Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๑๐ : เดินทาง...สู่แผ่นดินใหม่ ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๐ : เดินทาง...สู่แผ่นดินใหม่


ชายหนุ่มเดินเข้ามาทางหลังเรือนซึ่งเป็นลานกว้าง มีคนสาละวนทำงานของตนเองกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของลานแห่งนั้น เขาเหลียวซ้าายแลขวาหาคนที่ต้องการพบไม่เจอ ก็หันไปถามชายกลางคนคนหนึ่งที่ยืนร่อนทรายอยู่ข้างๆ ชายคนนั้นชี้มือไปทางกระท่อมที่มีตุ่มเรียงรายอยู่โดยรอบ ก็เห็นชายผมเริ่มเป็นสีดอกเลายืนหันหลังให้เขา ดูคนงานเทดินลงในตุ่ม จึงหันไปขอบคุณแล้วเดินก้าวยาวๆ เข้าไปหาทันที

“พ่อ พ่อทำกระไรอยู่ ไยจึงใจเย็นอยู่ได้ คนอื่นๆ เขามาแจ้งชื่อแล้วนะว่าใครจักไปด้วยเจ้าหญิงจามเทวีบ้าง แต่เรือนเรายังไม่ระบุตัวเลยว่าจักส่งผู้ใดไป”
\
ชายที่ได้รับการเรียกขานว่าพ่อ หันหน้ามามองลูกชายที่ยืนหน้าชุ่มด้วยเหงื่อพลางถามด้วยเสียงแปลกใจแกมร้อนใจ เขาตวัดสายตามองดาบในมือลูกแล้วก็หัวเราะหึๆ

“วิ่งมาจากวังหลวงเทียวรึ พ่ออศิระ”

“โธ่! พ่อ ยังจักมาหัวเราะข้าอีก วันพรุ่งวันสุดท้ายแล้วนะ ซ้ำเหลือเรือนเราเป็นเรือนสุดท้ายด้วย พ่อยังใจเย็นไม่ไปลงชื่อรึ”

อศิระไม่สนุกด้วย เขาทำหน้ามุ่ยพลางยกมือขึ้นเกาหัวอย่างขัดใจเต็มแก่ พ่อของเขาแก่จนเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไรว่าเป็นหนึ่งในช่างหล่อกลุ่มแรกที่ต้องติดตามเจ้าหญิงจามเทวีขึ้นไปเมืองเหนือ      

“แล้วไยเจ้าคิดว่าพ่อต้องไปเล่า พ่ออยู่หัวท่านให้ตระกูลช่างหล่อไป มิได้เจาะจงว่าเป็นพ่อสักหน่อย”

กัมพูบอกกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี ก่อนเดินนำลูกชายออกมาจากบริเวณที่คนงานกำลังแช่ดินเพื่อนำมาปั้นเป็นพระพุทธรูป อศิระเดินตาม สีหน้ายังยุ่งยากใจไม่หาย ผู้เป็นพ่อเห็นเข้าก็บอกเสียงขรึมลง

“พ่อจักไปได้อย่างไร แม่เจ้าน้องเจ้าก็อยู่ที่นี่ อีกอย่างจากลวปุระไปเมืองเหนือก็ไกลนัก เอาคนแก่อย่างพ่อไปรังแต่จักเป็นภาระเปล่าๆ”

“อ้าว! ตระกูลเรานอกจากพ่อแม่แล้วก็มีข้ากับเจ้านิลเท่านั้น แต่เจ้านิลมันก็เพิ่งจักเรียนรู้การหล่อได้ไม่เท่าไรเลย”

“ก็ใครว่าพ่อจะส่งนิลไปเล่า น้องเจ้าก็ต้องอยู่ช่วยพ่อที่นี่ เจ้านั่นล่ะอศิระเหมาะสมที่สุด”

“พ่อ” หัวหมู่หนุ่มทำเสียงสูง “ข้าจักไปได้อย่างไร ข้าต้องอยู่ที่ลวปุระกับพระมหาอุปราชท่านนะพ่อ”

“แล้วเจ้าหล่อพระเป็นฤๅไม่เล่า” กัมพูย้อนถามเสียงเรียบ ทำเอาลูกชายเถียงไม่ออก “ฝีมือหล่อพระของเจ้าก็ใช่จักอ่อนด้อยเสียเมื่อใด เสียแต่เจ้ามันนอกคอกชอบการสู้รบ ไม่ชอบอยู่เฉย ต้องออกท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดิน ไม่รู้เหมือนใคร”

“จักเหมือนใครเล่าท่านพี่ ก็เหมือนท่านทวดของเขานั่นล่ะ ท่านชอบค้าขาย ชอบพบปะผู้คน”

เสียงหนึ่งตอบมาแทนจากซุ้มไม้ข้างทางซึ่งเป็นทางตัดเข้าสวนดอกไม้เล็กๆ เจ้าของเสียงเป็นหญิงวัยกลางคนเดินนำบ่าวที่ถือขันไม้บรรจุดอกไม้หอมมาเต็ม นางพยักหน้าให้บ่าวแยกขึ้นเรือนไปก่อน

“มาแต่เมื่อใดนั่น มุกดา”

“มาเมื่อครู่ ยินพ่อลูกถกเถียงกันให้ลั่น ข้าคิดว่าท่านพี่บอกลูกแล้วเสียอีก”

มุกดาตอบแล้วมองไปทางลูกชายคนโตที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ เพราะถ้าแม่พูดแบบนี้ก็หมายความว่ามีเขาคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เหมือนมุกดาจะรู้ความคิดลูกจึงบอกว่า

“เจ้าจักรู้อันใดอศิระ ว่างจากงานหล่อเมื่อใดเจ้าก็แล่นเข้าวัง ยิ่งเพลานี้ติดพันพี่เลี้ยงเจ้าหญิงจามเทวีด้วยแล้ว แทบไม่เห็นหน้า”

อีกครั้งที่อศิระเถียงไม่ออกกับความจริงที่ผู้เป็นแม่พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ กัมพูยิ้มนิดๆ ก่อนหันไปถามภรรยา

“เมื่อครู่เจ้าว่าอศิระเหมือนท่านปู่รึ”

“ใช่ พ่อข้าเคยเล่าว่าท่านเป็นพ่อค้าคหบดีอยู่ที่นครชัยศรี ที่พ่อย้ายมาลงหลักปักฐานที่นี่ก็เพราะแม่ข้า แล้วก็...เกิดโรคระบาดในหมู่บ้าน น้องสาวของท่าน ข้าหมายถึงน้ามณีก็ตายในคราวนั้น ท่านพูดแค่นี้แล้วก็ไม่เอ่ยถึงอีกเลย นอกจากอาหยกที่ย้ายไปอยู่เชลียงแล้ว ข้าก็ไม่เห็นใครไปมาหาสู่ท่านอีกเลย เหมือนท่านจักกลบฝังความทรงจำทุกอย่างไว้ที่นครชัยศรีนั่น”

กัมพูเพิ่งรู้ว่าตระกูลของภรรยาเป็นพ่อค้าเก่าก็วันนี้เอง ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้านิสัยไม่ชอบอยู่ที่ใดนานๆ ของลูกชายคนโตก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว เว้นแต่เรื่องรบทัพจับศึกนี่แหละที่นอกคอกไม่รู้เอามาจากใครกันแน่ อศิระถอนใจบางๆ ปัญหาหนักอกของเขาไม่ใช่อยู่ที่ว่าเขาเหมือนท่านตาโมราหรือท่านทวด แต่เป็นเรื่องที่เขาต้องแจ้งแก่นายของเขาโดยแท้

“หนักใจอันใดอีกเจ้าเพชร” นานครั้งหรอกที่มุกดาจะเรียกชื่อเล่นของลูกชาย “เจ้าเคยว่าพระมหาอุปราชท่านใจดีไม่ใช่รึ ชี้แจงท่านดีๆ ท่านคงไม่ว่ากระไรกระมัง”

“แม่ก็พูดง่ายแท้” อศิระบ่นอุบ

“เช่นนั้นหมายว่าเจ้าจักยอมแห้งเหี่ยวอยู่เรือนซิ คิดดูให้ดีนาเจ้าเพชร ตามเจ้าหญิงจามเทวีไปในฐานะช่างหล่อ เจ้าก็จักได้อยู่ใกล้เกษวดีด้วย ไม่ต้องเหงาอยู่ดายเดียว โอกาสมาถึงแล้ว อย่าปล่อยให้สายเกินไปเลย”  

มุกดาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานขึ้น ความจริงนางก็ไม่อยากให้ลูกชายพลัดหูพลัดตาไปไกลหรอก แต่เพราะเรื่องน้ามณีที่เคยได้ยินพ่อเล่าให้ฟังมาตั้งแต่เด็ก เรื่องที่โมราเก็บงำความมาแสนนาน กระทั่งมีมุกดาเป็นลูกหลง เค้าหน้าประพิมประพายคล้ายน้องสาวที่เสียไปทำให้โมรารักลูกคนนี้มากกว่าคนอื่นๆ  และความเป็นลูกคนเล็กที่ช่างสงสัยช่างเจรจานี่เองที่ทำให้โมราเล่าเรื่องต่างๆ ให้ลูกสาวคนโปรดฟัง มุกดาจึงไม่อยากให้ลูกชายต้องมาประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกคน และชื่ออศิระที่โมราตั้งให้หลานก็เพื่อระลึกถึงเพื่อนรักคนนั้น เพื่อนที่จวนเจียนจะได้เป็นคนในครัวเดียวกัน ขณะที่อศิระนิ่งไปอย่างครุ่นคิด นี่ก็นาย นั่นก็ครอบครัว และโน่นก็คนรัก จะเลือกอะไรดีหนอ      



หีบใหญ่หลายหีบวางเรียงซ้อนกันอยู่ในโถงกลางอย่างพร้อมที่จะเคลื่อนย้าย แต่ที่ยังเปิดอ้าอยู่ก็มีไม่น้อย เพลานี้นางข้าหลวงต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อเก็บข้าวของลงในหีบให้ทันกับเพลาที่กระชั้นเข้ามาทุกที นางข้าหลวงคนสนิทรวมตัวกันอยู่มุมห้องด้านหนึ่งเกือบครบคน ขาดไปก็แต่จันทรีที่บอกว่ามีการสำคัญ จะตามมาสมทบในตอนพลบเท่านั้น ขณะที่ผู้เป็นนายนั่งพับผ้าบรรจุลงหีบอยู่กลางห้อง เจ้าชายรามราชเพิ่งเสร็จจากข้อราชการมาเห็นภาพตรงหน้าก็ตันในอก แม้ที่ผ่านมาจะเพียรหลอกตนเองว่าชายามิได้จากไปไหนไกล เป็นแต่เพียงย้ายไปอยู่รามนครเพียงชั่วคราว แต่พอกลับเรือนมาคราวใด ความจริงที่อยู่ตรงหน้าก็นำพาความเจ็บปวดมาให้ไม่น้อย ร่างสูงเดินฝ่ากองข้าวของและหลบบรรดานางข้าหลวงเข้ามานั่งลงเคียงข้างชายา ดาบในมือวางไว้บนตั่งใกล้ๆ แล้วหยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาพับ เจ้าหญิงจามเทวีเห็นเข้าก็ปรามเสียงเบา

“เจ้าพี่ ไม่ต้องเจ้าค่ะ น้องทำเอง”

“ให้พี่ช่วย จักได้เสร็จเร็วๆ”

คนถูกห้ามไม่ฟังเสียง จัดการพับผ้าในมืออย่างรวดเร็วแต่เรียบร้อย ไม่นำพาสักนิดว่าเป็นผ้านุ่งของชายา

“อยากให้น้องไปเร็วๆ มากกว่ากระมังเจ้าคะ”

“ตรงข้าม หากยืดเพลาออกไปได้ก็จักยืดยาวออกไปให้มากที่สุด”

เจ้าชายรามราชตอบพลางหยิบผ้าอีกผืนขึ้นมาพับ เจ้าหญิงจามเทวีถอนใจบางๆ พลางรำพึงเสียงเบา

“หากน้องคืนสัจจาเสียเพลานี้ ครูท่าน พ่อท่านจักว่าประการใดหนอ”

คราวนี้ผู้เป็นบดีวางผ้าในมือลงทันที สายตาที่เคยมองชายาด้วยแววอันอ่อนโยนเสมอมากลับแปรเป็นแววดุดัน แม้น้ำเสียงก็ยังแปรเปลี่ยนเป็นสั้นและห้วนนัก จนเจ้าหญิงจามเทวีเห็นแล้วก็รีบหลุบตาลงต่ำไม่กล้าต่อสายตาด้วย

“ไม่ต้องถึงท่านทั้งสอง แม้พี่ที่ได้ยินก็ยังโกรธ เป็นกษัตริย์ลั่นสัจจาแล้วคืนกลับได้ฤๅ ใครสอนสั่งกัน เจ้าหญิงจามเทวี”

“น้องแค่รำพึง ไม่คิดทำจริงๆ นี่เจ้าคะ” ชายาตอบเสียงอ่อนอ่อยเต็มที

“พูดเล่นหรือรำพึงก็ไม่ได้ ฉวยคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่พี่เล่า เขาจักว่าเอาได้ ว่านี่หรือลวะรัตน์เทวีที่ราษฎรเรียกขาน แท้จริงก็ไม่ต่างจากสตรีอื่นใดเลยสักนิด หยุด! อย่าเพิ่งเถียงพี่” เจ้าชายรามราชปรามเสียงเบาแต่ดุ เมื่อเห็นชายาตั้งท่าจะเถียงกลับ “ฟังพี่ คนลวปุระเขาเรียกน้องว่านางแก้วแห่งลวปุระ นั่นเพราะเขารักและชื่นชมในตัวน้องยิ่ง มีบ้านใดเมืองใดบ้างที่เจ้าหญิงเล็กๆ จะเดินทางไกลแล้วราษฎรเขามาขัดขวางเช่นไม่กี่วันที่ผ่านมา ซ้ำเมื่อบอกเหตุผลแล้ว พวกเขาก็อนุโมทนาสาธุให้ ถ้าน้องคืนสัจจาจริง พวกเขาจักคิดเช่นไร พี่พูดเช่นนี้แล้ว หวังใจว่าน้องคงรู้ว่าสิ่งใดที่ควรประพฤติ  อย่าให้พี่ได้ยินน้องพูดเยี่ยงนี้อีก”

“นางแก้ว ลวะรัตน์เทวี”  

เจ้าหญิงจามเทวีทวนคำ ใจหนึ่งยินดีที่ราษฎรเรียกขานเช่นนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็อดหม่นเศร้ามิได้ นางแก้วที่ไม่มีโอกาสเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นฤๅ หากเป็นเช่นนี้เป็นสตรีธรรมดามิดีกว่าฤๅ มหาอุปราชลวปุระมองชายาที่นั่งก้มหน้านิ่งก็พอเข้าใจ ยิ่งใกล้เพลาเดินทางเข้ามา ต่อให้คนที่มีกำลังกายกำลังใจเข้มแข็งสักเพียงใด ก็ต้องมีบางคาบคราที่ต้องไหวเอนคิดลังเลกับการตัดสินใจของตนอยู่บ้าง อาจจะมีบางคราที่ตัดพ้อต่อชะตาของตนเอง เจ้าหญิงจามเทวีเองก็ไม่สามารถหนีความรู้สึกนี้พ้นเช่นกัน เจ้าชายรามราชรู้ดีเพราะตนเองก็เคยนึกอยากจับตัวชายาไปซ่อนไว้ในที่ที่คนตามไปไม่ถึงเช่นกัน แต่ก็เพียงแค่คิดเท่านั้นไม่กล้าลงมือทำจริง ถึงจะเห็นใจชายา แต่เจ้าชายรามราชก็ไม่ยอมให้ชายาต้องจมอยู่กับความรู้สึกนี้มากไปกว่านี้อีก มือใหญ่เอื้อมมาบีบมือนางเบาๆ พลางบอกด้วยเสียงที่ทอดอ่อนเช่นเจ้าชายรามราชคนเดิม  

“ฟังพี่นะ เจ้าจามเทวี ครั้งที่พี่ยังเป็นเจ้าชายเล็กๆ เคยคุมกองเกวียนไปค้าขายนั้น พี่เคยได้ยินพ่อค้าชมพูทวีปที่เข้ามาค้าขายพูดเรื่องคติจักรพรรดิราช เขาบอกว่าคนที่จักเป็นจักรพรรดิราชนั้นมีรัตนะเจ็ดดวงเป็นคู่บารมี และหนึ่งในสมบัติจักรพรรดิราชนั้นคืออิตถีรัตนะ นางแก้วคู่พระทัยของพระจักรพรรดิ ทว่าในสายตาพี่แล้ว น้องไม่ได้เป็นแค่นางแก้วที่จักอยู่เป็นสมบัติจักรพรรดิราช แต่เป็นมากกว่านั้น คือเป็นรัตนราชเทวีที่อยู่เหนือยิ่งบุรุษใด"

เจ้าหญิงจามเทวีมองสบตาบดีนิ่งงัน ความรู้สึกอย่างหนึ่งค่อยเพิ่มพูนขึ้นในหัวใจดวงน้อย เป็นความรู้สึกที่เจ้าตัวก็บอกชัดไม่ได้ว่าคืออะไรแน่ ยังไม่ทันที่นางจะตอบความว่าอย่างไร สิงห์ก็เคาะประตูเป็นสัญญาณเรียกผู้เป็นนายเสียก่อน พร้อมกับที่ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ารอที่หน้าประตูนั่นเอง เจ้าชายรามราชหันไปมองพลางร้องถามอย่างแปลกใจ

“มีกระไรรึสิงห์ วันนี้ถึงขึ้นมาบนนี้ได้”

“อศิระมาขอพบท่านมหาอุปราช เห็นว่ามีเรื่องจักขอร้อง”

“เรื่องอันใด” เจ้าชายรามราชขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนหันไปบอกชายา “ประเดี๋ยวพี่จักมาช่วยน้องต่อ เพลานี้ขอตัวสักชั่วสักยามเถิด”

ชายายิ้มรับแทนคำอนุญาต มหาอุปราชลวปุระจึงลุกขึ้นเดินก้าวยาวๆ ไปหาสหายสนิท พูดจากันอยู่สองสามคำก็เดินลับหายลงเรือนไป เจ้าหญิงจามเทวีหันมาทางพี่เลี้ยง ก็สบตาเข้ากับปทุมวดีและมธุที่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมบุ้ยใบ้ให้นายสาวดูท่าทางของนางข้าหลวงที่ขึ้นชื่อว่าดุและเจ้าระเบียบที่สุด พอเหลียวดูจึงเห็นเกษวดีมองตามสองหนุ่มไปโดยไม่รู้ตัว คนมองถึงกับอมยิ้ม พี่เกษวดีหนอพี่เกษวดี ต่อหน้าอศิระก็ว่าไม่ชอบและต่อว่าต่อขายอย่างไม่ไว้หน้า ทำทีเป็นว่ารำคาญใจเสียเหลือเกินที่เจ้าหัวหมู่คนซื่อตามมาตอแย แล้วนี่กระไร แค่ได้ยินชื่อเข้าหน่อยก็ชะเง้อคอมองตามเทียว เจ้าหญิงจามเทวีจึงอดเย้าทั้งรอยยิ้มมิได้

“พี่เกษวดี ตามไปก็ได้นะ อย่ามัวชะเง้อคออยู่เลย”

เกษวดีหน้าแดงก่ำที่ถูกจับได้ ยิ่งถูกคนอื่นๆ ยิ้มแล้วมองมาเจ้าตัวก็ทำหน้าไม่ถูก รีบก้มลงทำงานในมือของตนเองทันที เรียกเสียงหัวเราะจากนายสาวและสหายสนิทที่นั่งร่วมวงอยู่ได้ครืนใหญ่ทีเดียว  



อศิระเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าเรือน พอเห็นผู้เป็นนายเดินลงมาก็คุกเข่ารอทันที เจ้าชายรามราชมาถึงก็ถามทันทีโดยไม่อ้อมค้อมตามนิสัย เพราะระหว่างที่มานั้นสิงห์ก็เล่าเรื่องคร่าวๆ ให้ฟังแล้วส่วนหนึ่ง

“ไยเปลี่ยนใจเอาเพลานี้อศิระ”

หัวหมู่คนซื่อสะดุ้งนิดๆ กับเสียงที่ค่อนข้างดุผิดไปจากเดิมนั้น ทำให้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองนาย ทั้งที่ถ้าทำได้เขาจะเห็นรอยยิ้มขันซึ่งค้านกับเสียงอย่างสิ้นเชิง

“พ่อของข้าบอกว่าจักขออยู่ลวปุระนี้ ด้วยท่านชราแล้ว ให้เดินทางรอนแรมนานๆ คงไม่ไหวเจ้าข้า”

“เลยให้เจ้าไปแทนกระนั้นรึ”

“เจ้าข้า ก็ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมาขออนุญาตท่านมหาอุปราช ด้วยคราก่อนข้าแจ้งจำนงว่าจักอยู่รับราชการด้วยท่าน มาเพลานี้มีเหตุที่ไม่อาจเลี่ยงได้ จึงจำต้องเปลี่ยนใจเยี่ยงนี้”

“เพราะพ่อไม่ยอมไป หรือเพราะเจ้าอยากตามเกษวดีไปเมืองเหนือกันแน่”

อศิระสะดุ้งวาบ มันก็ทั้งสองอย่างนั่นละ แต่ข้อหลังเขาจะบอกไปได้อย่างไร จึงได้แต่อ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้น ข้างเจ้าชายรามราชหันไปสบตากับสิงห์แล้วก็หัวเราะชอบใจ

“จักไปก็ไป ดีเหมือนกัน เราจักได้วางใจว่าได้คนดีมีฝีมือไปช่วยราชการที่เมืองเหนือเพิ่มขึ้นอีกคน”

ง่ายดายกว่าที่คาดคิด อศิระเงยหน้ามองนายพร้อมรอยยิ้มกว้างแทบว่าจะเห็นฟันครบทุกซี่ สิงห์ทั้งขำทั้งหมั่นไส้ อดไม่ได้ที่จะเดินไปเคาะศีรษะฝ่ายนั้นทีหนึ่งพลางบอกกลั้วหัวเราะ

“เอ้า ยิ้มอยู่นั่นล่ะ พูดกระไรก็ไม่พูด”

อศิระหัวเราะแหะๆ รีบไหว้พลางบอกขอบคุณผู้เป็นนายทันใด เจ้าชายรามราชพยักหน้านิดๆ แล้วบอกให้เจ้าตัวเร่งไปแจ้งชื่อเสียเพลานี้ อศิระรับคำแล้วรีบออกไปทันที เมื่อคล้อยหลังอศิระแล้ว สายตาดุเข้มจึงตวัดไปทางหลังต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเยื้องไปทางซ้ายมือ

“ออกมาได้แล้วจันทรี เรารอเจ้าอยู่”

นางข้าหลวงร่างเล็กเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ เข้ามายอบตัวลงนั่งพับเพียบต่อหน้ามหาอุปราชลวปุระพร้อมยกมือไหว้  สายตานางกร้าวดุอย่างที่เคยเป็น คนที่คุ้นชินกับนางเท่านั้นจึงรู้ว่าภายใต้สายตาคล้ายไม่แยแสหรือเคารพผู้ใดนั้น นางมีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายไม่แพ้ใคร เจ้าชายรามราชเหลือบมองไปด้านบนเรือนแวบหนึ่งก็ออกเดินนำข้าราชบริพารทั้งสองไปทางด้านหลังเรือนที่ค่อนข้างปลอดจากสายตาผู้รู้เห็นทั้งปวง


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 20:31:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com