Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 5 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12316163/W12316163.html

บทที่ 5

คัมภีร์ไสยเวทย์โบราณบอกกล่าวถึงเมืองใหญ่ที่คนในยุคนั้นขานนามว่าคามดารกะ ดินแดนอัศจรรย์ที่ซ่อนและสุมบรรดารัตนชาติทั่วทุกอณูที่ได้ชื่อว่าหินดินทราย เป็นดินแดนที่มั่งคั่งไปด้วยวัตถุและผู้คนที่หนาแน่น เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งและไม่มีวี่แววว่าจะล่มสลายได้

แต่บนโลกใบนี้ไม่เคยมีสิ่งใดจีรัง นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข อาณาจักรที่เคยแข็งแกร่งก็เปรียบเสมือนดวงดาวที่โคจรไปหยุดสาดแสงเจิดจรัส ณ กลางหาวโดดเด่น

ครั้นพอเคลื่อนห่างจากจุดนั้น แสงเจิดจรัสก็ค่อยหรี่หมอง กระทั่งดับสิ้นและเลือนหายไปจากวงโคจรโดยอัตโนมัติ เพื่อหลีกทางให้ดาวดวงใหม่เคลื่อนไปแทนที่ตำแหน่งนั้น มันจะเป็นเช่นนี้วนเวียนเป็นวัฏจักร

หมอผาเงยหน้าขึ้นจากคัมภีร์สีดำบนโต๊ะไม้ เขาเคยอ่านเรื่องราวของคามดารกะอย่างผ่านๆ เพราะคิดเพียงว่าตำนานที่จบไปแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจ

และตัวเขาก็มีหน้าที่ชะลอชะตาที่พอทำได้ จึงหมั่นศึกษาวิถีทำนายดวงดีดวงร้ายของชาวบ้าน รับทอดไสยเวทย์มาเป็นบางบท ก็เพื่อคุ้มครองกายไม่ให้สิ่งเร้นที่เหนือธรรมชาติกล้ำกรายคุกคามก็เท่านั้น

เพิ่งจะคราวนี้แหละที่หันกลับมาใส่ใจจริงจังกับเมืองใหญ่ที่ล่มหายตายจากไปนานเป็นร้อยๆ ปี เพราะใครหรือ เพราะฤดีดิษถ์ สาวครีเอทีฟผู้ยโสใช่ไหม

เธอไม่เชื่อเรื่องลี้ลับพวกนี้หรอก ชาติก่อนชาตินี้ชาติหน้าก็อาจจะกลายเป็นเรื่องเหลวไหลที่เธอไม่เคยชายตาแล แล้วถ้ามีใครไปพูดให้ฟัง เธอก็จะตัดบทไปว่า 'ไร้สาระ'

"ก็มันจริงนี่ครับ" โชติชลสำทับเมื่อฟังคุณอาหมอผีเปรยจบลงพร้อมกับเก็บคัมภีร์สีน่ากลัวลงกล่องไม้ไปด้วย

"ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไปทั้งนั้นแหละนายโจ้ แกนึกว่าอยู่ดีๆ แกก็เกิดมาเป็นตัวเป็นตนเลยหรือ"

"ไม่หรอก ผมรู้ว่าผมเกิดมาได้ยังไง ทุกวันนี้ผมก็ทำเป็นนะ"

หมอผาส่ายหน้า วาจาห่ามแบบนั้น เขาไม่ชอบฟังหรอก ที่โทรเรียกมาพบในบ่ายวันนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อฟังเรื่องเฉียดกามลงเตียงของพ่อหนุ่ม

"อย่ามัวแต่พล่าม บอกความเคลื่อนไหวของหนูคนนั้นมาเถอะ"

"เตรียมตัวเดินทางพรุ่งนี้ ขับรถไปเองด้วยนะ ไปกับแฟนเขานั่นแหละ"

"ไม่มีวิธียับยั้งเธอได้เลยหรือ" หมอผาขมวดคิ้วรำพึง

"มันไม่มีอะไรหรอกอา ผมว่าอาเพ้อเจ้อไปจริงๆ อ้อ เมื่อกี้นี้บอกว่าทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปไม่ใช่หรือ ถ้าอาอยากให้คุณดิษถ์เชื่อละก็ อาต้องไปคุยที่มาที่ไปให้เธอฟังก่อน"

หมอผาผงกศีรษะเนิบๆ โชติชลพูดมีเหตุผลนั่นล่ะ แต่เขายังไม่แน่ใจในบางอย่างจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เขาแค่เห็นว่าในร่างของฤดีดิษถ์แทรกซ้อนด้วยร่างของนางพญาน่าเกรงขาม

แล้วเขาก็เดาว่าร่างนั้นคือแม่นางกณิการ์ ซึ่งมันก็อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้นี่ ขืนไปบอกสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าใช่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ใช่ มันจะกลายเป็นลามปามบารมีแม่นางไปเสียเปล่าๆ

"จะคุยให้ผมฟังก่อนก็ได้นะ คืออย่างนี้" หนุ่มหล่อมาดจอมยุทธ์ลุกจากเก้าอี้ตัวที่นั่งมาทรุดแหมะบนพื้น "เราสองคนเพิ่งจะรู้จักกัน เพิ่งจะรู้ว่าเป็นญาติกัน แต่ห่างๆ นะ" ท่อนนี้เขาจบด้วยเสียงหัวเราะขำๆ "อาจึงยังไม่รู้ว่าผมนี่นะ วาทศิลป์เป็นเยี่ยม"

"หมายความว่าถ้าแกเชื่อ แกก็สามารถโน้มน้าวให้หนูคนนั้นเชื่อตามแกได้ละสิ"

"ผมมีความมั่นใจว่าทำได้เกินเจ็ดในสิบส่วน"

หมอผาถอนใจยาว หลุบตาเพ่งคัมภีร์โบราณในกล่องไม้ที่ยังไม่ปิดฝาคล้ายชั่งใจหรือใคร่ครวญ โชติชลก็เป็นหนุ่มยุคใหม่นี่นะ หากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบแล้ว ก็ไม่มีใครรับประกันว่าเขาจะเชื่อหมดใจ

"เล่ามาเถอะน่า อย่างน้อยมันก็เป็นทางเลือกทางเดียวที่อามีนา ถ้าผมเชื่อ ก่อนถึงวันพรุ่งนี้ ผมก็อาจจะมีหาวิธียับยั้งการเดินทางของดิษถ์ได้"

"แล้วถ้าแกไม่เชื่อ"

"เอ้า อานี่ยังไง เมื่อกี้นี้ผมก็บอกอยู่ว่ามันเป็นทางเลือกทางเดียวที่อามีไง"

"แล้ว.. "

"อ้อ วันก่อนอายังบอกเลยว่าผมเป็นผู้ช่วยไม่ใช่หรือ จะให้ผมช่วย มันก็ต้องให้ผมรู้ที่มาที่ไปก่อน ผมน่ะหล่อด้วยฉลาดด้วยนะจะบอกให้ ไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่รู้ข้อมูลหรอก"

หนุ่มหล่อด้วยฉลาดด้วยขยันแทรกความคิดขัดแย้งของญาติห่างๆ แบบไม่ให้เว้นวรรค ฝ่ายโน้นจึงได้แต่อ้าปากแล้วค้างปนๆ กับถอนใจยาว สีหน้าก็ดูว่าหนักใจชะมัด

เขาก็ไม่เข้าใจว่าจะหนักใจอะไรและทำไม แค่เล่าให้เขาฟัง มันไม่ได้ทำให้ตำนานสึกหรอลงสักหน่อย เอ.. แต่หยิบคัมภีร์ออกมากางแล้วนี่ ตัดสินใจว่าจะเล่าแล้วละสิ เอ้า เล่ามาเถอะ รอฟังอยู่





คามดารกะอันรุ่งเรืองค่อยปรากฏขึ้นบนดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล เมืองอันมั่งคั่งด้วยสมบัติรัตนชาติทุกซอกทุกแห่ง เมืองอันมีประชาชนปักหลักรวมตัวกันอย่างหนาแน่น เมืองอันมีเจ้าฟ้าผู้แข็งแกร่งกล้าหาญปกครองทั่วคามให้เป็นปึกแผ่นและเกรียงไกร

"ถึงฤกษ์อันเป็นมงคลแล้ว เข้าสู่พิธีเทิดทูนเจ้าฟ้าจ่าง"

สิ้นเสียงประกาศของ 'พระครูลาพุช' ประชาชนที่มารายล้อมเต็มสองฟากลานพิธีตั้งแต่เช้ามืดก็พลันโห่ร้องประสานเสียงดังกึกก้อง แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นกับกองทัพม้าอันเกรียงไกร เหล่าแม่ทัพนักรบทั้งหลายส่งเสียงคำรามคึกคักควบม้าศึกฝุ่นตลบเข้าสู่ลานพิธีอย่างฮึกเหิม

ม้าศึกทุกตัวได้รับการฝึกฝนเคี่ยวกรำมาเป็นอย่างดี จึงเชื่องและแสนรู้ยิ่ง พอตะบึงเข้าสู่ลานพิธี ก็ค่อยชะลอฝีเท้าลงเอง กระทั่งเฉื่อยชาเพียงย่างเหยาะต่อเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ

เจ้าฟ้าจ่างก้าวมาหยุดบนระเบียงโค้ง โบกมือทักทายประชาชนที่สยบอยู่ใต้อำนาจการปกครองด้วยแววตาอารี ท่านบริหารปกครองคามดารกะแทน 'เจ้าฟ้าภวะ' ครบสิบปีแล้ว ปีนี้ สมควรแก่เวลาที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดอย่างสมบูรณ์เสียที หลังจากที่รีรอให้เดือนดับสูญของเจ้าฟ้าบิดาห่างหายครบหนึ่งปี

"เจ้าพี่หน้าตาผ่องใสนะเจ้าข้า"

"เจ้าน้องก็ไม่ได้ด้อยกว่าเจ้าพี่นักไม่ใช่หรือ"

'แม่นางอชินี' ยิ้มกว้างขบขันที่โดนเจ้าฟ้าสามียอกย้อน ในแววตาฉายความจงรักภักดีทั้งในฐานะปวงประชาและชายาแสนรัก

แม่นางไม่ได้เกิดจากตระกูลเจ้าฟ้า หากแต่มาจากตระกูลล่าเสืออันเกรียงไกรในหมู่บ้านลึกบนเทือกเขาลี้ลับที่น้อยคนจะย่างกรายไปเยือน แต่ปีนั้น เจ้าฟ้าจ่างก็ดั้นด้นตามเสือร้ายตัวหนึ่งไปจนพานพบ 'รักแรก'

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อประชาชนทั้งปวงจะรับทราบและยกย่องในความสามารถนายพรานล่าเสือของแม่นางอชินี นับแต่ก้าวแรกที่แม่นางถูกยกย่องเป็นชายาแสนรักของเจ้าฟ้าหนุ่ม

และใครก็ตามที่มีโอกาสได้คุกเข่าเข้าใกล้ ก็มักจะกลับออกไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความดุดันลี้ลับในดวงตาเรียวสีน้ำตาลเจอเทาประหลาด

"แม่นางน้อยเล่า" เจ้าฟ้าผู้เกรียงไกรเอ่ยถึงแม่นางหน่อเนื้อ

"กำลังตามมาเจ้าข้า แม่นางจงอรไม่ก่อความเวียนหัวนัก แต่แม่นางกณิการ์ไม่ไหว น้องเหนื่อยนัก"

"บ่นทำไม ก็นิสัยเจ้าน้องไม่ใช่หรือ กล้าหาญ บ้าบิ่น ดุเดือด"

"เอ๊ะ ทำไมมายอกย้อนเอาความหมองมาป้ายใส่น้อง แม่นางก็หน่อเนื้อเจ้าฟ้าจ่างนะเจ้าข้า"

เจ้าฟ้าจ่างหัวเราะเบาๆ ตาเรียวคมทรงอำนาจดุจตาเข้มของพญาเหยี่ยวกวาดมองประชาชนเบื้องล่างด้วยจิตใจอันเปี่ยมสุข พระครูลาพุชกรายมากระซิบว่า

"ได้เวลาแล้วเจ้าข้า รีบลงไปประกอบพิธีเทิดทูนเจ้าฟ้าเถิดท่าน"

"รู้แล้ว พระครูลงไปก่อน เรารอหน่อเนื้อจอมซนของเราก่อน แล้วจะลงไปพร้อมกัน"

"เจ้าข้า"

คล้อยหลังพระครูวัยหนุ่มใหญ่เพียงครู่ แม่นางน้อยทั้งสองก็ปรากฏโฉม อาภรณ์สีชมพูหนึ่งแดงก่ำหนึ่ง สะท้อนเป็นเงางดงามกลางตาเรียวทรงอำนาจของเจ้าฟ้าบิดา ร่างสูงสง่าย่อลงพลางอ้าแขนรับสองร่างมากกกอดอย่างแสนรัก จูบแก้มซ้ายหอมแก้มขวา แล้วสัพยอกว่า

"พิธีเทิดทูนเจ้าฟ้าจ่างเรา เห็นทีจะอาเพศแย่แล้ว แม่นางกณิการ์เราชดช้อยด้วยกระโปรงแดงก่ำ นานทีเราจะได้ยลเป็นบุญตานะ"

"ยังจะมายอกย้อนเอาความหมองมาป้ายใส่ลูกหรือเจ้าพ่อ" แม่นางน้อยจอมแก่นทุบหมัดน่ารักลงบนอกใหญ่อย่างแง่งอน

"เอ.. เจ้าฟ้าจ่างยอกย้อนได้แม้กระทั่งแม่นางน้อยเชียวหรือ" เจ้าฟ้าบิดาแสร้งเปรยกลั้วยิ้มอารี

"เจ้าข้า เจ้าพ่อเป็นอย่างนั้นจริงๆ "

"แต่เราเข้าใจว่าเรากำลังชื่นชมแม่นางน้อยอยู่นะ นานทีจะได้เห็นแม่นางน้อยแลงามเหมือนนางพญาเช่นเจ้าแม่ แล้วจะไม่ให้เราปลาบปลื้มได้หรือ"

"ก็เพราะวันนี้เป็นวันมหามงคล เจ้าพ่อจะได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดแทนเจ้าปู่ ลูกจึงสำรวมกิริยา ทั้งอาภรณ์เครื่องประดับก็เลือกแต่นุ่มนวลเรียบร้อย ถ้าไม่ใช่ยำเกรงบารมีเจ้าพ่อ ลูกหรือจะยอมอัปลักษณ์ด้วยกระโปรงรุ่มร่ามเช่นนี้"

ตั้งแต่ปรากฏตัว 'แม่นางจงอร' ยังไม่ได้เอ่ยคำใดๆ นอกจากยิ้มละไม ร่างอรชรแลงามด้วยชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนประดับรัตนชาติสีหวาน สลับกับปักดิ้นทองเงินระยิบระยับ ชายกระโปรงตรึงโลหะชุบทองลงยาฝังพลอยสีล้ำค่า

เครื่องประดับอัญมณีบนคอแขนและแหวนวงน้อยล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติที่หาได้ทุกซอกทุกแห่งทั่วคามดารกะ และเป็นที่หมายปองของบรรดาผู้คนต่างคามอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น

เช่นเดียวกับแม่นางผู้น้องที่แลงามร้อนแรงด้วยชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีแดงก่ำ ลวดลายที่ประดับประดาอาภรณ์ล้วนแพรวพราวไม่ได้ด้อยไปกว่าแม่นางผู้พี่ แต่หากจะผิดแผกจนเห็นได้ชัดก็น่าจะตรงที่อิริยาบถของสองเจ้าฟ้าหน่อเนื้อละกระมัง

แม่นางจงอรผู้พี่สำรวมกิริยาสมเป็นแม่นางเลอโฉม แม้จะแรกรุ่นเพียงสิบห้าหยกๆ ส่วนแม่นางกณิการ์ผู้น้อง ด้วยวัยเจ็ดขวบเศษ แต่ทุกอิริยาบถแลปราดเปรียวดุดัน เป็นที่ยำเกรงของบรรดาข้าทาส ไม่ต้องเปล่งอานุภาพให้มากความ เพียงแค่แม่นางปรายตาคมกริบ ข้าทาสก็พากันหลบลี้พัลวันแล้ว





พิธีเทิดทูนเจ้าฟ้าจ่างดำเนินไปตามฤกษ์อันเป็นมงคลของพระครูลาพุช ในขณะที่ทุกคนมัวแต่สำราญกับการเฉลิมฉลองเจ้าฟ้าจ่าง แทบจะไม่มีใครเลยที่สังเกตสีหน้าหม่นหมองของแม่นางอชินี พระครูลาพุชคือคนในส่วนน้อยนั้น ร่างสำรวมในชุดขาวมาหยุดเยื้องอย่างนอบน้อม พลางเอ่ยว่า

"จงทำจิตใจให้เบิกบานเถิดแม่นาง โลกของเราถูกกำหนดไว้แล้วด้วยชะตาแห่งฟ้า"

"เราก็เข้าใจเรื่องนั้นดี เราเพียงแต่รู้สึกผิดที่อีกไม่นานจะเป็นต้นเหตุแห่งความวิปโยค ทั้งเจ้าพี่และแม่นางน้อยจะโศกเศร้ากับการจากไปของเรา ยังมีประชาชนที่จะมาร่วมหม่นหมองว่าคามดารกะต้องมาว่างเว้นชายาเจ้าฟ้า"

"แม่นางยังไม่ได้บอกเรื่องนี้ต่อเจ้าฟ้าใช่หรือไม่เจ้าข้า"

"ใช่ เราตั้งใจว่าจะไม่บอกไปจนถึงวาระสุดท้ายของเรานั่นแหละ"

พระครูถอนใจสลด รู้สึกเห็นใจในชะตาอันสั้นของแม่นางผู้เก่งกล้าสามารถยิ่งนัก นางหมดอายุขัยแล้ว อีกสามเดือนข้างหน้า คามดารกะจะสูญเสียชายาเจ้าฟ้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่เจ้าฟ้าจ่างจะทำใจให้หายเศร้าโศก แล้วเริ่มมองหาชายาใหม่มาช่วยดูแลแม่นางหน่อเนื้อซึ่งยังเยาว์นัก

ยามมองเข้าไปในลานพิธี ซึ่งยามนี้กำลังครึกครื้นด้วยฤกษ์อันเป็นมงคล พระครูลาพุชก็อดที่จะถอนใจยาวไม่ได้อีก

ท่านไม่ได้แพร่งพรายต่อแม่นางชะตาขาดว่าบนฟ้ามืดทางทิศตะวันตก ปรากฏดาวดวงหนึ่งเปล่งแสงแดงก่ำดั่งเลือดอาเพศ วิถีโคจรนั้นแม้จะอ้อยอิ่งแต่ก็ทอดทับวิถีเดิมของแม่นาง

แน่นอน ท่านรู้เต็มอกว่าดาวดวงนั้นเป็นอัปมงคลต่อคามดารกะ หากแต่รัศมีที่เจิดจ้าไปด้วยสีของไฟร้อนนั้น ก็บอกต่อท่านอีกเช่นกันว่าชะตาของดาวดวงนั้นแข็งกล้าเกินกว่าที่ท่านจะขัดขวางไม่ให้เคลื่อนมากล้ำกราย หรืแม้แต่จะผ่อนปรนชะลอหนักให้เป็นเบา ท่านก็ 'ทำไม่ได้'





และแล้ว เวลาสามเดือนถัดจากพิธีเทิดทูนเจ้าฟ้าจ่างก็ย่างกรายมา แม่นางอชินีทราบข่าววุ่นวายในหมู่บ้าน ด้วยว่ามีเสือร้ายออกอาละวาด

แม่นางจึงรีบรุดกลับไปกอบกู้วิกฤติโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเจ้าฟ้าสามี หรือแม้แต่เสียงทักท้วงของพระครูมากวิชา แม่นางไปทั้งที่ล่วงรู้ชะตาว่าต้องไปดับสูญที่นั่น แต่อย่างน้อยก็สุขใจว่าที่นั่นคือ 'บ้านเกิด'

เสียงคำรามของเสือร้ายดังกึกก้องไปทั่วเทือกเขาลี้ลับถิ่นเกิด แม่นางอชินีก้าวปราดเปรียวไปพร้อมกับนักล่าฝีมือฉมังของหมู่บ้าน ในมือกระชับอาวุธมีดทำด้วยเหล็กกล้า ฝักสวยประดับรัตนชาติงดงาม หากแต่ก็ตอกตรึงด้วยมนตรา 'สยบพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์'

"ทางโน้นแม่นาง เราเห็นแล้วเจ้าข้า เราจะนำทางไปก่อน"

นักล่าฝีมือฉมังร้องตะโกนจากพุ่มไม้พลางสาวเท้าว่องไว แม่นางพอได้ยินและเห็นอย่างนั้นก็รีบพุ่งปราดตามไปสมทบกระชั้นชิดปากอิ่มสวยสวดมนตราสยบพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

กระทั่งแลเห็นพวยควันก่อตัวหนาผิดปกติบนยอดเนิน อีกทั้งชัยภูมิรายรอบก็แปรเปลี่ยน แม่นางจึงพลันได้ฉุกคิดว่าผิดวิสัยเสียแล้ว

"หยุด" เสียงตะโกนสะกดฝีเท้าไล่ล่าให้นิ่งกึก พร้อมกับใบหน้ากระตือรือร้นก็เหลียวขวับมารอคำสั่ง "เราตกอยู่กลางวงล้อมของมนตรา" แม่นางเดินมาบอกเบาๆ

"วงล้อมมนตรา" นักล่าหนุ่มวัยฉกรรจ์อีกสามสี่คนที่ล่าถอยมาสมทบอุทานขึ้นพร้อมเพรียง

"มันไม่ใช่เสือธรรมดาแล้ว เราคาดว่ามันต้องเป็นสมิงร้ายที่เชี่ยวชาญมนตรายิ่ง ทุกคนระวังตัวด้วย ทุกฝีก้าวในวงล้อมของมันล้วนอันตรายถึงแก่ชีวิต"

แม่นางบัญชาสำทับพลางย้ายจากตำแหน่งตามหลังมาเป็นนำหน้า ในภาวะล่อแหลมปะทะภัยได้ทุกวินาทีเช่นนี้ ต้องให้แม่นางนำหน้าเท่านั้น

ปากอิ่มเริ่มสวดมนตราขลังอีกครั้ง หากแต่ 'สมิงร้ายพรายไพร' ที่ล่อหลอกศัตรูมาตกหลุมพรางมีหรือจะครั่นคร้าม มันเองก็เลื่องชื่อว่าด้วยอาคมแก่กล้า พิชิตนักล่าที่ลือไปว่าเก่งกาจเป็นหนึ่งมานักต่อนัก ประสาอะไรกับแม่นางอ้อนแอ้นกับผู้ติดตามแค่หยิบมือ

ตาเรียวเขียวหม่นส่องรังสีสยบอยู่ในพุ่มไม้ที่อำพรางด้วยพวยควันมนตรา มันหรี่ลงอย่างกระหยิ่มลำพองยามเห็นว่าเหยื่อค่อยๆ สืบฝีเท้าเข้าใกล้ความตาย ขอเพียงมันตะปบถึงตัวได้ เรื่องฉีกเนื้อควักหัวใจย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

พวยควันหนาเบื้องหน้าลอยปะทะกระแสมนตราแก่กล้าของแม่นางอชินี รัตนชาติบนฝักเปล่งแสงเรืองรองกรีดกระจายกลายเป็นสีรุ้งแล้วลอยคว้างเข้าขวาง แม่นางนึกรู้ด้วยว่าตนก็มีวิชา สองเท้าที่เกือบจะก้าวพลัดลงสู่หลุมมนตร์อำมหิตของสมิงร้ายพรายไพรจึงย่างชะงักแล้วถอยกลับฉับไว

"เกิดอะไรขึ้นหรือแม่นาง" นักล่าคนหนึ่งถาม อีกสี่ก็รายล้อมคุมเชิงปกป้องความปลอดภัยแม่นาง

"ถอยก่อน"

แม่นางบัญชาแล้วย้ายไปตั้งรับในโพรงป่าไผ่แดงก่ำ ร่างอ้อนแอ้นรีบนั่งกลางวงล้อมของนักล่าผู้พิทักษ์ พลางปลดฝักอวดมีดเหล็กกล้าที่ตอกตรึงอาคมแกร่ง

แม่นางตวัดเบาๆ ท่อนแขนก็ปรากฏเลือดไหลเป็นเส้นบาง ควันอาคมลอยคว้างเป็นสีแดงจาง แม่นางปักมีดลงแยกไผ่แดงก่ำท่อนอ่อน แล้วพริ้มตาร่ายมนตราหักล้างกับสมิงชั่ว

"เจ้าช่างเป็นหญิงที่น่าเกรงขามยิ่ง ข้าได้ยินชื่อแม่นางอชินีมานานนักแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้าล่อหลอกเจ้ามา"

"ล่อหลอกเรามาหรือ เจ้าต้องการอะไรจากเราเล่า"

"หัวใจอันแกร่งกล้าของเจ้ายังไงเล่า มันเป็นส่วนประกอบสำคัญของยาอายุวัฒนะที่เราจะปรุงบำเรอตนให้อยู่ยงคงกระพัน เราจะไม่มีวันตาย สมิงพรายไพรจะเป็นอมตะ"

แม่นางรับฟังเสียงคำรามของศัตรูด้วยจิตสะท้าน ตาเรียวทรงอำนาจเผยอมองพวยควันเบื้องหน้า มนตราศักดิ์สิทธิ์พ่นออกไปก็สลายความหนาแน่นลง เผยพุ่มไม้ที่สมิงชั่วซ่อนตน

มันคงนึกไม่ถึงว่าแม่นางจะควานหาเจอ จึงพลันเดือดดาลโผพุ่งออกมาอวดเรือนร่างใหญ่กำยำสีดำมันวาวทั้งตัว หากแต่ประกายตาอำมหิตกลับเปล่งเรืองด้วยสีเขียวหม่นลี้ลับ ใครได้เห็นก็จะรับรู้ได้ถึงพลังอำนาจอันเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัวประหลาด

"กำเริบเสิบสานนัก สมิงชั่วเช่นเจ้าน่ะหรือบังอาจล่อหลอกเรามาเพื่อควักหัวใจไปปรุงยาอายุวัฒนะ เราจะกำจัดเจ้าให้ดับสูญไม่มีวันได้ผุดเกิดเป็นคนในภายหน้าเสียมากกว่า"

แม่นางสะบัดเสียงเกรี้ยวกราดพลางลุกประจันหน้ากับความใหญ่โตระคนกร่างอำนาจของศัตรูพยัคฆ์ มีดเหล็กกล้าตอกตรึงอาคมศักดิ์สิทธิ์กระชับมั่นคงในมือเล็ก

นิ้วนางซ้ายงดงามด้วยแหวนแห่งรักของเจ้าฟ้าจ่าง เรือนแหวนทำจากทองคำแท้ ประดับยอดสง่าด้วยประพาฬเนื้อดีล้อมไพฑูรย์เลอค่าส่องประกายน้ำสีรุ้งพร่างพราย ทุกประกายล้วนคมกริบด้วยถ้อยมนตราที่พรูแผ่วผ่านปากอิ่มของแม่นาง

แล้วทันใดนั้นเอง ก็พลันบังเกิดสายลมกระโชกปัดเป่าพวยควันแตกกระจายฉายวงล้อมกลางพุ่มไผ่มนตรา

เบื้องหลังค่อยเผยหุบเหวลึกเร้นที่ปกคลุมด้วยทะเลหมอกหม่นน่าสะพรึงกลัว ใครสักคนพลาดพลั้งร่วงลงไป ก็เลิกตั้งความหวังกันไปได้เลยว่าจะเจอร่างศพนำกลับขึ้นมาประกอบพิธีส่งดวงวิญญาณไปภพหน้า

นักล่าฝีมือฉมังหกคนตื่นตัวพรักพร้อม ร่างสูงกำยำเคลื่อนขยับปราดเปรียว แยกย้ายเป็นวงตั้งมั่นกักขังแม่นางอชินีไว้ภายใน หากสมิงร้ายพรายไพรมุ่งพิฆาตแม่นาง ก็คงต้องข้ามศพเหล่านักล่าผู้กล้าของหมู่บ้านแม่นางไปก่อน

แน่นอนว่าเจ้า:-)ร่างเวทย์ย่อมไม่อินังขังขอบกับนักล่าสวะ มันย่างฝีเท้าเนิบหนัก ตาเขียวหม่นจดจ้องช่องว่างสำคัญ ครั้นพอเห็นก็ไม่รอช้าแผดเสียงคำรามข่มขวัญแล้วปราดทะยานลอยคว้างกลางอากาศ เป้าหมายที่พลาดไม่ได้คือ 'กระหม่อมแม่นางอชินี'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 10:55:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com