Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 23 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีเพื่อนนักอ่านครับ
ล่องกัลปาลัยบทที่ 22 ที่ผ่านมาครับ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12319463/W12319463.html

ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านครับ คุณ mementototem, คุณนุ้ยนารีจำศีล, คุณกุหลาบมอญ, คุณปุ้ย npuiy, อาจารย์จี GTW, คุณ mimny, คุณไก่ kdunagin, คุณเรียวรุ้ง, คุณแก้วกังไส, คุณHermosa, คุณwor_lek, คุณนวลน้ำผึ้ง, คุณมน Setakan, คุณเพชรรุ้งพราย, คุณบทเพลงปีศาจ, คุณทะเลเดือดพันธุ์ร็อค และคุณ กาแฟเย็นเพิ่มช็อต ครับผม
มาต่อกันเลยนะครับ

บทที่ 23


           ปีระกาเอนหลังลงกับเบาะรถ หลับนัยน์ตาลง พยายามไม่มองเสี้ยวหน้าคมคายของ “อีตาคนขับ” ที่กำลังเพ่งสายตามองตรงไปข้างหน้าอย่างใจจดจ่อ ดูไปแล้ว ตาผู้กองขี้เล่นคนนี้ นิสัยใช้ได้เลยทีเดียว ไม่เหยาะแหยะเจ้าสำอาง เหมือนกับผู้ชายหลายคนที่หล่อนพบเห็นในยุคนี้ จนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ยังจำได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ ในห้วงเวลากิจกรรมต่างๆของทางคณะ นักศึกษาสาวๆอย่างหล่อนต้องเป็นแผนกแรงงาน คอยตอกตะปูไม้ ทำบอร์ด หรือยกถังน้ำมาบริการน้องๆในงานรับน้อง

           ส่วนเพื่อนชายทั้งหลายของหล่อนน่ะเหรอ โน่น! รับหน้าที่จัดพานดอกไม้ ร้อยพวงมาลัย สำหรับวันไหว้ครูไปแทน!


            คอนเซปต์ของสาวๆในคณะ จึงถูกเรียกว่า “สวยถึกและบึกบึน” ไปโดยปริยาย และนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่หล่อนมองเห็นแต่ผู้ชายอุดมคติมีอยู่ในนิยายที่ตัวเองแต่งเท่านั้น ซ้ำที่คุ้นเคยรู้จักก็ไม่เห็นรูปกายอย่างธาม เสียอีกนี่


              เพิ่งจะมีอีตาคมจักรนี่แหละ ที่ทำให้ปีระการู้สึกว่าโลกบูดๆเบี้ยวๆใบนี้ยังมีสุภาพบุรุษเหลืออยู่บ้าง แต่บทจะยียวนกวนบาทาขึ้นมา ก็ทำให้หล่อน “มีน้ำโห” ได้ง่ายๆเหมือนกัน


          “คุณเห็นอะไรหรือ ปีระกา?”


            จู่ๆผู้กองคมจักรก็ถามโพล่งขึ้นมา ทั้งที่สายตาของเขายังมองตรงไปถนนขรุขระข้างหน้าอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา


            “ว่าไงนะคะ เห็นอะไร? คุณหมายความว่ายังไง”


              “ก่อนที่รถจะตกหล่ม ผมสังเกตท่าทีแปลกๆของคุณแล้ว คิดว่าน่าจะเห็นหรือได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่คุณพยายามฝืนให้ดูเหมือนปกติ เพื่อปกปิดผม”


            เขาถามเรียบๆ เหมือนกับซักถามเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศทั่วไป แต่ก็ทุกคำถามก็มีแววแห่งการซักไซ้ไล่เลียงอย่างชัดเจนตามวิสัยแห่งนายตำรวจ หล่อนไม่สามารถอำพรางปฏิกิริยาของตนเองได้เลย เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้กองหนุ่มผู้นี้


           “คุณกำลังจับพิรุธฉันอยู่...”


             คมจักรหัวเราะหึๆในลำคอเมื่อเห็นท่าทีของหล่อน เขากุมพวงมาลัยเอาไว้หลวมๆ แล้วเหลียวกลับมาจ้องตาหล่อน ไม่มีประกายเย้าแหย่ช่างเล่นแพรวพราวเหมือนกับทุกครั้ง


            “อย่าปฏิเสธเลยนะปีระกา ผมเป็นตำรวจนะครับ แล้วก็สังเกตท่าทีของคุณอยู่ด้วยระหว่างขับรถมาด้วยกัน ผมสังเกตว่าคุณเหมือนจะพูดกับใครสักคน ที่ผมมองไม่เห็น บอกกับผมมาเถอะ เราไม่ควรต้องมีเรื่องอะไรปิดบังกันไม่ใช่หรือ?”


             นัยน์ตาคู่นั้น ทำให้ไม่อาจปฏิเสธ


            “ฉันไม่ได้เห็นค่ะ แต่ “ได้ยิน” หรือจะพูดว่าคุยกับผีก็ได้นะคะผู้กอง”


              ตอบออกไปตรงๆเช่นเดียวกัน แต่แทนที่จะเห็นปฏิกิริยาไม่เชื่อถือ หรือระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขันในคำตอบ คมจักรกลับชะลอความเร็วของรถลงช้าๆ แล้วแตะเบรกจนพาหนะคันนั้นหยุดนิ่ง บนถนนลูกรังที่แสงแดดกำลังจะลับขอบฟ้าลงทุกขณะ


           “คุณคงไม่คิดว่าฉันเป็นโรคประสาท หรือประเภทหูแว่วไปเอง เหมือนกับอาการผิดปกติทางจิตบางอย่างนะคะผู้กอง รับรองว่าฉันตรวจเช็คตัวเองมาแล้ว”


            ชายหนุ่มหันกลับมาจ้องมองหน้าหล่อน ด้วยสายตาแน่วนิ่ง ไม่ใช่อาการคาดคั้น หรือเยาะหยันใดๆทั้งสิ้น สายตานั้นบอกความรู้สึกของเขาได้ชัดเจน จนปีระกาต้องขยับตัวอย่างรู้สึกอึดอัดเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ความรำคาญหรือหมั่นไส้เหมือนทุกครั้ง เพราะสิ่งที่สัมผัสได้จากเขา


          มันเป็นความห่วงใยกังวลอย่างเต็มเปี่ยม


          “ผมเชื่อ! เชื่อในสิ่งที่คุณพูดออกมาทั้งหมดปีระกา ดูแล้วลักษณะของคุณไม่ใช่อาการของคนเป็นจิตเภท*หรือฟั่นเฟือนอะไรอย่างนั้นแน่ๆ แล้วลองบอกผมสิว่า สิ่งที่คุณเห็นเป็นใคร”


           “คุณเชื่อฉันจริงๆหรือคะ ผู้กอง?”


            เขาพยักหน้าแทนคำตอบรับ นัยน์ตาแน่วแน่คู่นั่นทำให้รู้ชัดเจนว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปกปิดความจริงอีกต่อไป สำหรับเรื่องดวงวิญญาณประหลาดนี้ หล่อนจำต้องเล่าให้เขาฟัง โดยละเว้นเรื่องของธามเอาไว้ อย่างน้อยปีระกาคิดว่า เรื่องระหว่างตัวเองและธาม ควรจะเป็นความลับ ที่ไม่ต้องการให้บุคคลที่สามล่วงรู้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าส่วนลึกจะไว้วางใจเขามากสักเพียงไหนก็ตาม


           คมจักรนิ่งไปชั่วอึดใจ เมื่อฟังเรื่องที่หญิงสาวเล่าจนจบ เขารวมความหมายไปถึง นวนิยายเรื่องสำคัญที่กำลังเขียนค้างเอาไว้ด้วย


                 “ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นอย่างที่ผมสงสัย...  นิยายที่คุณเขียนขึ้น มันไม่ได้มาจากจินตนาการเพียงอย่างเดียว แต่ได้มาจาก คำบอกเล่าของดวงวิญญาณเหล่านั้น มิน่าเล่า ตำรวจถึงได้สืบหาตัวฆาตกรได้ตรงกับปมเฉลยของนิยายคุณทุกเรื่อง จนแทบจะถือเอานิยายของปีระกาไปเป็นเบาะแสของแฟ้มคดีไปแล้ว”


               สีหน้าครุ่นคำนึงของเขามิใช่ด้วยความตื่นเต้น ระทึกใจ แต่เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์เจ้าทฤษฏีสักคนกำลังพยายามหาเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์ประหลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก จนหล่อนชักสงสัยว่าเขาเคย “กลัวผี” บ้างไหม? หรือ ถ้าหากอีตาผู้กองคนนี้ ต้องเผชิญหน้ากับธามหรือ ไปได้ยินเสียงลึกลับอย่างที่หล่อนเองต้องเผชิญอยู่ เขาจะเป็นอย่างไรหนอ?


             ดีไม่ดี อีตาผู้กองคมจักรอาจจะนั่งจับเข่าสัมภาษณ์ธาม เพื่อเสาะหาทฤษฏีพิสูจน์ผีของเขาไปเลยก็ได้!


          “แล้วคราวนี้คุณเชื่อหรือยังล่ะคะ ว่าฉันไม่ใช่ฆาตกร หรือคนอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมอะไรนั่นซะหน่อย”


           พูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย ด้วยอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นกะทันหันจากคำพูดเปรยๆของเขา ใบหน้าเชิดด้วยความเคยชินจนเห็นจมูกโด่งงอนรั้นขึ้น เป็นอิริยาบถที่ทำให้คมจักรเผลอมองด้วยความเอ็นดูโดยไม่รู้ตัว เกิดความรู้สึกอยากจะใช้นิ้วมือลองดึงจมูกรั้นๆเชิดๆนั้นเล่นดูสักที!


            แต่เขาก็ไม่กล้า...


            ถ้าไม่ติดว่า หญิงสาวคนที่นั่งคอแข็งเป็นเสาหินอยู่ตรงหน้า จะรีบหันกลับมาประทุษร้ายเขาเอาเสียก่อน แถมก็เพิ่งรู้ตัวเสียด้วยว่าไม่มีทางจะหือหา กล้าตอบโต้ใดๆกับเจ้าหล่อนเอาเสียด้วยสิ...


              คมจักร ยอมรับว่า ปีระกาไม่ใช่คนสวยหรือมองดูอ่อนหวานน่ารัก เหมือนกับเพื่อนสาวอีกคนหนึ่งของหล่อนที่ชื่อชลธร แต่ภายใต้ลักษณะคล้ายสาวห้าว มาดมั่น เช่นนั้น มีความเป็นผู้หญิงซ่อนอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม และมีเสน่ห์บางอย่าง ซึ่งเมื่ออยู่ใกล้ชิดมากขึ้น ก็ให้อยากจะพูดคุย หรือหยอกล้อเล่น ด้วยความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะได้เห็นเวลาหล่อนเผลอตัวค้อนใส่ หรือทำหน้าง้ำเช่นนั้นนั่นเอง


         จนกลายเป็นความประทับใจและติดใจไปโดยไม่รู้ตัว! และคราวนี้ เมื่อหล่อนเอ่ยพ้อขึ้นมา ก็ทำให้เขาพลอย “ร้อนตัว”เพิ่มขึ้นอีกอย่างไปด้วย


           “ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ ปีระกา คุณคิดไปเองทั้งนั้น”


         น้ำเสียงอีกฝ่ายยังไม่วายติดประชดนิดๆ


           “เหรอคะคุณผู้กอง แล้วไอ้ที่คุณเดินทางสะกดรอยตามดิฉันมาถึงที่ทับสนธยานี่ อย่าบอกเชียวนะว่าเป็น เพราะมาในนาม “แฟนคลับ” ปีระกาน่ะ ร้อยก็ไม่เชื่อ พันก็ไม่เชื่อ!”


            ได้ยินร่างสูงๆของคนข้างกายถอนหายใจเฮือกใหญ่


            “ใช่แล้วล่ะ ผมขอสารภาพตามตรง ว่าผมไม่ได้มาที่นี่เพราะต้องการมาตามข้อมูลเรื่องกุหลาบอาเพศที่คุณเขียนทิ้งเอาไว้เพียงอย่างเดียวหรอก”


              คมจักรเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มยังไม่มีทีท่าว่าจะสตาร์ทรถ เขานิ่งไปชั่วขณะเหมือนพยายามเตรียมคำพูดให้เหมาะสม


                “ถ้าอย่างนั้น คุณมีวัตถุประสงค์อะไร?”


            นิ่งกันไปชั่วขณะในความมืดที่เริ่มปกคลุมลงมาเรื่อยๆ


             “ผมต้องการมาตามล่าฆาตกร ฆ่าต่อเนื่อง ที่เกี่ยวเนื่องกับนิยายเรื่องกุหลาบอาเพศ... ก็เรื่องที่คุณกำลังเขียนอยู่นั่นแหละครับ”


                คราวนี้เขาไม่แกล้งล้อเลียน พูดผิดเป็น “กุหลาบวิปริต” อีกต่อไป ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังต่างจากเดิมจนเห็นได้ชัด


             “กุหลาบอาเพศ?”


              คราวนี้ปีระกายิ่งงงหนักขึ้น ก็เพราะนิยายเรื่องนี้มิใช่หรือ ที่ธามเตือนให้เธอต้องหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ชั่วคราวโดยไม่บอกอะไรเกี่ยวกับตัว “คนร้าย”เลยสักอย่าง แล้วหลังจากนั้นการติดต่อทั้งหมดก็เงียบหายไป รวมถึงดวงวิญญาณของคุณกรรณิการ์ เหยื่อฆาตกรรมรายสุดท้ายนั่นด้วย


           หายไปพร้อมกับปมปริศนาฆาตกรที่ยังค้างคาเอาไว้ จนทำให้หล่อนไม่อาจปิดต้นฉบับได้...


             “ตามล่า? ล่าใครหรือคะ?”


               “ก็ล่าคนที่ฆ่าคุณกรรณิการ์ คุณเบญจมาศ คุณลัดดาวัลย์ และคุณมัลลิกา สี่ดอกไม้สาวแห่งตระกูลอาชาวีรชัย หรือตัวละครสี่สาวที่กลายเป็นศพไปทั้งหมด ในนิยายกุหลาบอาเพศของคุณยังไงล่ะครับ”


                  ใช่! ในนวนิยายสยองขวัญเรื่องนั้น หล่อนเขียนมาถึงคุณยี่สุ่น หรือในความจริงก็คือคุณกรรณิการ์ที่กลายเป็นศพไปเป็นรายสุดท้าย หรือรายที่สี่ของคดีนี้นั่นเอง แล้วทิ้งปมปริศนาเอาไว้ โดยไม่อาจเฉลย เพราะดวงวิญญาณตัวจริง หายตัวไปเสียก่อนหน้านั้นแล้ว


                 ซ้ำร้ายเรื่องราวทั้งหมดก็ยังไม่ได้คลี่คลายใดๆทั้งสิ้น รวมถึงฆาตกรตัวจริง ก็ยังลอยนวลอยู่ที่ใดที่หนึ่ง และ “มัน”ผู้อยู่ในเงามืด ก็ล่วงรู้ว่าหล่อนเป็นคนเขียนเรื่องนี้ขึ้น แม้จะไม่รู้ที่มาที่ไปของแหล่งข้อมูลก็ตาม


              ในขณะที่ปีระกา กลับเป็นฝ่ายที่มืดแปดด้าน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวฆาตกรคดีนี้เลยสักอย่างเดียว!


               “คุณรู้ว่ามันเป็นใครหรือคะ?”


               คราวนี้ถามด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ และหัวใจก็ยิ่งเต้นระรัวมากขึ้น เมื่อชายหนุ่มพยักหน้ารับ เขาเห็นทีท่าสั่นสะท้านด้วยความกลัวที่ปรากฏขึ้นในทันที นั่นหมายความว่า ปีระกา เองก็ตระหนักถึงภยันตรายจากความจริงเรื่องนี้อยู่ไม่แพ้กัน เพียงแต่การเดินทางมาที่ทับสนธยา ทำให้หล่อนนึกคลายใจไปเองว่า สามารถหลบซ่อนตัวจากการตามหาของ “ฆาตกร” มือสังหารรายนี้ไปแล้ว


               รอดจากการถูกสังหารเป็นรายที่ห้า!


                   แต่ว่า... หล่อนคิดผิด สิ่งที่เขาพะวงคือความรู้สึกของหญิงสาว จึงยังไม่ต้องการทำให้นักเขียนสาวตื่นตระหนกตั้งแต่แรกเมื่อเขาปรากฏกายขึ้น เหตุการณ์บางอย่างระหว่างการเดินทางนั่นเอง ที่เร่งเร้าให้คมจักรต้องรีบเดินทางมาที่ทับสนธยา และด้วยเหตุผลที่เขากล่าวอ้างไปแต่แรก ก็รู้ทั้งรู้ว่าปีระกาไม่เชื่ออยู่แล้ว


             ไม่เคยคิดว่าคนอย่างเขาจะเป็นแฟนคลับ นอกจากคอยมาตามจับผิด จับพิรุธ เพื่อหาเบาะแสฆาตกรเท่านั้น


            ความสงสารในท่าทีสั่นยะเยือกนั้น บังเกิดขึ้นโดยที่นายตำรวจหนุ่มไม่ทันรู้ตัว เขาเผลอแตะมือแข็งแรงลงสัมผัสหลังมือหญิงสาว เสมือนถ่ายเทความอบอุ่นและพลังใจไปให้ ไม่เคยนึกด้วยซ้ำว่าจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ กับนักประพันธ์สาวที่ดูท่าทางน่าจะก๋ากั่นเป็นทอมบอย ที่ก่อความรู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่การสอบปากคำครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ


           แต่บัดนี้ดูเหมือนความรู้สึกที่ว่านั้น จะปลาสนาการไปจนหมดสิ้น


             “และถ้าผมคาดเดาไม่ผิด มันก็น่าจะเดินทางมาถึงทับสนธยาแล้ว... เพื่อตามหาคุณให้พบ”


            ประโยคนั้นทำให้ปีระการู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงมาเบื้องหน้า หล่อนนึกทบทวนเหตุการณ์ในตอนเที่ยงที่เข้าไปยังตัวจังหวัดด้วยกัน ระหว่างที่หล่อนกำลังโทรศัพท์ติดต่อเจรจากับพี่เต๋ บอกกอ ยอดเยาวมาลย์อยู่นั้น ก็เห็นชายหนุ่มพูดคุยกับนายตำรวจท้องที่ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ผิดไปจากที่เคยเห็น


           แต่ตอนนั้นปีระกา คิดเพียงว่าเขาคงจะเจอกับเพื่อนร่วมอาชีพ และทักทายกันตามธรรมเนียมเท่านั้นเอง


            คมจักรพยักหน้ารับ


             “นั่นเป็นเรื่องสำคัญที่ผมตั้งใจจะหาโอกาสบอกกับคุณเพียงลำพัง เพื่อไม่ต้องการให้เกิดพิรุธ  แต่เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐานทางกฎหมายชัดเจน ก็เลยต้องรีบเดินทางมาที่นี่ก่อน เพราะคิดว่า คุณอาจจะพอรู้เบาะแสได้บ้าง เราจะได้ช่วยกันวางกับดักตลบหลังมัน”


            “ฉันยังไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะวิญญาณของคุณกรรณิการ์เกิดหายตัวไปก่อน จนทำให้นิยายเรื่องนี้ต้องเขียนค้างไว้นั่นแหละค่ะ”


           “เพราะอย่างนี้แหละที่ทำให้ผมยิ่งเป็นห่วง คุณกำลังตกอยู่ในอันตราย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าอาจจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของมัน เพื่อปิดปากเรื่องทั้งหมดของคดีนี้... เพราะว่าตัวฆาตกร เข้าใจว่า มีเพียงคุณเท่านั้นที่จะรู้ว่ามันเป็นใคร”


           “แล้วฉันจะต้องทำอย่างไรดีคะ คุณคมจักร ฉัน...”


              “คุณไม่ต้องทำอะไร นอกจากทำตามที่ผมบอกเอาไว้ เราจะต้องล่อให้มันปรากฏตัวออกมาจากเงามืด เพื่อให้จำนนด้วยหลักฐาน”


           “คุณพูดเหมือนกับรู้แล้วว่าเป็นใคร”


          ถามด้วยเสียงสั่นพร่า หวั่นไหว และนายตำรวจหนุ่มก็พยักหน้ารับ


        “ใช่ครับ เพราะผมคิดว่า น่าจะเป็น...”


             ยังไม่ทันที่ผู้กองหนุ่มจะเอ่ยประโยคต่อไป พายุฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มลงเม็ดหนาขึ้นจนรอบบริเวณเกิดเสียงอื้ออึงสั่นไหวของต้นไม้รอบด้าน เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคารถและกระจกด้านข้าง ไม่ต่างกับแรงกระแทกของพลังด้านนอกที่พยายามจะผลักดันเข้ามาภายใน


            อากาศรอบกายเย็นยะเยียบขึ้นในทุกขณะ ความเย็นที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากแอร์คอนดิชัน แต่มาจากอากาศภายนอกที่ไหลวนผ่านเข้ามา และบีบรัดรอบกายของชายหนุ่มและหญิงสาวภายในพาหนะที่จอดนิ่งอยู่


             ฝุ่นธุลีปลิวคว้างลอยละลิ่วขึ้นในลำแสงจากหน้าหม้อรถที่ฉายส่องออกไป จนหนาทึบ บดบังทัศนวิสัยเบื้องหน้าจนมองแทบไม่เห็น เมื่อนั้นเอง เมื่อชายหนุ่มพยายามสตาร์ทรถ เครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มขึ้นเพียงชั่วขณะ ก่อนจะดับลงอีกครั้ง


              และเมื่อนั้นเอง ปีระกาสดับเสียงหัวเราะแว่วไหวอีกครั้งหนึ่ง


             “ฉันจะไม่ยอมให้แกไปที่นั่นเด็ดขาด แม่ปีระกา!”


             เสียงของวิญญาณปริศนาดวงนั้นนั่นเอง!!


           หญิงสาวขนลุกซู่ ขณะที่หันมองชายหนุ่ม สายตาคมจักรเต็มไปด้วยคำถาม


          “มันมาอีกแล้วค่ะ”


            “มัน?”


           “วิญญาณดวงนั้น ตอนนี้ มันอยู่ภายในรถคันนี้ และบอกให้เรากลับไป ไปจากที่นี่”


          เสียงของปีระกาไม่ต่างกับเสียงกระซิบ ถ้อยคำที่ได้สดับนั้น ไม่ต่างกับคำสั่ง เป็นน้ำเสียงอันห้วนเข้มจัดด้วยพลังแห่งโทสะ เมื่อไม่ทำตามความต้องการของวิญญาณดวงนั้นโดยดุษณี และมันก็พยายามหาหนทางทุกอย่างเพื่อขัดขวางไม่ให้กลับไปที่ทับสนธยานั่นอีก


            ปีระกาเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งพลุ่งขึ้นมา ในท่ามกลางความหวาดหวั่นพรั่นพรึงแต่แรก ที่เริ่มลดระดับลงไปแล้ว


              นั่นก็คือความต้องการเอาชนะ!


              ไม่ว่าสิ่งลึกลับเหนือการพิสูจน์นั้น จะเป็นวิญญาณของผู้ใดก็ตาม หากไม่ได้มาด้วยเหตุผลและความเหมาะสมอย่างที่พึงเป็น หล่อนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามความต้องการนั้น


               “คุณไม่มีทางจะขัดขวางฉันได้หรอก ถ้าไม่ยอมบอกทุกสิ่งทุกอย่างมาให้ฉันรู้เสียก่อน”


ไม่วิตกกังวลกับความฉงนฉงายที่จะเกิดขึ้นกับผู้กองคมจักรอีกต่อไป ปีระกาตะโกนตอบอีกฝ่ายผู้ไร้ตัวตนไปในทันที เสียงหัวเราะนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงคำรนด้วยความโกรธแค้น คลื่นพลังบางอย่างเคลื่อนไหวรุนแรงเหมือนพายุภายนอกที่คลุ้มคลั่งและกระทบกับผัสสะของหญิงสาวจนยะเยือกผิวกาย


               และในภาพ “นิมิต” นั้นเองหล่อนมองเห็นกระแสเฉดสีแสดแดงร้อนรุ่มราวกองเพลิงอันแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวไม่พึงพอใจยิ่งยวด เมื่อได้รับการปฏิเสธ จากมนุษย์ ที่ด้อยด้วยพลังอำนาจกว่าตัวมันเองมากนัก


               เสียงอสนีบาตตามมาด้วยความสว่างวาบจ้าในชั่วพริบตา หากในเสี้ยววินาทีนั้น ปีระกามองเห็นแนวกิ่งไม้ใบไม้ไหวเอนลู่ระเนนไปตามเส้นทางคดเคี้ยวเบื้องหน้า หล่อนจดจำได้ว่า ณ ตำแหน่งนี้ มันไม่น่าจะไกลจากบริเวณทับสนธยาสักเท่าใดแล้ว แล้วเมื่อความสว่างครั้งที่สองวาบขึ้น คราวนี้หางตาก็มองเห็นส่วนของยอดหอคอยด้านหนึ่งเสียดยอดทะลุผ่านแนวไม้ดำทะมึนอยู่ลิบๆ


                 และก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะรู้ตัว ปีระกาก็กระชากประตูเปิดออกจากกัน แล้วพุ่งตัววิ่งลงไปยังพื้นถนนลูกรังด้านนอกในทันที!


             **********************


              “ปีระกา!”


                ความห่วงกังวลต่อหญิงสาว มีอำนาจเหนือทุกสิ่งแม้แต่สิ่งลี้ลับยากแก่การพิสูจน์ที่เขาได้รับฟังมาจากหญิงสาวด้วยก็ตาม


              ตลอดชีวิตนายตำรวจหนุ่ม คมจักรเองเผชิญกับเหตุการณ์ที่ต้องต่อสู้กับผู้ร้าย หรือเสี่ยงอันตรายนานัปการ แต่นั่นก็คือการเผชิญหน้ากับมนุษย์ด้วยกัน ผู้ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาตนเอง แต่สำหรับสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น “คลื่นพลังงาน” เหล่านี้ ชายหนุ่มเองยังมิเคยได้ประจักษ์กับตัวเองมาก่อน แม้จะได้ยินรับฟังจากผู้อื่น ก็ไม่ใช่ประสบการณ์โดยตรง ตราบจนกระทั่งเมื่อได้ฟังนักประพันธ์สาวผู้นั้นเล่าเรื่องพิสดารเช่นนี้ออกมาอีกครั้ง


                เขาเคยเผชิญหน้ากับผู้คนมามากมาย ประสบการณ์สอนให้สังเกตลักษณะการพูดจา การโกหกโดยการตีสีหน้า ซ่อนความรู้สึกต่างๆ จนเชี่ยวชาญพอที่จะอ่านคนจากใบหน้าแต่ละแบบที่แสดงออกมาได้


                  สำหรับปีระกาแล้ว เขาเชื่อในสิ่งที่เจ้าหล่อนเล่าออกมาทุกอย่าง เห็นแววตาอันบริสุทธิ์ใจเต็มเปี่ยม แม้ว่าท่าทีหญิงสาวแต่แรก จะค่อนข้างระมัดระวังตัวอยู่ไม่น้อย ใช่! หล่อนกลัวเขาหาว่าเพี้ยน หรือไม่ก็เป็นโรคประสาทหลอนเอาเสียมากกว่า


                แต่ทุกคำพูดและคำบอกเล่านั้น โยงเข้ากันกับสิ่งที่กระทำออกมาผ่านการเขียนนวนิยายแต่เรื่องได้สอดคล้องที่สุด มันไม่ควรจะมีเหตุผลอื่นมากไปกว่านี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ต้องหาคำตอบกันให้จ้าละหวั่นก็ตาม...


                โดยเฉพาะท่าทางหวาดกลัว เมื่อสายฝนพร่างพรมลงมาจนเป็นพายุฝน หล่อนพูดถึงวิญญาณอีกดวงหนึ่ง ที่ขัดขวางการเดินทางกลับทับสนธยาก่อนหน้านี้


             และในจังหวะนั้นเองที่ปีระกาวิ่งผลุนผลันออกไปโดยมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจรู้ได้ทัน ด้วยสัญชาตญาณตำรวจ คมจักรรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งตามออกไปในทันที


           ม่านฝนสาดกระทบใบหน้าจนเจ็บและแผ่ซ่านความเย็นยะเยียบจากศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้า ผู้กองหนุ่มร้องตะโกนแข่งกับเสียงอื้ออึงของพายุรอบด้าน พยายามเบิกนัยน์ตาผ่านหยาดน้ำที่สาดเข้าหาใบหน้าและร่างกายตลอดเวลาอย่างยากเย็น มองเห็นร่างหญิงสาวอยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงยี่สิบเมตรข้างหน้า


             “ปีระกา! กลับมาก่อน อันตราย!”


             เขาพยายามร้องตะโกนอีกครั้ง แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ยินนอกจากร่างจะเลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มหอบหายใจหนักหน่วง เขาเพิ่งนึกได้ว่า เป็นห่วงหล่อนเสียจนวิ่งตามออกมาจากรถโดยลืมแม้แต่อาวุธคู่กายที่ใส่ไว้ในลิ้นชักด้านหน้า...


               แล้วสายฟ้าแลบขึ้นอีกครั้ง


                และคราวนี้เขาเห็นปีระกาแล้ว หญิงสาวกำลังหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนถูกสาปให้กลายเป็นรูปปั้นหรือตุ๊กตาหิน ในขณะที่เขาวิ่งตามมาถึงตัวพอดี


           ณ เบื้องหน้านั้นเอง คมจักรจึงมองเห็นร่างๆหนึ่งปรากฏกายขึ้นอย่างช้าๆ ในม่านฝนอันหนาทึบที่ช่วยขับภาพเบื้องหน้าให้ชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับการฉายฟิล์มภาพยนตร์...


               เพียงแต่ร่างนั้นเกิดขึ้นด้วยการรวมอณูมวลสารจากเศษธุลีเบื้องหน้าขึ้น แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นร่างมนุษย์ร่างหนึ่ง พร้อมกับเสียงหัวเราะที่เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองหู


                 สาบานว่า นั่นไม่ใช่ภาพลวงตา และ “ภาพ”นั้นก็ปรากฏเสียงเปล่งออกมาชัดเจน


          ...เสียงของดวงวิญญาณที่ปีระกา เคยบอกกับเขานั่นเอง


            “ต้องการจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างใช่ไหมแม่ปีระกา ได้สิ! ฉันจะยอมให้กับความอวดดื้อถือดีของเธอสักครั้ง บัดนี้ เธอจะได้รู้ในสิ่งที่ต้องการจะรู้ และจากนั้นก็จงกลับไป... ไปจากที่นี่ ทันที่ที่รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้ว!”


            ใบหน้าที่ชัดเจน จนเขาได้ยินเสียงปีระการ้องอุทานออกมา เมื่อหล่อนจดจำใบหน้านั้นได้แล้ว ณ บัดนี้


              “คุณย่าทวด...”


              นั่นคือรูปกายอันโสภาของคุณอบ หรือคุณผอบแก้ว คุณย่าทวดของปีระกานั่นเอง!!

           **************************
*จิตเภท : Schizophrenia

ขอเข้ามาตอบคอมเมนต์ตอนที่ผ่านมา ในตอนเย็นนะครับ  แวบไปทำงานต่อแล้วครับ

สำหรับบทหน้า เป็นบทที่หนักใจที่สุดบทหนึ่งในการเขียนเรื่องนี้เลยครับ

หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 08:32:33




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com