เวียงนาคินทร์
ภาค บุพนิมิต
ตอนที่ 1
เทพบุตรจำแลง
ชายฉกรรจ์เชื้อสายจีนนั่งนิ่งคอแข็งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ในห้องรับแขกเพียงลำพังคนเดียว ดวงตารียาวคู่นั้นไหวระริกไปด้วยความเคืองแค้นระคนไปกับความเจ็บปวด นายสรวงไม่ได้เปิดไฟในบ้านยกเว้นบริเวณที่เขานั่งอยู่เท่านั้น อีกทั้งยังไล่แม่บ้านที่ทำหน้าที่ดูแลความสะอาดบ้านกึ่งออฟฟิศในตัวแบบเช้าไปเย็นกลับนี้ ให้กลับไปรวมทั้งพนักงานคนอื่นๆ ก็สั่งให้เลิกงานกลับบ้านไปก่อนเวลาเลิกงาน โดยกำชับว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานอีกด้วย
เป็นเวลากว่านานที่เขานั่งจมอยู่กับเก้าอี้ด้วยความว้าวุ่นสับสน จนแยกแยะไม่ออกว่าความรู้สึกด้านใดมีมากกว่ากัน ระหว่างเคียดแค้นชิงกับกับโศกเศร้าเสียใจในความจริงที่ได้รับรู้ มือใหญ่กำแน่นอยู่นานจนเส้นเลือดนูนขึ้นเป็นริ้วเห็นได้ชัดค่อยคลายออก มันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬเช่นเดียวกับใบหน้าของเขา ซึ่งบัดนี้ซีดเผือดไร้สีสันใดๆ
เสียงลมหายใจระบายออกมาโดยแรงคล้ายว่าเจ้าของร่างหายใจติดขัด มือซีดเซียวสั่นเทานั่นค่อยๆ บรรจงหยิบซองเอกสารสีขาวที่ถูกทิ้งไว้ตรงหน้ามานาน ตั้งแต่เขามานั่งอยู่ตรงนี้จนเวลาทอดผ่านไปหลายชั่วโมงขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง คำภาวนาของสรวงไม่เป็นผลทุกตัวอักษรยังคงยืนยันผลดังเดิม กระดาษบางแผ่นนั้นหลุดจากมือไปอย่างเลื่อนลอย เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งสรวงก็เริ่มร่ำไห้ออกมา เมื่อแรกมันเป็นเพียงแค่ความร้อนที่ขอบตาแล้วหลั่งรินออกมาเรื่อยๆ จนน้ำตานองหน้าราวทำนบทลาย
สรวงจมอยู่กับอารมณ์ของตนจนไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้อง จนกระทั่งมือเล็กบอบบางของเด็กชายตัวน้อยหยิบเอกสารเมื่อครู่ขึ้นอ่าน เขาจึงค่อยรับรู้ว่ามีคนอื่นล่วงเข้ามา
"โอม!! กลับเข้าไปในห้องเดี๋ยวนี้!!?" เสียงของเขาห้วนจนกลายเป็นตวาดดังลั่นด้วยความโกรธ แต่เมื่อเหลือบเห็นผ้าพันแผลที่ยังพันรอบศีรษะเด็กชายตัวน้อย จึงค่อยลดเสียงให้อ่อนลง
"ไปนอนซะเดี๋ยวก็ปวดหัวอีกหรอก" ว่าแล้วจึงดึงเอกสารคืน และเก็บซ่อนมันเข้าไปในซองที่มีตราโรงพยาบาลอย่างมิดชิด
เด็กชายตัวเล็กวัยเพียงแค่ 4 ขวบไม่ได้ตอบอะไร แต่ดวงตาโตสีน้ำตาลใสคู่นั้นจ้องมองนายสรวงผู้เป็นบิดาอย่างเงียบงัน จนชายหนุ่มสะท้อนใจวาบประโยคพูดต่อมาจึงนิ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"มีอะไรรึ...ลูก" เสียงท้ายประโยคไม่เต็มเสียงนัก ราวกับเขากลั่นมันออกมาอย่างยากเย็น แต่เด็กชายไม่ตอบ
"หิว? หรือว่าปวดหัว?" เมื่อไม่ได้คำตอบอีกเช่นเคย เขาก็เริ่มโมโหขึ้นมา
"ทำไมหรือว่าจะหาแม่? เฮอะ...แม่เราน่ะป่านนี้ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว !!"
เมื่อเอ่ยถึงพราวแสงภรรยาคนสวยที่เขาภูมิใจมาตลอดนั้น ความเจ็บแปลบก็เกิดขึ้นกะทันหันดุจดังเข็มปลายแหลมทิ่มสะกิดเข้า สรวงและพราวแสงแต่งงานกันมาเกือบห้า ปี ทำไมเขาไม่เอะใจเอาเสียเลยกับอายุของเด็กชาย หรือเพราะที่ผ่านมาชีวิตราบรื่นเกินไปเขาและภรรยารักใคร่กันดี จะมีก็เพียงหล่อนยังรักการทำงานเซลที่บริษัทดั้งเดิมที่ทำมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน จึงเดินทางไปต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ ในขณะที่เขาดำเนินกิจการเล็กๆ ของตัวเองโดยใช้บ้านต่างออฟฟิศ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเรียบง่ายทว่างดงาม เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่งดังเช่นมนุษย์ปุถุชนทั่วๆ ไปต้องการ
"ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวก็ปวดหัวขึ้นมาอีกหรอก"