ใครลุ้นคู่ศาสตรา บทนี้สรุปแล้วนะคะ อีกสองบทจะจบแล้วค่ะ ><
บทที่ ๑-๗ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11983207/W11983207.html บทที่ ๘ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11983317/W11983317.html บทที่ ๙ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12022148/W12022148.html บทที่ ๑๐ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12053256/W12053256.html บทที่ ๑๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12093651/W12093651.html บทที่ ๑๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12149869/W12149869.html บทที่ ๑๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12211282/W12211282.html บทที่ ๑๔ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12250978/W12250978.html บทที่ ๑๕ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12307949/W12307949.html
% ====================
๑๖.
ต้องชนะให้ได้... คำพูดนี้แม้เป็นการปลุกปลอบกำลังใจ แต่อีกนัยหนึ่งก็เป็นการกดดันเช่นกัน และสำหรับนักกีฬาแล้ว การกดดันย่อมไม่เป็นผลดีแม้แต่น้อย
แม้คณินทรจะอบรมลูกทีมถึงแผนรับมือคู่แข่งในช่วงครึ่งหลังแล้ว หากสถานการณ์ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบเสียทีเดียว แนวรุกยังคงเป็นอัมพาตอยู่เช่นเดิม สิโรตม์เองก็ไม่กล้าเล่นรุนแรงเหมือนช่วงครึ่งแรก เพราะหากเขาได้ใบเหลืองอีกใบ จะกลายเป็นเหลืองแดง เขาจะต้องออกจากสนาม ทีมก็จะเหลือเพียงแค่สิบคน... สิบต่อสิบเอ็ด แม้แต่เสมอยังเป็นไปได้ยาก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็เพียงรอฉวยโอกาสจากการทำพลาดของแนวรับเท่านั้น
ในที่สุดโอกาสนั้นก็มาถึง ในช่วงสิบห้านาทีก่อนหมดเวลา กองหน้าคนเดิมของฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสบุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับศาสตราที่หน้าประตูอีก หากแต่คราครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถหาจังหวะยิงได้ถนัดนัก เนื่องจากกองหลังของทีมศาสตราคนหนึ่งประกบเขาไว้อยู่ เขาจึงเลี้ยงบอลเข้ามาใกล้ประตูอีก
ศาสตราคอยจับตาดูจังหวะและท่าทีของฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ดวงตาคู่เรียวนั้นไม่ได้เบนไปจากลูกบอล และเท้าของฝ่ายตรงข้ามเลย
และแล้วศาตราะก็ได้จังหวะล้มตัวคว้าลูกฟุตบอลมากอดไว้ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามแทงส่งบอลให้เพื่อนซึ่งวิ่งมารอรับอยู่อีกด้านหนึ่งของประตู หากแต่จังหวะนั้นก็เป็นเวลาพอดีที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถยั้งเท้าได้ทัน เท้าของเขาสะดุดร่างศาสตรา เท้าอีกข้างก็เหยียบลงไปที่ขาขวาของศาสตรา ตรงบริเวณที่ถูกปะทะเมื่อครู่เต็มแรง จากนั้นก็ล้มตัวลงเช่นกัน
น้ำหนักตัวที่กดลงมาบนขาของศาสตรา ผ่านปุ่มเล็กๆ ที่พื้นรองเท้า สร้างความเจ็บปวดให้ศาสตราจนต้องร้องออกมา
เขากลิ้งตัวครวญครางอยู่ในสนามเพียงอึดใจ แพทย์สนามก็รุดมาดูอาการ จากนั้นเปลสนามก็ถูกเรียกมา ร่างของศาสตราถูกแบกขึ้นเปลสนาม เพื่อย้ายออกไปทำการปฐมพยาบาลที่ข้างสนามต่อไป
"ไม่แน่ใจว่ากระดูกจะหักรึเปล่า คงต้องไปเอ็กซ์เรย์ดูก่อน" แพทย์สนามตอบคำถามคณินทรที่รุดมาดูอาการเขาด้วยความเป็นห่วง
"ไม่! ผมเล่นได้ ให้ผมลงต่อเถอะประธานฯ" ศาสตราร้องบอก ทั้งยังพยายามจะพลิกตัวลุกขึ้น
"อย่าดื้อสิวะ" คณินทรบอก พลางกดไหล่เขาให้นอนลงเช่นเดิม
"แต่ ประธานฯ เราต้องชนะให้ได้นะ เราต้องชนะ!"
"ข้ารู้ ข้าก็อยากให้ทีมชนะเหมือนกัน แกไปโรงพยาบาลเถอะ อย่าห่วงเลย"
ใช่... ใครๆ ก็อยากให้ทีมชนะ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อตัวสำรองที่คณินทรเตรียมไว้ เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งฝึกหัดได้ไม่นาน ไม่ได้เป็นความหวังเลยแม้แต่น้อย ดีแต่นี่เป็นช่วงท้ายเกมแล้ว หากลูกทีมของเขาสามารถยันอยู่ได้จนหมดเวลา นั่นจึงยังพอมีหวัง
% ###
กระดูกที่ขาของศาสตราไม่ได้หัก ไม่ต้องเข้าเฝือก หากแต่ต้องพันผ้ายืดไว้เพื่อลดการเคลื่อนไหว และเขาคงต้องเดินกะเผลกไปอีกหลายวัน
ทว่าที่สำคัญที่สุด ข่าวที่เขาได้ยินมาจากเพื่อนร่วมทีม ซึ่งโทรมาบอกผลการแข่งขัน กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนกะทันหัน
...แพ้ศูนย์หนึ่งว่ะ พอเอ็งออกไปสักพักใหญ่ มันก็บุกขึ้นมาทำประตูได้
ศาสตรานั่งอยู่ที่หน้าห้องจ่ายยา รู้สึกขอบตาร้อนวูบขึ้น จากนั้นหยาดน้ำใสๆ จึงค่อยๆ ไหลผ่านร่องแก้มลงมา
อันที่จริงการพ่ายแพ้ไม่ควรทำให้ศาสตรารู้สึกผิดหวังได้เพียงนี้ การแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะ นักกีฬาอย่างเขารู้ดี ทว่าผลการแข่งขันในนัดนี้ มีผลต่อเขามากกว่าแค่แพ้ชนะ...
เสียงก้าวเดินสับสนจากฝีเท้าหลายๆ คู่ดังใกล้เข้ามา ศาสตราลอบเช็ดน้ำตาแล้วหันมองไปทางต้นเสียงด้วยเกรงว่าจะมีใครกำลังมองเขาอยู่ เกรงจะมีคนเห็นน้ำตาของเขา
"เฮ้! ศาสตรา" เสียงธาวินทักมาแต่ไกล พร้อมกับกึ่งเดินกึ่งวิ่งนำเพื่อนๆ เข้ามา "อะไรกัน แพ้แค่นี้ถึงกับซึมเลยเหรอ เอ็งไม่ใช่คนแบบนั้นนี่หว่า"
"ซึมอะไร" ศาสตราทำเสียงหงุดหงิด "ข้าแค่นั่งรอนานก็เลยเบื่อเท่านั้นแหละ"
"แล้วขา เป็นอะไรมากมั้ย" เสียงหวานถามขึ้นทางด้านหลัง ศาสตราหันขวับกลับไปจึงได้พบกับร้อยยิ้มอ่อนโยนของหญิงสาวที่เขาเพียรคิดถึง
"ยา..." เขาครางออกมา แล้วก้มศรีษะลงนิดหนึ่ง ซ่อนสีหน้าของตัวเอง ก่อนจะปั้นยิ้มกว้าง ตอบเธอออกไป "ไม่เป็นไรหรอก ดีกว่าคราวก่อนเยอะ"
"อย่างนั้นก็ดี" วสวัตติ์พูดขึ้น "แล้วนี่จะกลับยังไงล่ะ"
"เดี๋ยวประธานฯ จะมาจัดการเรื่องค่ารักษาน่ะ ฉันก็คงกลับกับประธานฯ" ศาสตราตอบ จากนั้นจึงหันมองซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นเพื่อนอีกสองคนจึงเหนี่ยวคอธาวินมากระซิบถาม "ไอ้ภณกับไอ้ภพล่ะวะ"
"ไม่รู้สิ แยกกันตั้งแต่ตอนดูเอ็งแข่ง พอออกมาก็หากันไม่เจอแล้ว" ธาวินกระซิบตอบ
"กระซิบกระซาบอะไรกันจ๊ะ" ภารดีลากเสียงถาม จากนั้นจึงหันไปทางวสวัตติ์ "เอ้อ ชักหิวแล้วสิ ก่อนเข้าไปดูบอลก็ไม่ได้กินอะไรรองท้องมาด้วย วัตติ์ไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนหน่อยสิ"
วสวัตติ์หันมองศาสตรานิดหนึ่งก็เข้าใจความหมายของภารดี "ก็ดีแฮะ ชักหิวแล้วเหมือนกัน" จากนั้นเขาก็คว้าคอธาวินให้ตามไปด้วย "มาด้วยกันเลยไอ้วิน"
"เฮ้ยๆ แล้วศาสตราล่ะวะ" ธาวินร้องถาม
"ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวให้ยาเขาดูแลเอง เรื่องพยาบาลคนเจ็บเนี่ย ยาเขาถนัด" ภารดีตอบแทรกขึ้น จากนั้นจึงหันไปสบตาพื่อนสาว นฤตยาก็พยักหน้าตอบนิดหนึ่ง
เมื่อเพื่อนๆ เดินเลี้ยวหายไปแล้ว นฤตยาจึงขยับมานั่งข้างๆ ศาสตรา ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบกันไปพักหนึ่ง
"เธอ... รู้ผลแข่งแล้วใช่มั้ย" หญิงสาวเริ่มบทสนทนา คำถามของเธอทำให้ศาสตรารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอ จะกลืนก็กลืนไม่เข้า ทั้งยังทำให้หายลำบากอีกด้วย
"ระ... รู้แล้ว" เขาค่อยๆ เค้นคำตอบออกมาอย่างยากลำบาก
"ฉันเองก็รู้ว่าเธอพยายามแล้ว... พยายามมาตลอด"
คำพูดนี้ทำให้ศาสตราต้องหันกลับไปมองหญิงสาว ทว่าเธอกลับก้มหน้านิ่ง เขาจึงไม่อาจเห็นสีหน้าของเธอ ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้ เธอต้องการสื่อความหมายอย่างไร
"ฉันเอง ก็ไม่อยากให้ความพยายามของเธอสูญเปล่าหรอกนะ" หญิงสาวยังคงก้มหน้าพูดต่อไป ศาสตรายิ่งขยับหันมองเธอ พยายามตั้งใจฟังเรื่องที่เธอกำลังจะบอก
"มะ...หมายความว่ายังไง"
"ก็หมายความว่า..." หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ แก้มขาวนวลของเธอมีสีชมพูระเรื่อ ยิ่งแลดูน่ารักน่าทะนุถนอม "ฉันตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเธอจะแพ้หรือชนะ ฉัน... ฉันก็จะคบกับเธอ"
ถูกแล้ว นี่คือการตัดสินใจของเธอ เป็นสิ่งที่เธอครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืน เธอจะตอบแทนดวงใจดวงนี้ ตอบแทนความดี และความพยายามที่เขาทำมาตลอด
ศาสตราดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น อยากจะร้องตะโกนให้สุดเสียง หากเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นคนสามคนตรงบริเวณทางเดินห่างออกไปอีกหลายเมตร เขาก็ชะงักลง
พวกรามภณมาถึงที่โรงพยาบาลแล้ว เพื่อนกำลังทำท่าว่าจะเดินมาทางเขา ในขณะที่ภวาภพดูเหมือนกำลังพยายามชักชวนเขาไปทางอื่น โดยมีรมัณยาร่วมมือด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาแต่อย่างใด
ทว่าเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ความตื่นเต้นดีใจเมื่อครู่ แทบสูญสลายมลายไปหมดสิ้น
"แล้ว... ภณล่ะ" เขาตะกุกตะกักถาม
หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองเขา แววตาของเธอหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าอีกครั้ง ถอนหายใจ แล้วเอื้อนเอ่ยออกมา
"สำหรับเรื่องภณ ฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างนั้น...ฉันคงต้องใช้เวลา" จากนั้นแววตาของเธอจึงดูมีประกายขึ้นมาอีก หันมาจ้องดวงตาเขา "แต่ฉันต้องทำให้ได้ เธอ...จะช่วยฉัน...ใช่มั้ย"
ศาสตราค่อยๆ เลื่อนมือตัวเองออก แตะมือของหญิงสาวที่วางอยู่บนตักเธอ ยึดกุมมือน้อยๆ ไว้อย่างทะนุถนอม
ไออุ่นจากมือข้างนั้นแผ่เข้ามาในหัวใจของหญิงสาว หัวใจดวงน้อยจะไม่หนาวเหน็บอีกต่อไป มือน้อยข้างนี้ ก็จะไม่เปล่าเปลี่ยวอีกแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงมือเธอเข้ามาแนบใจ
"แน่นอน ยา ฉันจะช่วยเธอ"
...จะช่วยลบเพื่อนของเขาออกจากใจเธอ แล้วจึงเติมเต็มหัวใจให้เธอด้วยหัวใจของเขาเอง
% ###
"พวกเอ็งรู้กันมานานแล้วว่าไอ้ศาสตรามันชอบยา" รามภณพูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว ระหว่างที่กำลังนั่งคุยกันในร้านกาแฟ ซึ่งเปิดอยู่ชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล "แต่ไม่มีใครบอกข้าเลย"
"ก็เพราะยาชอบเอ็ง" ภวาภพให้เหตุผลสั้นๆ
"ไม่เกี่ยวกันนี่หว่า ศาสตราเป็นเพื่อนข้านะโว้ย"
ภวาภพเหลือบมองเพื่อนนิดหนึ่ง ...ไอ้วัตติ์ก็เพื่อนเอ็งเหมือนกัน... เขาเองอยากจะพูดออกไปเช่นนั้น หากแต่ในเมื่อคำพูดไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เขาก็ไม่ควรพูด
ได้ยินเสียงรมัณยากลั้นหัวเราะนิดหนึ่ง ชายหนุ่มทั้งสองจึงหันไปทางหญิงสาว
"อ้อ ขอโทษที" รมัณยาบอก "คือ เราแค่รู้สึกขำนิดหน่อยน่ะ ท่าทางศาสตราดูง่ายออกจะตายไป แต่ภณกลับดูไม่ออก"
"อะไรกัน นี่หาว่าฉันไม่ใส่เพื่อนรึไง" เขาพูดประโยคนี้ออกไป คราแรกคิดว่าจะกระเซ้ารมัณยา หากแต่เมื่อพูดไปแล้วรอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้า กลับค่อยๆ หุบลง
...หรือที่ผ่านมา เขาไม่ได้ใส่ใจเพื่อนจริงๆ
...หรือที่ผ่านมา เขามัวแต่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง
"ก็ไม่แปลกหรอกที่เอ็งจะดูไม่ออก" ภวาภพแก้ต่างให้ "เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา มันพยายามทำกลบเกลื่อน แถมยังหาทางช่วยยาให้อยู่ใกล้เอ็งอีก"
"แล้วตัวเขาเองล่ะ" รมัณยาถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอรู้ว่าการทำเช่นนี้ การมอบคนที่ตนรักให้กับคนอื่น เป็นความข่มขื่นสุดทน
...เธอเองก็มีความรัก ทำไมจะไม่รู้
"สำหรับศาสตราน่ะ ขอแค่ยามีความสุขมันก็พอใจแล้ว..." ภวาภพตอบ แล้วจึงหันไปทางรามภณซึ่งนิ่งงันอยู่ "ถ้าเป็นเอ็ง จะทำได้แบบมันรึเปล่า"
รามภณได้ยินคำถามแล้ว หากแต่ยังคงนิ่งไปอีกนาน กว่าจะส่งเสียงตอบออกมาเบาๆ "ไม่...ไม่รู้สิ"
หากจะบอกว่าที่เขาตอบ เป็นการโกหกก็ไม่ผิดนัก เพราะความจริงเขารู้ เขารู้อยู่เต็มอกว่าเขาทำไม่ได้ เขารู้ว่าหากเขาจะต้องสละรมัณยาให้กับวสวัตติ์หรือใครก็ตาม เขาทำไม่ได้แน่ๆ
ภวาภพเหลือบมองรมัณยาแวบหนึ่ง แล้วจึงหันกลับมาที่เพื่อนของเขา
"ขอโทษทีที่ถาม ข้ารู้ว่าเอ็งกับศาสตราไม่เหมือนกัน แต่ถ้าคนที่เราชอบไม่ได้มีใจชอบเรา จะไปบังคับให้เขาอยู่กับเรา ก็มีแต่จะทุกข์ทั้งสองฝ่าย"
รมัณยาได้ยินคำพูดนี้แล้วถึงกับรู้สึกลมหายใจถูกตัดขาดช่วงไป มือที่กำลังจับช้อนคนกาแฟในถ้วยอยู่ ถึงกับไม่มีแรงไปเสียเฉยๆ ปล่อยให้ช้อนหลุดมือกระทบถ้วยดังติงตังเบาๆ
"เป็นอะไรรึเปล่า รมัณยา" รามภณหันมาถาม เมื่อเห็นสีหน้าเธอไม่สู้ดี
"ไม่ เอ่อ...ฉันว่าจะไปห้องน้ำหน่อยน่ะ เดี๋ยวมานะ" เธอบอก แล้วก็ผุดลุกขึ้น ก้าวยาวๆ ออกไป
รามภณมองคล้อยหลังตามหญิงสาว แล้วจึงถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
"เอ็งกับรมัณยา ยังไปกันได้ดีอยู่เหรอ" ภวาภพถามคำถาม จี้มาที่หัวใจของเขา ซึ่งนั่นทำให้รามภณต้องก้มหน้า ถอนหายใจอีกรอบ
"ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ข้ารู้สึกว่า ยิ่งคบกับรมัณยา ก็ยิ่งรู้จักเธอน้อยลงทุกที"
"ก่อนหน้านี้เอ็งรู้จักเธอมากนักรึไง"
"หมายความว่ายังไงวะ" รามภณขมวดคิ้วถามกลับ
"ก่อนหน้านี้ เอ็งเห็นเธอ รู้จักเธอแค่ผิวเผินก็ชอบ แต่เอ็งเคยเข้าถึงจิตใจเธอบ้างรึเปล่า เอ็งรู้รึเปล่าว่าเธอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร" ภวาภพบอกน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แล้วเขาจึงค่อยกดเสียงทุ้มต่ำลง เพื่อเน้นประโยคที่จะพูดต่อไป "ที่สำคัญ เอ็งรู้รึเปล่าว่าที่เธอยอมคบกับเอ็ง เพราะอะไร"
เพราะอะไร... รามภณนิ่งไป ...นั่นสิ เขาเองก็ไม่เคยถาม ไม่เคยรู้เลยว่าเธอยอมคบกับเขาเพราะอะไร ตลอดเวลาที่คบกันมา รมัณยาก็ไม่เคยเปิดปากพูดถึงเรื่องนี้เลย
...รู้เพียงว่าบางครั้งเธอก็ดูเหม่อลอย ดูเหมือนหัวใจของเธอไม่ได้อยู่กับตัว และไม่ได้อยู่ที่เขา...
"การผูกมัดใครคนหนึ่ง ด้วยการยอมเจ็บตัว ไม่ได้ทำให้เขากับเอ็งมีความสุขหรอกนะ" ภวาภพทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ ก่อนจะผละจากมา ปล่อยให้เพื่อนของเขานั่งนิ่ง คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาโดยลำพัง
...เธอคบกับเขาเพราะอะไร
...เพราะตอนนั้นเธอทำให้เขาเจ็บ ...เพราะเธอรู้สึกผิดหรือ
% ====================
จากคุณ |
:
ตรีพันธ์
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ก.ค. 55 21:45:04
|
|
|
|