งขอนายย้ายไปอยู่ประจำที่จังหวัดไหนสักแห่ง หาบ้านหาช่องอยู่เป็นหลักเป็นฐานซะทีวะ
อ้ายเปี๊ยกเพื่อนของผมคนหนึ่งบอกด้วยความเป็นห่วงขณะที่นั่งกินเหล้าอยู่ที่บ้านของมัน มันมีลูกสองคน คนโตผู้ชายจบนิติศาสตร์ กำลังเรียนเนฯ ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงจบเทคนิคการแพทย์ กำลังเรียนโท พวกเด็กเหล่านี้ผมเห็นมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก สองคนไล่ตีไล่เตะกันร้องไห้ขี้มูกโป่งผมเอาขี่คอเล่นจนหัวเราะได้
**********************************************
คำแนะนำของอ้ายเปี๊ยกทำให้ผมเริ่มคิดเพราะอายุมากแล้วจะมัวเทียวไล้เทียวขื่อออกต่างจังหวัดบ่อยๆก็ลำบากมากขึ้น จึงคิดที่จะลงตำแหน่งประจำจังหวัด
พี่วุฒิ ...ผมอยากย้ายประจำที่จังหวัด ขอทางภาคกลาง จังหวัดไหนก็ได้.หาที่ว่างให้หน่อยซิพี่
ผมเข้าไปพูดกับ ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ ซึ่งสนิทสนมกันดีเพราะรู้จักกันตั้งแต่บรรจุเข้าทำงานใหม่ๆ.แต่ตอนนี้เขามีตำแหน่งเป็นถึง ผอ.มีอำนาจในการโยกย้ายจัดสรรตำแหน่งข้าราชการในกรมนี้ทั้งหมด ต้องขอพึ่งบารมีกันบ้าง อย่างว่าแข่งอะไรก็แข่งได้แต่แข่งบุญและวาสนานี่มันแข่งกันไม่ได้ ผมยังแค่ระดับ 6 พรรคพวกไปถึง ผอ. ระดับ 8 ก็ไม่ว่ากันถ้าไม่เก่งจริงคงไม่ได้ตำแหน่งอย่างนี้
ความหวังของผมประสบความสำเร็จในไม่ช้าเมื่อบังเอิญมีข้าราชการคนหนึ่งในจังหวัดทางภาคกลางขอย้ายไปอยู่กับเมียน้อยที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ซึ่งจังหวัดที่เขาขอย้ายไปนั้นเป็นจังหวัดที่กันดารและไกลจนสุดเขตแดนประเทศ ทำให้เห็นว่าอิทธิพลของเมียน้อยช่างน่าเกรงขามนัก..แต่ก็ดีทำให้ผมได้ลงตำแหน่งที่จังหวัดนี้ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก ห่างประมาณ 200 กิโล
เมื่อเดินทางมารายงานตัวที่จังหวัด ฯผมเช่าบ้านใกล้ที่ทำงานเดือนละ 3000 บาทตามสิทธิ์ที่ได้รับจากทางการ แต่คำเตือนของอ้ายเปี๊ยกเกี่ยวกับการหาบ้านเป็นของตนเอง ทำให้ผมคิดหาซื้อบ้านสักหลัง คิดเล็งเอาที่จังหวัดนี้เพราะดูแล้วเป็นเมืองที่เงียบสงบดี บังเอิญมาเจออ้ายป๋องเด็กรุ่นน้องซึ่งตำแหน่งของมันประจำอยู่ที่นี่ ผมบอกมันว่าจะหาบ้านสักหลังเอาที่จังหวัดนี้แหละเพราะวางแผนที่จะเกษียณที่นี่ อ้ายป๋องแนะนำให้ไปซื้อที่สำนักงานบังคับคดีซึ่งมีให้เลือกมากมายและราคาถูกด้วย
พี่ว่อง เดี๋ยววันพุธนี้ไปกับผม ไปดูเขาขายทอดตลาดบ้านกัน อ้ายป๋องหน้าแดงก่ำพูดเสียงแอ๋เพราะความเมา
ผมพยักหน้า..
เดี๋ยวจบจากที่นี้จะไปกินต่อที่ไหนดี วะป๋อง เวลานี้ประมาณ 5 ทุ่มราตรียังเยาว์วัยนัก
โธ่ พี่! ไปกินต่อเดี๋ยวปากก็บวม ซิพี่ ผมไม่ได้ขำไปกับมันเพราะกำลังนึกถึงร้านเหล้าร้านใหม่ สมัยนั้นกินเหล้ากันต้องย้ายร้านอย่างน้อยสามร้านถึงจะกลับที่พัก
อ้ายเวรอย่าพูดมาก กูหัวหงอกแล้วนะโว๊ย ผมเรียกชื่อเล่นของมัน
นังเปิ้ลเด็กธุรการที่นั่งอยู่ด้วยมองดูเวลาและเห็นว่าเรากำลังจะย้ายที่กินกัน จึงเอ่ยปาก ขอลา
พี่ๆ งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะพี่
อ้ายทะลึ่งป๋องหันหน้ามามองนังเปิ้ลเขม็ง
ขอตัวก็ไปแต่ตัวนะเว้ย จงถอดเสื้อผ้ากองไว้ที่นี่ ฮ่าฮ่า อ้ายป๋องพูดเพราะความเมารัก
*********************************
ผมได้ไปขอรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่ทอดตลาดจากสำนักงานบังคับคดี คะเนจากราคาและทำเลแล้วเลือกมาได้ 4 หลัง ใช้เวลาหลังเลิกงานซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อ้ายป๋องตระเวนดูกันจนไปถูกใจหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้สองชั้นเนื้อที่ 100 ตารางวาอยู่ห่างจากที่ทำงานประมาณ 3 กิโลฯตั้งอยู่ในซอยห่างถนนใหญ่ประมาณ 1 กิโลฯในซอยนี้มีบ้านไม่หนาแน่นมากนักแต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยว บริเวณรอบๆมีบ้านคนอื่นปลูกอยู่แล้วคือด้านข้างทั้งสองข้างและด้านหลัง ถือว่าอบอุ่นพอสมควร ผมมองเข้าไปในบ้านมีคนอยู่ในบ้านด้วยเป็นคนสูงอายุ ไม่รู้ว่าเจ้าของรู้ตัวหรือเปล่าว่าบ้านกำลังถูกขายทอดตลาด ผมต้องเข้าไปคุยเพราะหากผมประมูลซื้อมาได้ ก็ต้องให้เจ้าของเดิมย้ายออกไป
ลุงๆ...ผมยืนชะเง้อเรียกแกอยู่หน้าบ้าน
ครับๆๆๆ มีอะไรหรือครับ
ลุงเป็นเจ้าของบ้านหรือครับ ผมถามเมื่อแกเดินมาถึงหน้าบ้าน
แกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
เปล่าครับ
อ้าวแล้วเจ้าของไปไหน หรือลุงเช่าเขาอยู่
เปล่า ผมเป็นญาติห่างๆของเจ้าของบ้าน
แล้วเจ้าของเขาไปไหนครับ ?
มันไปติดคุกคงติดจนตาย เพราะตอนติดอายุก็เกือบ 60 ปีโดนไปตลอดชีวิต ไม่น่าออกมาตัวเป็นๆ
ลูกเมียญาติพี่น้องเขาไม่มีหรือลุง ผมมองเข้าไปในบ้าน
เขาเป็นคนโสด ไม่มีลูกเมีย บ้านเขาได้รับมรดกจากพ่อแม่
พูดจบแกเดินมาเปิดประตูออกแล้วเชื้อเชิญผมเข้าไปในบ้าน
ผมเรียกอ้ายป๋องซึ่งมันนั่งคร่อมอยู่บนรถสองล้อเครื่องให้ตามเข้ามา มองสำรวจตัวบ้านพบว่ามีลักษณะเป็นบ้านไม้สองชั้นสภาพเก่าแต่ดูแข็งแรง ใต้ถุนสูงมีต้นมะม่วงและไม้อื่นหลายต้น บรรยากาศร่มรื่นดี แต่ภายในบ้านยังรกรุงรังพอสมควร เหมือนบ้านไม่มีผู้คนอาศัยแต่ไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญอะไร ...
ลุงคงไม่ได้พักที่นี่ ผมถามแกหลังจากได้นั่งที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงเพราะเห็นสภาพบ้านลักษณะแบบนี้คงไม่มีคนอยู่
ตาลุงชี้มือไปที่บ้านข้างๆบ้านผมอยู่หลังนี้ อยู่ติดๆกันนี่แหละ บ้านของแกเป็นบ้านไม้สองชั้นเหมือนกันรูปทรงก็ไม่แตกต่างกันเท่าใด เพียงแต่ดูสะอาดกว่าผมสังเกตเห็นมีประตูเล็กๆขนาดคนเดินผ่านได้ที่บริเวณริมรั้วซึ่งติดกับบ้านหลังที่แกอ้างถึง แกคงใช้ประตูเล็กนี้เดินเข้าออกระหว่างบ้านสองหลัง เห็นว่าสถานการณ์คงไม่มีปัญหาอะไร ผมจึงบอกจุดประสงค์กับลุง
ผมจะมาซื้อบ้านหลังนี้ครับ
แกไม่ได้มีทีท่าแปลกใจอะไร คิดว่าคงอยากได้เพื่อนบ้านเพิ่มอีก ก็ดีครับ ว่าแต่คุณทำงานอะไร เป็นคนที่ไหน ฟังสำเนียงคงไม่ใช่คนที่นี่ นึกยังไงถึงมาซื้อลุงถามยาวเหยียด
ผมเป็นข้าราชการย้ายมาประจำที่จังหวัดนี้ ปีหน้าผมจะเกษียณอายุ จึงอยากหาบ้านเป็นของตัวเองครับลุง
ก็ดีคุณ แถวๆนี้สงบเงียบอยู่กันแบบเรียบง่าย แต่จะไกลจากตัวเมืองบ้าง
ผมขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นน้องใหม่ด้วยคนนะลุง ผมทำมืออ่อนยกมือไหว้เจ้าถิ่น
***************************
ในวันนัดทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ ผมภาวนาอย่าให้มีคนมาสู้ราคามากนักเพราะราคาจะได้ไม่สูงเกินไป อ้ายป๋องมาเป็นเพื่อนด้วย มันเอาข้อมูลมาบอกผมว่า บ้านและที่ดินแปลงนี้ขึ้นทอดตลาดมาแล้ว 5 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่หก
วิเคราะห์ดูแล้ว คงไม่มีใครมาสู้ราคา มันทำเป็นผู้รู้
ก็ดีขอให้เป็นตามที่เอ็งพูด วันนี้ถ้าซื้อบ้านได้ข้าจะพาเอ็งไปหาน้องแอน ที่บั้นท้ายใหญ่ๆผมหมายถึงเด็กร้านอาหารอ้ายป๋องมันคั่วอยู่
และก็เป็นตามที่เซียนป๋องคาดการเพราะ ไม่มีใครสนใจมาสู้ราคา เจ้าหน้าที่เคาะให้ผมได้ซื้อไป..
จัดการกับเอกสารต่างๆและไปดำเนินการโอนโฉนดที่ดินและบ้านมาเป็นของตัวเองเรียบร้อย ผมเอาโฉนดมาถือด้วยความตื่นเต้นตลอดชีวิตไม่เคยมีที่ดินหรือบ้านเป็นของตนเอง ต้องเช่าเขามาตลอดถ้าเอาค่าเช่ามาคำนวณรวมกันคงซื้อบ้านสักหลังได้สบาย มองดูชื่อของผมที่ปรากฏในโฉนดมันช่างสวยสดงดงามจริงๆ
ตามวิสัยคนที่ชอบดื่มชอบกิน เมื่อได้บ้านใหม่ก็ต้องฉลองกันหน่อย ปกติก็กินกันเป็นประจำอยู่แล้ว พวกขี้เหล้าชอบหาเรื่องกินเหล้า ถูกหวยก็กินฉลองดีใจ ผิดหวยก็กินปลอบใจ พูดง่ายๆคือ มันจะหาเรื่องกินกันจนได้ คำๆนี้ เหล่าบรรดาเมียๆพรรคพวกมักชอบพูดกัน
ผมนัดพรรคพวกในที่ทำงานทั้งหญิงและชายรวมทั้งลูกจ้างประจำสำนักงาน มาฉลองบ้านใหม่ของผม พวกชอบกินฟรีหน้าบานทยอยกันมาเป็นฝูงหลังจากได้เวลาเลิกงาน เราเอาโต๊ะมาเรียงเป็นแถวยาวใต้ถุนบ้าน เหล้ายาปลาปิ้งจัดเตรียมอย่างดีโดยอ้ายป๋องรับหน้าที่
ผมเดินไปชวนเพื่อนบ้านที่มีเพียงไม่กี่หลังตามมารยาท แต่ไม่มีใครมาเพราะมีแต่ผู้สูงอายุ เช่น ยายแป้น ป้ากุ้ง ตาแม้น และลุงน้อยซึ่งเคยคุยกับผมวันที่มาดูบ้าน พวกเขาอยู่กันตามประสาคนแก่ ลูกหลานออกเรือนไปอยู่ที่อื่นกันหมด จะมาเยี่ยมนานๆครั้ง..โดยเฉพาะลุงน้อยแกเป็นความดันต้องพักผ่อนมากๆ..
บ้านที่เคยเงียบสงบกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เสียงเพลงเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะด้วยความสนุกสนาน ยิ่งดึกความสนุกก็มีมากขึ้น การกินเหล้าไม่มีความทุกข์มีแต่ความสนุกพูดนิดพูดหน่อยก็หัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง เมื่อความดึกดื่นคุกคามมากขึ้นพวกผู้หญิงและพวกกลัวเมียเริ่มทยอยกลับบ้าน จากยี่สิบเหลือสิบจนสุดท้ายเหลือพวกหัวกะทิ 4-5 คนพวกนี้ติดลมถึงชั้นบรรยากาศลงยาก สุมหัวคุยกันอย่างออกรส ที่ขาดไม่ได้คือเสียงหัวเราะดังลั่นเป็นพักๆยิ่งบรรยากาศเงียบสงบแบบนั้นเสียงจะดังไปไกล..
อ้ายป๋องผู้จัดการโครงการเมาแอ๋แอบไปนอนที่นอกชานบ้านชั้นสองมุ้งไม่ต้องกาง คนอื่นๆเริ่มวนเวียนหาที่นอนตามอ้ายป๋อง บ้านคนโสดแบบผมไม่ต้องห่วงและเกรงใจใคร ใครใคร่กินใครใคร่นอนทำได้สะดวกสบาย จนในที่สุดงานเลี้ยงก็เลิกราเมื่อเวลาเกือบ ตี 3..
ผมนั้นในฐานะเจ้าภาพ ความที่เป็นเจ้าของบ้านมือใหม่แกะกล่อง ยังเห่อบ้านใหม่ไม่หาย ตาแข็งไม่มีความง่วงมารบกวน พรรคพวกก็ดันหมอบกระแตกันหมด จึงต้องนั่งกินเหล้าอยู่คนเดียวและตั้งใจว่าตอนเช้านี้จะตักบาตรที่หน้าบ้านเอาฤกษ์เอาชัยตามความเชื่อของเราชาวพุทธสักหน่อย..
ไม่ไกลจากที่นี่มีวัดหนึ่งตั้งอยู่..คงมีพระมาเดินรับบาตรแถวๆนี้บ้าง คิดว่าหุงข้าวเสร็จจะเดินไปถามพวกลุง ป้า ข้างบ้านพวกเขาคงตื่นเช้ากันเพราะคนแก่ส่วนมากจะตื่นตั้งแต่ตีห้า...
เรื่องกินเหล้าผมไม่เคยเป็นสองรองใคร กินข้ามวันข้ามคืนก็เคยกินมาแล้ว วันนี้เป็นวันดีสำหรับเจ้าของบ้านคนใหม่ ตื่นเต้นจนไม่อยากนอน.เข้าบ้านจัดการอาบน้ำชำระร่างกาย ตั้งหม้อไฟฟ้าหุงข้าวเพื่อเตรียมใส่บาตรในตอนเช้ามืด
ดูเวลาเกือบตีห้าแล้ว มองไปข้างๆบ้านเป็นไปตามคาดทุกบ้านเปิดไฟในบ้าน คงตื่นกันหมดแล้ว
บรรยากาศช่วงตี 5 เย็นสบายบิดตัวด้วยความเมื่อยขบสูดโอโซนจากอากาศ...ช่างสดชื่นจริงๆ
ผมก้าวเดินด้วยความสุขไปทางหลังบ้านไปทางประตูเล็กๆที่เจาะทะลุไปยังบ้านลุงน้อย ได้ยินเสียงคนคุยกัน มีทั้งเสียงผู้หญิงและผู้ชายเป็นเสียงผู้สูงอายุ ก็คงเป็นลุงๆป้าๆบ้านใกล้เรือนเคียง พวกเขามาคุยอะไรกัน หรือเตรียมตัวทำบุญตักบาตรด้วยกันตามประสาคนแก่..จนเดินเข้าไปใกล้...
มันแดกกันได้ทั้งคืนแหกปากหนวกหู กูนอนไม่ได้เลย
นั่นซิถ้าเป็นสมัยหนุ่มๆจะเอาก้อนหินปาหลังคาบ้านมัน
ตัวตะกวด..ตัวมาร..ดันมาอยู่ติดบ้านเราซวยจริงๆ
เสียงพวกเขาพูดคุยกันในบ้าน เข้ารูหูทั้งสองหู...ผมเกิดอาการชาไปถึงสมอง...แข้งขาอ่อนจนเดินต่อไปไม่ได้....
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 55 18:27:49
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 16:19:58
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 16:16:47
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 16:10:08
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 16:06:26
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 16:04:07
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 12:58:05