ภายหลังอาหารเย็น ทั้งคู่เดินออกจากอาคารห้างสรรพสินค้า สัมผัสกับอากาศเย็นภายใต้ท้องฟ้าปลายฤดูหนาว โคมไฟริมทางเปล่งแสงนวลอาบไล้ไปทั่วท้องถนน ทั้งสองเดินไปหยุดยืนอยู่บริเวณป้ายรถโดยสารซึ่งมีคนยืนรอรถกันอยู่ประปราย
"นุ่นไปดูเรื่องเรียนต่อให้พี่ประวิทย์เป็นยังไงบ้าง" เขาถามขึ้น
"มหา"ลัยที่แม่นุ่นเคยเรียนน่ะเหรอ" เธอรำพึง "รู้สึกเค้าจะเน้นภาควิชาบริหารธุรกิจนะ แต่นุ่นไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก ห่วงแต่เที่ยวมากกว่า"
กันต์ธีร์จับมองเสี้ยวหน้าสวยอันพราวไปด้วยรอยยิ้มของเพื่อนสาว ความหวาดวิตกบางประการก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ
"ต่อไปแม่ของนุ่น อาจอยากส่งนุ่นไปเรียนต่อบ้างก็ได้นะ เขาคาดเดาด้วยอารมณ์วาบไหว
เด็กสาวส่ายหน้า
"ไม่มีทางหรอก ถึงแม่จะให้ไป นุ่นก็ไม่ยอมไป เพราะกันต์รับปากว่าจะพยายามเอ็นฯ เข้าสถาบันเดียวกับนุ่นทั้งที นุ่นจะทิ้งกันต์ไปได้ยังไง" เธอว่าอย่างติดตลก รอยยิ้มของเด็กสาวจางลงเมื่อประสานตากับเพื่อนหนุ่ม
ความรู้สึกของเขาเลือนหายในชั่วขณะนั้น ก่อนจะทันรู้ตัวมือข้างหนึ่งก็คว้ามือของเธอเอาไว้ นริศรานิ่งงัน สัมผัสความอุ่นจัดจากอุ้งมือใหญ่แผ่กระจายจนร้อนผ่าวไปทั่วร่าง ดวงตาคู่แน่นิ่งจ้องเขาราวกับต้องมนตร์สะกด
"ขอทางหน่อยครับ" ได้ยินเสียงแว่วอยู่ข้างหลัง
ชายคนหนึ่งกำลังเข็นรถขายน้ำอ้อยยืนคอยอยู่ระหว่างช่องทางเดินของป้ายรถโดยสาร เด็กหนุ่มได้โอกาสกลบเกลื่อนร่องรอยพิรุธเมื่อสักครู่ด้วยการดึงเพื่อนสาวให้ก้าวหลบ
นริศราสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเหลียวมองรถเข็นพลางถอยหลังหลบพัลวัน
"อ๋อ อื่อ.. ขอบใจนะ" เธอบอกไปพลางหลบตาเพื่อนหนุ่ม แล้วขืนข้อมือกลับ รู้สึกวงหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
มือของเธอช่างนุ่มนวลบอบบางน่าทะนุถนอม เขารู้สึกสะท้านจนอยากเอื้อมไปคว้ามือเธอมากุมไว้อีก แต่ก็ทำได้เพียงเสมองไปทางอื่น
รถเข็นขายน้ำอ้อยเคลื่อนตัวผ่านหน้าทั้งสองไปตามบาทวิถี เด็กหนุ่มทอดสายตามองตามหลังไปอย่างเก้อ ๆ ความคิดแวบเข้ามา
"เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนครับพี่"
ชายร่างเล็กชะงักฝีเท้าหยุดรถ มองร่างสูงของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังเดินตามหลังมา
"ขวดละสิบบาท จะกินในขวดหรือจะใส่ถุงกลับครับ" เขาถาม
เด็กหนุ่มเพ่งสายตามองอ้อยท่อนยาวในตู้กระจกด้วยความสนใจ
"ผมขอเป็นท่อนยาว ๆ แบบนี้ดีกว่า เอามาสองท่อนครับ"
ชายคนขายน้ำขมวดคิ้วแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะหยิบอ้อยท่อนยาวสองท่อนใส่ลงในถุงหิ้วแล้วส่งให้
"ยี่สิบบาทครับ"
เขาส่งธนบัตรสีเขียวฉบับหนึ่งให้คนขายก่อนจะเดินอมยิ้มกลับมา
"กันต์ซื้ออ้อยไปทำอะไรอ่ะ"
นริศรามองเพื่อนหนุ่มสลับกับอ้อยสองท่อนในถุงด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาเอียงหน้าไปกระซิบที่ข้างหูเธอ
"เอาไปเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงที่บ้านไง"
คนฟังทำตาโต ทวนคำเขา
"สัตว์เลี้ยงเหรอ..."
ฟากฟ้ามืดสนิท แสงไฟจากระเบียงห้องพักต่าง ๆ ลอดผ่านลงมาคละเคล้าบรรยากาศสลัวของสวนหย่อมรอบด้าน นริศราหยุดยืนรอเพื่อนหนุ่มอยู่หน้าอพาร์ทเม้นต์ สายลมเย็นยะเยือกโชยพัดผ่านมาให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด เธอหลับตาลงดื่มด่ำกับความหวานซึ้งในหัวใจ
"นี่ไงนุ่น"
เด็กสาวลืมตา เบื้องหน้าเธอปรากฏภาพแมลงปีกแข็งสองตัวเกาะนิ่งอยู่บนท่อนอ้อย เธอเพ่งพิศมองมันด้วยความสนใจ
"นี่เหรอสัตว์เลี้ยงของกันต์"
ตัวที่ดูใหญ่กว่ามีเขาหน้าคู่หนึ่งโค้งเข้าหากัน แลสง่างามน่าเกรงขาม ส่วนอีกตัวหนึ่งเล็กกว่า ไม่มีเขา เธอสังเกตเห็นเชือกเส้นเล็ก ๆ ล่ามคอและเขาของอีกตัว
"แล้วทำไมต้องมัดมันไว้ด้วยล่ะ"
เขากลั้นหัวเราะพลันตอบอย่างร่าเริง
"ไม่งั้นมันก็บินหนีไปสินุ่น"
"มันบินได้ด้วยเหรอ" เธอถามย้ำ ใบหน้าสวยแลสลดลง "ถ้างั้นก็เท่ากับเราหน่วงเหนี่ยวกักขังมันน่ะสิ"
"อืม กักขังเหรอ"
เด็กหนุ่มวางอ้อยทั้งสองท่อนลงบนโต๊ะหินอ่อนด้านข้าง ครุ่นคิดตามความเห็นของเธอ
กันต์ไม่ทันคิดเรื่องนั้นหรอกนะ กันต์แค่คิดถึงบ้าน คิดถึงอะไร ๆ ที่เคยเล่นสมัยเป็นเด็ก พวกเด็กผู้ชายแถวบ้านกันต์ชอบจับเอาด้วงตัวผู้พวกนี้มาชนกัน"
"ชนกันเหรอ" เธอทวนคำ สีหน้าไม่สบายใจยิ่งขึ้น "โหดร้ายจัง"
"เรื่องธรรมดานะนุ่น" เขาเหลือบตามองใบหน้างอ ๆ อันเอ็นดูของเธอ กลั้นใจอธิบายเสียงเรียบ "ตามกฎของธรรมชาติ ตัวผู้จะต่อสู้กันเพื่อแย่งอาหาร แย่งตัวเมีย"
"งั้นก็เถอะ มันชนกันเอง กับเราจับชนมันต่างกันนะกันต์" เธอบ่นไปพลางสังเกตมองแมลงปีกแข็งสองตัวที่เริ่มเดินไต่ไปมา ตัวที่โตกว่ากำลังปีนข้ามมายังอ้อยอีกท่อน และพยายามไต่ขึ้นไปบนหลังของตัวที่เล็กกว่า ได้ยินเสียงหวีดเบา ๆ ถี่ขึ้นทุกที "นั่นไงกันต์ มันเริ่มจะรังแกเจ้าตัวเล็กแล้ว"
เขามองตามสายตาเธอ
"เปล่า ตัวผู้มันจะไม่ชนกับตัวเมียหรอกนะ แต่มันจะผสมพันธุ์ต่างหาก" เขาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก
"ตามกฎของธรรมชาติอีกนั่นแหละนุ่น" เขาอธิบายต่อไปอย่างไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าตกใจของเธอ "แมลงทุกชนิดพอโตเต็มวัยจนมีปีกแล้ว มันมีหน้าที่ต้องผสมพันธุ์เพื่อให้ตัวเมียวางไข่ก่อนที่พวกมันจะตาย"
"ตายเหรอ" เธอทวนคำหน้าตื่น เงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนหนุ่ม
"ใช่ แมลงเป็นสัตว์ที่มีอายุสั้นมากนะนุ่น ที่เห็นอยู่ตอนนี้ถือว่าเป็นตัวโตเต็มวัยแล้ว อีกไม่เกินเดือนสองเดือนมันก็ต้องตายแล้ว"
เขาเริ่มสังเกตเห็นสีหน้าเศร้าของเพื่อนสาว ขอบตาของเธอคล้ายจะแดงระเรื่อขึ้นมา แต่ยังพยายามอธิบายต่อไปด้วยเสียงนุ่มนวล
"เวลาจับ เค้าถึงต้องจับตัวเมียมาด้วย เพื่อให้มันได้ผสมพันธุ์ตามกฏของธรรมชาติไง"
เด็กสาวนิ่งอึ้ง ได้ยินเสียงหนึ่งแผ่วอยู่ในห้วงอารมณ์นั้น
...ขอมีความรักก่อนที่จะตาย
"มันแค่ทำหน้าที่ของมัน" เขาบอกย้ำราวกับต้องการคัดค้านความคิดนั้นของเธอ "เหมือนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มีหน้าที่สืบทอดเผ่าพันธุ์ของพวกมัน"
"ปล่อยมันไปได้ไหมกันต์" เธอร้องขอด้วยเสียงที่แห้งแล้ง
"ปล่อยเหรอ" เขาทวนคำครุ่นคิดทบทวน "ถ้าปล่อยไป กันต์ไม่แน่ใจนะว่า มันจะหาอาหารอยู่ได้เองในสภาพแวดล้อมของกรุงเทพฯ ไหม"
"เหรอ.." เธอเงยหน้ามองมาขอความเห็น "งั้นจะทำยังไงดีล่ะกันต์"
เขารู้สึกขบขันในท่าทางเศร้าหมองและจริงจังของเธอ แต่พยายามเก็บรอยยิ้มปรับสีหน้าเคร่งขรึมตาม
"เอางี้ กันต์ยกเจ้าสองตัวนี้ให้นุ่น ถ้าแขวนมันไว้ที่สวนหน้าบ้านนุ่น มันคงจะรู้สึกสบาย ได้อยู่กับธรรมชาติมากกว่าที่ระเบียงห้องแคบ ๆ ของกันต์"
สีหน้าของเด็กสาวแจ่มใสขึ้นมาทันที
"อืมม จริงด้วย" เธอยิ้มออกมาได้ "งั้นไปเร็ว เอาไปแขวนบนต้นไม้ที่บ้านนุ่นกัน"
จากคุณ |
:
วังวน
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ก.ค. 55 10:10:44
|
|
|
|