Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จอมใจอเวจี (Psycho Hell).....บทที่ 27 (น้ำตาราตรี) ติดต่อทีมงาน

=================
PSYCHO HELL...จอมใจอเวจี
บทที่ 27...น้ำตาราตรี
:GTW / Psycho Man
=================



บทที่ 26
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12279472/W12279472.html

บทย่อ

ไนท์ นักรบปีศาจพาเฟรี่นางฟ้าตกสวรรค์ เดินทางมาถึง ยอดเขาสื่อสารจนได้
และต้องพากันพักอยู่บนยอดเขาหนึ่งคืน  เพื่อเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น
เวลาแห่งจากลาจากใกล้เข้ามาแล้ว...........


“ตามข้ามาก็แล้วกัน”

ไนท์บอกพลางหันหลังจะออกก้าวเดิน แต่สัญชาตญาณบางอย่างรั้งเท้าไว้ในฉับพลัน หันกลับมามอง


ทันเห็นเฟรี่กำลังล้มคว่ำหน้าลงพอดี



*********



จอมใจอเวจี 27

เป็นเวลาเช้าอากาศสดใส ท้องฟ้าสีขาวกระจ่าง เฟรี่งัวเงียตื่นขึ้นมาจากความฝันเพราะเสียงเครื่องสื่อสารดังกังวานอยู่ข้างหู ถึงมันจะเป็นเสียงไพเราะเสนาะโสตปานใด แต่ตอนนี้กลับทำให้รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก คนกำลังหลับและฝันเพลินๆ แต่ด้วยความอยากรู้ว่าใครติดต่อมาในเช้าของวันหยุดทำงานเช่นนี้ทำให้กลิ้งไปด้วยท่วงท่าแสนขี้เกียจและเอื้อมมือไปยังเครื่องสื่อสาร กดปุ่มตอบรับอย่างเสียไม่ได้

ภาพสามมิติปรากฏขึ้นกลางอากาศในห้องนอน เป็นภาพบุรุษหนุ่มในชุดหรูหราหน้าตาดีหุ่นดีที่สุดคนหนึ่งกำลังยืนถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ ใบหน้าประดับรอยยิ้มนิดๆแบบคนใจเย็นอยู่เสมอ

“แองเจส...”

หญิงสาวล้มตาโพลงเมื่อเห็นชายหนุ่มปรากฏร่างต่อหน้าต่อตา แม้รู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพสามมิติอันเกิดจากเครื่องสื่อสารและเจ้าตัวไม่มีทางมองเห็นสภาพในห้องนี้ แต่ด้วยสัญาชาตญาณของผู้หญิงทำให้รีบคว้าผ้าห่มมาคลุมเรือนร่างซึ่งค่อนข้างล่อแหลมต่อความรู้สึกในชุดนอนเบาบางทันที พลางบ่นดังๆเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน เพราะยังไม่ได้กดปุ่มโต้ตอบออกไปปลายสาย

“คนบ้า.....มาอะไรในตอนนี้....”

บ่นยังไม่ทันจบประโยคอย่างที่อยากบ่นก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเริ่มนึกได้ว่า จริงๆ แล้ววันนี้เป็นวันนัดกันจะไปเที่ยวข้างนอกในช่วงวันหยุดกับคู่หมั้นสุดหล่อ โอกาสที่เขาจะว่างงานหาไม่ได้ง่ายนัก แต่ตัวเองต่างหากกลับเป็นฝ่ายนอนเพลินจนลืมเวลานัด ผู้มาเยือนตอนนี้คงรออยู่หน้าบ้านหรือไม่ก็อยู่ห้องรับแขกแล้วกระมัง เพราะคนในบ้านคงตื่นกันหมดแล้ว

“แย่จังเรา....” ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับตัวเอง ก่อนเลื่อนมือไปกดปุ่มที่สามารถส่งได้เฉพาะสัญญาณเสียงเท่านั้น...เรื่องอะไรจะให้มาเห็นสภาพห้องนอนอันไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก

“แองเจส....” ส่งเสียงทักทายออกไปแบบรู้สึกผิด แต่ก็โล่งใจที่อีกฝ่ายไม่เห็นหน้าคนรู้สึกผิดในตอนนี้

“ตื่นได้แล้วนะเฟรี่ ข้ามารอนานแล้ว”

ภาพสามมิติตัดวูบใปเป็นใบหน้าขนาดใหญ่กำลังยิ้มให้ ประกายตาไม่มีแววต่อว่าหรือหงุดหงิดอะไรกับการรอคอย แถมยังมีเสียงนุ่มบอกต่อไปอีกว่า

“ถ้าเจ้าอยากนอนต่ออีกสักพักก็ได้นะ ข้ารอได้”

หญิงสาวฟังแล้วถอนใจ เพราะความสุภาพอ่อนโยนและเป็นคนใจเย็นเสมอ ทำให้บุรุษผู้นี้ก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอในฐานะคู่หมั้นหมาย ซึ่งกำลังจะวิวาห์กันในไม่ช้านี้

“ข้าตื่นแล้ว รอสักครู่นะ....”

เฟรี่บอกออกไปพลางสลัดผ้าห่มออกอย่างลีลาสวยงามก่อนลุกจากเตียงนอน เดินไปฉวยผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ

แองเจส มาจากตระกูลสูงส่งมีเกียรติมีหน้ามีตาในสังคม ครอบครัวพี่น้องฐานะดี หลายคนอยู่ในสายงานการบริหารปกครอง หลายคนเห็นว่าเหมาะสมกันดีกับเฟรี่นางฟ้าคนงาม ทายาทของตระกูลมั่งคั่งอีกตระกูลหนึ่งในฐานะเท่าเทียมกัน ทั้งสองรู้จักกันหลายปีมาแล้วในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง โดยการแนะนำของญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย สองปีต่อมาการสู่ขอหมั้นหมายก็เกิดขึ้นตามการตั้งข้อสังเกตของวงการ

เดือนก่อนมีเฟรี่ได้รับข่าวสารทางจอภาพข้างผนังเกี่ยวกับการแข่งอวกาศ นั่นเป็นความฝันอย่างหนึ่งของหญิงสาวในการพุ่งยานไปในอวกาศอันดำมืดหากเต็มไปด้วยประกายดารารายแพรวพรายรายรอบทุกด้าน ด้วยเทคโนโลยีอันละเอียดอ่อนก้าวหน้าของดินแดนที่เรียกว่า “เบื้องบน” ทำให้การเดินทางไปในอวกาศเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็น

เธอไม่ต้องทำอะไรกับงานนี้นอกจากบอกไปยังคู่หมั้นหนุ่มเท่านั้น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับในทันที คนแบบนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน ทั้งตามใจเอาใจสารพัดโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ ประกายตาในวงหน้าคมสันก็ไม่เคยปรากฏแววไม่พอใจหรือเก็บกดประการใด ไม่ว่าบางครั้งเธอเคยผิดเวลานัดสำหรับอาหารมื้อเย็นนานเป็นชั่วโมงก็ตาม เมื่อไปตามนัดก็จะพบแองเจสยั่งรอพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นต้อนรับเสมอมา

ก่อนออกเดินทางเฟรี่ไม่ได้ประมาท แม้ดูแล้วจะเป็นคนเอาแต่ใจ หัวดื้อ แต่ก็รอบคอบเสมอ เธอเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ฉุกเฉินเต็มอัตราไว้ในชุดเดินทางสีขาวชุดโปรด แม้กระทั่งระเบิดมหาประลัยขนาดจิ๋วก็เอาติดตัวไปด้วย ทั้งที่คิดว่าจะไม่ได้ใช้ก็ตาม

ก่อนเที่ยงของเวลาแห่งโลกเบื้องบน ยานอวกาศก็นำทั้งสองเข้าสู่บริเวณจุดเริ่มต้นของการแข่งอวกาศ พร้อมกับผู้เข้าแข่งขันหลายสิบลำ ซึ่งลักษณะของยานแต่ละลำก็ผิดแผกแตกต่างกันออกไปตามการออกแบบของผู้สนับสนุน

หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พุ่งไปในอวกาศด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้าไปสู่ชะตากรรมของตนเอง

ช่วงแรกของการเดินทาง การแข่งขันยังไม่ตื่นเต้นมากนักเพราะหนทางยังยาวไกล หลายคนก็มาแข่งขันเพียงเพื่อออกมาหาความสนุกสนานกับการชมอวกาศมากกว่าจะคิดแข่งขันเพื่อชัยชนะเหมือนเป็นการพักผ่อนหย่อนใจมากกว่า มีไม่ถึงครึ่งที่ตั้งใจจะมาคว้าชัยชนะ

แน่นอนว่าเฟรี่ต้องอยู่ในจำพวกหลัง เธอต้องการชนะเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ และคอยกำกับการขับยานอยู่เท่าที่โอกาสจะอำนวยในฐานะตำแหน่งผู้ดูแลเส้นทาง ส่วนคนขับก็ทำหน้าที่ของตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อคว้าชัยชนะมาให้คู่หมั้นสาว

ในบางช่วงของเส้นทางอันห่างไกลจากดวงดาว ยานอวกาศเหมือนลอยนิ่งอยู่กับที่ จะสังเกตความเร็วของยานได้จากหน้าปัทม์บอกความเร็วเท่านั้น

“ดูสิ..” เฟรี่ชี้มือให้คู่หมั้นหนุ่มดูประกายดาวรายรอบทิศทาง

“ดาวพวกนั้นทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราลอยลำอยู่เฉยๆ ทั้งที่ตอนนี้รากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมหาศาล”

“ก็เหมือนกับเรือวิ่งอยู่กลางทะเลที่มองไม่เห็นฝั่งนั่นล่ะ”

แองเจสอธิบาย แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าปัทม์ซึ่งเต็มไปด้วยเข็มและตัวเลขบอกค่าต่างๆเต็มไปหมดอย่างไม่ประมาท เพราะบางทีมีอุกกาบาตเล็กๆ อยู่ในทิศทางของยาน ซึ่งต้องหลบให้พ้น

“ตอนนี้เราอยู่อันดับที่เท่าไรแล้ว”

หญิงสาวถามอย่างสนใจกับการแข่งขัน คู่หมั้นหนุ่มยิ้มพลางตอบด้วยน้ำเสียงไม่กังวลว่า

“ตอนนี้เราอยู่อันดับสี่”

“อะไรกัน..” คนฟังทำตาโตร้องเสียงสูง “แบบนี้เราก็อดเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งน่ะสิ”

“ใจเย็นๆ ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย ยานพวกนั้นนำหน้าไปก็จริง แต่รับรองครึ่งหลังเครื่องยนต์จะร้อนจัด แล้วจะลดความเร็วลงเอง ตอนนั้นล่ะ พวกเราจะใช้โอกาสนั้นแซงนำขึ้นไป เพราะข้าไม่ได้ใช้ความเร็วจนทำให้เกิดความร้อนสูงแบบนั้น”

“แต่ถ้าหากยานพวกนั้นไม่ได้เคื่องยนต์ร้อนอย่างที่คิดล่ะ”

“ข้าก็จะพยายามเต็มที่ อย่างน้อยก็อันดับสามหรือสองล่ะ”

“ไม่เอา...ข้าจะเอาอันดับหนึ่ง”

แองเจสชำเลืองมองคู่หมั้นสาวด้วยหางตาด้วยรอยยิ้มกับอาการเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆนั้น และชี้แจงด้วยน้ำเสียงปลอบใจว่า

“ไม่เป็นไรน่า อันดับหนึ่งสองสามก็ไม่ห่างต่างกันมากนัก อีกอย่างขับยานเร็วเกินไปจะเกิดอันตรายได้นะ”

“ไม่เอา ต้องทีหนึ่งเท่านั้น เร่งความเร็วขึ้นเลย ตามให้ทันลำข้างหน้า”

ว่าพลางชี้มือให้ดูสัญญาณของยานอวกาศลำหนึ่งซึ่งปรากฏให้เห็นบนจอภาพบริเวณหน้าปัทม์

“ข้าว่าใจเย็นๆดีกว่า...”

“ไม่เอา....ข้าใจร้อน รีบตามไปเลย”

เรียกว่าพูดยังไม่ทันจบ เฟรี่ก็แย้งขึ้นมากลางปล้อง คู่หมั้นหนุ่มได้แต่ยิ้มทั้งที่แววตาเริ่มปรากฏความกังวล ไม่ได้กังวลตัวเองมากไปกว่านางฟ้าแสนสวยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ รู้ว่าถึงจะอธิบายอย่างไรคงไม่ยอมฟัง ดังนั้นได้แต่เพิ่มความเร็วขึ้นทีละน้อยเท่าที่จะทำได้

“เร่งความเร็วขึ้นหรือยัง”

เฟรี่ถามขณะสายตาจับจ้องอยู่แฝงหน้าปัทม์ต่างๆอย่างสนใจ

“ข้ากำลังทำอยู่”

“เอ๊ะ...ทำไมความเร็วมันเพิ่มขึ้นทีละนิดๆๆๆ เท่านั้น นี่ๆๆ จะแกล้งตบตาข้าไม่ใช่ไหม ไม่เอา...ต้องเร็วมากกว่านี้”

มีการรู้ทันอีก....เรื่องจะหลอกนางฟ้าคนนี้ง่ายๆ เห็นจะไม่มีหวัง เพราะถึงจะดื้อจะเอาแต่ใจ แต่ฉลาดเป็นกรด ไม่มีทางตบตาได้ง่ายๆ ดังนั้นแองเจสจึงได้แต่ยอมเพิ่มความเร็วขึ้นในทันใจคู่หมั้นสาว  ซึ่งเห็นแล้วก็ยิ้มด้วยความดีใจ

ในที่สุดยานของแองเจสก็มาอยู่อันดับที่สาม เพียงแซงยานซึ่งนำหน้าไปอีกสองลำก็จะเป็นฝ่ายชนะ แต่ดูเหมือนคู่แข่งของเขาจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นง่ายๆ  เบื้องหน้าจึงเห็นเพียงประกายไฟจากด้านท้ายของยานโฉบเฉี่ยวไปมาระหว่างก้อนอุกกาบาตใหญ่น้อยและดาวเคราะห์เล็กๆ อย่างคล่องแคล่ว  ส่วนคู่แข่งรายอื่นๆ ตามมาในระยะห่างจนไม่น่าจะต้องกังวล


“เร็วๆหน่อยสิ จะทันแล้ว”

“ใจเย็นๆ เฟรี่”

คู่หมั้นหนุ่มบอกโดยไม่หันมามองคนรักซึ่งมีสีหน้ารบเร้าให้เพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก สิ่งที่หญิงสาวต้องการคือจะต้องเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น เธอไม่ได้ต้องการรางวัล แต่ต้องการเป็นผู้ชนะหนึ่งเดียว

“ใกล้จะเข้าเส้นชัยแล้ว แบบนี้เราก็ได้ที่สามน่ะสิ”

“ยังมีเวลาอีกน่า ใจเย็น ๆ ..เดี๋ยวข้ากะว่าจะแซงในโค้งมิติสุดท้ายแล้ว”

แฝงหน้าปัดบอกความเร็วใกล้ความเร็วแสง เขากำลังจะวาร์ปเข้าสู่ความโค้งของอวกาศสุดท้าย พอผ่านกลุ่มดาวสุดท้ายไปก็จะเข้าเส้นชัย เวลาและระยะทางเหลือไม่มาก แต่เขายังรั้งอันดับสาม และเสียงรบเร้าของหญิงสาวแสนสวยข้าง ๆ ก็ทำให้สมาธิไม่เต็มที่

“ไม่ได้ที่หนึ่งข้าไม่ยอมด้วย จะงอนแล้วนะอย่าหาว่าไม่บอก”

ฟังแล้วใจหายวาบ ไหนจะพะวงกับการขับแข่ง ไหนจะผวากับคำขู่งอนมหาวินาศของสาวคู่หมั้น ทำให้เกือบไม่ทันสังเกตอุกกบาบาตก้อนใหญ่เบื้องหน้าราวกับเป็นขุนเขามหึมาในห้วงอวกาศ

แองเจสใจหายวาบบิดคันบังคับหลบสุดชีวิต ปีกของยานเฉี่ยวชนภูเขาอวกาศจนเกิดประกายไฟแตกวาบก่อนยานจะเสียศูนย์หมุนคว้างด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ระบบอัตโนมัติของยานทำงานทันที ดีดยานชูชีพออกไปจากตัวยานก่อนจะพุ่งเข้าชนกับดาวเคราะห์น้อยอีกดวงจนระเบิดเป็นจุลและเป็นเวลาเดียวกับยานเข้าสู่ความเร็วแสงพอดี ทั้งการอวกาศและเวลาเกิดการบิดเบี้ยวทับซ้อนกันในสมการอันยากต่อการคำนวณและเข้าใจ

หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียงทุอย่างหมุนคว้างไม่รู้เหนือใต้บนล่าง ระบบป้องกันของยานแยกคนทั้งสองเข้ามาในยานชูชีพของใครของมันก่อนยิงออกไปในกาลอวกาศอย่างไร้ทิศทางและไร้การควบคุม

***********

เฟรี่ผวาขึ้นมาพร้อมด้วยอาการตัวสั่นใจสั่นและเหงื่อท่วมตัวทั้งที่อากาศตอนนี้ค่อนข้างเย็น

ความรู้สึกทั้งมึนงงทั้งสับสน ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มรู้ตัวว่านั่นเป็นเพียงความฝัน...ความฝันอันมาจากความเป็นจริง..ความจริงอันน่ากลัว ฉากอุบัติเหตุในอวกาศถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกและสะท้อนออกมาทางความฝันยามร่างกายจิตใจอ่อนแอ

“เฟรี่..เป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงคุ้นๆแว่วมาเหมือนมาจากดินแดนแสนไกล

ความทรงจำปัจจุบันกลับคืนทีละน้อย และเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ที่ไหน...ยอดเขาสื่อสาร....แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ

เริ่มมองหาและรู้สึกตัวว่ากำลังนั่งอยู่บนเตียง และนั่น.......ผู้นำทางคนสำคัญกำลังยืนอยู่ข้างเตียงใกล้ๆนี่เอง ท่าทางเหมือนจะยืนเฝ้ามานานแล้วด้วย

“ข้าเป็นอะไรไป”

หญิงสาวยหมือกุมศีรษะตัวเอง หลับตาลงอีกครั้ง แล้วนี่มาอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไร ทำไมนึกไม่ออกเอาเสียเลย

“เจ้าหมดสติไปตอนอยู่ชั้นล่าง”  ไนท์เหมือนจะเดาใจถูก จึงอธิบายเหตุการณ์ให้ฟังแบบสั้นๆ

“หา..หมดสติ”

“ใช่..จู่ๆเจ้าก็วูบไปเฉยๆ ข้าจึงต้องอุ้มเจ้าขึ้นมาบนห้องนี่ล่ะ”

“อุ้มข้าขึ้นมา...”

อุทานแล้วรีบสำรวจตัวเอง กลัวโดนถูกจับไปอาบน้ำตอนหมดสติ แต่เห็นว่าทุกอย่างปกติก็ลอบถอนลมหายใจอย่างโล่งอกโล่งใจ

“ก็จะได้ทำยังไงล่ะ เจ้าหมดสติแบบนั้น คงปล่อยทิ้งไว้ข้างล่างคนเดียวไม่ได้”
เฟรี่ฟังแล้วได่แต่ฝืนยิ้มก้มหน้าพูดเสียงอ่อยๆว่า

“ข้านี่ไม่ไหวเอาเสียเลย เป็นอะไรก็ไม่รู้..วันหน้าถ้าข้าหมดสติไม่รู้ตัวแบบนี้อีก เจ้าก็ทิ้งข้าไปได้เลยนะ ถือเสียว่าสัญญาที่ให้ไว้เป็นโฆษะก็แล้วกัน ถ้าข้าหมดสติไปอีก”

“พูดบ้าๆ ข้าจะทิ้งเจ้าไปได้ไง”

“อ้าว..ก็เจ้ามักคิดเสมอว่าข้าเป็นตัวถ่วงเป็นภาระยุ่งยาก อยากจะส่งๆให้หมดเรื่องหมดราวไปให้เสียพ้นๆ ไม่ใช่หรือ นี่เป็นโอกาสทองแล้วนะจะบอกให้ ข้าอุตส่าห์เสนอเงื่อนไขที่ดีให้ ยังจะมาโยกโย้ยักย้ายอีก”

คำพูดแบบนี้ฟังจนชิน แต่ครั้งนี้นำเสียงของนางฟ้าตกสวรรค์กลับไม่ได้มีแวว”พาลเกเร”เหมือนปกติวิสัย ท่าทางก็เนือยๆมากกว่าจะเป็นการชวนทะเลาะ ทำให้ปีศาจหนุ่มมองอย่างประหลาดใจ...  จะมาอารมณ์ไหนกันอีก นางฟ้าคนงามเจ้าปัญหาคนนี้

“ทำแบบนั้นข้าก็อดได้ค่าจ้างสิ” ปีศาจหนุ่มไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น และบอกเหตุผลต่อไปว่า

“ถ้าข้าทิ้งเจ้าให้ตาย ข้าก็ไม่สามารถไปรับรางวัลค่าจ้างในการพาเจ้ากลับได้”

“อะไรนะ...”เฟรี่มองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “รับค่าจ้างรางวัลอะไรจากใคร”

“ก็รับรางวัลค่าจ้างจากคนรักของเจ้าไงล่ะ เมื่อส่งเจ้ากับมือเขาแล้ว ข้าก็จะขอค่าจ้างรางวัลในการลำบากลำบนพาเจ้าไปส่ง รายนั้นคงไม่ใจดำใจจืดหรอกนะ ได้คนรักกลับคืนมาแล้วต้องใจกว้างให้ตามที่ข้าเรียกร้องแน่นอน..งานนี้รวยเละ”

“เจ้าคิดแบบนี้จริงๆหรือ”

“ก็จริงน่ะสิ”

เฟรี่แยกเขี้ยว หันซ้ายหันขวาหาอาวุธที่พอจะทำร้ายร่างกายคนเห็นแก่รางวัลค่าจ้าง แต่ไม่พบอะไรเหมาะมือ สุดท้ายเลยใช้วิชาเล็บนางฟ้าหยิกแขนของคู่กรณีซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างแบบเต็มกำลังและเกาะติดสถานการณ์ไม่ยอมปล่อย ตั้งใจให้คนถูกหยิกมหากาฬเป็นฝ่ายออกปากขอร้องให้ปล่อย โดยลืมนึกไปว่า นั่นเป็นนักรบปีศาจ มีหรือจะสะทกสะท้านกับกรงเล็บมือนางแค่นี้ กรงเล็บเหล็กพิฆาตของหญิงสาวไม่ได้ทำให้ไนท์มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด ทั้งที่ถูกบิดแกมหยิกจนเนื้อเขียว

เฟรี่เงยหน้าขึ้นมอง แล้วรีบดึงมือกลับ รังแกคนไม่สู้แบบนี้ไม่สนุก ถ้าเป็นแองเจสเจอแบบนี้ต้องร้องเสียงลั่นไปแล้ว นี่คนอะไร....

“ปีศาจเห็นแก่ได้”

ในที่สุดต้องหันมาใช้วิธีใหม่ โดยใช้คำพูดแทนการใช้กำลัง

“ของมันแน่อยู่แล้ว”

นั่น....มีการรับหน้าตาเฉย ฟังแล้วอยากกรี๊ด..ออกมาดังๆ และไม่อยากยุ่งอะไรด้วยอีกแล้ว สุดท้ายล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมตัวนอนหันหลังให้และเงียบเฉย

พักหนึ่งได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องพูดขึ้นว่า

“ที่จริงข้าควรไปตามหาหมอมาดูอาการของเจ้า แต่แถวนี้ไม่มีหมอที่ไหน กลับไปค่อยให้เทพธิดาบอดตรวจดู”

“ไม่ต้องก็ได้” อดที่จะต่อปากต่อคำไม่ได้ “ เดี๋ยวก็กลับเบื้องบนแล้ว ไปให้หมอบนนั้นตรวจให้ก็ได้”

“ถ้าเจ้ารอดไปได้นะ”

“ทำไมจะรอดไปไม่ได้”

“ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะเกิดอาการแบบนี้อีกตอนไหน....อีกอย่างเจ้าก็เคยบอกว่าแพทย์เบื้องบนยังรักษาเจ้าไม่หายเลย ทำไมไม่ลองให้เทพธิดาบอดตรวจดูบ้าง ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ นางเป็นคนเก่งเกินกว่าเจ้าจะเข้าใจ”

“ไม่”

ทำไมล่ะ”

“ไม่”

“ดื้อชะมัด...งั้นอยู่ในห้องนี่คนเดียวเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก พรุ่งนี้จะกลับมารับกลับ”

ว่าพลางหันหลังให้แล้วทำท่าจะเดินออกจากห้อง เฟรี่รีบลุกขึ้นนั่งมองตามแล้วร้องเสียงดังว่า

“อะไร..จะปล่อยข้าไว้คนเดียวแบบนี้ได้ไง”

ไนท์ชะงัก หากยังไม่ยอมหันมามอง ได้แต่พูดว่า

“ก็เจ้าอยากดื้อทำไม”

“อะไร..ข้าดื้อตอนไหน”

ฟังแล้วอยากจะเอาหัวโขกผนังกับคนดื้อที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองดื้อ แต่น้ำเสียงอ่อยๆแบบนั้นล่ะ ทำให้ใจอ่อนดีนัก

“ถ้าจะไปข้าไปด้วย”

คนเฟิ่งได้สติมาหยกๆก็อยากออกไปเดินเล่นอีกแล้ว ปีศาจหนุ่มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ รีบหันกลับมาทำเสียงดุและทันเห็นอีกฝ่ายกระโดดลงจากเตียงพอดี

“ไม่ต้องเลย กลับขึ้นไปนอนบนเตียง”

“ไม่...เรื่องอะไร ทีเจ้ายังจะออกไปเดินเล่นได้”

“ตกลงๆ..ข้าไม่ไปแล้วก็ได้”

เฟรี่ฟังแล้วเงียบยืนทำตาปริบๆ ใบหน้ายังมีแววซีดเซียวแสดงถึงว่าร่างกายยังไม่ปกติดีนัก แบบนี้ใครจะกล้าพาออกไปเดินเล่น






*******

แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 15:14:15

จากคุณ : GTW
เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 15:00:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com