“สรณะอื่นของข้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้า ด้วยสัจวาจานี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้า” เทวาสวด “สรณะอื่นของข้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้า ด้วยสัจวาจานี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้า” อัศดากล่าวตาม “สรณะอื่นของข้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้า ด้วยสัจวาจานี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้า” เทวาสวด “สรณะอื่นของข้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้า ด้วยสัจวาจานี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้า” อัศดากล่าวตาม “สรณะอื่นของข้าไม่มี พระสงค์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้า ด้วยสัจวาจานี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้า” เทวาสวด “สรณะอื่นของข้าไม่มี พระสงค์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้า ด้วยสัจวาจานี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้า” อัศดากล่าวตาม(6) จากนั้นทั้งสองก็กราบสามที อัศดารู้สึกได้ถึงความศรัทธาที่เปล่งประกายออกมาจากร่างกายของเทวา ใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่แล้ว ยิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก บวกกับชุดสีขาวที่สวมใส่อยู่ อัศดารู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งเคียงข้างเทวดาก็ไม่ปาน “ต่อไปคือการแถลงกฏของโรงเรียน” โชปะพูดอย่างอารมณ์ดี เขานั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาอัศดา "มีกฏโรงเรียนด้วยหรือ” อัศดาขมวดคิ้ว นี่ข้าต้องกลับไปเป็นนักเรียนตอนอายุยี่สิบหกเนี่ยนะ “แน่นอน เช่นตอนสมัยเจ้าเป็นนักเรียน ก็ต้องปฏิบัติตามกฏคือเข้าเรียนตอนแปดโมงเช้า เลิกเรียนตอนเที่ยง ห้ามออกนอกห้องเรียนถ้าไม่ใช่ช่วงพัก ศาสนาพุทธเองก็มีกฏเช่นกัน” ชายชราพูด อัศดายกมือขึ้นกอดอกอย่างรำคาญ “เชิญว่ามา” “ข้อแรกห้ามฆ่าหรือทำร้ายคนและสัตว์” “แต่ข้าเป็นนายพราน อาชีพของข้าคือฆ่าสัตว์” ชายหนุ่มแย้งทันควัน “งั้นเจ้าต้องเลิก ที่จริงเพราะเจ้าฆ่าสัตว์ไปมากนั่นแหละ ถึงทำให้อายุสั้น ทั้งยังต้องตายด้วยความหวาดผวา” โชปะพูด “ถ้าเลิกฆ่าสัตว์แล้วข้าจะเอาอะไรกิน” “อาชีพอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะไม่ใช่หรือ คนมีความสามารถอย่างเจ้าคงหางานทำได้ไม่ยาก การไม่ฆ่าหรือทำร้ายสัตว์ เป็นกฏที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นถึงได้เป็นกฏข้อแรก ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามกฏข้อนี้” โชปะอธิบายด้วยสีหน้าของเขาจริงจังอย่างมาก อัศดาระบายลมหายใจออกมา ข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่โชปะบอก ตอนนี้เขาคิดอย่างเดียวคือต้องรอดตายให้ได้ “ก็ได้ ข้าจะไม่ฆ่าหรือทำร้ายอะไรทั้งนั้น” เขากล่าวด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ แม้ไม่เต็มใจนัก พอลองคิดให้ดีสิ่งที่โชปะอธิบายมานั้น คล้ายกับภาพสะท้อนบนกระจก เขาทำให้สัตว์ตาย ตัวเขาเองจึงต้องตาย “เจ้าสัญญาแล้ว ขอให้รักษาคำพูดตัวเองให้ดีล่ะ” โชปะมองตรงไปยังดวงตาสีฟ้าของอัศดา “กฏข้อสองคือห้ามโขมย หรือคดโกงเอาทรัพย์สินของผู้อื่น” “ข้อนี้ไม่มีปัญหา ข้าค้าขายสัตว์ที่ล่าได้รวมทั้งของป่า ด้วยความซื่อสัตย์เสมอ ไม่เคยโกงใคร มีแต่ถูกพวกพ่อค้าเจ้าเล่ห์หาเรื่องกดราคา นึกแล้วหงุดหงิดชะมัด” อัศดดาบ่น “เป็นอันว่าข้อนี้ผ่าน งั้นข้อต่อไปเลยละกัน กฏข้อสามคือละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม” โชปะพูดต่อ “อธิบายเพิ่มเติมทีสิ” ชายหนุ่มว่า “อืมมม...” โชปะยกมือขึ้นลูบเคราขณะครุ่นคิด “ไม่มีสัมพันธ์กับภรรยาหรือสามีของคนอื่น ไม่มีสัมพันธ์กับลูกที่พ่อแม่ไม่ยินยอม” “สรุปคือไม่เป็นชู้สินะ” อัศดาเงียบไปครู่หนึ่งจึงถามต่อ “ว่าแต่ไปเที่ยวหอนางโลมนี่ผิดมั้ย” หลังจากเดินทางไปค้าขายต่างเมืองเป็นเวลานาน สิ่งแรกที่เขาคิดถึงเวลากลับมา คือการปรนนิบัติอย่างรู้งานจากหญิงนางโลม “เที่ยวหอนางโลมงั้นรึ อืออ...นั่นไม่จัดว่าผิดแบบเต็มๆ แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องดี เอาเป็นว่าไม่มีสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยา น่าจะเป็นการรักษากฏที่ดีที่สุด” โชปะตอบ จะว่าไปตอนนี้ข้ากลุ้มใจจนไม่มีอารมณ์หื่นกระหายแล้ว รักษากฏข้อนี้คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร “ก็ได้ข้าสัญญาว่าจะไม่เป็นชู้กับใคร ไม่ไปหอนางโลม จะมีสัมพันธ์กับภรรยาเท่านั้น” อัศดาเบะปาก “ถ้าข้ามีชีวิตอยู่นานพอได้แต่งงานนะ” เทวาอดขำไม่ได้ขำ เขายกมือขึ้นปิดปากหันหน้าไปทางอื่น พยายามกลั้นหัวเราะ อัศดาหันไปถลึงตาใส่เทวา “กฏข้อที่สี่ ห้ามโกหก” โชปะพูดต่อ “ตั้งแต่แม่ตายข้าแทบไม่ได้โกหก ข้อนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” “ทำไมเจ้าถึงต้องโกหกแม่ด้วยล่ะ” เทวาถามขึ้นด้วยความสงสัย “ถ้าข้าบอกแม่ตามตรงว่ามีเงิน นางก็จะขอเงินไปทำเรื่องไร้สาระ เช่นดื่มเหล้ากับเล่นพนัน” อัศดาเงียบไปชั่วขณะ “ถ้าข้าตายไปจะได้ไปพบกับแม่มั้ยนะ” “เจ้าคงคิดถึงแม่มากสินะ” เทวาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ความจริงอัศดาก็มีมุมที่อ่อนโยนอยู่เหมือนกัน แม้ไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็น เขาคิด “ถ้าตายไปแล้วต้องพบแม่ล่ะก็ ข้าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ตาย” อัศดากล่าวด้วยท่าทางขึงขัง “อ้าว ไหงเป็นอย่างนั้น” เทวาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ นี่เป็นอีกครั้งที่เขามองอัศดาดีกว่าความเป็นจริง “ความจริงการทำตัวเป็นลูกกตัญญูนั้นได้บุญมาก น่าเสียดายที่เจ้าไม่ค่อยรักแม่สักเท่าไหร่” โชปะพึมพัม ควันธูปบางเบาส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้อง “ก็แม่ข้าทำตัวไม่น่ารักนี่นา” ที่จริงข้าก็อยากจะรักแม่อยู่หรอก อัศดาคิดในใจ “บอกกฏข้อต่อไปมาเลยดีกว่า” “ข้อที่ห้าคือ งดเว้นจากการดื่มเหล้าและของมึนเมาทุกชนิด” โชปะพูด “ข้าไม่ชอบดื่มเหล้าอยู่แล้ว มันทำให้ปวดท้อง จะดื่มก็ต่อเมื่อมีงานฉลองที่จำเป็นต้องดื่มจริงๆ ข้าขอสัญญาว่าจะไม่ดื่มเหล้า” อัศดาตอบกลับไป โชปะพยักหน้า “ข้าต้องการให้เจ้าเขียนกฏทั้งห้าข้อใส่กระดาษพกติดตัวไว้ แล้วหยิบขึ้นมาอ่านอย่างน้อยวันละสามครั้ง กฏทั้งห้าข้อถือเป็นหลักประกันชั้นต้น ใครที่รักษากฏได้ ตายแล้วจะไม่ตกนรก หรือไปเกิดในสถานะต่ำกว่ามนุษย์ แต่ทั้งนี้ก็อย่าได้ประมาทไป กฏทั้งห้าข้อเป็นเหมือนตะแกรงหยาบๆที่เอาไว้กลั่นกรองคัดสรรคนเท่านั้น ยังมีรายละเอียดต่างๆอีกมาก ซึ่งข้าจะอธิบายต่อทีหลัง แต่วันนี้คงต้องยุติการสอนแต่เพียงเท่านี้ เพราะข้ายังมีงานอื่นต้องไปทำ” เขาหันไปหาเทวา “บ่ายนี้เจ้าว่างหรือเปล่า” “ว่างครับ นี่เพิ่งวันจันทร์ข้าเลยยังไม่มีการบ้านต้องตรวจ” “งั้นเย็นนี้เจ้าช่วยสอนการนั่งสมาธิพื้นฐานให้อัศดาได้มั้ย” ชายชราถาม “ได้ครับ ข้าจะพยายาม” เทวาตอบ มือเหี่ยวย่นวางลงบนพื้นกระเบื้อง ค้ำยันร่างกายอันแก่ชราให้ลุกขึ้น เทวารีบเข้ามาประคอง ผ่านไปยี่สิบสี่ปีแล้วหรือ ตั้งแต่วันที่ข้าเจอเทวาถูกทิ้งอยู่ในสวน ร่างกายทรุดโทรมลงมากจริงๆโชปะนึกในใจ หลังจากส่งโชปะเรียบร้อยแล้ว เทวาก็กลับเข้ามาในห้อง เขาเห็นอัศดาเดินชมเทวรูปต่างๆอย่างสนใจ “พวกเราจะอยู่ที่นี่ต่องั้นหรือ” อัศดาถามขึ้น ขณะเดินมองเทวรูปไปเรื่อยๆ “จนกว่าเทียนจะดับ ข้าไม่อยากปล่อยเทียนทิ้งไว้โดยไม่มีคนเฝ้า กลัวไฟไหม้” “เจ้าทำตามกฏห้าข้อนั่นด้วยหรือเปล่า” อัศดาถามเทวาอย่างใคร่รู้ “ข้าพยายามรักษากฏให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่นานๆทีก็พลาดบ้างเหมือนกัน” เทวาตอบ “เจ้าเชื่อว่ารักษากฏพวกนั้นแล้วจะมีอายุยืนอย่างนั้นหรือ” อัศดาหยุดเดิน หันมายืนคุยกับเทวาอย่างตั้งใจ เทวายกมือขึ้นแตะคาง “ไม่เชิง อายุยืนไม่ใช่เป้าหมายหลักของข้า ที่ข้าพยายามรักษากฏเพราะเข้าใจว่าความตายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกสิ่งรอบตัวสามารถกลายเป็นอุปกรณ์สังหารข้าได้ เพราะฉะนั้นถ้าต้องตายก็ขออย่าได้เกิดใหม่ในสถานะที่แย่กว่ามนุษย์ กฏทั้งห้าเป็นหลักประกันคร่าวๆน่ะ” อัศดาอดแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมเทวาจึงพูดถึงความตายของตัวเองเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต่างจากกินข้าวอาบน้ำ “เจ้าเชื่อว่าตายแล้วต้องเกิดใหม่จริงๆหรือ” อัศดายกมือขึ้นกอดอก มีแววเย้ยหยันแฝงอยู่บนใบหน้า “ข้าเชื่อเช่นนั้น ไม่สิมันไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่เป็นความจริงต่างหาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อ ที่จริงคนมากมายคิดว่าชีวิตหลังความตายเป็นเรื่องไร้สาระ ตายแล้วทุกอย่างก็จบสิ้น แต่ถ้ามันไม่จบล่ะ ถ้าตัวเรายังต้องดำเนินต่อไป” เทวาหันไปมองพระพุทธรูปด้วยใบหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหันมาต่อบทสนทนา
“ถึงไม่นับถือศาสนาใดเลย แต่ถ้าทำความดีเป็นปรกติ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะอย่างไรเสียก็ได้ไปที่ดีๆรับความสุขตามสิ่งที่ทำไว้ แต่ถ้าทำชั่วไว้มาก คงไม่พ้นต้องตกนรก เป็นเปรตหรือสัตว์เดรัจฉาน พอถึงตอนนั้น ถึงสำนึกได้ ก็หมดโอกาสแก้ตัวแล้ว ถึงไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง แต่ทำดีไว้ก่อนย่อมดีกว่า เพื่อความไม่ประมาท”
สิ่งที่เทวาพูดทำให้อัศดารู้สึกไม่สบายใจเลย เขาทำเรื่องแย่ๆไว้มาก โดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ ตายแล้วคงไม่พ้นต้องตกนรก คิดแล้วก็รู้สึกกลัวจนไม่อยากยอมรับว่าชีวิตหลังความตายมีจริง
“ตอนไปต่างเมือง ข้าได้ยินนักบวชของศาสนาอื่นพูดว่า ถ้าเชื่อในพระเจ้าจะได้รับการอภัยต่อบาปที่ทำ เจ้าคิดว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า อีกทั้งพวกนั้นยังบอกด้วยว่า ถึงทำดีแค่ไหนแต่ไม่เชื่อมั่นในพระเจ้า ยังไงก็ไม่ได้ไปสวรรค์ ตอนนั้นข้าเชื่ออย่างหนักแน่นว่าตายแล้วทุกอย่างก็จบสิ้น ออกจะนึกขำนักบวชพวกนั้นด้วยซ้ำที่งมงาย แต่ตอนนี้ข้าชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว”
เทวาส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เชื่อว่ามนุษย์มีสิทธิเลือกกระทำสิ่งต่างๆ และต้องรับผลของสิ่งที่ทำลงไปด้วยตัวเอง ถ้ามีใครบอกข้าเช่นนั้นล่ะก็ ข้าคงตอบกลับไปว่า ถ้าพระเจ้าทรงไร้ความยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชัง พระองค์คงไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง”
“แล้วพระเจ้าที่แท้จริงในความคิดของเจ้าคืออะไรกัน” อัศดาถามกลับ
“สิ่งที่อยู่เหนือความดีและความชั่ว สมบูรณ์แบบในตัวเอง” เทวาตอบด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นไม่นานก็ส่งยิ้มอ่อนหวานให้อัศดา “เทียนดับแล้ว พวกเราออกไปข้างนอกกันเถอะ” เทวาดันหลังอัศดาให้เดินออกไปด้วยกัน อัศดาอดนึกแปลกใจไม่ได้ที่เทวาเปลี่ยนอารมณ์เร็วขนาดนี้ เทวาคล้องแม่กุญแจเข้ากับโซ่ที่ล่ามประตูไว้ เขากดสลักให้เชื่อมกันจากนั้นก็พาอัศดาไปยังห้องของเขา
อ่านล่วงหน้าได้ที่นี่ค่ะ http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=827616
จากคุณ |
:
holyneko
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ก.ค. 55 20:16:24
|
|
|
|