8
ทรงพลลดหนังสือพิมพ์ลงเมื่อเห็นร่างหนึ่งเดินผ่านเข้ามาทางประตูด้านข้างของเรือนใหญ่ ทิศทางบอกว่ามาจากเรือนเล็ก ดังนั้นจึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลานชายคนเดียว เขารีบวางหนังสือพิมพ์
“เจ้าวิช”
“ครับ” ถึงปากตอบรับแต่ฝีเท้าไม่หยุด ปัญวิชช์เดินลิ่ว ๆ ไปหยิบรองเท้า
“จะไปไหน”
“ข้างนอก หาเพื่อน”
“จะกลับกี่โมง”
“อะไรครับปู่ ถามยังกับผมอายุสิบเจ็ดสิบแปด” ชายหนุ่มสวมรองเท้า
“ปู่เห็นแกออกจากบ้านทุกวัน มีธุระอะไรนักหนา ตั้งแต่กลับมานี่เรายังแทบไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ” ทรงพลพูดพลางสืบเท้าไปใกล้ ปัญวิชช์ยืดกายลุกยืน แม้จะอยู่บนบันไดขั้นที่เตี้ยกว่าแต่ความสูงของเขายังไล่เลี่ยกับปู่
“ปู่จะคุยอะไรล่ะ”
“ก็อยากจะพาไปแนะนำกับหัวหน้าพรรค...”
“ผมไปนะครับ สวัสดีครับ”
ปัญวิชชไม่รอให้ทรงพลพูดจบประโยค เขายกมือไหว้แล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไป ทำให้คนพูดอ้าปากค้าง
“วิช เดี๋ยวก่อน เจ้าวิช...”
ได้แต่ส่งเสียงเรียกแต่เจ้าของชื่อขึ้นยานพาหนะและขับเคลื่อนออกไปจากอาณาเขตบ้านแล้ว ทรงพลถอนใจเฮือก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะไม่ฟัง ดูเหมือนหลานชายจะทำตัวหลบเลี่ยงและวุ่นวายกับธุระส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา
ทรงพลเดินกลับมานั่ง กอดอกครุ่นคิด
ปัญวิชช์ทำให้ความรู้สึกปลาบปลื้มใจกลับมาหลังจากเรียนจบ แม้จะเป็นสาขาวิชาที่ทรงพลไม่ได้มุ่งหวัง แต่ก็ยังได้เชื่อว่ามีดีกรีมีความสามารถ มีผลงานจากงานที่ตนเองรัก ทำให้เขามีแรงกำลังขึ้นอีกครั้งนับตั้งแต่มันเหือดแห้งไปจากการสูญเสียปรเมศ
ทรงพลในวัยเจ็ดสิบสี่ปียังไม่หมดไฟในการเมือง แต่หาคนสืบทอดเจตนารมย์ไม่ได้ ลูกสาวกับลูกเขยก็ช่วยรับช่วงต่อกิจการเครื่องลายครามไปแล้ว หลานสาวก็ยังเด็กเกินไปที่จะพูดถึงอนาคต และมันก็นานเกินไปที่จะรอ เหลือแค่ปัญวิชช์ ที่เขาอยากเห็นนั่งทำงานในสภา งานที่เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน งานซึ่งครั้งหนึ่งทำเกียรติประวัติให้ตระกูลชัยเตชินญ์ให้คนได้ประจักษ์มาหลายปี
คิดแล้วน่าน้อยใจในโชคชะตา เขามีลูกชายตั้งสองคน ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เต็มใจเจริญรอยตามด้วยเลือดนักการเมือง แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่ง เขาสูญเสียทั้งคู่ไป ปัญจพลพ่อของปัญวิชช์นั้นถูกยิงจากหัวคะแนนพรรคคู่แข่ง การตายของเขาเป็นที่กล่าวขวัญว่าการเมืองไทยได้ขาดผู้แทนที่อนาคตรุ่งโรจน์คนหนึ่งไปเลยทีเดียว ส่วนปรเมศ...หัวใจคนเป็นพ่อระอุ จนป่านนี้ยังนึกไม่ออกว่าผู้หญิงคนนั้นมีเหตุผลอะไรไม่ยอมบอกความจริงว่าใครขับรถชนลูกชายเขา
นอกเสียจากว่าเธอไม่เคยเห็นคุณค่าความรักจากปรเมศเท่าผลประโยชน์ที่ใครบางคนมอบให้ และหนทางที่เธอประสบความสำเร็จในทุกวันคิดว่าไม่ใช่เพราะความสามารถอะไรเลย แค่ผู้หญิงที่ใช้รูปโฉมแลกมาเท่านั้นเอง
นภัสรินทร์สรุปให้ตัวเองไม่ได้ว่ารำคาญหรือหงุดหงิดหรือทำพลาดอะไรไป เพราะหลายวันที่ผ่านมากวางจะมาบอกว่ามีคนมาขอพบด้วยแววตาลำบากใจที่จะเอ่ยชื่อ เท่านั้นคนเป็นนายก็รู้ว่าแขก ‘ขาประจำ’ คนนั้นคือใคร
“คุณว่างมากนักเหรอ ถึงมาได้ทุกวันแบบนี้ ไม่ทำงานหรือไง” หญิงสาวพูดน้ำเสียงเหวี่ยง เมื่อเดินเข้าไปในห้องประชุมที่ปัญวิชช์นั่งรออยู่
“ก็ไม่ว่างนักหรอก แต่ได้เจอหน้ารินทุกวันก็คุ้ม อ้อ จะว่าไปแล้วผมไม่ต้องเข้าออฟฟิศเหมือนริน เพราะฉะนั้น...”
“โอเค เข้าใจแล้ว กลับได้หรือยัง ฉันจะทำงาน”
ปัญวิชช์มองเธอด้วยแววตาเหมือนจะตัดพ้อเล็กน้อย นภัสรินทร์เบนหน้าหนี
“ก็ได้ งั้นก็ขอให้วันนี้เป็นวันดี ทำงานอย่างมีความสุขนะ อย่าหักโหมล่ะ ผลไม้นี้ผมซื้อมาฝากนะ” เขาบอกพลางชี้ตะกร้าผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ นภัสรินทร์กอดอกหน้าเชิด แล้วรอจนชายหนุ่มเดินออกไป ก่อนจะถือตะกร้านั้นเดินกลับห้องทำงาน ตั้งใจจะส่งให้กวางก็พบว่าบนโต๊ะเลขามีขนมกล่องใหญ่ อีกฝ่ายรีบหยิบลง
“พอดีคุณคนเมื้อกี้ซื้อมาให้น่ะค่ะ กวางยังไม่ได้กินนะคะ กำลังจะเก็บ”
นภัสรินทร์อดขำไม่ได้ที่เห็นลูกน้องลนลานแก้ตัว เธอไม่ได้ตอบอะไร ยื่นตะกร้าให้ “เอาไปแบ่งกันกิน”
กวางรับ “แล้วคุณรินจะรับด้วยไหมคะ กวางจะได้บอกแม่บ้านจัดให้”
หญิงสาวลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักหน้า
ผลไม้จากการเฝ้าเพียรพยายามมาหลายปี รสชาติจะยังคงเดิมหรือเปล่า
นีรนารถระงับความตื่นเต้นด้วยการอ่านหนังสือทำขนมที่เธอซื้อมา รวมทั้งเป็นการฆ่าเวลาไปในตัวเนื่องจากมาก่อนเวลานัดหมาย แต่ก็ไม่มีสมาธิมากนัก ดูได้สองหน้าก็หันไปมองทางเข้า กลัวว่าคนที่นัดจะหาตนไม่เจอ หรือเขาจะคลาดสายตาไปทั้งที่เธอก็เป็นฝ่ายบอกสถานที่เอง และถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเขาคงโทรมาแล้ว
หรือเขาโทรมา นีรนารถหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกเป็นหนที่สี่ รู้สึกว่าตัวเองวิตกจริตเกินเหตุจนต้องสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วดูดชาเชียวที่ซื้อมาเพื่อระงับอาการ
“น้องนารถครับ”
“อุ้ย” นีรนารถสะดุ้ง ปัญวิชช์ยิ้มทักทายขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นต้อนรับอย่างไม่จำเป็น
“มานานหรือยังครับ”
“ไม่นานค่ะ พี่วิชดื่มอะไรไหมคะ”
“อืม...งั้นเดี๋ยวพี่ไปสั่งก่อนนะ” เขาว่าแล้วผละออกไป นีรนารถสูดลมหายใจอีกหน มองร่างสมส่วนซึ่งยืนสั่งเมนูกาแฟกับพนักงาน วันนี้ชายหนุ่มใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ เพียงแค่นั้นแต่นีรนารถรู้สึกว่าเขาโดดเด่นกว่าใคร หรืออาจเป็นเพราะเขาเป็นคนที่เธอสนใจก็เป็นได้
ไม่ถึงห้านาทีปัญวิชช์ก็กลับมาพร้อมเครื่องดื่มแก้วโต พอเธอมองเขาก็บอกว่าเป็นมอคค่าเย็นปั่น เขาวางแก้วบนโต๊ะ ส่วนถุงพลาสติกที่ถือมายื่นให้นีรนารถโดยตรง
“หนังสือที่พี่เคยเขียนคอลัมภ์ แล้วก็พวกรูปภาพที่ขายไปทำเป็นการ์ดกับปฏิทิน บริษัทเขาส่งมาให้”
หญิงสาวรับมา พอเปิดดูก็ตาโต ไม่ว่าจะเป็นภาพทิวทัศน์ ภาพการ์ตูน ภาพเสมือน สีสันและรูปทรงล้วนแล้วแต่ทำเธอทึ่ง สมแล้วที่พีชคลั่งไคล้ และถ้าเพื่อนรู้ว่าเธอได้ของชิ้นนี้จากมือของไอดอล คงต้องมีการดับอาการตาร้อนกันขนานใหญ่
“สวยจังเลยค่ะ พี่วิชเก่งแบบที่พีชชมไว้จริง ๆ”
เขาดูดมอคค่า “น้องนารถก็เก่งแบบนี้ได้นะครับ ไหนวันนี้มีอะไรมาโชว์บ้าง”
มือที่เปิดสมุดชะงัก ท่าทางอึกอักแก้มนวลแดงเรื่อขึ้นมาทันใด ลังเลไม่อยากให้เขาดูผลงานที่ชิ้นแรกของเธอ แต่นี่ก็เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ชายหนุ่มรับนัดในวันนี้ เธออิดออดจน ปัญวิชช์เร่งเร้า ครั้นเมื่อหยิบสมุดวาดภาพออกมาก็ยังถืออยู่หลายวินาที ก่อนจะตัดสินใจส่งให้
ปัญวิชช์รับมาเปิดดู นีรนารถมองสีหน้าชายหนุ่มด้วยความหวาดหวั่นจนเกือบลืมหายใจ ภาพของเธอเป็นพวกรูปการ์ตูนแบบง่าย ๆ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจาง
“เป็น...ไงบ้างคะ”
“เหมือนรูปวาดของเด็ก ๆ เลย”
“พี่วิชน่ะ” นีรนารถดึงกลับ “นารถบอกแล้วว่ามันไม่สวย” เธอทำหน้ามุ่ย แก้มยังแดงขณะเก็บสมุดเล่มนั้นไปให้พ้นสายตาของเขา ถ้าทำได้อยากจะโยนมันออกไปด้วยซ้ำ โทษฐานที่ทำให้เธอแสดงความเปิ่นเทิ่นและอ่อนด้อยให้อีกฝ่ายเห็น
“ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนี่นา ก็แค่เหมือนของเด็ก ๆ วาด ไม่เห็นแปลกอะไรเลย มันดูน่ารักดีด้วยซ้ำนะ” เขาบอก “พี่แนะนำว่าเวลาวาดนารถต้องมีความมั่นใจให้ตัวเองเข้าไว้ ลายเส้นมันบอกความรู้สึกได้นะว่าเกร็ง จะทำให้รูปออกมาไม่เป็นธรรมชาติ ศิลปะของทุกคนก็เริ่มต้นแบบนี้แหล่ะ มั่นใจเข้าไว้”
นีรนารถกรอกตา ดึงแก้วเครื่องดื่มมาหาตัว “นารถว่าจะไม่วาดต่อแล้ว ไม่ทำดีกว่า”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็นารถไม่มีพรสวรรค์ ต่อให้มีใจรักจะทำ แต่คนไม่มีความสามารถคงทำได้ไม่ดีหรอกค่ะ”
ปัญวิชช์เปิดยิ้ม “ไม่จริงเสมอไป นักวาดภาพหลาย ๆ คนก็ไม่ได้มีพรสวรรค์ ไปดูประวัติบางคนวาดรูปได้ไม่ถึงสามปีด้วยซ้ำ อาศัยความขยันฝึกและตั้งใจจริง น้องนารถก็ทำได้”
เธอทำปากยื่น ปัญวิชช์เห็นบรรยากาศอึดอัด หาทางเบนประเด็นเล็กน้อยน่าจะดี
“น้องนารถชอบทำขนมเหรอครับ”
“คะ”
เขาชี้หนังสือบนโต๊ะ “เห็นน้องนารถอ่านหนังสือทำขนม”
ดูว่าจะได้ผลเพราะหญิงสาวมีรอยยิ้มแล้ว “ค่ะ ลองฝึกทำมาสักพักแล้ว พอทำได้บางอย่างที่ไม่ยาก”
“เอารวมกันก็ได้นะ” พอเธอทำท่างงเขาก็ขยายความ “แทนที่จะถ่ายรูปขนมก็เปลี่ยนเป็นวาดแทน”
เธอขมวดคิ้ว “ภาพวาดจะไปสู้ภาพถ่ายได้ยังไงคะ มันก็ไม่น่ากินสิ”
“ไม่ได้หมายความแบบนั้น พี่หมายถึงถ้าน้องนารถวาดรูปขนม ก็รู้ว่าสีม่วงบลูเบอร์รี่เป็นแบบไหน หรือลงแสงเงายังไงจะได้สวยเหมือนครีมที่หัวบีบบีบออกมา มันเป็นการสร้างแรงจูงใจง่าย ๆ จะได้ไม่รู้สึกว่าฝืนใจทำไง”
นีนารถนิ่ง ถ้อยคำของเขาอาจจะเป็นเหตุผลปลอบโยนสำหรับมือใหม่ แต่มันชุ่มชื่นและอบอุ่นที่ได้ยิน ไม่มีความดูแคลนกับคนที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่อึดอัดแม้ว่าการสนใจศิลปะของเธอจะเป็นแค่ใบเบิกทาง
เธอหายใจได้สะดวกขึ้น “ขอบคุณค่ะ นารถจะลองดู” บรรยากาศรอบกายกลับมาสดใสอย่างเคย นีรนารถดูปกหนังสือที่เป็นภาพคุ้กกี้ แล้วเลือกหัวข้อที่จะพูดด้วยความมั่นใจมากขึ้น
“พี่วิช ชอบกินขนมหรือเปล่าคะ”
.....
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ก.ค. 55 18:24:05
|
|
|
|