บทที่ 1 Somewhere I Belong
ดวงตะวันสาดแสงสีแดงยามก่อนอัสดง เงารั้วเหล็กขึ้นสนิมทอดยาวจนเกือบทาบทับตัวบ้านหลังใหญ่แต่ทรุดโทรมจนไม่อาจเห็นความงดงาม ในอดีต เสียงสายลมพัดผ่านใบหญ้าเสียงบางเบา
เสียงเครื่องยนต์ดังผ่านความเงียบเริ่มส่งเสียงดังใกล้เข้ามาทุกขณะ เพียงครู่เดียวรถยนต์หรูสีดำสนิทซึ่งปกติไม่เคยพบเห็นได้ในแถบชานเมืองของเมืองเล็กๆในแคนนาดาเช่นนี้ รถยนต์จอดสนิทลงหน้ารั้วเหล็กและบานประตูไม้เก่าแก่ ชายสองคนในชุดสูทสีดำด้านเปิดประตูรถลงมายืนทอดสายตาไปที่ตัวบ้าน
สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรคะ? เสียงดังจากหญิงสาวซึ่งเดินออกมาจากตัวบ้าน
ผมมาพบคุณ กรีนิช ลูกสาวคุณแอนเดอร์สันครับ เสียงตอบจากชายชุดดำตัวสูงกว่าชายอีกคนตอบออกไปเสียงทุ้มต่ำ
เงาหญิงสาวใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนเห็นใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากแดงระเรื่อ ผมหยักศกสีดำเป็นลอนยาวประบ่า แต่สิ่งที่ทำให้ชายทั้งสองสนใจมากที่สุด คงจะเป็นดวงตาสีมรกตของเธอมากกว่า ก่อนจะมีคำตอบออกมาประตูรถด้านหลังก็เปิดออกปรากฎร่างชายหนุ่ม ร่างสูงใหญ่อายุราวสามสิบ ปีผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าคมเข้ม ในตาสีน้ำตาลอ่อน มีเครามองเห็นได้บางๆ แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีอ่อนเกงเกงขายาวสีเข้ม กล่าวตอบออกมาแทนชายชุดดำทั้งสองคน
สวัสดีครับ ผมชื่อ แซ็ก แซ็ก คอลลินด์ ผมมาจากกองทุนคอลลินด์ ที่คุณแอนเดอร์สันคุณพ่อของคุณเคยทำงานอยู่ครับ ชายหนุ่มกล่าวแนะนำตัวอย่างสุภาพ
ถ้าคุณจะมาร่วมพิธีศพคุณพ่อ งานจบไปเมื่อวานแล้วค่ะเราไม่ได้มีพิธีอะไรมาก แค่มีพิธีฝังศพที่โบสถ์เท่านั้นค่ะ หญิงสาวกล่าวด้วยใบหน้าอิดโรยและเศร้าสร้อย
ผมทราบข่าวแล้วครับผมตั้งใจจะมาให้ทันเวลาแต่มีเหตุจำเป็นทำให้ผมไม่สามารถมาได้ครับ ที่ผมมาวันนี้มีเรื่องสำคัญมาขอคุยกับคุณครับ คุณกรีนิช
หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิดแต่มีบางอย่างที่เธอแสดงออกทำให้ทราบได้ว่าเธอไม่ได้อยากคบค้ากับคนแปลกหน้ามากนัก แต่เมื่อมองสายตาชายหนุ่มแล้วเหมือนมีบางอย่างทำให้เธอสงสัยอยากรู้ขึ้นมาทันที
ถ้าเช่นนั้นเชิญในบ้านก่อนค่ะ กรีนิช กล่าวพลางเดินนำเข้าไปในบ้าน
คุณอยู่คนเดียวหรือครับ? แซ็กเอ่ยขึ้นขณะนั่งลงที่โต๊ะรับแขกเก่าแก่
คุณพ่อกับฉันอยู่กันสองคนค่ะ ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่แล้วก็คงต้องนับว่าฉันอยู่คนเดียวค่ะ กรีนิชกล่าวด้วยใบหน้าสงบ
ถ้าเช่นนั้นผมต้องขอรวบรัดเลยนะครับ คือผมมาจากลอนดอนเพื่อขอร้องคุณให้มาร่วมงานกันเราครับ คุณมีพรสวรรค์ที่จำเป็นสำหรับงานใหญที่เรากำลังทำกันอยู่ คุณพ่อคุณเองก็เป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ แซ็กเว้นช่วงพูดไปครู่หนึ่ง
แล้วผมก็ต้องบอกความจริงกับคุณเลยว่าเหตุผลที่คุณพ่อคุณเสียชีวิตก็มาจากงานนี้
คุณพ่อฉันประสพอุบัติเหตุรถยนต์ขณะกลับจากทำงานชั้นรู้เรื่องนั้นดี ไม่ต้องให้คุณมาบอกซ้ำหรอก กรีนิชพูดด้วยอารมณ์เริ่มไม่พอใจแซ็กเท่าไร
ที่คุณทราบนั้นทางเราออกข่าวว่าอย่างนั้นจริง แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นแต่ผมไม่สามารถบอกคุณได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยกเว้นคุณจะตกลงทำงานกับเรา แซ็กพูดพลางมองนาฬิกาบอกเวลาเกือบจะหนึ่งทุ่ม
ข้อเสนอของเราคือ งานใช้เวลาประมาณหกเดือนถ้างานสำเร็จค่าตอบแทนของคุณคือสิบล้านยูโร ส่วนรายละเอียดงานถ้าคุณสนใจเราจะขึ้นเครื่องกลับสำนักงานใหญ่ในลอนดอนสามทุ่มคืนนี้คือในอีกสองชั่วโมง ผมมีเวลาให้คุณตัดสินใจไม่เกินสิบนาทีนี้ ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจผมมีคำพูดคำหนึ่งจะพูดกับคุณ ผมคิดว่าคุณคงจะเคยได้ยินคำนี้จากคุณพ่อของคุณมาบ้าง
ทราเวลเลอร์(Traveler)
กรีนิชตาเบิกกว้าง พลางนึกถึงคำพูดของพ่อที่เธอลืมเลือนไปแล้ว คำพูดพ่อที่บอกเธอบ่อยครั้งก่อนนอนเมื่อเธอยังเด็กก่อนที่พ่อของเธอจะจากไปอยู่มูลนิธิคอลลิน
ลูกเอ๋ยหญิงสาวนักเดินทางผู้มีตาสีมรกตเธอจะออกเดินทางเมื่อ ฤดูใบไม้ร่วงรอบที่สิบเก้าวนมาถึงนะลูกรัก
ผมทำงานกับคุณพ่อคุณมานานมากแล้วผมเคารพในผลงานของเค้ามาก แซ็กเอ่ยออกมาทำให้กรีนิชสติกลับคืนมา
ฉันสนใจงานนี้ คำตอบสั้นๆออกจากปากกรีนิชแต่ในใจเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
บนถนนสายยาวออกนอกกรุงลอนดอน กรีนิชเดินทางถึงคฤหาสน์หรูบนพื้นที่สุดสายตา รถยนต์ที่เธอโดยสารมาด้วย จอดสนิท ณ หน้าบริเวณประตูบ้านเมื่อเธอเปิดประตูลงจากรถก็พบกับ ชายวัยกลางคนออกมายืนต้อนรับ เขาแนะนำตัวว่า
สวัสดีครับ ยินดีที่ได้พบคุณ ผม สตีฟ คอลลินด์
กรีนิชรู้ได้ในทันทีว่าชายคนนี้คือบิดาของแซ็ก และเหนือสิ่งอื่นใดเขาคือเจ้าของสถานที่แห่งนี้และเป็นประธานมูลนิธิคอลลินด์ มูลนิธิใหญ่อันดับต้นๆของโลก
เชิญด้านในก่อนเลยครับ คุณพ่อของคุณสร้างคุณประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นอย่างมาก สตีฟกล่าวพลางเดินผ่านห้องโถงประดับด้วยของโบราณเก่าแก่ แม้กรีนิชไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ก็สามารถรู้ได้ถึงคุณค่าในตัวแต่ละชิ้น
ณ ห้องประชุมประดับด้วยไม้มะฮอกกานีทั่วทั้งห้อง กลางห้องเป็นโต๊ะประชุมทำด้วยไม้แกะสลักรูปเทพธิดา กรีนิช แซ็ก และคุณสตีฟ นั่งลงและกล่าวเชื้อเชิญกันตามมารยาท
คุณสตีฟเริ่มต้นการสนทนาขึ้น
ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจเรื่องของแอนเดอร์สันด้วย เขาเป็นเหมือนครอบครัวของเราดังนั้นคุณเองก็เป็นครอบครัวเดียวกับเรา
และผมเองก็ต้องบอกคุณตามตรงว่าผมทราบเรื่องคุณเป็นทราเวลเลอร์มานานแล้ว แอนเดอร์สันเองก็เป็นทราเวลเลอร์ที่มีฝีมือคนหนึ่ง ส่วนผมกับแซ็กและรีเน่ไม่มีความสามารถนั้นพวกผมเป็นได้เพียงซีกเกอร์(Seeker)เพื่อสนับสนุนพวกคุณเท่านั้น
ในสมองกรีนิชเริ่มปั่นป่วนคำไม่คุ้นหู ไม่เข้าใจความหมายเริ่มทะยอยออกมาเรื่อยๆ จนเธอจับต้นชนปลายไม่ถูก
เอ่อ ขอโทษนะคะที่ต้องเสียมารยาทคุณสตีฟ แต่ดิฉันเคยฟังแต่คุณพ่อท่านพูดว่าทราเวลเลอร์ แต่ไม่เคยรู้ความหมายเลยว่าคืออะไร และโดยเฉพาะคำว่าซีกเกอร์ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ผมต้องขอโทษด้วยที่พูดข้ามหลายอย่างไป ผมจะอธิบายให้คุณรู้จักทราเวลเลอร์ว่าคืออะไรก่อนแล้วค่อยอธิบายสิ่งอื่นๆเมื่อคุณเข้าใจทุกอย่างแล้วเราค่อยมาคุยถึงงานของเรา สตีฟกล่าวพลางสูดลมหายใจยาวก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง
ผมคงต้องเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเรื่อง คุณคงเคยได้ยินมาก่อนว่าสมัยก่อนโลกเราไม่ได้แยกออกเป็นหลายทวีปดังเช่นตอนนี้ ณ เวลานั้นทวีปที่เป็นศูนย์กลางของโลกมีชื่อว่า ทวีปมู ในบางตำนานเขียนถึงทวีปนี้ด้วยชื่อแอตแลนตีส ทวีปที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้ามีพรสวรรค์ในการติดต่อกับจิตวิญญาณของโลก และพรสวรรค์อีกย่างหนึ่งซึ่งในชาวมูเองก็พบได้น้อยและยังมีความแตกต่างด้านคุณสมบัติ นั่นคือ...............การเปิดทางข้ามสู่มิติคู่ขนาน มิติคู่ขนานคือสถานที่ที่เหมือนโลกปรกติทุกอย่างยกเว้นแต่เพียงไม่มีสิ่งมีชีวิตในนั้น ผู้ที่สามารถเปิดสู่มิติคู่ขนานนั้นเราเรียกพวกเขาว่า ทราเวลเลอร์ แต่ความสามารถนี้หาได้ยากยิ่งแม้จะเป็นชาวมูแท้ๆก็ตาม แต่ก็ยังมีความสามารถที่คล้ายคลึงกันนั้นคือสามารถเดินทางในมิติคู่ขนานได้แต่ไม่สามารถเปิดหรือปิดประตูเข้าออกของมิติคู่ขนานนั้นได้ เราเรียกพวกเขาว่า ซีกเกอร์ ซีกเกอร์นั้นจะมองเห็นจุดข้ามมิติเหมือนกับทราเวลเลอร์แต่ไม่สามารถเปิดหรือปิดได้ ถ้านับเป็นอัตราส่วนของซีกเกอร์กับทราเวลเลอร์ น่าจะประมาณ ร้อยต่อหนึ่ง และจุดเด่นของทราเวลเลอร์ทุกคนที่เราพบในปัจจุบันคือดวงตาสีมรกต
แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 00:15:36
แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 00:00:16
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 23:59:11
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 19:16:01