Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนตราปาหนัน บทที่ ๑๕ : ส่วนลึกของใจ ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๕ : ส่วนลึกของใจ


ท่ามกลางแสงสลัวของเพลาตะวันชิงพลบ ร่างบางนั่งอยู่ริมขอบเตียง นัยน์ตาคู่สวยมองออกไปนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้าเบื้องนอกเริ่มขมุกขมัว  แต่ภาพที่เห็นในคลองจักษุมิใช่ฝูงนกที่บินกลับรัง หรือดวงดาวที่เริ่มทอประกาย แต่กลับเป็นใบหน้าเข้มของโมกที่เคลื่อนเข้ามาหาตนเอง ทั้งที่น้ำในสระเย็นเยียบจนเข้าไปถึงขั้วหัวใจ แต่ริมฝีปากคู่นั้นกลับร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ ลมหายใจอุ่นที่เป่าเข้าสู่ปากในตอนนั้น มาถึงขณะนี้ความอบอุ่นนั้นก็ยังไม่เลือนหายไปเลย นิ้วเรียวยกขึ้นลูบปากตัวเองอยู่ไปมาอย่างเผลอตัว ถึงจะรู้ว่าที่เขาทำไปก็เพื่อช่วยเหลือหล่อนมากกว่าจะคิดเป็นอื่น สำหรับคนที่จมน้ำจวนเจียนจะหมดอากาศหายใจนั้น ทางที่พอจะรอดก็มีเพียงทางนี้เท่านั้นเอง แต่ไฉนในหัวใจยังคงหวามไหวไม่จบสิ้นอย่างนี้เล่า  

ประตูห้องค่อยๆ แง้มเปิดออกอย่างออมเสียง สารภีมองท่าทางของน้องสาวฝาแฝดด้วยนัยน์ตาริษยา สองมือที่ทิ้งลงข้างตัวกำแน่นอย่างสะกดอารมณ์ แต่ไหนแต่ไรมาลำเจียกไม่เคยนั่งเหม่อจนไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาในห้องอย่างนี้ ชะรอยว่าใต้น้ำนั่นแม่น้องสาวคนดีกับชายที่หล่อนแอบเฝ้ามองคงจะมีอะไรเกินเลยกันเสียแล้วกระมัง ยิ่งคิดงูพิษที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของใจก็ยิ่งคายพิษร้ายออกมามากขึ้น

“ลำเจียก”

สารภีเรียกน้องสาวด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ เพื่อซ่อนความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจตัวเอง ลำเจียกสะดุ้งเฮือกรีบหันมามองทางต้นเสียงทันที

“พี่สารภี”

“พี่เอง เป็นกระไรไปรึ”

สารภีถามด้วยเสียงอาทรเหมือนที่เคยเป็น นึกขอบใจตนเองที่คุมน้ำเสียงไม่ให้แสดงความรู้สึกแท้จริงออกไปมากกว่านี้ ส่วนคู่แฝดวางหน้าไม่ค่อยถูกนัก เพราะไม่รู้ว่าพี่สาวเข้ามาในห้องนานหรือยัง แต่ยังใจชื้นอยู่ว่าเพลานี้ห้องค่อนข้างมืด สารภีคงไม่เห็นท่าทางของหล่อนแน่ จึงหันมาตอบความคนที่เดินไปนั่งลงที่หน้าคันฉ่อง

“น้องคิดกระไรเพลินไปเจ้าค่ะ พี่สารภีมานานแล้วหรือเจ้าคะ”

“เพิ่งมาถึง” สารภีปด “เป็นกระไรบ้าง พี่แสนให้พี่มาตาม เห็นค่ำแล้วไม่ออกไปกินข้าวกินปลา เกรงจักได้ไข้ไป”

“ตายจริง น้องลืมเสียสนิทใจเทียว น้องต้องขอโทษพี่ด้วย”

“อย่าขอโทษพี่เลย ไปขอโทษพี่แสนเถิด ป่านนี้หิ้วท้องรอน้องสาวสุดสวาสดิ์แล้วกระมัง”

สารภีบอกด้วยสีหน้ายิ้มละไมเหมือนเคย ทว่าประโยคสุดท้ายนั้นเสียงที่ออกมาสั่นสะท้านนิดๆ ด้วยความรู้สึกภายใน ใช่ ดูเอาเถิด อย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่พี่ชายคนเดียวก็ยังรักน้องสาวไม่เท่ากัน เช่นนี้แล้วหล่อนผิดฤๅที่ชิงชังคนที่เกาะแขนด้วยท่าทีประจบอยู่ตรงหน้านี้เสียหนักหนา หล่อนส่งรอยยิ้มอ่อนโยนที่แสนจะฝืนใจให้คู่แฝด แล้วแตะแขนพาลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง


ภาพตรงหน้าทำให้สองสาวชะงักอยู่หน้าห้องนิดหนึ่งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเก้อเขินวางหน้าวางตัวไม่ถูก ขณะที่อีกคนหนึ่งเผลอเม้มปากนิด ๆ เมื่อเห็นสายตาเจือแววหวานที่ทอดมาของผู้ที่เพิ่งมาถึงและนั่งสนทนาอยู่กับเจ้าของเรือนอยู่ที่พาไล ลงว่าขึ้นมาบนเรือนเพลานี้จะหมายความอื่นใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าตัวจะมาร่วมสำรับเย็นวันนี้ด้วย สารภีเมินหน้าไปอีกทางหนึ่งอย่างเจ็บลึก ร้อยวันพันปีไม่เห็นขึ้นมาร่วมสำรับ วันนี้กระไรจึงขึ้นเรือนมาได้ ชะรอยพี่ชายหล่อนจะเรียกขึ้นมากระมัง

“ใครเรียกมาร่วมสำรับนะ ชังนักเทียว”

ลำเจียกบ่นอุบอิบทั้งที่ความจริงออกจะดีใจอยู่ไม่น้อย สารภีเหลียวขวับมามองหน้าน้องด้วยสายตาเย็นเยียบ เอ่ยประชดออกไปทันควัน

“ชังจริงหรือแม่ มิใช่ปากว่าชังแต่ใจว่าชอบดอกรึ”

“พี่สารภีเป็นกระไร ไยจึงพูดเช่นนี้เล่า”

น้ำเสียงที่ฟังแล้วกระด้างหูไม่เหมือนเคย ทำให้ลำเจียกเงยหน้ามองพี่พลางถามอย่างงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปนั้น

“พี่เย้าเจ้าเล่นเท่านั้น ไปเถิด ไปกินข้าวกัน”

สารภีรู้ตัวก็รีบกลบเกลื่อนไปและตัดบทด้วยการจูงมือคู่แฝดให้เดินออกไปด้วยกัน ลำเจียกไม่ติดใจสงสัยอีกแต่มีอิดออดนิดหนึ่ง ท้ายสุดก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี



ร่างบางทรุดตัวลงนั่งตุบยังโต๊ะเตี้ยด้านซ้ายมือของอาคันตุกะยามเย็นตามที่พี่ชายเรียกให้เข้าไป ท่าทีไม่เต็มใจะร่วมสำรับนั้นทำให้โมกต้องซ่อนยิ้ม แม่เอ๋ย ท่าทีแม่เสมือนไม่เต็มใจ หากแววตาแม่นั้นเล่ามิอาจปิดบังความรู้สึกได้สักนิดเดียว ความที่เคยแกล้งกันมาแต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มจึงอดปากไว้ไม่อยู่

“แปลกนักคุณพระ เย็นนี้ไฉนเรือนจึงเงียบนักขอรับ”

พระอินทเดชหัวเราะพรืดด้วยแจ้งนัยของอีกฝ่ายดี เขาเหลือบสายตาไปทางน้องสาวตัวยุ่งแวบหนึ่งก็ตอบคำคู่สนทนา

“นกน้อยช่างพูดตกน้ำ ปากเลยพลอยจมหายไปกับน้ำน่ะพ่อ”

คำพูดของพระอินทเดชไม่มีความหมายอื่นใดมากไปกว่าการเย้าเล่นธรรมดา แต่สองคนที่มีกรณีกันมาก่อนหน้านี้ถึงกับสะดุ้งนิดๆ ต่างคนมองสบตากันเองโดยไม่ตั้งใจแล้วรีบเมินหลบไปเสียคนละทางอย่างเก้อๆ กลิ่นหอมหวานที่ยังกรุ่นอยู่ในปากเขาเป็นเครื่องเตือนใจได้เป็นอย่างดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด ร่างบางที่บดเบียดจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวใต้น้ำนั้น   คิดถึงคราใด เลือดชายในตัวก็ดูเหมือนจะร้อนรุ่มขึ้นมาทุกคราว

“ข้าวเจ้าค่ะ”

สารภีตักข้าวให้โมกเป็นเชิงเรียกกลายๆ  ชายหนุ่มได้สติขอบใจแล้วเริ่มลงมือเปิบข้าวตามคำชวนของพระอินทเดชที่ลงมือไปก่อนแล้ว สารภีที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กลืนข้าวแทบไม่ลงคอ สายตาอย่างนั้น ท่าทีอย่างนั้นเขาไม่เคยมีให้หล่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว กับข้าวตรงหน้าถึงจะโอชารสสักเพียงไหน แต่ตอนนี้โมกไม่สนใจเสียแล้ว เพราะกับข้าวที่อร่อยยิ่งกว่าอยู่ตรงหน้านี้เอง

“อร่อยไหมพ่อโมก”

พระอินทเดชเงยหน้ามาเห็นพอดีก็ถามยิ้มๆ โมกตอบรับคำโดยไม่หันไปมองผู้ถามสักนิด ส่วนคนที่ถูกมองก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเปิบข้าวเปล่าๆ

“ลำเจียกเล่า”

“อร่อยเจ้าค่ะ”

“ดี คราวหน้าคราวหลังพี่จักได้ลองเปิบข้าวเปล่าๆ เยี่ยงเจ้าสองคนบ้าง”

คราวนี้สองคนมีอันต้องสะดุ้งอีกคำรบ เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกินข้าวเปล่าๆ ไปจนแทบจะหมดจานอยู่รอมร่อ พระอินทเดชหัวเราะหึๆ แล้วบอกน้องสาวว่า

“ลำเจียก ตักแกงส้มนั่นให้พ่อโมกทีเถิด และเจ้า พี่วานตักหมูรวนเค็มนั่นให้น้องที ลำเจียกชอบนัก”

สองคนรับคำและทำตามแต่โดยดี โมกตักกับข้าวให้ลำเจียกแล้วมือกลับชะงักค้างกลางอากาศเพราะเพิ่งรู้สึกสะดุดหู เมื่อครู่พระอินทเดชว่าอย่างไรนะ นี่เขาหูฝาดไปเองหรือเปล่า

“เอ้อ เมื่อครู่คุณพระว่ากระไรนะขอรับ”

“เจ้าได้ยินว่ากระไร ก็เป็นเช่นที่ได้ยินนั่นแล้ว หูพ่อหาได้เฟือนไปเองไม่”

พระอินทเดชบอกก่อนส่งข้าวเข้าปากเคี้ยวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ หากนัยน์ตามีแววยั่วล้ออยู่ในที ลำเจียกยิ่งทำหน้าไม่ถูกหนักกว่าเดิม ส่วนสารภีนั้นนั่งตัวแข็งไปตั้งแต่ที่ได้ยินประโยคนั้นแล้ว พี่ชายของหล่อนทำราวกับว่าคนที่ร่วมสำรับนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น หล่อนกลายเป็นอากาศธาตุของพวกเขาแล้วหรืออย่างไร คิดเช่นนี้แล้วหล่อนก็ก้มหน้าลงซ่อนน้ำตาที่กำลังจะเอ่อคลอ ท้ายสุดก็ล้างมือแล้วลุกหนีกลับเข้าห้องไปเงียบๆ คนเดียว สารภียืนอยู่หน้าห้องตนเอง เหลียวกลับมามองคนในพาไลที่สนทนากันอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครที่จะเรียกรั้งหล่อนไว้สักคนเดียวด้วยความน้อยใจกึ่งเคียดแค้น เอาเถิด วันนี้หล่อนจะปล่อยให้ทุกคนมีความสุขกันไปก่อน ต่อเพลาของหล่อนมาถึงเมื่อใด หล่อนจะขอเรียกคืนความสูญเสียทั้งหมดกลับคืนมาให้จงได้  


สองข้างทางเดินมีคบไฟผูกกับเสาไม้สูงเพียงเอวอยู่เป็นระยะๆ ช่วยให้ไม่ดูมืดและน่ากลัวมากนัก ลำเจียกลอบมองเสี้ยวหน้าคนตัวสูงที่เดินเคียงข้างพลางทำเสียงสูงต่ำในลำคอเป็นทำนองเพลงที่หล่อนไม่เคยรู้จักอย่างหมั่นไส้เต็มแก่ เพราะตั้งแต่ลงจากเรือนมาพ่อค้าหน้าดุ ไม่สิ เพลานี้ว่าหน้าดุไม่ได้แล้ว ต้องบอกว่าพ่อค้าหน้าระรื่นคนนี้ก็ยิ้มไม่หุบมาตลอดทาง คนถูกมองเหมือนรู้ตัว จึงเหลียวขวับมาส่งยิ้มฟันขาวผิดไปจากผู้ชายทั่วไปเพราะเจ้าตัวไม่นิยมเคี้ยวหมาก

“มองกระไรรึแม่หญิง หน้าข้าพระเจ้ามีสิ่งใดติดอยู่รึ”

คนแอบมองสะดุ้งรีบหันหน้าหนีอย่างมีพิรุธ

“เปล่าเสียหน่อย”

“เปล่ารึ ก็ข้าพระเจ้าเห็นอยู่”

โมกอมยิ้มแกล้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ตั้งท่าจะรุกไล่ถามต่อ แต่ลำเจียกหันขวับมาเสียก่อน คนเริ่มเรื่องเห็นเข้าก็ตกใจจะดึงหน้ากลับแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำให้แก้มนวลชนเข้ากับปลายจมูกของโมกอย่างพอดิบพอดี สองคนถึงกับชะงักค้างกับอุปัทวเหตุแสนหวานนี้ พอได้สติลำเจียกก็ถอยห่างทันที หน้าร้อนผ่าวจนเจ้าตัวยังรู้สึกว่าถ้าเป็นเวลากลางวันคงจะเห็นแดงเป็นลูกตำลึงสุกแน่

“อ...เอ้อ แม่หญิง ข้าพระเจ้าขอษมาเถิด”

โมกเอ่ยขอโทษเสียงตะกุกตะกัก ลำเจียกกัดริมฝีปากตนเองนิดหนึ่ง ด้วยสำคัญว่าชายหนุ่มฉวยโอกาสที่อยู่กันสองต่อสองคิดลวนลาม เคราะห์ดีนักที่ตรงนี้แสงไฟจากคบส่องมาไม่ถึง หาไม่มีคนมาเห็นหล่อนคงได้อายหนักกว่าเก่า

“เห็นพี่สุกไม่ตามมาด้วยข้ารึ จึงคิดย่ำยีกันเช่นนี้”  

“แม่หญิง มิใช่เช่นนั้น ข้าพระเจ้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยสักปลายก้อย”

“ใต้น้ำนั่นก็คราวหนึ่งแล้ว แต่นั่นข้าถือว่าเจ้าทำไปเพื่อช่วยเหลือ หากเพลานี้เล่า จักคิดเป็นอื่นได้อีกฤๅ ที่ข้าต้องมาส่งเจ้าเพียงลำพังเช่นนี้ก็เป็นแผนการของเจ้าที่กันพี่สุกออกไปใช่ฤๅไม่”

“เป็นอุปัทวเหตุจริงแท้แม่หญิง พุทโธ่! หากข้าพระเจ้าคิดบัดสีเช่นนั้นจริง คงไม่มาขอลุแก่โทษให้แม่หญิงด่าทอเอาเช่นนี้หรอก ส่วนพี่สุกนั้นที่ไม่ตามมาก็ด้วยคุณพระวานให้ช่วยงานอยู่บนเรือนโดยแท้ แม่หญิงก็เห็นแล้วว่าเมื่อตอนหัวค่ำข้าพระเจ้ายังไม่ได้พูดคุยกับพี่สุกเลยสักคำ ซ้ำเพลาที่ข้าพระเจ้าพูดจากับคุณพระ แม่หญิงก็อยู่ด้วย””  

โมกพูดตามความจริง เพราะนางบ่าวสุกถูกพระอินทเดชกันตัวไว้ไห้ตามมาขัดคอคนทั้งคู่ เพราะต้องการจะพิสูจน์อะไรบางอย่างจากว่าที่น้องเขย จารบุรุษล้านนายิ่งร้อนใจหนักเมื่อเห็นหญิงที่ตนหมายปองเมินหน้าหนีอย่างโกรธๆ และมีทีท่าไม่เชื่อคำแก้ตัวของเขา โมกเหลียวไปทางเรือนใหญ่ที่อยู่ออกไปไม่ไกลนัก ยังพอเห็นแสงไฟและบ่าวเดินไปมาอยู่หน้าเรือนก็ตัดสินใจ

“แม่หญิงกลัวที่จักต้องเดินกลับเรือนเองฤๅไม่ หากไม่กลัวแล้ว ข้าพระเจ้าจักขอแยกไปเสียตรงนี้ เรือนใหญ่อยู่เพียงชั่วไม่ถึงสี่เส้นนี่เอง ผิเกิดมีสิ่งใดกลางทาง จักร้องเรียกพวกบ่าวไพร่ก็ไม่ลำบากนัก”

“ทำผิดแล้วหนีรึ”

ลำเจียกส่งเสียงแหวขึ้นอย่างโกรธๆ ส่วนจะโกรธเรื่องอะไร เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดี โมกส่ายหน้าช้าๆ

“หามิได้แม่หญิง ที่ข้าพระเจ้าให้แม่หญิงกลับเรือนนั้นเพราะหากแม่หญิงเดินไปส่งข้าพระเจ้าจนถึงเรือน แม่หญิงจักกลับมาคนเดียว ทางเดินนั้นมืดนักประการหนึ่ง และอีกประการเล่า ข้าพระเจ้าเกรงแม่หญิงจักถูกคนอื่นเขาครหาเอา เพียงเท่าที่มาส่งข้าพระเจ้าถึงนี่ก็นับว่าเป็นพระคุณของไอ้โมกพ่อค้าคนจรนี้นักแล้ว”

“เรือนนี้หากจักน่ากลัว ก็น่ากลัวที่เจ้านั่นล่ะ”

หล่อนสวนกลับอย่างไม่ลดละ โมกยิ้มอ่อนแล้วค้อมศีรษะลงน้อยๆ

“ข้าพระเจ้าขอษมาที่ทำให้แม่หญิงรู้สึกเช่นว่านั้น หากอ้ายโมกคนนี้ยังพอมีความดีอันใดหลงเหลือในสายตาแม่หญิงแล้ว ขอแม่หญิงจงเชื่อข้าพระเจ้าแล้วกลับเรือนไปบัดเดี๋ยวนี้เถิด อย่าให้ข้าพระเจ้าต้อง...”

โมกละคำไว้เท่านั้นด้วยไม่กล้าพูดออกไปให้คนตรงหน้าได้ยิน เพียงเท่านี้เขาก็ใจหายเต็มทีแล้ว นับตั้งแต่พบหน้าลำเจียกเขารู้ดีว่า สิ่งเดียวที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจแห้งผากของเขาก็คือเจ้าลำเจียกดอกน้อยเท่านั้น  หากลำเจียกเกลียดเขามากไปกว่านี้ คิดไม่ออกเลยว่าตลอดเพลาที่เหลืออยู่ในอโยธยานี้ เขาจะมีชีวิตต่อไปเช่นไร  

“ต้องกระไร ไยไม่พูดมาให้จบเล่า”

ใจลำเจียกไหววูบไม่น้อยที่ได้ยินเสียงเศร้าๆ ของอีกฝ่าย แต่หล่อนไม่ยอมแสดงออกให้เขารับรู้ กลับตั้งหน้าตั้งตาถามเสียงแข็งรุกไล่จะเอาคำตอบให้ได้ โมกไม่ตอบกลับเดินก้าวยาวๆ ผละหนีไปเสีย ลำเจียกไม่ยอมแพ้วิ่งตามไปจนทันแล้วยุดแขนเขาไว้ พลางสั่งเสียงโกรธๆ

“พูดมาให้จบ มิเช่นนั้นก็อย่าหมายว่าข้าจักกลับขึ้นเรือน ธุระกระไรที่ข้าจักต้องฟังคนเช่นเจ้า ข้าจักทำตามคำสั่งของพี่แสนด้วยการไปส่งเจ้าจนถึงเรือน ระหว่างทางกลับมานั้น หากข้าต้องมีภัยอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว เจ้าจักได้มีบาปผิดอยู่ในใจจนวันตาย”

“ไยแม่หญิงดื้อนักเล่า แล้วมิหนำยังจักขู่ข้าพระเจ้าอีก ทำเยี่ยงนี้ไม่ใจร้ายเกินไปหรือ”

โมกพ้อ แสงไฟจากคบสาดจับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ฉายแววทั้งห่วงทั้งโกรธไม่น้อย ทว่านางเดียวในใจยังตอบกลับด้วยเสียงหนักแน่น

“ไม่!”

“แม่หญิง ข้าพระเจ้าขอเถิด ที่แม่หญิงโกรธเกลียดข้าพระเจ้านั้น ข้าพระเจ้ารู้ แต่ทางที่จักเอาคืนหรือกลั่นแกล้งข้าพระเจ้านั้นมีถมไป อย่าเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเช่นนี้เลย”

คราวนี้ลำเจียกพูดไม่ออก คำขอร้องอ่อนโยนนั้นไม่เท่ากับความรู้สึกที่เขาสื่อผ่านสายตามาถึงหล่อน ลำเจียกหันหลังหนีไปอีกทางหนึ่งเหมือนโกรธ แต่ความจริงคือไม่กล้ามองหน้าคู่ปรับ โมกจับไหล่อีกฝ่ายบีบเบาๆ บังคับให้หล่อนต้องหันมามอง พลางถามเสียงค่อนข้างแข็งนิดๆ

“ถ้าข้าพระเจ้าพูดที่ละไว้จนสิ้นกระแสความแล้ว แม่หญิงจักยอมกลับเรือนใช่ฤๅไม่”

“ถ้าเจ้ายอม ข้าจักทำ”

หล่อนเชิดหน้าบอกอย่างเป็นต่อ โมกเห็นแล้วก็ยิ้ม สายตาที่ทอดมองนางคู่นั้นบ่งบอกความรู้สึกทั้งหมดจากหัวใจ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยผ่านริมฝีปากพอได้ยินกันเพียงสองคน

“ฟังให้ดีเถิดแม่หญิง เพราะข้าพระเจ้าเป็นห่วงแม่หญิงยิ่งกว่าชีวิตตนเอง เหตุผลนี้เพียงพอฤๅไม่ที่แม่หญิงจักกลับขึ้นเรือนไปเสียบัดเดี๋ยวนี้”

“เจ้า...ห่วงข้ารึ”

ลำเจียกย้อนถามเสียงแผ่ว พยศที่เคยมีก่อนหน้านี้ถูกปลดวางลงสิ้น โมกยิ้มบางๆ แล้วตอบว่า

“ขอรับ แม่หญิงหาฟังผิดไปไม่”

“เพราะเหตุไร ทั้งที่ข้าเองก็ใช่จักทำดีกับเจ้าหนักหนา”

“ไว้วันพรุ่งเถิดแม่หญิง ข้าพระเจ้าจักตอบคำถามแม่หญิงให้แจ้งใจ ไปเถิด ข้าพระเจ้าจักไปส่ง”

โมกบอกเท่านั้นก็แตะต้นแขนหล่อนเป็นเชิงบอกให้เดินตามมา ส่วนตัวเขานั้นออกเดินช้าๆ กลับไปทางเรือนใหญ่ ระหว่างทางนั้นทั้งสองไม่ได้พูดจากันอีกเลยตราบจนมาถึงเรือน



พระอินทเดชยืนกอดอกมองลงมาจากชานเรือนอยู่แล้ว ขุนนางหนุ่มอมยิ้มที่เห็นโมกพาน้องสาวคนเล็กกลับมาที่เรือนตามคาด แม้ว่าจะช้ากว่าที่กะไว้เล็กน้อยก็ตาม พอเห็นโมกมองขึ้นมาก็รีบหุบยิ้มแล้วแสร้งร้องถามไปว่า

“อ้าว! ยังไม่กลับเรือนรึพ่อ ลืมกระไรไว้”

“มิได้ลืมขอรับคุณพระ ข้าพระเจ้าเพียงแต่พาแม่หญิงมาส่งเท่านั้น”

โมกตอบก่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นหญ้า ส่วนลำเจียกนั้นเลี่ยงขึ้นไปบนเรือน ทว่าสายตายังมองที่ร่างสูงไม่รู้วาย หูยังยินคำพี่ชายถามเสียลั่นเรือนราวกับเป็นเรื่องใหญ่โตเสียเต็มประดา

“ก็ข้าสั่งให้แม่ลำเจียกไปส่งเอง มันกงการกระไรของพ่อจึงพาน้องข้ามาส่งเยี่ยงนี้”

“มืดแล้ว ทั้งข้าพระเจ้าก็เดินกลับเรือนเองมาแต่ไหนแต่ไรขอรับ”

“เท่านั้นเองรึ”

พระอินทเดชแกล้งถามเสียงห้วนเหมือนไม่พอใจ สารภีได้ยินเสียงพี่ชายก็ออกจากห้องมายืนอยู่ทางด้านซ้าย พร้อมกับลำเจียกที่เข้ามายืนอยู่ทางด้านขวา สารภีมองลงไปที่สนามแล้วก็บอกพี่ชายว่า

“พี่แสนคะ เรียกพ่อโมกขึ้นมาเจรจาบนเรือนเถิดเจ้าค่ะ ทำเยี่ยงนี้อายบ่าวไพร่นัก”

บ่าวไพร่ที่ยังทำงานอยู่พากันออกมามองกันหน้าสลอนจริงดังคำสารภีว่า แต่พระอินทเดชกลับปฏิเสธ

“อายกระไรเล่า” ขุนนางหนุ่มพูดดังกว่าเดิม “ข้าจักซักเอาความมันให้คนทั้งเรือนเขาได้ยินนี่ล่ะหวา ตอบข้ามาทีรึพ่อโมก ไฉนจึงขัดคำสั่งข้า”

“ข้าพระเจ้าตอบไปแล้วขอรับ”

โมกตอบ นึกตงิดใจอยู่ไม่น้อยว่าพระอินทเดชจะเล่นอะไรอีก อยู่ไม่อยู่ก็ให้น้องสาวไปส่งผู้ชายที่เรือนตอนมืดๆ พอพามาส่งก็เอ็ดตะโรอยู่ลั่นๆ พระอินทเดชเองอายุห่างเขาไม่ถึงห้าปี ไม่น่าจะเลือดลมแปรปรวนราวกับคนแก่ได้เพียงนี้เลย

“อุวะ นั่นรึคำตอบเจ้า ตอบมาเสียให้ดี หาไม่เจ้าก็ไม่ต้องมาเหยียบเรือนข้าอีก”

หนุ่มเหนือยกมือเกาหัวแกรกเหมือนมีเหาสักร้อยตัวยกโขยงขึ้นไปทำรัง วันนี้ก็ไม่ใช่วันพระนี่นา พระอินทเดชจะ 'ขึ้น' ได้กระไร แต่ถ้าไม่ตอบคงไม่แคล้วต้องกระเด็นไปจากเรือนนี้เป็นแม่นมั่น

“ข้าพระเจ้าห่วงแม่หญิงลำเจียกขอรับ เกรงว่าแม่หญิงจักได้ข้อครหาด้วยมันมิใช่เรื่องสมควร”

“ไยต้องห่วง ข้านึกว่าเจ้าจักชอบใจเสียอีก”

คราวนี้คนฟังทั้งหลายเป็นฝ่ายหน้าร้อนเสียเองกับคำพูดชนิดขวานผ่าซากของเจ้าของเรือน โมกแทบจะอดใจไม่อยู่ลุกออกจากตรงนั้นแล้วขึ้นไปต่อยปากคนพูดเสียสักหมัด แต่พอได้ยินความต่อไปจึงชะงักอยู่

“พ่อโมก ข้าขอบน้ำใจพ่อนัก ขอษมาด้วยที่ต้องทำเยี่ยงนี้ ที่ข้าทำไปเพื่อลองน้ำใจพ่อว่าจักสัตย์ซื่อฤๅไม่ แม้นพ่อไม่พาน้องข้ามาส่งคืน ก็จักให้คนไปตามอยู่แล้ว”

“ล...ลองน้ำใจข้าพระเจ้าหรือขอรับ”

“ใช่ ข้ารู้นิสัยเจ้าเรื่องหน้าที่การงานแล้ว ขาดก็เพียงนิสัยเรื่องสตรี ที่ข้ายังไม่ประจักษ์นัก มาบัดนี้ข้าแจ้งน้ำใจพ่อแล้ว รอข้าอยู่ตรงนั้นเถิด ข้าจักไปส่งพ่อที่เรือนเอง เราสองคนยังมีเรื่องต้องพูดจากันอีกมากนัก” พระอินทเดชกวาดสายตาไปรอบเรือนแล้วบอกเสียงดังฟังชัดว่า

“พวกบ่าวพวกทาสทั้งหลาย กลับไปทำการงานของเจ้าได้แล้ว ขอบน้ำใจนักที่มาเป็นสักขีพยานในการลองน้ำใจพ่อโมกครานี้”

บ่าวทั้งหลายรับคำแล้วผลุบหายไปทำงานของตนอย่างรวดเร็ว พระอินทเดชลดเสียงลงพูดกับน้องสาวทั้งสองคนไม่กี่คำก็ผละออกมา สารภีจับมือน้องพาเดินกลับห้องไปด้วยกัน ลำเจียกทิ้งสายตามองชายหนุ่มแล้วยิ้มบางๆ ให้ก่อนผละไปจากชานเรือนนั้น ส่วนโมกยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ที่สุดก็หัวเราะเบาๆ กับตนเอง พระอินทเดชช่างคิดการแผลงนัก หากนี่เป็นการศึกชะรอยว่าเขาคงพลาดท่าเสียทีตายไปไม่รู้กี่รอบเป็นแน่ ช่างวางแผนจริงนะพ่อ    


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 20:51:29




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com