Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้นแนว Sci-fi Fantasy ตอนที่ 3 Memory Machine (จบ) ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12287105/W12287105.html

ตอนที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12312034/W12312034.html

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เจ้าหมีแพนด้ากำลังกัดกินก้านไผ่อย่างเอร็ดอร่อย ทั้งๆที่มันถูกจองจำในกรงขังที่จำลองสภาพแวดล้อมคล้ายธรรมชาติของมัน ถ้าจะเรียกสถานภาพของเจ้าหมีตัวนี้อย่างเป็นทางการ เจ้าแพนด้าตัวนี้ก็เป็นแค่นักโทษของมนุษย์เท่านั้นเอง ฉันจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหมีขอบตาดำตัวนี้จึงได้รับความนิยมจากมนุษย์มากมายนัก ทุกการเคลื่อนไหวของมันเรียกความสนใจจากเหล่ามนุษย์ที่รายล้อมนอกกระจกได้ทุกอิริยาบถโดยเฉพาะเด็กๆ


“แม่ฮะ แพนด้ากำลังกินป๊อกกี้อยู่ใช่ไหมฮะ” เด็กชายตุ้ยนุ้ยอายุราวเจ็ดถึงแปดปีร้องถามผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ


“ไม่ใช่จ๊ะลูก แพนด้ากำลังกินก้านไผ่อยู่ต่างหากจ๊ะ” แม่ของเด็กตอบคำถามด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มพลางลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู


ฉันได้ยินบทสนทนาของสองแม่ลูกอย่างชัดเจน แม้จะถูกกั้นกลางด้วยกลุ่มมนุษย์อีกสามสี่คนก็ตาม เพราะฉันสามารถได้ยินแอมปลิจูดของเสียงในย่านที่ต่ำกว่าและสูงกว่ามนุษย์ทั่วไป


จากฐานข้อมูลระบุว่าประชากรหมีแพนด้าในธรรมชาติของโลกยุคนี้คงเหลืออยู่แต่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์และศูนย์วิจัยเท่านั้น เนื่องจากสภาพอากาศของโลกนั้นแปรปรวนมาก อุณหภูมิในฤดูร้อนมีค่าเฉลี่ยที่ 60 องศาเซลเซียส บางพื้นที่คลื่นความร้อนปกคลุมนานนับแรมปี ส่วนน้ำฝนที่ตกลงมามีสภาพเป็นกรดถึง 70% ในขณะที่ฤดูหนาวมวลความเย็นจะแผ่ขยายกินพื้นที่ในวงกว้างและยาวนาน


ส่วน ‘ป๊อกกี้ (Pocky)’ ในฐานข้อมูลรายงานว่าเป็นขนมยอดนิยมของมนุษย์โลก เริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1966 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยชื่อป๊อกกี้นั้นมีที่มาจากศัพท์ภาษาญี่ปุ่นคำว่า Pokkin ซึ่งคือเสียงที่เกิดจากการขบเคี้ยวขนมชนิดนี้ ป๊อกกี้ได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกจึงได้รับการพัฒนาจนมีกว่า 150 รสชาติในโลกยุคนี้ เห็นข้อมูลแล้วฉันอยากลองป๊อกกี้รสบลูเบอร์ลี่ขึ้นมาเลยทันที


“คิดอะไรอยู่เหรอครับ คุณอลิเซีย” เสียงของลูอิสดึงฉันออกจากภวังค์ฐานข้อมูลในหน่วยความจำ


“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่าเจ้าป๊อกกี้มันน่ารักดี” ฉันตอบพร้อมกับยิ้มกลบเกลื่อน


“เจ้าป๊อกกี้?” ลูอิสทวนคำด้วยสีหน้าที่ประดับเครื่องหมายคำถามน้อยๆ


“อ๋อ...เอ่อ...ฉันใจลอยไปหน่อย ฉันหมายถึงแพนด้ามันน่ารักดีค่ะ” ฉันเอ่ยคำพูดด้วยสีหน้าที่ประดับเครื่องหมายตกใจเล็กๆ


“งั้นเราไปดูส่วนจัดแสดงในโซนอื่นๆต่อดีกว่านะครับ” ลูอิสเสนอพร้อมยิ้มที่มุมปากซึ่งทำให้ชิพในหน่วยประมวลผลในใจฉันมันแทบจะหลอมละลายทุกครั้งที่เห็นจริงๆ แรกเริ่มฉันคิดว่าระบบของฉันคงขัดข้อง ‘โดยบังเอิญ’ เมื่อเขายิ้มให้ฉัน แต่เมื่อเผชิญหน้าเขาบ่อยครั้งเข้า ฉันจึงได้แต่ยอมรับว่าเป็น output ความผิดปกติที่มีตัวแปรจากรอยยิ้มของเขาเป็น input


แล้วฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ กลับเป็นฉันที่ไม่กล้าสบตาเขาอีกต่อไป ทำไมฉันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ


ตลอดเวลาสามเดือนที่ทำงานร่วมกับลูอิส ระบบของฉันมักจะรวนเสมอเมื่ออยู่ใกล้เขา บางทีก็ถึงกับน็อคไปเลยก็มี แต่ที่ฉันวิเคราะห์แล้วไม่เข้าใจก็คือภารกิจที่ปรากฎเพื่อแจ้งเตือนให้ฉันต้องปฏิบัติตามในแต่ละวัน มักจะหนีไม่พ้นเรื่องต่างๆที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับนายลูอิสนี่ทุกครั้ง ฉันจึงไม่สามารถปลีกตัวหนีจากเขาได้ในที่ทำงานและไม่อาจปฏิเสธคำชวนของเขานอกที่ทำงานด้วยเช่นกัน ทำไมเขาต้องชวนฉันไปชมวิว ดูคอนเสิร์ต เที่ยวสวนสนุก และมาพิพิธภัณฑ์สัตว์อย่างวันนี้ ซึ่งทุกกิจกรรมที่ฉันได้เข้าร่วมกับเขาทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น หรือที่ภาษามนุษย์เรียกว่า ‘สนิท’ กันมากขึ้น ฉันไม่รู้ว่าจะรักษาระยะห่างตามกฎของความใกล้ชิดได้อย่างไร ในเมื่อภารกิจที่ส่งมาจากใจสั่งให้ฉันต้องชิดใกล้เขาอยู่ทุกที


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“วันนี้ ผมมีอะไรบางอย่างอยากให้คุณได้ดู” ระหว่างเดินจากออฟฟิศเข้าสู่ตัวลิฟต์ จู่ๆลูอิสก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มลึกลับมีเลศนัย ก่อนจะจ้ำเดินออกมาปล่อยให้ฉันเดินตามหลังอย่างสงสัย


“เอ่อ...ผมยังไม่เคยบอกคุณเลย ว่านอกจากผมจะทำงานเป็นผู้อำนวยการแล้ว ผมกำลังทำงานวิจัยลับเรื่องหนึ่งอยู่” ลูอิสหันมาพูดก่อนประตูลิฟต์จะเปิดแล้วผายมือให้ฉันเข้าไปข้างในก่อน


เมื่ออยู่ในลิฟต์ลูอิสป้อนรหัสผ่านบนหน้าจอโฮโลแกรมสามมิติเลือกคำสั่งลับของตัวลิฟต์ หลังจากนั้นระบบความปลอดภัยของลิฟต์ก็แสกนใบหน้าของเขาเพื่อตรวจสอบสิทธิในการเข้าสู่ชั้นความลับบางอย่าง ก่อนที่ระบบจะแจ้งยืนยันผลการตรวจสอบว่าตรงกับสิทธิในฐานข้อมูลของลิฟต์ แล้วตัวอักษร ‘Z’ ก็ปรากฏบนตำแหน่งแสดงชั้นเป้าหมายของลิฟต์ตัวนี้ ซึ่งฉันไม่เคยเห็นชั้นนี้มาก่อน


“เรากำลังจะไปที่ไหนกันคะ?” ฉันอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้


“ผมกำลังจะพาคุณไปชมงานวิจัยลับของผมครับ” ลูอิสตอบด้วยความภาคภูมิใจ


บางทีสิ่งที่เขากำลังพาฉันไปดูนี้ อาจเป็นสิ่งที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงซึ่งรอฉันอยู่โดยมีลูอิสเป็นแค่ทางผ่าน หรือทุกสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อฉัน ดีต่อฉันนั้นมีเป้าหมายบางอย่างในตัวฉัน ถ้าอย่างนั้นที่ผ่านมามันคืออะไร ทั้งรอยยิ้มของเขา ทั้งสายตาของเขา มันคือการโกหกหรอกหรือ? แล้วทำไมระบบของฉันถึงเรรวนได้ขนาดนี้ ถ้าต้องรับรู้ว่าทุกการกระทำที่แล้วมาของเขานั้นเป็นการเสแสร้ง ให้ระบบของฉัน Shut Down ปิดตัวลงถาวรเสียยังดีกว่า


ประตูลิฟต์เปิดออก ลูอิสเดินนำออกไปก่อน ระหว่างที่ฉันกำลังเดินออกจากลิฟต์ จู่ๆฉันก็เสียการทรงตัวถลาไปข้างหน้า แต่ลูอิสกลับมีปฏิกิริยาที่ไวทีเดียว เขารีบคว้าข้อมือของฉันไว้จึงช่วยหยุดการเซของฉันได้


“เป็นอะไรไหมครับ?” ลูอิสสอบถามน้ำเสียงที่เจือความห่วงใยจากใบหน้าที่อ่อนโยน


ฉันส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยแทนคำตอบ เขาจึงเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายของเขาจับมือขวาฉันแล้วเดินเคียงข้างไปด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่ลูอิสจูงมือฉันราวกับกลัวว่าหลุดหายไป มือของเขายังคงอบอุ่นเหมือนเคย ไม่รู้ว่ามือของฉันในความรู้สึกของเขายังคงเย็นเฉียบอยู่อีกหรือเปล่า แต่ระบบของฉันกำลังร้อนขึ้นแน่นอน ถ้าเขาหันมาคงเห็นหน้าของฉันที่คงกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง


สุดทางเดินเป็นแคปซูลขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลาง ฉันยังมองไม่เห็นไม่ชัดเท่าไรนัก จากระยะที่ยังอยู่ไกล แต่ภายในแคปซูลคล้ายมีมนุษย์บรรจุอยู่ภายใน รอบๆแคปซูลเต็มไปด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือมากมายที่ฉันไม่รู้จัก ไม่มีในฐานข้อมูลของฉัน จะเป็นไปได้อย่างไรที่เทคโนโลยีในโลกยุคนี้จะมีความล้ำหน้าเกินกว่าเทคโนโลยีของยุคฉัน จนฉันไม่รู้จักอุปกรณ์ในห้องเลย


เมื่อเข้าใกล้แคปซูลจนมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในอย่างชัดเจน ระบบของฉันแทบจะหยุดทำงานเลยทันทีที่เห็น เพราะสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในแคปซูลนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนฉันไม่ผิดเพี้ยน!


ฉันปล่อยมือจากลูอิสโดยไม่รู้ตัว หรือนี่คือภารกิจที่แท้จริงที่ดึงฉันเข้าหา


ฉันเดินทางย้อนเวลากลับมา...เพื่อพบจุดกำเนิดของตัวเอง


“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน คิดไม่ถึงว่าคุณจะตกใจขนาดนี้” ลูอิสกล่าวด้วยความรู้สึกผิดแต่ก็ยังแฝงความเป็นห่วงฉันอยู่ในน้ำเสียง


“ในแคปซูลคือ แอนดรอยด์ต้นแบบ ที่ผมกำลังซุ่มทำงานวิจัยอยู่ เพื่อหวังปฏิวัติแอนดรอยด์ในแบบเดิมๆที่รูปลักษณ์ไม่สวยงามและดูไม่ทันสมัย” ลูอิสหยุดเล็กน้อยเพ่งมองมาที่ฉันด้วยสายตาวิบวาวก่อนที่จะกล่าวต่อ “ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณคงรู้นะครับว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ ผมจึงยึดเอาคุณมาเป็นต้นแบบถ่ายทอดลงเป็นแอนดรอยด์ตัวนี้ คุณคงไม่โกรธผมนะครับ...คุณอลิเซีย” ฉันรู้สึกได้ถึง ‘ความรัก’ ที่ถ่ายทอดผ่านทางคลื่นของน้ำเสียง รวมถึงสีหน้าและแววตาของเขา ซึ่งระบบประมวลผลกลางใจของฉันวิเคราะห์ออกมาให้ฉันรับรู้


แล้วลูอิสก็นำมือของเขามากุมมือของฉันอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยด้วยใบหน้ามุ่งมั่นแต่เปี่ยมด้วยความรักล้นใจ “ผมรักคุณนะครับ”


“ฉัน...ฉัน...” แม้ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังละเมิดกฏของความใกล้ชิด แต่วินาทีนี้ฉันก็มีแต่เขาอยู่เต็มหน่วยประมวลผลหัวใจเหมือนกัน ฉันอยากจะบอกเหลือเกินว่าคิดและรู้สึกเหมือนกันกับเขา แต่หลักฐานความปวดใจก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า ฉันคือแอนดรอยด์ที่เขาสร้างขึ้น แต่เขาเป็นมนุษย์ แล้วเราจะรักกันได้อย่างไร? ฉันเป็นแอนดรอยด์ที่มีชีวิตยืนยาวนานไม่มีวันแก่ไม่มีวันเสื่อม เพราะฉันสามารถถูกปรับปรุงและซ่อมแซมเปลี่ยนอะไหล่ได้ไม่มีวันสิ้นอายุ แต่เขาเป็นมนุษย์ที่มีวันแก่เฒ่าเจ็บป่วย และตกตายไปตามกาลเวลา ในอนาคตต่อจากนี้ศาสตราจารย์เจฟเฟอร์สันก็จะปลุกฉันขึ้นมาอีกครั้ง ให้ย้อนกลับมาพบกับเขาในอดีตที่ไม่มีตัวตนอีกแล้วในโลกที่แท้จริงของฉัน


จู่ๆใบหน้าของศาสตราจารย์เจฟเฟอร์สันก็แจ่มชัดในหน่วยความทรงจำ ทำไมเขาถึงได้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับลูอิสนัก หรือว่าลูอิสคือบรรพบุรุษของศาสตราจารย์


ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฉันกับลูอิสเริ่มทรงกายไม่อยู่


“แผ่นดินไหว! แต่ไม่ต้องกลัวนะอลิเซีย อาคารนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 6 ริกเตอร์” ลูอิสพูดพร้อมดึงฉันเข้าไปกระชับอยู่ในวงแขนของเขา


ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันพยายามทบทวนประวัติศาสตร์ต่อจากนี้ในฐานข้อมูลอย่างละเอียด จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ฉันเริ่มมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฉันจึงถูกส่งตัวย้อนกลับมาที่นี่ ฉันเริ่มจำได้ทีละอย่าง เพราะจริงๆแล้ว ฉันคือ...


“ลูอิส ระวัง!” ฉันผลักลูอิสให้พ้นรัศมีแผงคานคอนกรีตก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่กำลังหล่นลงมาใส่เรา


“ฉันก็รักคุณ อย่าลืมช่วยฉันนะ นานแค่ไหนฉันก็จะกลับมา” ฉันเค้นเสียงสุดท้ายเปล่งออกไปสุดพลัง ภาพสุดท้ายของลูอิสที่กำลังกระเด็นไปตามแรงผลักของฉันเหมือนเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่กลับรวดเร็วในความเป็นจริง ลูอิสพยายามรีบหันกลับมาเพื่อดึงฉันออกมา แต่ก็ไม่ทันการณ์ก่อนที่พื้นในจุดที่ฉันยืนจะทรุดตัวลงไปพร้อมก้อนคอนกรีตที่กดทับลงมา


แล้วทุกอย่างก็ดับมืดลง...


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++


อลิเซียค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เธอกระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับความสว่างภายในแคปซูล แล้วจึงเริ่มเพ่งมองออกไปยังความมืดนอกแคปซูล จึงมองเห็นเงารางๆของใครคนหนึ่งนั่งฟุบหลับคาโต๊ะอยู่หน้าแคปซูล ครู่ต่อมาฝาแคปซูลก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ


อลิเซียเดินไปยังโต๊ะทำงานหน้าแคปซูล ก่อนที่เธอจะเอามือลูบไล้จากไหล่สู่ท่อนแขนของศาสตราจารย์เจฟเฟอร์สันด้วยความแผ่วเบา แต่เจือด้วยความรักอย่างล้นเหลือ แล้วศาสตราจารย์เจฟเฟอร์สันก็รู้สึกตัวตื่น


“คุณกลับมาแล้วหรือ? อลิเซีย” ศาสตราจารย์เจฟเฟอร์สันเงยหน้าขึ้นเพ่งมองบุคคลที่เป็นเจ้าของสัมผัสอันนุ่มนวล ปลุกเขาจากฝันร้ายของการรอคอยเนิ่นนาน สู่ความเป็นจริงที่ได้หวนกลับมาพบพานกัน


“ฉันจำได้แล้วค่ะ” อลิเซียเหม่อมองเส้นผมสีเทาที่ขึ้นแซมอยู่บนศีรษะของศาสตราจารย์ไม่น้อย ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเท่าไรนัก เพียงแต่เพิ่มด้วยริ้วรอยไม่ลึกไม่บางอยู่หลายแห่ง แล้วอลิเซียจึงกล่าวต่อ “คุณคือ ลูอิส อดีตผู้อำนวยการซึ่งทำการวิจัยลับเพื่อพัฒนาแอนดรอยด์ที่เหมือนมนุษย์โดยใช้ฉันเป็นต้นแบบ” จากนั้นเธอจึงคว้ามือของศาสตราจารย์มากุมไว้


“คุณจำได้แล้วจริงๆ” ศาสตราจารย์คลายมือจากการเกาะกุมของอลิเซียดึงเธอเข้ามาสวมกอด


“ทำไมคุณต้องกุว่าฉันเป็นแอนดรอยด์ด้วยล่ะคะ แถมยังเรื่องกฎของความใกล้ชิดอะไรนั่นอีก แค่ให้ฉันนั่ง Time Machine ย้อนเวลาไปอดีตตอนรู้จักคุณใหม่ๆ ฉันก็จำคุณได้แล้ว ปล่อยให้ฉันหลงคิดว่าตัวเองเป็นแอนดรอยด์อยู่ตั้งนาน” อลิเซียผลักใสตัวเองออกจากอ้อมกอดศาสตราจารย์ด้วยใบหน้าเง้างอน


“อลิเซีย คุณรู้ไหม คุณแทบไม่เปลี่ยนไปเลย นับตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอคุณ จนถึงวันนี้” ศาสตราจารย์เหม่อมองอลิเซียด้วยความรักลุ่มหลง ฝ่ามือของเขาลูบแก้มอลิเซียไปมาด้วยความเอ็นดู


“ก็เพราะหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันนั้น คุณก็สูญเสียความทรงจำทั้งหมด คุณจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร จำไม่ได้ว่าผมคือใคร คุณหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึง...ความรักของเรา” ศาสตราจารย์หยุดเล็กน้อยเพื่อถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “คุณรู้ไหมเมื่อคุณได้สติอีกครั้ง นัยน์ตาของคุณก็มีแต่ความว่างเปล่า คล้ายไม่มีตัวตนอีกแล้ว มีเพียงแต่ลมหายใจแต่ไร้ชีวิต”


“อีกทั้งโครงการแอนดรอยด์ของผมที่ใช้คุณเป็นต้นแบบก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เท่ากับผมต้องเริ่มใหม่สถานเดียว ดังนั้นผมจึงเลิกที่จะทำโครงการแอนดรอยด์แล้ว แต่เปลี่ยนมาทำโครงการ Memory Machine เพื่อดึงความทรงจำของคุณกลับคืนมา”


“Memory Machine?” อลิเซียทวนคำด้วยความฉงน


“ใช่...ถ้าผมสามารถสร้าง Time Machine ได้ ผมคงย้อนเวลาพาคุณออกไปจากจุดที่เกิดแผ่นดินไหวแล้ว แคปซูลนั่นคือ Memory Machine ที่ช่วยดึงความทรงจำของคนที่สูญเสียความทรงจำให้กลับคืนมา แต่ที่ผมต้องหลอกให้คุณคิดว่าตัวเองเป็นแอนดรอยด์ และเชื่อเรื่องกฎของความใกล้ชิดนั่นก็เพราะข้อจำกัดของเครื่อง Memory Machine”


ศาสตราจารย์ดึงอลิเซียเข้าซบที่ไหล่ของตนอีกครั้ง


“เนื่องจากการที่เครื่อง Memory Machine จะเข้าแทรกแซงเพื่อดึงความทรงจำของใครกลับมาได้นั้น ผู้นั้นต้องมีกระบวนความคิดในระบบดิจิตอล ถ้ายังคงคิดในอารมณ์ความรู้สึกแบบอนาล็อค ก็ยากที่เครื่องจะเข้าดึงความทรงจำเพราะเครื่องนี้มันทำงานบนพื้นฐานระบบดิจิตอล ดังนั้นฉันจึงต้องหลอกให้เธอคิดแบบดิจิตอลเป็นแอนดรอยด์ ในส่วนของกฎของความใกล้ชิดนั้น ก็เหมือนเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้เธอระลึกได้เป็นระยะๆว่าตลอดเวลาที่เธอยู่ภายใต้กระบวนการทำงานของเครื่อง Memory Machine นั้นไม่ใช่โลกที่แท้จริง เพราะเมื่ออยู่ใน Memory Machine เธอก็จะได้เห็นได้ระลึกถึงวันเวลาเก่าๆในความทรงจำของเธอ ที่แทบแยกไม่ออกว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่เรื่องในความทรงจำ ฉันจึงต้องใช้กฎของความใกล้ชิดเพื่อช่วยดึงเธอออกจากโลกในความทรงจำ มิเช่นนั้นเธอก็อาจจะวนเวียนอยู่ในโลกเก่าใบนั้นตลอดกาล”


“แล้วถ้าฉันกลับมาไม่ได้ล่ะ”


“ด้วยความรักที่ผมมีต่อคุณ ทำให้ผมเชื่อว่ายังไงคุณต้องกลับมาแน่นอนแม้ไม่แน่ใจว่าจะยาวนานแค่ไหน และด้วยความรักที่คุณมีต่อผม ก็ทำให้ผมมั่นใจว่าจะช่วยพาคุณกลับมาหาผมด้วยเช่นกัน” ศาสตราจารย์หยุดเล็กน้อยพร้อมกับลูบไล้เรือนผมของอลิเซียอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะกล่าวต่อ “เพราะไม่ว่าวันเวลาจะผ่านเลยหรือเทคโนโลยีจะก้าวล้ำเพียงไหน ก็ยังไม่อาจสู้พลังแห่งความรักได้ เพราะความรักทำให้เกิดความทรงจำ เมื่อมีความทรงจำ Memory Machine จึงทำให้คุณได้ระลึกถึงความทรงจำเก่าๆเหล่านั้นได้ แต่ถ้าใจคุณปราศจากความรักต่อผมเสียตั้งแต่ต้น Memory Machine ก็ไร้ความหมาย”


“และเพราะความรักที่ผมมีต่อคุณ ผมจึงสามารถสร้าง Memory Machine ได้สำเร็จ” ศาสตราจารย์เจฟเฟอร์สันกระชับอ้อมแขนพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆถึงโชยกลิ่นของคนรักที่เขาโหยหาราวกับกลัวว่าความรักจะหลุดลอยจากเขาไปอีกครั้ง


อลิเซียค้นพบแล้วว่าชีวิตของเธอจะไร้ความหมายว่างเปล่าเพียงใด หากไร้ซึ่งความรักจากชายผู้ที่เธอกำลังอิงแอบ ชายผู้ที่รอคอยและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้กลับมารักเธอ


++++++++++++++จบ++++++++++++++


เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนต์เรื่อง The Notebook , นิยายของคุณรุริกะเรื่อง ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 5 : นัตสึกิ) ต้องขอขอบคุณคุณรุริกะจริงๆที่เขียนเรื่องดีๆอย่างนี้มาให้อ่าน
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12245183/W12245183.html

จากคุณ : Shaolin boy
เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 00:05:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com