10
วันนี้ทรงพลเข้ามาที่บริษัท เขาเดินดูงานไปเรื่อย ๆ จนขึ้นมายังแผนกออกแบบ ขณะที่กำลังเดินผ่านห้องครัวเล็ก ๆ ที่มีไว้สำหรับชงกาแฟหรืออุ่นอาหาร เดิมทีคิดจะเดินผ่านไป แต่มีบางประโยคลอยมาจนทำให้ต้องหยุดฟัง
“พี่อาร์มคะ คุณวิชไม่มาอีกเหรอคะ”
“ไม่รู้สิ ไม่มาแล้วมั้ง”
มีเสียงช้อนกระทบแก้วกาแฟดังกรุ๊กกริ๊ก และมีอีกเสียงที่บ่งบอกว่าในห้องนั้นมีสามคน “ไม่มาหรอก เขาจีบสาวอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหนนะ คุณรินคนสวยน่ะ”
“รินไหนคะ”
“พิมเพิ่งมาใหม่เลยไม่รู้ คุณรินเคยเป็นแฟนคุณเมศลูกชายท่านประธาน เกือบจะแต่งงานกันอยู่แล้วเชียว คุณเมศเสียเพราะโดนรถชน คุณรินเลยเป็นม่ายขันหมาก แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าคุณวิชชอบอาจจะดองกันรุ่นหลานก็ได้”
ทรงพลตัวแข็งค้าง เมื่อได้ยินสิ่งที่กระทบใจ
“รู้ได้ยังไงว่าเขาชอบ” หัวหน้าแผนกถามเรียบ ๆ
“วันก่อนหนูเห็นเขาเดินด้วยกันที่โรงหนังน่ะค่ะ คุยกันกระหนุงกระหนิงเชียว คุณรินน่ะเป็นคนสวย แถมยังเก่ง ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนจีบ คุณวิชคงไม่สนใจหรอกว่าเคยเป็นแฟนอาตัวเองมาก่อน...”
“นี่เบา ๆ หน่อย” หัวหน้าปราม
“พิมอยากเห็นจัง มีรูปคุณรินไหม”
“น่าจะมีนะ” คนที่เล่าเรื่องบอก “เขาออกงานอยู่เรื่อย เพิ่งประมูลงานทำถนนได้ เดี๋ยวหาให้”
“ไม่ต้องเลย ไป ๆ ทำงาน เห็นท่านประธานแว้บ ๆ เดี๋ยวก็แจ็คพอตแตกหรอก” หัวหน้าตัดบทอย่างจริงจังรวมทั้งอ้างเจ้าของบริษัทจึงทำได้การสนทนาหยุดลง
ในอกทรงพลร้อนระอุ เขาได้ยินข่าวที่ไม่น่าฟัง และชื่อคนที่ไม่อยากได้ยิน ซ้ำร้ายกว่านั้น คนที่เขารักยังไปเกี่ยวข้อง ชายวัยเจ็ดสิบเปลี่ยนใจจากการเดินดูงานปกติ แล้วตรงไปยังห้องทำงานของเทวินแทน การพูดคุยตามประสาผู้ชายน่าจะผ่อนคลายมากกว่าได้ยินคำซุบซิบจุกจิกแบบผู้หญิง และคงทำให้อารมณ์สงบลงได้
หลังจากนั้นท่านประธานก็เดินออกมา สถานที่ต่อไปคือที่ทำการพรรคธรรมรักษ์ วันนี้เขามีนัดกินมื้อเที่ยงกับหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน สถานการณ์การเมืองส่อเค้ายุบสภาอีกไม่ช้า หลายพรรคเรียกได้ว่าจัดเตรียมผู้สมัครกันไว้แล้ว เขาต้องไปหยั่งเสียงไว้ก่อน
พอก้าวเข้าในอาคาร เสียงพูดคุยที่ดังงึมงัมก็หยุดลงทันที ชวนให้สงสัยว่าคนกลุ่มนั้นกำลังพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาหรือเปล่า เมื่อหวนคิดไปถึงคำนินทาของพนักงานที่บริษัทแล้วชวนให้หงุดหงิดจนสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่าน สวัสดีครับ”
สุเชาวน์หัวหน้าพรรควัยห้าสิบเดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม ขัดจังหวะสงสัยของทรงพลได้ทันที ทั้งคู่ทักทายกันก่อนจะเดินไปยังห้องอาหารของพรรคตามที่นัดหมาย
ทรงพลกลับถึงบ้านเมื่อบ่ายคล้อย ไม่เห็นรถที่ปัญวิชช์ใช้ประจำก็รู้ทันทีว่าหลานชายยังไม่กลับบ้าน อารมณ์ที่สงบไปแล้วปะทุขึ้นมาอีก เขาเดินไปยังเรือนเล็กอีกหลังซึ่งเป็นของครอบครัวลูกชายคนโต
“นี...ลูกชายเธอไปไหน”
วิลาสินีกำลังคิดบัญชีรายรับจ่ายถึงกับสะดุ้ง จะแสดงความสงสัยว่าทำไมพ่อสามีถึงได้พรวดพราดเข้ามา แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาก็เปลี่ยนใจ ตอบเรียบ ๆ
“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ นีไม่ได้ถาม แต่คงไปหาเพื่อนเหมือนเดิมน่ะค่ะ”
“หาเพื่อนอะไรนักหนา งานการไม่ทำ” ทรงพลจะบ่นแต่คิดขึ้นได้ว่ามีคำถาม “วิชเล่าอะไรให้เธอฟังหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องทั่ว ๆ ไป เวลามาคุยมันพูดอะไรบ้าง เพื่อนคนนี้เป็นใคร”
ลูกสะใภ้พยายามประมวลจุดประสงค์ของพ่อสามี “คุณพ่อหมายความว่ายังไงคะ นีไม่เข้าใจ”
ทรงพลแสดงอาการหงุดหงิดชัดเจน “ที่บริษัทเขาลือกันว่าเจ้าวิชคบผู้หญิง” วิลาสินีกำลังจะอ้าปากว่าเป็นเรื่องแปลกตรงไหน ทรงพลก็เฉลยก่อน “แถมยังเป็นยัยนภัสรินทร์คนนั้นด้วย คิดยังไงของมัน”
ได้คำตอบแล้วแต่ยังสงสัย วิลาสินีรู้จักนภัสรินทร์เป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งที่หญิงสาวเกือบมาดองญาติกัน อุบัติเหตุครั้งนั้นบิดชะตาชีวิตออกไป “หมายความว่า...”
“ก็หมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นจะมาจับลูกชายเธอน่ะสิ ไม่ได้ล่ะ ฉันจะคุยกับมันให้รู้เรื่อง” พูด ๆ แล้วก็เดินปึงปังออกไป
ลูกสะใภ้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่หลายนาที เมื่อปะติประต่อเรื่องราวได้ก็พบว่าพอจะมีเหตุผล เมื่อวันก่อนเธอพึ่งคุยเรื่องเจ้าของขนมเค้กกล่องนั้นรวมทั้งคุ้กกี้กล่องใหม่ ลูกชายปฏิเสธว่าเป็นแค่คนรู้จัก แสดงว่าเรื่องผู้หญิงมีเค้ามูล แต่
เธอแปลกใจ เท่าที่จำได้ และเท่าที่เคยพูดคุย นภัสรินทร์ไม่ใช่คนทำขนมเป็นนี่นา
อารมณ์รื่นรมย์ของปัญวิชช์สะดุดลงเมื่อเห็นผู้เป็นปู่นั่งหน้าตูมอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก วินาทีแรกเขาคิดทันทีว่าต่อไปจะเรียกช่างมาทำทางเดินลัดตัดสวนเพื่อไปเรือนหลังเล็กเสียที เนื่องจากเป็นความคิดของปู่ที่จะได้เห็นสมาชิกทุกคนต้องเดินผ่านห้องโถงไม่ว่าจะเข้าหรือออก จึงทำสวนหย่อมขวางไว้
ชายหนุ่มทำไม่รู้ไม่ชี้เดินผ่าน
“วิช มาคุยกันก่อน”
เขาเหลือบมองแล้วเดินมานั่งแต่โดยดี หางตาเห็นผู้เป็นแม่ยืนมองมาจากมุมครัว มีลางว่าวันนี้ได้มีพายุลูกใหญ่เกิดขึ้น และมีอาฟเตอร์ช็อคต่อเนื่องมาถึงเขา
ทรงพลปล่อยให้ในอากาศมีช่องว่างอยู่พักหนึ่ง “ถามอีกครั้ง เมื่อไหร่จะทำงาน”
“เขียนหนังสืออีกเล่มให้จบก่อน”
คนฟังยกคิ้ว เป็นคำตอบโดยง่าย คิดว่าจะถูกหลานชายยียวนใส่อย่างเคย
“แล้วจะเขียนเสร็จเมื่อไหร่”
“ยังบอกแน่นอนไม่ได้ครับ แต่ไม่ใช่ภายในหนึ่งเดือน”
สายตาที่มองมาเปี่ยมด้วยความเป็นประมุขของบ้าน “ปู่ขอให้แกทำให้เสร็จ แล้วมาทำงานให้ปู่”
ปัญวิชช์กะพริบตา “งานอะไรครับ”
“เจ้าวิช”
“ปู่ก็รู้นี่ครับว่าใจปู่ไม่ได้มีงานเดียว ผมคิดว่าตัวเองเลือกได้”
“ปู่ยังบอกแกไม่ได้ ขอตัดสินใจก่อน”
คนอ่อนวัยกว่าจุดยิ้ม “ถ้างั้นผมขอให้ปู่ตัดสินใจ แล้วบอกทางเลือกให้ผมนะครับ ผมจะเขียนหนังสือก่อน” เขาทำท่าจะลุกขึ้น
“หวังว่าแกคงจะทำแค่เขียนหนังสือ ไม่ใช่ใช้เวลาไปวิ่งตามใครเพื่อเตะถ่วงไม่เลือกงานตามที่ฉันคิด”
ปัญวิชช์ขมวดคิ้ว “ปู่หมายความว่ายังไง”
ทรงพลกลับมาด้วยท่าทีถือไพ่เหนือกว่า ปัญวิชช์มองกิริยาและแววตานั้นออก
“แกไปจีบผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
“คนนั้น”
“ยัยนภัสรินทร์ไง”
เขาไม่สงสัยเลยว่าปู่รู้ได้ยังไง “แล้วยังไงครับ”
“แล้วยังไงเหรอ” ทรงพลโน้มตัวมาข้างหน้า เสียงสูง “แสดงว่าจริงสินะ คิดอะไรอยู่ ผู้หญิงอื่นตั้งเยอะทำไมต้องไปชอบยัยนั่น แกลืมไปแล้วหรือไงว่ายัยนั่นทำอะไรไว้ ยัยนั่นเป็นต้นเหตุให้อาแกต้องตายนะ”
ปัญวิชช์เริ่มมีอาการขุ่นขึ้นมาบ้าง แต่พยายามระงับไว้ “ผมจำได้ว่าอาตายเพราะโดนรถชน”
“ก็เพราะแม่นั่นแหล่ะ!” ทรงพลตะคอก แม้แต่คนใช้ที่เดินผ่านอยู่ตรงมุมบ้านยังสะดุ้ง “ยัยนั่นเห็นว่าใครทำแน่ ๆ แต่ไม่ยอมบอกชื่อคนร้าย แบบนี้จะไม่ใช่เป็นสาเหตุได้ยังไง หรือไม่ก็ต้องรู้เห็น วิช ปู่ของสั่งแกนะ เลิกยุ่งกับแม่นั่นซะ คนอย่างนั้นไม่เคยจริงใจกับใครหรอก”
“ปู่อย่าว่ารินนะครับ รินไม่เกี่ยว” ปัญวิชช์เสียงแข็งบ้าง
“ทำไมฉันจะว่าไม่ได้ ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้นแหล่ะว่าแม่นั่นหว่านเสน่ห์ไปทั่ว กะอีแค่ผู้หญิงที่เอาความสวยแลกผลประโยชน์ให้ตัวเอง ผ่านมาไม่รู้จักเท่าไหร่แล้ว แกจะไปต่อแถวกับเขาหรือไง!”
ชายหนุ่มกำมือ ขบฟัน “ผู้หญิงคนนั้นของปู่น่ะ ปู่ลืมไปแล้วหรือไงว่าครั้งหนึ่งก็เคยยอมรับอยากให้เขามาเป็นลูกสะใภ้”
ทรงพลชะงัก ถูกหลานชายย้อนอย่างไม่เกรง “ก็ตอนนั้นยังไม่รู้นี่ว่านิสัยที่แท้จริงเป็นคนแบบนี้ เอาล่ะ ยังไงก็ตาม ฉันไม่ให้แกคบหาผู้หญิงคนนี้ เข้าใจไหม”
อีกฝ่ายนิ่ง ก่อนตอบสั้น “ไม่ครับ”
“เจ้าวิช!!”
“นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม เรื่องงานปู่อาจจะสั่งผมได้ แต่เรื่องนี้ไม่เด็ดขาด ผมชอบริน ผมไม่สนใจเรื่องในอดีตอะไรทั้งนั้น!” ปัญวิชช์กระแทกเสียงแล้วเดินลิ่วอออกไป
ทรงพลลุกพรวด หน้าแดงก่ำ “เจ้าวิช เดี๋ยวก่อน กลับมานะ ฉันไม่ให้แกคบ ได้ยินไหม!”
เสียงทรงพลดังก้องห้องโถงแม้ว่าจะลับร่างปัญวิชช์ไปแล้วก็ตาม และทำให้บรรยากาศของบ้านในเย็นวันนั้นอึมครึม บรรดาคนใช้ต่างรู้กันว่า มวยระหว่างปู่หลานคู่นี้เพิ่งเริ่มต้นในยกแรกเท่านั้นเอง
ขณะที่ปู่กับหลานบ้านชัยเตชินญ์งัดข้อกัน บ้านศิริภัณฑ์เปรมก็มีโอกาสได้ต้อนรับสองพ่อลูกจากกุลโยธา รังสรรค์มาพร้อมกับนีรนารถ ยงยุทธให้คนจัดเตรียมอาหารเย็นไว้ชุดใหญ่ มีเอกสิทธิ์กับอภิญญาภรรยาของรังสรรค์ร่วมโต๊ะ หัวข้อสนทนาเรื่องสัพเพเหระ กระทั่งวนมาเรื่องของหนุ่มสาว
“หนูนารถโตขึ้นเยอะ เรียนจบแล้วพ่อก็สบายแล้วสิ ได้มาช่วยงาน”
นีรนารถพยักหน้า “ค่ะ”
“มีลูกสาวสองคนแบบนี้ หัวบันไดไม่แห้งแน่ เห็นแบบนี้เราน่าจะดองกันจริง ๆ นะสรรค์” ยงยุทธกระเซ้าผู้เป็นทั้งเพื่อนและคู่ค้า ลูกสาวแก้มระเรื่อ
“พ่ออย่าไปแหย่น้องเขาอย่างนั้นสิครับ” เอกสิทธิ์พูดยิ้ม ๆ อีกฝ่ายหันมา
“ต้องให้แหย่อีกคนใช่ไหม” เขาหลิ่วตา ลูกชายได้แต่ยิ้ม
จังหวะนั้นนีรนารถฉุกใจขึ้นมา ‘อีกคน’ หมายถึงใครที่ไม่ใช่เธอ นภัสรินทร์เหรอ อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนี้ชอบยัยลูกติดเมียน้อยคนนั้น หญิงสาวทบทวน ล่าสุดที่เธอรู้คือนภัสรินทร์มีคู่หมั้นแล้ว และก็เสียไปแล้วเพราะอุบัติเหตุ นั่นแปลว่า ตาคนนี้จะเข้ารับตำแหน่งแทนอย่างนั้นเหรอ
พอเห็นท่าทางยิ้มพอใจของเอกสิทธิ์ นีรนารถพลันเกิดความอคติขึ้นมา เธอไม่ค่อยชอบแววตาเจ้าชู้และกลิ่นอายความเป็นเพลย์บอยจากเขาเป็นทุนเดิม ยิ่งพอรู้ว่าเขาหลงเสน่ห์คู่อริก็พาลไม่อยากมองหน้า
“น่าเสียดายที่ผมมีลูกชายคนเดียว”
“พูดแล้วก็นึกได้ หนูวีเป็นยังไงบ้าง” รังสรรค์ถามถึงวีรญาลูกสาวคนเล็กของครอบครัว
“ก็สบายดีครับ สบายจนทำท่าเหมือนไม่อยากกลับ”
“เรียนจบแล้วหรือยังครับ” ยงยุทธหลบตาวูบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“เขาขอเที่ยวอีกสักหน่อยค่อยทำงาน ผมเลยไม่บังคับ ผมว่าเราดื่มชากันหน่อยดีกว่า หนูนารถเอาขนมไหม เดี๋ยวลุงให้เขาจัดให้” เจ้าบ้านเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ต้องการให้วีรญาเป็นหัวข้อสนทนา เนื่องจากเขาเองก็รู้แก่ใจว่า ไม่มีเรื่องจริงที่ชัดเจนที่จะเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
...
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ก.ค. 55 15:17:51
|
|
|
|