เทวาช่วยอัศดาเก็บเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น จากบ้านของเขามายังโรงเรียน เนื่องจากไม่มีห้องว่าง เทวาจึงให้อัศดาพักห้องเดียวกับเขา
“ไม่เหมือนที่คาดไว้” อัศดากล่าวขึ้นหลังจากก้าวเข้ามาในห้อง “ยังไงเหรอ” เทวาหันมาถาม ขณะที่มือก็จัดแจงใส่ปลอกหมอนไปด้วย ชาวเมืองอุตสาหะที่เป็นคนธรรมดาไม่ใช่เศรษฐีหรือขุนนางจะไม่นอนบนเตียง พวกเขาเพียงแค่ใช้ฟูกหนาประมาณสองถึงสามนิ้วปูลงบนพื้น พอตอนเช้าก็ม้วนเก็บไว้ที่มุมห้อง “นึกว่าห้องของผู้ชายท่าทางสำอางอย่างเจ้า จะสะอาดเป็นระเบียบกว่านี้เสียอีก” อัศดามองไปยังหนังสือที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ กองเสื้อผ้าใช้แล้วที่สุมกันอยู่บนตะกร้า คราบฝุ่นบางๆเกาะจับบนหลังตู้ “ยังไงข้าก็เป็นผู้ชายนะ รกนิดหน่อย มันเป็นเรื่องปรกติไม่ใช่เหรอ” เทวาแย้ง “ปูที่นอนให้เจ้าเสร็จแล้ว” เขาตบไปบนฟูกให้ผ้าปูเรียบตึง “ขอบคุณ” อัศดากล่าว แม้น้ำเสียงจะห้วนไปหน่อยแต่ก็ทำให้เทวายิ้มออก อัศดาวางกระเป๋าผ้าลงที่ปลายฟูก แล้วนั่งลงบนพื้น ชาวเมืองอุตสาหะจะไม่นั่งบนเตียงถ้าไม่ใช่เวลานอน หรือป่วยหนัก “ทำตัวตามสบายนะ ห้องของข้าแคบไปหน่อย รกไปนิด แต่คงพออยู่ได้ใช่มั้ย” เทวากล่าวอย่างต้อนรับ
ถึงเทวาจะพูดเช่นนั้น แต่อัศดาไม่อาจทำตัวผ่อนคลายได้ พวกเขาไม่ใช่เพื่อนกัน น่าจะเรียกว่าคู่แข่งด้วยซ้ำไป เทวาชี้ไปที่โต๊ะตัวเล็กเตี้ยตรงมุมห้อง “ขนมกับน้ำวางอยู่ตรงนั้น ถ้าหิวก็หยิบกินได้เลยนะ” “อือ” อัศดามองตาม เขาสังเกตุเห็นว่า ที่มุมหนึ่งของห้องถูกกั้นไว้เป็นระเบียบ มีโต๊ะบูชาขนาดย่อมตั้งอยู่ข้างใน บนนั้นมีรูปวาดพระพุทธเจ้าวางไว้ “พรุ่งนี้โชปะจะสอนพุทธศาสนาให้ข้าใช่มั้ย” “น่าจะใช่” เทวาตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เขาแกะผ้าพันแผลที่แปะบนหน้าออก รอยเขียวช้ำจางลงเล็กน้อย “ดีนะที่เจ้ายั้งมือไว้บ้าง อึดถึกทนแบบเจ้า ถ้าเอาจริงข้าคงฟันหักไปหลายซี่” อัศดาหันไปมองเทวา เขาขมวดคิ้วอย่างข้องใจ “ข้าเปล่ายั้งมือสักหน่อย จำได้ว่าโมโหมาก เลยใส่สุดแรงเกิดตอนต่อยเจ้าไป” เทวาหันมาถลึงตาใส่อัศดาอย่างตกใจ “เจ้าพูดจริงเหรอ!?” “ก็จริงน่ะสิ” อัศดาตอบกลับ ไม่ได้มีท่าทางแยแสหรือรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
“ข้าล่ะอุตส่าห์คิดถึงเจ้าในแง่ดี ที่ไหนได้” เทวาหยิบกระจกขึ้นมาส่องหน้า เขาใช้มือแตะแก้มเบาๆ “แปลกจริงที่หน้าข้าไม่เป็นอะไรมาก” “ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน” อัศดากล่าวหน้าตาย เทวาหน้าเครียด ........................................................................................ กลางดึกคืนนั้นอัศดาฝันร้าย ภาพเหตุการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นเดิมทุกประการ เขาตื่นขึ้นพร้อมกับแหกปากร้องลั่น ยมฑูตมิได้ปรากฏตัว มีเพียงเทวาที่นอนอยู่ข้างๆ เอ่ยถามเขาอย่างเป็นห่วงด้วยเสียงสะลึมสะลือ เช้าวันถัดมา เทวาตื่นแต่เช้าเพื่อไปสอนวิชาความรู้ทั่วไป โชปะให้เขาสอนนักเรียนชั้นต้น เพื่ออายุของเขาจะได้แตกต่างจากนักเรียนมากหน่อย วันนี้เขาต้องสอนชั้นกลางควบด้วย แทนวิมุตที่ไปสอนโรงเรียนสตรี ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนแผนการสอน ไปสอนเรื่องที่อยู่นอกเหนือบทเรียนไปเลย เพื่อที่เด็กชั้นต้นและชั้นกลางจะได้เรียนด้วยกันได้
พวกนักเรียนพูดกันว่าอาจารย์เทวาสอนไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ แต่สนุกที่สุดในบรรดาอาจารย์ทุกคน หลังบรรยายจบ เขาชอบให้นักเรียนตั้งคำถามแล้วจับฉลากหาคนตอบ คนที่ถูกจับชื่อขึ้นมาจะต้องตอบคำถาม ไม่ว่าจะตอบได้หรือไม่ ถูกหรือผิด ยังไงก็ต้องตอบบางอย่างออกมา จากนั้นก็ตั้งคำถามอีก แล้วจับฉลากให้คนอื่นตอบต่อไป ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนครบทั้งห้อง พวกนักเรียนจึงต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าชื่อของตัวเองจะถูกจับขึ้นมาเมื่อไหร่ นอกจากนั้นเทวายังชอบหาเกมส์สนุกๆมาให้นักเรียนเล่น สักสิบนาทีก่อนหมดคาบเรียน จนบางครั้งโชปะต้องเตือนให้เขาทำตัวให้เคร่งขรึมสมกับเป็นอาจารย์มากกว่านี้ แต่สิ่งที่แปลกคือ นักเรียนของเทวาจำสิ่งที่เรียนมาได้แม่นยำ ยิ่งกว่านั่งฟังเฉยๆเสียอีก อัศดาตื่นหลังเทวา เนื่องจากเขานอนไม่ค่อยหลับ จึงต้องใช้เวลานอนนานขึ้นเพื่อให้ร่างกายพักผ่อนเพียงพอ เขาทานอาหารมังสวิรัติที่เทวาเตรียมไว้ให้ รสชาติพอทนไม่ถึงกับแย่จนกระเดือกไม่ลง ชายหนุ่มถอดชุดนอนออกแล้วหยิบชุดสำหรับออกไปข้างนอกขึ้นมาสวม มันเป็นเสื้อตัวยาวสีน้ำตาลแดงติดกระดุมด้านหน้า จากนั้นก็หยิบรองเท้าหนังขึ้นมาสวม ต่างจากคนทั่วไปที่สวมรองเท้าผ้า เพราะนายพรานต้องเข้าป่าล่าสัตว์จึงต้องใส่รองเท้าที่หนาทนทาน อัศดาเคยเรียนวิธีชำแหละซากสัตว์ รวมทั้งการฟอกหนังจากนายพรานอาวุโส เมื่อก่อนเขาก็เหมือนกับคนทั่วไปที่ทนเห็นเครื่องในสัตว์ไม่ได้ รู้สึกกลัวไม่ก็ขยะแขยง แต่เมื่อต้องควักเครื่องในสัตว์ที่ล่าได้ออกมาบ่อยๆ เขาก็เริ่มชาชินกับภาพอวัยวะภายในอันน่าสยองและกลิ่นคาวเลือด ชายหนุ่มไม่รู้สึกสงสาร หรือหวาดกลัวอีกต่อไป กระทั่งฝันเห็นตัวเองถูกเสือร้ายกัดกินทั้งเป็น อัศดาจึงเริ่มกลับมามีความรู้สึกเชื่อมโยงกับสัตว์ที่เขาฆ่าอีกครั้ง ความสงสารและความรู้สึกผิด เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขาทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว อัศดาหวีผมสีดำที่ยาวถึงกลางหลัง รวบขึ้นมัดเป็นมวยจากนั้นก็โพกผ้าทับ เขาเก็บเศษผมที่ร่วงลงบนพื้นไปทิ้งถังขยะ เทียบกันแล้ว ตัวเขาซึ่งดูดิบเถื่อนกลับสะอาดสะอ้านกว่าเทวาซึ่งดูเหมือนลูกขุนนางเสียอีก เนื่องจากเทวาเลิกสอนตอนเที่ยง อัศดาไม่มีอะไรทำจึงหยิบหนังสือที่กองระเกะระกะบนโต๊ะมาอ่านฆ่าเวลา หลังเที่ยงเทวาถือถาดใส่อาหารเข้ามาในห้อง อัศดาคิดว่าเทวาดูภูมิฐานขึ้นมากเมื่อสวมชุดอาจารย์สีขาว มันเป็นเสื้อยาวถึงเข่าใส่ทับกางเกงสีกากี อัศดารู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ตอนที่พบเทวาครั้งแรก เขายังเป็นเด็กตัวเล็กดูบอบบาง หน้าหวานคล้ายผู้หญิงอยู่เลย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาควรดีใจที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือเสียใจที่แก่ขึ้นดี หลังจากทานอาหารเที่ยงอย่างง่ายๆด้วยกัน เทวากับอัศดาก็ไปหาโชปะที่ห้องรับแขกในเรือนพักอาจารย์ เทวารินชาให้ทุกคนตามเดิม โชปะรับถ้วยชาไป “เจ้าพร้อมแล้วใช่มั้ย” ชายชราถาม “ถ้าท่านทำให้ข้าไม่ต้องตายได้ล่ะก็ ข้ายอมทำทุกอย่างตามที่ท่านบอก” อัศดาตอบ “ข้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากความตายไม่ได้หรอก ทุกคนต้องตาย แต่ข้าอาจช่วยให้เจ้าตายเลื่อนวันตายออกไปได้ หรือไม่ก็ทำให้เจ้าตายอย่างสงบ” โชปะกล่าว “ทุกคนต้องตาย...” อัศดาทวนคำ “ทำไมกัน” เขาพูเสียงแผ่วเหมือนพูดกับตัวเองเสียมากกว่า “เพราะทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไป” โชปะตอบ ไม่แน่ใจว่าอัศดาตั้งใจฟังอยู่หรือไม่ “ถ้าอย่างนั้นทำไมเราต้องเกินมาเพื่อที่จะตายด้วย” อัศดาถามต่อ โชปะยกถ้วยชาขึ้นเป่าให้เย็นลง “มนุษย์แต่ละคนตอบคำถามนี้แตกต่างกันไปตามความเชื่อและมุมมองของพวกเขา ก่อนอื่นข้าขอถามเจ้ากลับ ว่าเจ้าเกิดมาเพื่ออะไร” อัศดานิ่งไปครู่หนึ่ง คำถามนี้ไม่ใช่ว่าจะตอบได้ง่ายๆเลย “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนพ่อและแม่ไม่อยากให้ข้าเกิดมาสักเท่าไหร่ เรื่องนั้นท่านคงรู้อยู่แล้ว” “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ” ชายชราพูด “ก็คงเกิดมาเฉยๆล่ะมั้ง ผู้ชายผู้หญิงมีสัมพันธ์กันแล้วเด็กก็บังเอิญเกิดออกมา พอเกิดมาแล้วก็ต้องพยายามมีชีวิตรอดให้ได้ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องพยายามมีชีวิตรอดไปเพื่ออะไร แต่ที่รู้ๆคือไม่อยากตาย ระหว่างนั้นก็พยายามหาความสุขใส่ตัวเองให้ใด้มากที่สุดล่ะมั้ง” ชายหนุ่มตระหนักถึงความว่างเปล่าในชีวิต ความจริงเขาเคยถามคำถามนี้กับตัวเองหลายครั้งหลายหน แต่ไม่อาจหาคำตอบได้ เขาจึงเลิกคิดเพราะคิดไปก็รังแต่จะหดหู่เปล่าๆ ขากนั้นก็เบนความสนใจไปให้กับเรื่องบันเทิงเริงใจเช่น ผู้หญิง และการสะสมเงินทองแทน
“แล้วท่านล่ะรู้รึเปล่าว่ามนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร” อัศดาถามบ้าง “ถ้าตอบอย่างพื้นฐานที่สุดล่ะก็...มนุษย์เกิดมาเพื่อค้นพบธรรมชาติที่แท้จริงในตัวเอง นั่นเป็นคำตอบสำหรับคนที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง ถ้าเขามีความกรุณามากกว่านั้น ก็จะพยายามช่วยเหลือผู้อื่นด้วย” โชปะยกชาขึ้นดื่ม แขนเสื้อยาวขยับไปมา “แล้วธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเราคืออะไรกัน” อัศดายื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างใคร่รู้ “เจ้าต้องคนพบมันให้ได้ด้วยตัวเอง ข้าทำได้เพียงแนะนำวิธีการค้นหาเท่านั้น เมื่อเจ้าค้นพบธรรมชาติที่แท้จริง เจ้าจะไม่กลัวตายอีกต่อไป ไม่ใช่ไม่กลัวเพราะความบ้าบิ่น แต่ไม่กลัวเพราะเข้าใจว่าความตายคืออะไร” โชปะยิ้มเล็กน้อยเมื่อจบประโยค อัศดารู้สึกหงุดหงิดที่ต้องกลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้ง โดยเฉพาะการมีโชปะเป็นอาจารย์ เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดอย่างที่สุด สิ่งที่คนหนุ่มเลือดร้อนอย่างเขาเกลียดที่สุด ก็คือคนแก่ที่ทำอะไรเนิบนาบน่า พูดจาวกไปวนมา ส่วนเทวาก็เอาแต่นั่งนิ่งเป็นหัวหลักหัวตอ “ถ้างั้นข้าต้องทำอะไรบ้าง รีบๆบอกมาสักที อ้อ! สรุปย่อให้ด้วยล่ะ” อัศดาเร่ง “พิธีไหว้ครู” โชปะตอบสั้นๆ “ก็จะเริ่มเรียนแล้วนี่นะ หึหึ” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ข้าต้องไหว้ท่านอีกเหรอ ในเมื่อข้าไหว้ท่านมาตั้งห้าปีแล้ว” อัศดาแย้ง “ไม่ใช่ข้า พระพุทธ พระธรรม และพระสงค์ต่างหาก” โชปะใช้แขนยันตัวลุกขึ้นช้าๆ “ตามข้ามาสิ” อัศดาและเทวาลุกขึ้น แม้ยังงุนงงอยู่ แต่อัศดาก็เดินตามชายชราไปอย่างว่าง่าย โชปะเดินออกจากเรือนพักอาจารย์ ไปยังส่วนหลังของโรงเรียน บริเวณนนั้นอัศดาไม่ค่อยได้ไปบ่อยนัก ยกเว้นตอนเล่นซ่อนหา เพราะที่นั่นไม่มีห้องเรียน อีกทั้งประตูยังถูกใส่กุญแจไว้อย่างแน่นหนา โชปะหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้เทวา ชายหนุ่มรับไปไขแม่กุญแจที่ล็อคโซ่เส้นใหญ่อยู่ จากนั้นก็ผลักประตูไม้บานใหญ่ให้เปิดออก เขาหยิบไม้ขีดที่วางอยู่บนโต๊ะ ไปจุดเทียนไขที่ปักอยู่บนเชิงเทียน เรียงรายไปตามฝาผนัง อัศดาเดินเข้าไปในห้อง แล้วเขาก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่าข้างในเป็นห้องขนาดใหญ่ เพดานสูงมีเสาทรงกลมเรียงรายอยู่สองฝั่ง ช่างสง่างามและน่าเกรงขาม แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มต้องเบิกตาโพลง คือพระพุทธรูปสีทองอร่ามหลากหลายขนาดที่ประดิษฐานอยู่เบื้องหน้า นอกจากนั้นทางด้านซ้ายและขวายังมีเทวรูปต่างๆ ที่งามไม่แพ้กันประดิษฐานอยู่ ชายหนุ่มเดินเข้าไปดูใกล้ๆอย่างสนใจ พระพุทธรูปมีตั้งแต่เรียงง่ายไปจนกระทั่งแต่งองค์ทรงเครื่องสวมชฎายอดแหลมเหมือนเทวดา ประดับอัญมณีแพรวพราวดูล้ำค่า เทวรูปต่างๆก็งดงามไม่แพ้กัน เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว “อัญมณีกับทองพวกนี้เป็นของจริงใช่มั้ย” ดวงตาสีฟ้าของอัศดาลุกวาวด้วยแววแห่งความโลภขณะหันมาถาม “บางองค์เป็นดินที่ถูกทาด้วยสีทอง แต่บางองค์เป็นทองแท้ทั้งหมด” โชปะตอบเสียงเรียบ “เพราะอย่างนี้พวกข้าถึงต้องผลัดกันอยู่เวรตอนกลางคืน เพื่อเฝ้าไม่ให้ใครเข้ามาขโมยของยังไงล่ะ” เทวาแทรกขึ้น เขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ถ้าไม่มีโจรคอยจ้องจะขโมยรูปเทวรูปล้ำค่าพวกนี้ เขาคงได้นอนเป็นเวล่ำเวลา อัศดาหยุดมองเทวรูปที่มีผิวสีเขียวถือคันธนู เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนซากกวาง “ข้ารู้จักเทวรูปองค์นี้ นี่คือเทพแห่งพงไพร ตอนเข้าสมาคมนายพราน ข้าต้องล่าสัตว์มาทำพิธีบวงสรวง นอกจากนั้นพวกเรายังต้องบูชาเลือดแก่เทพแห่งพงไพร ก่อนออกล่าเสือเพื่อขอให้ท่านคุ้มครองด้วย” “แปลว่าเจ้าเคารพเทพแห่งพงไพรสินะ” โชปะถาม อัศดานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนั้นข้ายังอายุน้อย การเข้าป่าล่าสัตว์ทุกครั้งเต็มไปด้วยอันตราย จึงต้องบูชาเทพแห่งพงไพรให้คุ้มครอง เพื่อจะได้มีความกล้าในการออกล่าสัตว์ แต่ถามว่าเคารพมั้ย ข้าอดคิดไม่ได้ว่าเทพแห่งพงไพร เป็นแค่สิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเท่านั้น” “เป็นชายหนุ่มที่ช่างสงสัยจริงๆเลยนะ นั่นเป็นคุณสมบัติที่ดีของการเรียนรู้ แต่ถ้าต้องการความรู้ เจ้าจำเป็นต้องมีอาจารย์ ข้าขอให้เจ้าบูชาอาจารย์ผู้สอนเกี่ยวกับความตายจะได้มั้ย” ชายชราถาม “ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกแล้วนี่” อัศดาตอบ โชปะเดินไปหยิบธูปขึ้นมาสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ยื่นให้อัศดา แล้วหันไปกล่าวกับเทวา “ไปหาดอกไม้มาให้ที” “ครับ” เทวาตอบรับ รีบเดินออกไปทันที “ท่านจะให้ข้าบูชาพระพุทธเจ้าแทนเทพแห่งพงไพรอย่างนั้นหรือ” อัศดามองธูปเทียนที่อยู่ในมือ โชปะส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ให้เจ้าบูชาพระพุทธเจ้าในฐานะเทพเจ้า แต่ให้กราบไหว้ในฐานะครูคนหนึ่ง ก่อนอื่นข้าคงต้องอธิบายคำว่าพระรัตนตรัยให้เจ้าฟังก่อน” “อือ” อัศดาพยักหน้า “พระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบความจริงของธรรมชาติทั้งหลายและนำมาสอนต่อ ท่านจึงเปรียบเหมือนอาจารย์ใหญ่ พระธรรมคือสิ่งที่ท่านค้นพบแล้วนำมาสั่งสอน เปรียบได้กับตำราเรียน พระสงค์คือผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมจนได้รับผลสำเร็จ แล้วนำมาสอนต่อ เปรียบได้กับครูอาจารย์” โชปะอมยิ้ม “ศาสนาพุทธเหมือนโรงเรียนเลยนะ...เจ้าว่ามั้ย” “ดูเป็นระบบระเบียบดีนี่” อัศดายกมือขึ้นเกาหัว เทวากลับเข้ามาในห้องพร้อมกับดอกไม้ เขายื่นให้อัศดา ชายหนุ่มรับไป “ของบูชาครบแล้ว งั้นเริ่มกันเลยดีกว่า ขอบอกไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่รูปแบบพิธีกรรมที่เป็นทางการ เพราะแต่ละพื้นที่ก็มีวิธีปฏิบัติแตกต่างกันไป ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจที่มีความเลื่อมใสศรัทธา” โชปะยื่นมือไปแตะหน้าอกอัศดา “ก่อนอื่นก็จุดธูปเทียน” เทวาหยิบไม้ขีดมาจุดธูปเทียนที่อัศดาถืออยู่ อัศดาทำตามที่โชปะบอก นำเทียนไปปักไว้บนเชิงเทียน ปักธูปไว้ในกระถาง และวางดอกไม้บนแท่นบูชาหน้าพระพุทธรูป เทวากราบสามทีให้อัศดาดูเป็นตัวอย่าง ชายหนุ่มทำตาม “สวดตามเทวานะ” โชปะพูด
จากคุณ |
:
holyneko
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ก.ค. 55 19:32:53
|
|
|
|