Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 24 ติดต่อทีมงาน

มาแล้วครับ บทที่ 24
ขอขอบคุณมิตรนักอ่านทุกท่าน รวมทั้งกิฟต์จาก คุณ นวลน้ำผึ้ง, คุณทะเลเดือดพันธุ์ร็อค,คุณ แก้วกังไส, คุณ wor_lek,คุณปุ้ย npuiy,อาจารย์จี GTW, คุณนุ้ย นารีจำศีล, คุณเพชรรุ้งพราย, คุณโอ เขมปัณณ์,คุณไก่ kdunagin,คุณ เรียวรุ้ง, คุณHermosa, คุณmimny, คุณรพิชา, คุณกาแฟเย็นเพิ่มช็อต, คุณ mementototem และคุณ สายลมที่พริ้วไหว ด้วยครับ

สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12348187/W12348187.html

ตอบเพื่อนนักอ่านส่วนที่เหลือจากครั้งก่อนนิดหนึ่งนะครับ

อาจารย์จี : บทนี้ขอตัดฉับมาที่เหตุการณ์ในอดีตครับ ทิ้งเหตุการณ์ในสายฝนเอาไว้ก่อนสักครู่นะครับ

น้องทะเลเดือดพันธุ์ร็อค : บทนี้คุณย่าผอบแก้วมาเองแล้วครับ

คุณscottie : บทนี้แหละครับ จะเริ่มมารู้จักกับ คุณย่าซะที ว่าเป็นยังไงกันแน่ครับ

คุณ mimny : เพื่อยืนยันว่า นางเอกของเราไม่ได้คิดไปเองครับ

คุณสายลมที่พริ้วไหว : งานนี้ผีไม่น่ากลัวเท่าไรครับ เพราะมาเพื่อจะบอกอะไรบางอย่างแก่ปีระกา... ติดตามไปด้วยกันนะครับ

มาต่อกันได้เลยครับผม

บทที่ 24

พ.ศ. 2482 : พระนคร


                ผอบแก้ว ก้าวลงจากรถโอเปิลสีเหลืองสดคันใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเป็นเจ้าของได้ไม่นาน ทันทีที่พาหนะคันงามแล่นมาจอดเทียบหน้าเรือนไม้ขนาดใหญ่ของพระยาพิทักษ์พนาลัยผู้เป็นบิดา หญิงสาวเรือนร่างสูงเพรียวแลดูปราดเปรียวในชุดนำสมัยอย่างที่เรียกกันว่า “แหม่มจ๋า” ด้วยทรงผม “ซิงเกิล”ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในยุคสมัยนั้น


               เจ้าตัวรีบคว้าร่มแพร และกระเป๋าถือเข้าชุดกันที่ติดตัวมาด้วยแล้วแทบจะเดินแกมวิ่ง ตัวปลิวลงจากรถในทันทีเมื่อมันจอดสนิท ไม่แม้แต่จะรอนายผาด คนขับรถวัยสามสิบเศษในชุดเครื่องแบบสะอาดเอี่ยมที่รีบดิ่งลงจากฝั่งคนขับเพื่อไปเปิดประตูรถให้อย่างอ่อนน้อม ท่าทีของเขานั้นค่อนข้าง “เกรง” ธิดาสาวของผู้เป็นเจ้านายอยู่มิใช่น้อย


              ท่าทางของคุณอบ ใจร้อนรนเสียยิ่งกว่าไฟ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าอาคันตุกะผู้มาเยือนเรือนของท่านเจ้าคุณบิดานั้นเป็นใคร


             นายผาดเกือบเผลอส่ายหน้ากับตัวเอง หากก็ยั้งไว้ได้ทัน


           ใครๆในเรือนคนใช้ต่างพูดถึงเจ้านายสาวของเขาเป็นเสียงเดียวกัน โดยเฉพาะนางศรี ภรรยาของเขาผู้ทำหน้าที่แม่บ้านให้กับท่านเจ้าคุณมาก่อน


              “พี่ผาดก็ระวังหน่อยแล้วกันนะ คุณอบเธอเป็นคนเจ้าอารมณ์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจ้าคุณท่านเลี้ยงตามใจเหลือเกิน ลูกสาวคนเดียวเป็นเหมือนหัวแก้วหัวแหวนก็อย่างนี้แหละ”


           เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง แม้แต่นางศรีที่ไม่ใช่คนช่างพูดช่างเจรจาก็ยังอดปากไว้ไม่ได้


            พี่ผาดเองก็เถอะ อย่าเผลอทำให้เธอปึงปังขึ้นมาเทียวเล่า ไม่งั้น พวกเรามีหวังถูกเฉดหัวออกจากเรือนท่านเจ้าคุณไม่รู้ตัว แล้วจะต้องลำบากไปหางานทำกันใหม่”


             เขาเองก็คอยระมัดระวังอยู่ไม่ใช่น้อย แต่บางครั้งก็มิอาจคาดเดาอารมณ์ของผู้เป็นเจ้านายได้เลย ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงเสียอีกที่ไอ้ผาดไม่รู้สึกเกรงกลัวเท่า เพราะท่านค่อนข้างมีเมตตากับเขาและครอบครัวให้ที่พักอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาแห่งนี้มาหลายปี ยกเว้นก็อยู่ข้อเดียวเท่านั้น


                 นั่นก็คือรักบุตรีผู้เดียวคนนี้ จนไม่ยอมฟังเสียงใครอื่นใดทั้งสิ้น และวันนี้ก็เช่นกันที่ คุณอบ อารมณ์เสีย ตั้งแต่เขาไปรอรับเธอที่พาหุรัดจนกลับมาถึงบ้าน


                “ไม่ไปกันละ งานฤดูหนาวสวนอัมพรคราวนี้ ขวางยายมาณวิกานัก ทำเป็นแม่รีแม่แรด ริอ่านจะมาตีตัวเสมอกับเรา ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเสียมั่งว่าตัวเองเป็นใคร!”


                  นายผาดได้ยินแต่เสียงผู้เป็นนายสาวผรุสวาท เป็นเชิงบ่นพึมพำกับตัวเองมาตลอดทาง คนขับรถได้ยินชื่อสาวสังคมผู้นั้นมาก่อนเหมือนกัน ในฐานะเพื่อนร่วมสมาคมเดียวกับคุณอบนั่นแหละ เพียงแต่การคบหาระหว่างหญิงสาวผู้โสภาและมั่นใจในตัวเองทั้งคู่ต่างเต็มไปด้วยลีลามารยาทฉาบหน้าเอาไว้เท่านั้น ในเมื่อทั้งสองคนต่างแข่งขันกันให้เป็นดาวเด่นอยู่ในที


                มาณวิกา แม้จะไม่ได้มีบิดาเป็นขุนน้ำขุนนางเหมือนกับผอบแก้ว แต่หล่อนก็เป็นถึงธิดาของคหบดีชื่อดังและร่ำรวยอยู่ไม่น้อย


               “ก็แค่ลูกสาวพ่อค้าปลาสดนั่นแหละ”


              ลับหลังผอบแก้วก็จะเรียกอีกฝ่ายอย่างหยันเหยียดอยู่ในที เจ้าหล่อนภูมิใจในความเป็นลูกสาวพระยาพิทักษ์พนาลัยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเจ้าคุณพ่อ กำลัง “ขึ้นหม้อ” มีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่ในปัจจุบัน และความนิยมในเกียรติยศชื่อเสียงของการทำงานเป็นขุนนาง มากกว่าจะเป็นเพียงพ่อค้าขายของ


                  และเมื่อนายผาดขับรถมาจอดถึงหน้าเรือนเท่านั้น อากัปกิริยาอันหงุดหงิดเจ้าอารมณ์ก็แปรเปลี่ยนไปราวกับคนละคน คุณอบรีบเปิดประตูรถวิ่งออกไปที่ระเบียงเรือนด้านหน้าทันที เมื่อเห็นรถเก๋งสีเทาควันบุหรี่จอดนิ่งอยู่ เขารู้ในทันทีว่าเป็นของผู้ใด


                 คุณหลวงอนุรักษ์วนาดร นั่นเอง!!

             **********************


               หัวใจของผอบแก้ว เต้นแรงจนแทบปะทุออกมานอกทรวงอก ลืมเรื่อง “ขวาง”กับมาณวิกาไปสนิทใจ หญิงสาวบรรจงจรดปลายเท้าเพียงแผ่วเบา ระมัดระวังรักษาอากัปกิริยาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนเดินผ่านเฉลียงขนาดยาวมาถึงหน้าห้องรับรองแขกของเจ้าคุณพ่อ เจ้าหล่อนค่อยๆแง้มม่านผ้าลูกไม้โปร่งบางที่ขึงไว้ที่มุมประตูออกจากกัน แล้วเมียงหน้ามองผ่านเข้าไป


            เจ้าคุณพิทักษ์ฯในชุดเสื้อคอป่านกางเกงแพรขาวอย่างอยู่กับบ้านในอิริยาบถสบายๆ ท่านกำลังเอนร่างกึ่งพิงพนักอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวโปรด ปากคาบกล้องบุหรี่การ์ลิค*ในท่าโก้เก๋อันเป็นอิริยาบถประจำตัวและทอดสายตาไปยังอาคันตุกะที่นั่งเยื้องไปทางซ้ายมือ

            บุรุษหนุ่มผู้นั่นเองที่เป็นต้นเหตุทำให้มือของผอบแก้วถึงกับสั่นน้อยๆระหว่างแหวกผืนม่านให้กว้างขึ้นไปอีก หล่อนมองเห็นร่างบุรุษหนุ่มในดวงใจกำลังนั่งสนทนากับเจ้าคุณพ่อ ด้วยท่าทางผึ่งผายทรงภูมิยิ่งนัก


            เสียงของเจ้าคุณพ่อดังแว่วมาพอจับความได้ชัดเจน


               “ฉันพอจะเข้าใจล่ะพ่อเศาร์ คนหนุ่มก็อย่างนี้แหละ ไฟแรง แต่อย่างไรเสีย เราก็ต้องนึกถึงการสร้างฐานะครอบครัวให้มั่นคงเป็นปึกแผ่นด้วยเทียวนะ”


                 “ขอรับท่านเจ้าคุณ กระผมซาบซึ้งในความกรุณาของท่านยิ่งนัก แต่จำต้องขอปฏิเสธจริงๆ มันเป็นความตั้งใจของกระผมอยู่แล้วที่จะเดินทางไปทำงานที่นั่น”


               พระยาพิทักษ์พนาลัยพ่นควันบุหรี่ออกมา นัยน์ตาทอดมองลูกน้องในบังคับบัญชาอย่างหนักใจ


                “ฉันเสียดายพ่อเศาร์นะ ถ้ารับราชการในกรม หรืออยู่ตามหัวเมืองใกล้พระนคร มันก็น่าจะสร้างความเจริญก้าวหน้าได้ดีกว่าจะไปอยู่ในป่าในดง ได้ข่าวทางมณฑลโน้นเอง มีโจรผู้ร้ายชุกชุมอยู่ใช่น้อย การเดินทางก็ยังลำบากทุรกันดาร”


             ผู้อาวุโสมองอีกฝ่ายออกชัดเจน คนหนุ่มหัวก้าวหน้าอย่างหลวงอนุรักษ์ฯ มีความเด็ดขาดอยู่ในตัว แม้ท่าทีภายนอกจะดูอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็มองเห็นความตั้งใจ เอาจริงเอาจังแฝงอยู่ภายในดวงตาคมกล้าคู่นั้น


               ที่ทำให้บุตรสาวสุดที่รักของเขาไม่อาจถอนตัวได้ขึ้นนั่นเอง และนี่คือปัญหายิ่งใหญ่ที่คนเป็นพ่อกังวลอยู่ในเวลานี้


              ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หลวงอนุรักษ์วนาดรไม่เคยปฏิเสธการรับเชิญจากท่านให้ไปร่วมรับประทานอาหารที่บ้าน หรือแม้แต่รับปากช่วยดูแลผอบแก้วเป็นอย่างดี ในฐานะของคนเป็นพ่อ เขามองเห็นความสัมพันธ์ที่งอกงามขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้ว่าเป็นนิมิตหมายอันดี


            โดยเฉพาะผอบแก้ว ดูออกว่าบุตรสาวคนเดียวมีท่าทีพึงใจคุณหลวงหนุ่มผู้นี้อยู่ไม่น้อย... อันที่จริงแล้ว น่าจะเรียกว่ามาก จนเป็นความลุ่มหลงเลยด้วยซ้ำ ผอบแก้วเป็นคนรักแรงเกลียดแรงเสียจนท่าทีที่หล่อนแสดงออกต่อผู้คนรอบข้างจึงเห็นได้ชัดเจนโดยแทบไม่ต้องเดาให้เมื่อยความ  ส่วนตัวท่านเองก็พึงพอใจในชายหนุ่มผู้นี้อยู่เช่นกัน แต่น่าแปลก ที่กลับอ่านท่าทีของหลวงอนุรักษ์ไม่ออก


                 ไม่ใช่ท่าทีแห่งการปฏิเสธไมตรีหรือยอมรับอย่างชัดเจน คุณหลวงหนุ่มรูปงามผู้คมสัน เป็นคนเก็บงำความรู้สึกของตนเองได้ดีเยี่ยม จนเขานึกว่าฝ่ายนั้นน่าจะรับราชการเป็นนักการทูตมากกว่าจะมาทำงานป่าไม้เสียอีก


               นอกจากนี้พระยาพิทักษ์ฯเองก็พยายามสืบประวัติของชายหนุ่มมาเป็นอย่างดี


              นอกจากความพึงพอใจในอุปนิสัย และการทำงานร่วมกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เศาร์เองแม้จะเกิดในชาติตระกูลต่ำต้อย กำพร้าทั้งบิดาและมารดามาตั้งแต่กำเนิด แต่ก็มีความมุ่งมั่นขยันขันแข็ง สู้มานะบากบั่นจนสามารถสอบได้ทุนเล่าเรียนหลวงได้ไปสำเร็จการศึกษาวิชาการป่าไม้ถึงต่างประเทศ จวบจนกลับเข้ามารับราชการงานหลวง และมีอนาคตการงานที่รุ่งโรจน์รออยู่


                 นอกเหนือจากนั้น คุณหลวงหนุ่มก็ยังมีรูปร่างหน้าตาคมสันเข้าที ไม่เคยมีข้อครหาเสียหายในเชิงชู้สาวกับสตรีใดมาก่อนอีกด้วย


                 ในฐานะที่อาบน้ำร้อนมาก่อนจนลุล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย พระยาพิทักษ์พนาลัยมองทะลุปรุโปร่งว่าคนแบบนี้แหละที่เหมาะจะฝากฝังชีวิตของบุตรีสุดที่รักเอาไว้ในอุ้งมือ ท่านมั่นใจว่า เขาจะดูแลผอบแก้วได้ดีเทียบเท่ากับที่ท่านเองได้ดูแลหรืออาจจะมากกว่า


                     นี่เป็นชายหนุ่มที่เหมาะสมที่สุด ที่จะควรคู่กับแก้วตาดวงใจของท่าน แตกต่างจากบุรุษอื่นทั้งหลายที่เคยเข้ามาติดพันผอบแก้ว


                 นึกถึงบุตรสาวที่ปราดเปรียวคล่องแคล่ว และ “เปิ๊ดสะก๊าด” ไม่ต่างกับม้าสาวแสนพยศ ด้วยความหนักใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึง “ชายหนุ่ม”ที่เขาวางตัวเอาไว้ในใจแล้ว ก็ต้องถอนหายใจหนักหน่วง


                เสียอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น...


                 ท่านเจ้าคุณพิทักษ์ฯ แม้จะเชี่ยวชำนาญในการ “อ่าน”ท่าทางอากัปกิริยาของผู้คนทั่วไป แต่สำหรับบุรุษหนุ่มผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ ท่านกลับไม่สามารถ “อ่าน” ความรู้สึกที่เขามีต่อผอบแก้วได้เลยแม้แต่น้อย ว่ามีความรู้สึกอย่างใดกันแน่ แต่เมื่อคิดที่จะ…


            “จำจะ ปลูกฝัง เสียยังแล้ว
ให้ลูกแก้ว มีคู่ เสน่หา...**”


            พระยาพิทักษ์พนาลัยจึงตัดสินใจเปรยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


                  “พ่อเศาร์เองก็อายุย่างเข้าสามสิบแล้วสินะ เมื่อไรจะคิดอ่านมีลูกเมียเสียทีเล่า อยู่คนเดียวอย่างนี้มิเหงาเลยบ้างรึ?”


              เศาร์หัวเราะเบาๆก่อนจะตอบอย่างสุภาพ


                 “กระผมไม่ค่อยมีเวลาเหงาดอกขอรับคุณท่าน ภาระงานการที่กรมกองก็เยอะอยู่ ถึงแม้จะเหงาบ้างก็ไปหาเพื่อนแก้เบื่อ แล้วยังใต้เท้าเองก็กรุณาให้ผมมาพูดคุยที่นี่อีกด้วย”


           “แล้วไม่เบื่อที่นี่บ้างดอกหรือ?”


              “ไม่ดอกขอรับ”


             “ถ้ายังงั้น ทำไมไม่แต่งงานเสียเลยเล่า ฉันเองก็พอเห็นว่าพ่อเศาร์ไม่มีใคร แล้วน้องเองก็ชอบพอกันกับพ่อเศาร์อยู่ หรือว่ารังเกียจ ไม่พอใจอะไรกันก็ว่ามา...”


             ประโยคเช่นนั้นทำให้เขามิอาจปฏิเสธได้


                “มิได้ขอรับ กระผมเองก็ไม่มีใคร และคุณอบเองก็ไม่ได้มีสิ่งใดที่จะต้องปฏิเสธ เพียงแต่ฐานะของกระผมยังไม่เหมาะสมที่จะแต่งงานเท่านั้น”


              “อะไรกัน รายได้พ่อก็เดือนละหลายร้อยบาทอยู่นา และฉันขอบอกไว้เลยว่า สำหรับคนอย่างพระยาพิทักษ์ฯ แล้ว เรื่องเงินทองหาใช่เรื่องสำคัญเท่ากับเรื่องของนิสัยใจคอไม่ ฉันบอกตรงๆว่าฉันพอใจพ่อเศาร์มาก อยากจะให้มาเป็นเขย คอยดูแลผอบแก้วให้น้องมีความสุข ข้อนี้พ่อเศาร์คิดเห็นประการใดบ้างเล่า?”


               ในที่สุด ผู้อาวุโสก็เกริ่นเรื่องสำคัญนี้ขึ้นมา สายตาจับจ้องใบหน้าคมคายสมบุรุษเพศอยู่ตลอดเวลาเพื่อจับสังเกต และพบว่าชายหนุ่มเองก็หาได้มีท่าทีผิดปกติใดๆไม่


             “กระผมคิดว่า ต้องแล้วแต่ความต้องการของคุณผอบแก้ว”


              “แล้วเธอรักน้องหรือเปล่าล่ะ เศาร์?”


                ลมหายใจพระยาพิทักษ์พนาลัยแทบขาดห้วงระหว่างรอคำตอบ เช่นเดียวกับผู้ที่เบี่ยงกายเร้นร่างแฝงอยู่หลังม่าน


              เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเงียบไปชั่วขณะของชายหนุ่มคล้ายกำลังครุ่นคิดอยู่ ท่านก็ตัดสินใจหักความรู้สึกอันควรจะเป็นทิษฐิมานะของตนเองออกไป เอ่ยนำขึ้นมาเองด้วยน้ำเสียงอันอ่อนลงอย่างไม่เคยเอ่ยกับผู้ใดมาก่อน


            “ถือเสียว่าฉันขอร้องพ่อเศาร์ได้ไหม ในเมื่อพ่อเองก็ไม่มีใครที่รักชอบพอกันอยู่แล้ว ฉันก็มองเห็นว่าผอบแก้ว เหมาะสมกับเธอทุกประการ ฉันเองก็มีลูกสาวเพียงคนเดียว รักดังดวงตาดวงใจ อายุฉันก็คงจะเหลืออีกไม่มากแล้ว เป็นห่วงก็แต่ผอบแก้วนี่แหละ ถ้าจะวางดวงแก้วมณีของตนเองลงในมือของใคร ก็ต้องมั่นใจว่าเขาจะสามารถดูแลมณีดวงนั้นได้ดีเท่ากับที่ฉันดูแลมาก่อน”


             “กระผม...”


          มือเหี่ยวย่นด้วยวัยชราของท่านแตะลงตรงบ่ากว้างของชายหนุ่ม


                 “ฉันรักพ่อเศาร์เหมือนลูกเหมือนหลานของตัวเองแท้ๆ ไม่ต้องกังวลในข้อใดๆทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่ผ่านมาฉันได้ประจักษ์ชัดในน้ำใจของเธอมาหมดสิ้นแล้ว นี่ฉันเองก็คงจะทำผิดธรรมเนียมอยู่มิใช่น้อย ที่ยอมหักความอับอายอดสู เอ่ยปากยกลูกสาวให้กับผู้ชายเสียก่อน แต่สำหรับฉันแล้ว ต่อให้ยิ่งกว่านี้ก็สามารถทำได้ เพื่อให้ผอบแก้วได้อยู่กับคนที่เขารัก และสามารถดูแลได้แทนที่ฉัน”


              นั่นคือสิ่งที่ท่านได้เอ่ยปากออกไปจนหมดสิ้น ไม่ทันได้สังเกตเห็นมือขาวเนียนที่กำชายผ้าม่านไว้แนบแน่น


                 “เหลือเพียงคำถามเดียวเท่านั้นที่ฉันอยากจะให้เธอตอบกับฉันตรงๆ อย่างลูกผู้ชาย พ่อเศาร์รักผอบแก้วหรือไม่?”


               “กระผมยินดี ถ้าคุณผอบแก้วจะมาเป็นแม่เรือนให้กับกระผมขอรับ”


               ในส่วนหนึ่งของความรู้สึกอันเป็นอารมณ์แห่งปุถุชน พระยาพิทักษ์รู้สึกทั้งโกรธและอดสูใจไปพร้อมกัน โกรธ คำตอบที่ไม่ระบุชัดเจนในสิ่งที่ท่านต้องการได้รับ และอารมณ์อดสูกระอักกระอ่วนใจในสิ่งที่ท่านเองก็พยายามกระทำให้มัน “พึงเป็น” ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตราบจนมาถึงการ “เจรจา”ในครั้งนี้


              นั่นก็คือการ “เสนอ” บุตรีคนสวยให้มีโอกาสใกล้ชิดกับคุณหลวงหนุ่ม ผู้ที่ท่านคิดว่า ได้เลือกเฟ้นแล้ว อย่างเหมาะสมทุกประการ และ ผอบแก้วก็มีทีท่าพึงใจอย่างเห็นได้ชัด คำตอบที่ได้รับนั้นจึงทำให้ท่านเกิดความรู้สึกทั้งสองส่วนเกิดขึ้นพร้อมกัน จึงได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ชั่วขณะ


            “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าเธอยินดี ที่จะรับผอบแก้วมาเป็นภรรยา?”


            ท่าทางผงกศีรษะค้อมรับอย่างมั่นคงและสุจริตใจเช่นนั้น ก็ทำให้ท่านคลายใจลงไปได้เปลาะหนึ่ง รู้ดีว่าบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าเป็นทั้งสุภาพบุรุษและ “ลูกผู้ชาย” ที่มีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง


           สุภาพบุรุษที่ให้เกียรติแก่บุตรสาวท่านโดยเสมอมา ไม่เคยถือโอกาสลวนลามหรือเอาเปรียบอีกฝ่ายเพื่อให้เป็นข้ออ้างในการคบหา และในขณะเดียวกันเศาร์ก็เป็นลูกผู้ชายพอที่จะยอมรับ “ข้อเสนอ”นั้น โดยไม่ปฏิเสธให้ท่านเสียหน้า เพราะรู้ว่าท่านได้ยอมเอาหน้าของตนเอง ออกเดิมพัน กับคำตอบของเขาไปแล้ว!


          พระยาพิทักษ์ฯได้แต่ นึกในใจแต่เพียงว่าอย่างน้อย ถ้าได้อยู่ร่วมกัน แต่งงานกันไปแล้ว หลวงอนุรักษ์ก็คงจะรักผอบแก้วไปเองในที่สุด


           แม้ว่าในส่วนลึกของใจท่านเอง จะค้านอยู่ในทีก็ตาม!!


            ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงหวานใสของธิดาคนงาม ก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน แล้วร่างอรชรของผอบแก้ว ก็ก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางอันสดใสร่าเริง หล่อนก้มลงไหว้ชายหนุ่มผู้เป็นอาคันตุกะของบิดาอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล จากนั้นจึงค่อยๆเดินเข้าไปนั่งประชิดกับผู้เป็นบิดาแล้วแนบใบหน้าลงกับต้นแขนของอีกฝ่ายอย่างฉอเลาะน่าเอ็นดู อันเป็นกิริยาที่กระทำอยู่เป็นนิจในยามอารมณ์ดี ปราศจากความขุ่นมัว


                 ส่วนในภาคของอารมณ์ร้ายกาจ เต็มไปด้วยโทสะเป็นเจ้าเรือนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั้น พระยาพิทักษ์เองก็พยายามจะลบเลือนมันออกไปอยู่บ่อยหน และโชคดีที่ส่วนนั้นมิได้ปรากฏแก่สายตาบุรุษที่ท่านวางตัวไว้เป็น “เขยเอก”คนนี้


               “พอคิดถึง ก็มาพอดีเทียวนะ ลูกคนนี้”


              “กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือคะ เจ้าคุณพ่อขา?”


            “ก็เรื่องงานวิวาห์ของลูกนั่นแหละ ผอบแก้ว”


            เจ้าคุณเอ่ยโพล่งขึ้นมาในทันที นั่นเป็นจังหวะสำคัญที่ท่านรู้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้คงจะมิอาจปฏิเสธ ในเมื่อทุกอย่างได้วางเส้นทางของมันเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว!


               ดวงหน้าสดใสของผอบแก้ว ชื่นบานยิ่งกว่าดอกไม้แย้มบานรับน้ำค้างยามเช้า ประกายตาสุกใสแจ่มจรัสอย่างที่ท่านปรารถนาจะเห็น มากกว่า แววตาเกรี้ยวกราดเจ้าอารมณ์ที่คุ้นเคยมาแต่เดิม อา... อานุภาพของความรักนั่นกระมังที่ทำให้ ผอบแก้วเปลี่ยนแปลงไปถึงปานนี้?


               “จริงหรือคะคุณพ่อ จริงหรือคะ คุณหลวง?”


               หล่อนหันไปถามชายหนุ่มที่ยังนั่งสงบเสงี่ยม และนิ่งขรึมอยู่ยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ด้วยท่าทีที่มิอาจซ่อนความปราโมทย์เอาไว้ได้มิด นัยน์ตากลมโตเขียนคิ้วจนเข้มจัดยิ่งเบิกกว้างอย่างรอคอยและเร่งเร้าอยู่ในที และก็เห็นคุณหลวงหนุ่มเป็นฝ่ายค้อมศีรษะลงรับเพียงช้าๆ อย่างสุภาพตามปกติวิสัย โดยมิได้ปฏิเสธ...

             ********************

*บุหรี่นอกที่เข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย ช่วงต้นพุทธศักราช 2480 มีหลายยี่ห้อเช่น บุหรี่ตรานกอินทรี . ไพแรต . ทรีคาสเซิล . แคพ . สะแตน การ์ลิค . สิงโตแดง ฯลฯ

**พระราชนิพนธ์ สังข์ทอง ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกท่านอีกครั้งครับ
หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 15:46:45




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com