Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผู้ทอแสง [บทที่ 4 เพื่อนร่วมทาง] ติดต่อทีมงาน

หายไปนานเลย ช่วงนี้มีเปเปอร์ตกมาจากฟ้า (อันที่จริงคือจากอาจารย์) มากมายค่ะ อ่านกันหัวฟูทีเดียว แต่อย่างว่านะคะ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งเพ้อมาก มันต้องระบายออกกันหน่อย 555

แปะลิงค์ตอนเก่า
บทนำ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12162460/W12162460.html
บทที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12170224/W12170224.html
บทที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12220282/W12220282.html

บทที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12271757/W12271757.html

@คุณ scottie ขอบคุณมากค่ะ (พูดเหมือนเดิมมาหลายรอบแล้ว แต่รู้สึกขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ นะคะ ^ ^)


ป.ล. เช่นเคยนะคะ ขอบคุณสำหรับใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่าน และถ้ามีอะไรอยากติ (เช่นว่าน่าเบื่อจัง ฮา) ก็เชิญได้เต็มที่เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจน้า

-----------------------------------------------------------------------

'ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อขอรับ มาดูนี่สิขอรับ' เด็กชายตัวเล็กผู้มีเส้นผมสีดำและดวงตาสีม่วงสุกใสวิ่งเข้าไปยุดมือของชายหนุ่มร่างสูง สีหน้าเคร่ง ผู้ยืนอยู่ข้างผนังซึ่งมีหน้าต่างนับร้อยนับพันบาน เขามีเรือนผมสีดำดุจขนกา จมูกงุ้มราวจะงอยปากนก ดวงตาสีม่วงคมเหมือนตาเหยี่ยว มันอ่อนแสงลงอย่างอ่อนใจยามเมื่อมองสีหน้ากระตือรือร้นของพ่อหนู

'สำรวมหน่อย' บิดาของพ่อหนูว่า 'หอแสงไม่ใช่ที่วิ่งเล่นของเจ้า'

'แต่มันอัศจรรย์มากนี่ขอรับ' เด็กชายตัวน้อยแย้งเสียงแจ๋ว สีหน้าไม่สลดเลยแม้แต่น้อย ยังคงดึงมือให้บิดาเดินตามไป 'มาตรงนี้สิขอรับ ข้าชอบหน้าต่างบานนี้จัง'

หน้าต่างบานนั้นคือหน้าต่างกระจกสีบานใหญ่ บนกระจกคือภาพของดินแดนซึ่งอยู่ภายใต้ฟ้าสีคราม ที่กลางผืนดินมีต้นไม้สูงซึ่งส่งแสงเทียนออกมานับหมื่นแสน บนยอดไม้มีหอคอยหินอ่อนซึ่งเปล่งแสงสว่างงดงามตั้งอยู่

'สวยมากใช่ไหมขอรับ นี่วินเดเมียร์ของท่านพ่อใช่ไหม' เสียงใสถาม

'ใช่ นี่คือแผ่นดินที่พ่อรักที่สุด และจะปกป้องไว้ด้วยชีวิต'

รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กชาย ดวงตาที่มองกระจกสีมีรอยมุ่งมั่น

'ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะปกป้องวินเดเมียร์ด้วยชีวิตเหมือนกัน'

'ไม่ได้หรอก' บิดาตอบอย่างไร้ไมตรี 'เพราะคนที่จะทำลายวินเดเมียร์ก็คือเจ้า'

เด็กชายสะดุ้ง หันกลับมามองด้วยสายตาตระหนก ร่างของบิดาไม่ใช่ชายหนุ่มอีกต่อไป แต่กลายเป็นตาแก่สวมผ้าคลุมหนาหนัก มือแข็งแรงที่เขาจับไว้ก็กลายเป็นมือเหี่ยวย่น เด็กชายร้องลั่น ปล่อยมันราวกับเป็นของร้อน วิ่งหนีหัวซุนไปยังอีกฟากของห้องโถง เมื่อเหลียวหลังกลับไปมองก็เห็นว่าร่างในชุดคลุมนั้นไม่อยู่แล้ว จึงถอนใจอย่างโล่งอก

'เจ้าไม่มีทางหนีชะตากรรมของตัวเองพ้น'

เขาสะดุ้งขึ้นอีกครั้งเพราะเสียงนั้นดังขึ้นข้างตัว ตาแก่นั่นมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เด็กชายถอยกรูด แต่ถอยเท่าไรก็ไม่ห่างออกไปเลยสักนิด

'ทายาทองค์ที่สามในราชาอารอนลาซิล จักเติบโตขึ้นเป็นขั้วตรงข้ามกับแสงสว่าง วิถีทางที่จะบรรเทาแรงแห่งความมืดมีเพียงหนึ่ง เมื่อสิบห้าจงตรึงเขาไว้ทางทิศตะวันตก และปลดปล่อยออกมาเมื่อยามแสงสว่างลับหาย แม้หนทางระหว่างนั้นจักอันตรายถึงสิ้นชีพ แต่หากแสงนั้นกลับกลายไปยังภพอื่น สองมือของเขาจักลบชื่อของวินเดเมียร์อย่างเป็นนิรันดร์' ตาแก่ประหลาดเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งระคายหูหากกังวานประหลาด

'ไม่ ! ไม่ !'

มือเหี่ยวย่นนั้นเอื้อมมาคว้าข้อมือเขา เขาพยายามดิ้น พยายามสะบัด หากไม่เป็นผล

'ปล่อยข้า !' เด็กชายหวีดร้อง

'ปล่อยให้สัตว์ร้ายไปทำลายวินเดเมียร์ไม่ได้' ตาแก่ตอบ

'สัตว์ร้ายอะไร ข้าไม่ใช่...' ถ้อยคำที่จะโต้กลับหายไปในลำคอเพราะความตระหนก ข้อมือเขาตรงที่โดนมือเหี่ยวย่นจับมีขนแข็ง ๆ สีดำแทงออกมาจากใต้ผิวหนัง มันงอกและแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว จนปกคลุมทั้งแขน และทั้งร่างในที่สุด ร่างกายเขาขยายใหญ่ขึ้น

'ดูสิ' นิ้วเหี่ยวย่นชี้ไปที่หน้าต่างกระจกสีบานเดิม ท้องฟ้าสีครามกลายเป็นสีเข้มขึ้น เพราะสีดำที่แผ่มาจากด้านหนึ่งของบานหน้าต่าง สีดำนั้นกลืนกินทุกอย่างกระทั่งบนบานหน้าต่างนั้นไม่เหลือสีอื่นใดนอกจากอนธการ จากนั้นมันก็คืบคลานขยายออกมาบนกำแพง เพียงพริบตาทั้งห้องก็เหลือเพียงความมืดมิด

'เจ้าคือความมืดที่จะลบวินเดเมียร์ จะทำลายแผ่นดินที่พ่อของเจ้ารัก'

สัตว์ประหลาดซึ่งเคยเป็นเด็กชายกรีดร้องโหยหวน

'เมื่อแสงสว่างลับหาย...' หวานใสแทรกขึ้นในห้วงความคิดอันอลหม่านของสัตว์ประหลาด 'เมื่อข้าหายไป อย่าตามหาข้า อย่าตามหา...'

มือซึ่งนุ่มและอุ่นจับมือของเขา แล้วอาเธลก็ลืมตาตื่นขึ้น




เขาหายใจหอบ เหงื่อไหล่โซมกาย

แค่ความฝันเท่านั้น...ความฝันที่ตามหลอกหลอนเขามานานหกปีนับแต่ตอนที่นักบวชประกาศคำทำนายเดียวกับในความฝันแก่เขาและครอบครัว เมื่อวงศ์กษัตริย์แห่งวินเดเมียร์ไปเยี่ยมเยียนผู้ทอแสงตามประเพณีประจำปี ตอนนั้นเขาอายุสิบปี ตื่นใจที่จะได้เห็นหอแสง แต่ก็อึดอัดพบผู้ทอแสงซึ่งไม่รู้เหตุใดเขาจึงรู้สึกไม่ดีด้วย ทุกครั้งที่เข้าใกล้คนคนนั้น เด็กชายจะรู้สึกพะอืดพะอมและปวดศีรษะเสมอ

อาจเพราะเขาเป็น 'ความมืด' จริงดังที่นักบวชนั่นทำนายไว้กระมัง จึงไม่ถูกกับ 'แสงสว่าง'

"เป็นอะไรหรือเปล่า" คำถามจากข้างตัวมาพร้อมแรงบีบที่มือ คนถามคุกเข่าอยู่ข้างเตียง ชะโงกเข้ามาจนใกล้ สีหน้าเป็นกังวล อาเธลเพิ่งรู้ตัวว่าเด็กสาวประหลาดกุมมือเขาไว้

"ข้าไม่เป็นไร" เขาตอบพลางยันตัวลุกขึ้นนั่ง ดึงมือออกจากการเกาะกุม "คนอื่นไปไหนกัน"

ในห้องมีเพียงพวกเขาเท่านั้น พี่อาเรีย ทีแลนซึ่งแต่แรกนอนเบียดอยู่บนเตียงเดียวกับเขา รวมถึงแพทย์หลวงเจ้าของห้องคนที่สั่งให้เขานอนพักหายไปไหนไม่รู้ ทิ้งไว้เพียง 'ตาไม้' อันเป็นช่องสอดแนมหน้าตาเหมือนตาไม้จริง ๆ บนผนังเท่านั้น

"พี่สาวของท่านกับท่านคิริลไปพบองค์ราชาตามที่โดนเรียกหา ส่วนทีแลนก็ถูกบิดาเรียกตัวเช่นกัน" เด็กสาวตอบแล้วก็เงียบไป ดวงตาสีน้ำตาลมองเขานิ่งอยู่ด้วยสีหน้าพินิจคล้ายมีอะไรอยากถาม อาเธลไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะซักอะไรจึงปล่อยให้เธอมองต่อไป ตัวเขาก็มองเธออย่างพินิจเช่นกัน

ฝันที่เพิ่งจบไปปรากฏในห้วงนิทราของเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้มีบางอย่างแตกต่าง...นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงหวานใสนั้น

'เมื่อข้าหายไป อย่าตามหา'...เสียงนั่นคือเสียงของผู้ทอแสงหรือ เสียงหวานแบบนั้นแปลว่าผู้ทอแสงเป็นหญิงใช่ไหม

ที่สำคัญ เสียงที่ได้ยินในฝันกับเสียงของเด็กคนนี้คล้ายกันอยู่หลายส่วน เพียงแต่เสียงในฝันแหลมและสูงกว่าเล็กน้อย เป็นเพราะเขาคิดว่าเธอน่าจะเป็นผู้ทอแสงจนเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ หรือว่าคนตรงหน้าคือผู้ทอแสงจริง ๆ กันแน่

ไทซ์บอกว่านักบวชแห่งหอแสงโกหกไม่ได้ แต่การไม่โกหกกับการพูดความจริงเป็นคนละสิ่งกันไม่ใช่หรือ อาการอ้ำอึ้งเมื่อถูกถามของนักบวชทั้งสามยิ่งชวนให้สงสัย แต่อาเธลก็คิดสาเหตุที่พวกนักบวชจะปิดบังความจริงไว้ไม่ได้เช่นกัน เป็นเพราะผู้ทอแสงไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แปลว่าผู้ทอแสงตั้งใจจะหายตัวไปเองด้วยเหตุบางอย่าง ไม่ได้โดนลักตัวไป นั่นก็พ้องกับที่เสียงในฝันนั้นห้ามไม่ให้ตามหาผู้ทอแสงพอดี

คิดถึงตรงนี้ อาเธลก็สะบัดศีรษะ เลอะเทอะใหญ่แล้ว ก็แค่ฝัน จะเอาอะไรกับมันได้

"ข้ากับท่านเคยรู้จักกันมาก่อนไหม" ที่สุด เด็กสาวที่มองเขาอยู่ก็ถาม ดึงเขาขึ้นมาจากภวังค์

"ไม่ ทำไมหรือ" อาเธลย้อนอย่างแปลกใจ และได้คำตอบเป็นท่าทางครุ่นคิด ก่อนส่ายหัว

"ไม่มีอะไร" เธอส่ายหัว นิ่งคิดเป็นครู่แล้วจึงถามขึ้นใหม่ "ทำไมเจ้าชายอย่างท่านถึงไปอยู่เสียกลางป่าหรือ"

เพราะ 'เมื่อสิบห้า' เขาต้องถูก 'ตรึงไว้ทางทิศตะวันตก' อย่างไรเล่า แม้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่ห่างไกลอย่างป่าเพลงพราย แต่อาเธลยังคงเลือกที่นั่น ประการแรก ป่านั้นอยู่ใกล้ชายแดนเกรซ หากจะมีอะไรที่เขาอยากทำ ก็คือการสืบความเคลื่อนไหวของพวกเกรซซึ่งมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ แต่เรื่องราวของพวกนั้นกลับคลุมเครือเต็มที ทหารกี่คนต่อกี่คนที่วินเดเมียร์ส่งข้ามแม่น้ำเพื่อไปดูลาดเลาบนแผ่นดินที่อีกฝั่งของพรมแดนนั้นไม่เคยกลับมา อาเธลจึงคิดว่าหากเขาต้องอยู่ที่ใดสักที่ตลอดเวลา เฝ้าสังเกตอยู่ที่นั่นก็ไม่เลว และอีกประการหนึ่ง ป่านั้นเต็มไปด้วยตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับคำสาปและคำทำนาย จึงเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะสมที่สุดแก่การศึกษาเรื่องที่เขาสนใจ คือเรื่องคำทำนายของตัวเอง เสียดายแต่เขาพยายามจับตาดูและค้นคว้ามาเป็นปี ทั้งสองเรื่องก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก

หากเมื่อตอบ เด็กหนุ่มกลับบอกเพียงว่า

"สงบดี"

ก็ต้องสงบแน่ล่ะ เพราะแม้การเข้ามาในป่าเพลงพรายไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ใช่จะง่าย ในป่าเต็มไปด้วยกับดักและข่ายเวทมนตร์ต่าง ๆ นานาที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนวางเอาไว้ แต่ละอันสามารถเล่นงานผู้มาเยือนได้รุนแรง หากไม่รู้เส้นทางที่ถูกต้องและยังคงดึงดันจะเข้ามาในป่า ก็อาจเตรียมพินัยกรรมรอไว้ได้เลย เหตุนี้จึงไม่ค่อยมีคนเข้ามาวุ่นวายนัก

ลูมินัสเอียงศีรษะอย่างไม่ค่อยเข้าใจเจ้าชายที่ทิ้งความสะดวกสบายในวังเพื่อความสงบนัก

"หิวไหม" เธอถามด้วยสีหน้าห่วงใย "ใกล้เช้าแล้วใช่หรือเปล่า"

อาเธลเหลือบมองนาฬิกาซึ่งติดอยู่บนผนัง มันเป็นแท่นแก้วซึ่งมีรางอยู่ตรงกลางในแนวตั้ง ที่สองข้างของรางมีขีดสลับซ้ายขวานับได้หกขีด ในรางมีลูกเหล็กเล็ก ๆ ฝังตัวขวางอยู่  เมื่อลูกเหล็กขึ้นไปถึงด้านบนสุดซึ่งไม่มีขีด นั่นหมายถึงเวลาเช้า นับเป็นชั่วยามที่ศูนย์ จากนั้นจึงเลื่อนลงต่ำ หนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม เมื่อถึงเวลาค่ำคือสิ้นสุดชั่วยามที่หก จากนั้นลูกเหล็กจะเลื่อนย้อนกลับขึ้นไปอีกหกชั่วยามจนถึงเวลาเช้าอีกครั้ง ตอนนี้ลูกเหล็กดังกล่าวอยู่เกือบบนสุดของราง ตรงกลางระหว่างขีดที่หนึ่งและขีดที่สอง

"ใช่ อีกชั่วยามกว่า ๆ ก็เช้าแล้ว" และเมื่อเช้า ความวุ่นวายแตกตื่นก็คงเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน ตั้งแต่กลับมาและรู้จากพี่อาเรียว่าสภาสูงลงมติให้เขาออกตามหาผู้ทอแสง ก็ยังไม่มีคำสั่งลงมาว่าจะให้ออกไปเมื่อไร เขาคิดว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งดี แต่ท่านพ่อยังไม่เรียกเขาไปสั่งงานด้วยซ้ำ คงกำลังเตรียมรับมืออาการแตกตื่นของชาวเมืองกันอยู่กระมัง

"ข้าแบ่งอาหารที่ทีแลนไปขอจากห้องเครื่องไว้เผื่อท่าน" เด็กสาวบอก ไม่ได้ขยายต่อว่าคนที่ไป 'ขอ' นั้น กลับมาพร้อมด้วยหัวปูดโน หากยังบอกหน้าเป็นว่า 'ข้าแอบย่องเข้าไปในครัว มันมืด ๆ มองไม่เห็น ป้าแม่ครัวแกคิดว่าข้าเป็นขโมย เลยเอากระทะฟาดเข้าให้' และคิริลก็เหน็บขณะรักษาแผลโนว่า 'ถ้าเปลี่ยนจากกระทะเป็นมีดคงจะดี พิเรนทร์นัก ทำไมไม่ขอดี ๆ' "จะกินเลยไหม"

"ข้าไม่หิว" เขามีอะไรต้องคิดอีกมาก ควรรีบไปหาและคุยกับท่านพ่อด้วย ยังไม่มีอารมณ์กินตอนนี้

หากพูดไม่ทันขาดคำ ท้องของเขาก็ร้องประท้วงดังลั่นอย่างไม่รักหน้าเจ้าของ

ลูมินัสยิ้ม ยื่นถาดเงินบรรจุอาหารให้ทันที อาเธลคร้านจะแย้ง จึงยอมรับมาแต่โดยดี มีขนมปังและแยมผลไม้สองสามอย่างซึ่งแม่ครัวคงหาให้เท่าที่จะทำได้ในยามวิกาลเช่นนี้

เมื่อเขาเริ่มกิน คนส่งเสบียงก็ลงนั่งมองตาแป๋ว อาเธลชินกับการมีคนจ้องเวลากิน แต่แววแจ่มกระจ่างไร้เดียงสาในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นก็ยังทำให้เขาฝืดคอ ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นดวงตาที่ซื่อตรงเช่นนี้มันเมื่อไรกันหนอ ความเปิดเผยไม่มีหน้ามีหลังอย่างยากจะหาได้นั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึก...แปลก ๆ

"อร่อยไหม" เธอถาม

อาเธลแค่พยักหน้านิด ๆ รีบเคี้ยวกลืนขนมปังอย่างรวดเร็ว อันที่จริงแทบไม่รู้รสด้วยซ้ำ จากนั้นก็ลุกจากเตียง

"ไปไหน" เสียงถามตื่น ๆ มือคว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อเขาอีกแล้ว

"ธุระ"

"อย่าทิ้งข้าไว้ ข้าไปด้วย"

"ไม่ได้ เจ้าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ากลับมา"

ไม่มีคำตอบใด ๆ นอกจากสีหน้าดื้อดึงและมือที่กำชายเสื้อเขาแน่นไม่ยอมปล่อย อาเธลจึงถอนใจ พยายามดึงชายเสื้อคืน เด็กสาวก็ยังยึดไว้แน่น คราวนี้สองมือเลยทีเดียว

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนเปิดออกอาเธลขานรับ จากนั้นพี่ชายคนโตของอาเธลก็เข้ามาในห้อง สีหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นสภาพกึ่งชักเย่อระหว่างน้องชายและเด็กสาวประหลาดซึ่งพอเห็นเขาก็เผ่นผึงไปหลบอยู่หลังอาเธลทันที แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงยิ้ม

"ตื่นแล้วหรือ เหนื่อยไหม" มือใหญ่วางลงบนศีรษะของอาเธล จับมันโคลงเบา ๆ

"เหนื่อยกายน่ะไม่ แต่เหนื่อยใจพอสมควร" น้องชายตอบยอกย้อน มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่ง

"นั่นสินะ" เอธานยิ้ม รอยยิ้มนั้นอ่อนโยน เจือความปวดร้าวเบาบาง

...ทำไมต้องเป็นอาเธล...

ลูมินัสมองกลับไปกลับมาระหว่างเอธานและอาเธล ดวงตาเบิกโต ก็...คนสองคนตรงหน้าเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด เพียงแต่คนที่ตัวเตี้ยกว่ามีสีหน้าเย็นชากว่า ส่วนคนตัวสูง ร่างโปร่ง ดูอ่อนโยนใจดีเท่านั้น

แต่เมื่อคนตัวสูงมองมาทางเธอ เด็กสาวก็แทบสะดุ้ง ดวงตาสีม่วงคู่นั้นแฝงประกายกังขาและกล่าวหาอย่างชัดแจ้ง

อะไร...เธอทำอะไรผิดไปหรือ.

"พี่มานี่มีธุระอะไรหรือเปล่า" อาเธลถามเมื่อเห็นสายตาของพี่ชาย

"พี่มา...เรียกว่าส่งสารคงได้กระมัง" เอธานตอบ รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า "ท่านพ่อและสภาสูงมีมติว่าจะเก็บเรื่องผู้ทอแสงหายตัวไปไว้เป็นความลับ บอกประชาชนเพียงว่าผู้ทอแสงป่วย และคำสั่งลงมาว่าให้เจ้าออกเดินทางทันทีเมื่อได้ข้อสรุปเรื่องนักเวทที่จะเดินทางไปกับเจ้า"

"นักเวทที่จะไปกับข้า ?" อ้อ ใช่ ตัวเขาเองมองไม่เห็นลำแสงที่น่าจะนำไปสู่ตัวคนร้ายนั่น เลยต้องมีนักเวทไปช่วยดูนี่นะ "แล้วสรุปกันได้หรือยัง"

พี่ชายถอนใจ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมานิดหนึ่ง

"ทีแรกท่านไทซ์เลือกนักเวทในวังที่ไว้ใจได้และมีฝีมืออยู่ในขั้นสูงพอจะคุ้มกันเจ้าได้เอาไว้สามคน กะว่าจะคัดเอาหนึ่งจากในสามคนนี้ แต่พอจะเรียกมาคุยเข้าจริง ๆ คนหนึ่งก็เกิดเป็นโรคประหลาดที่แม้แต่คิริลก็ไม่รู้สาเหตุ อีกคนประสบอุบัติเหตุขาหักทั้งสองข้าง กว่าจะหายดีพอจะออกเดินทางได้ต้องใช้เวลาอย่างต่ำเจ็ดวัน คนสุดท้ายหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ไม่สามารถติดต่อได้"

"ทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างที่ข้าหลับไปไม่กี่ชั่วยามนี่น่ะหรือ" อาเธลถามอย่างแปลกใจ เมื่อพี่ชายพยักหน้ารับ เขาก็ว่า "บ้าไปแล้ว อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ต้องเป็นฝีมือใครสักคนแน่ ๆ"

"ก็น่าสงสัยว่าอาจเป็นอย่างนั้น" เอธานรับคำขรึม ๆ "ตัวเลือกของท่านไทซ์เหลืออยู่จำกัดมาก เพราะนักเวทที่มีฝีมือและอยู่ในสภาพที่พร้อมจะออกเดินทางไปกับเจ้าได้ส่วนใหญ่ขึ้นตรงต่อสมาคมนักเวท ไม่ใช่ทางการ และเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าสมาคมที่ว่านั้นไม่ได้เต็มใจทำตามที่เราสั่งเท่าไร เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับอย่างเรื่องนี้ ให้พวกเขารู้ไม่ได้เด็ดขาด"

สมาคมนักเวทนั้นเป็นศูนย์รวมของนักเวทที่ไม่ได้มีพลังเวทมาตามสายเลือด กล่าวคือไม่ใช่นักเวทสายอัญเชิญซึ่งมีสี่ตระกูลนักเวทใหญ่เป็นสำคัญ สมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักเวทอัญมณี ตั้งขึ้นเพื่อคานอำนาจกับตระกูลนักเวทสายอัญเชิญซึ่งยิ่งใหญ่เพราะรับใช้ใกล้ชิดราชสำนักมายาวนาน สมาคมดังกล่าวเคยมีความสัมพันธ์ลุ่ม ๆ ดอน ๆ กับทางการ แต่หลังจากมีปัญหากันเมื่อหลายปีก่อน หลวงก็ตัดเงินสนับสนุนที่เคยให้กับสมาคม อาเธลได้ยินมาว่าหลังจากนั้น ทางสมาคมหันไปพึ่งพาทุนจากมหาเศรษฐีตระกูลอัลแตร์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งการทำเหมืองอัญมณีเวทแทน จึงกลายเป็นว่าสมาคมกับทางการแทบจะตัดความสัมพันธ์กันโดนสิ้นเชิง เหลือแต่เพียงเอธานซึ่งยังพอเข้าหน้ากันติด เนื่องจากเจ้าชายองค์โตก็เป็นหนึ่งในนักเวทอัญมณีที่มีพรสวรรค์เป็นอันดับต้น ๆ และเป็นความหวังที่สมาคมจะขึ้นมาเป็นใหญ่ผ่านสายสัมพันธ์กับมกุฎราชกุมารอีกด้วย

"อันที่จริงพี่เสนอตัวจะไปกับเจ้าเอง ท่านไทซ์บอกว่าต้องถามมติสภาสูงก่อน" เอธานเล่าต่อ จากนั้นคงเห็นสีหน้าไม่เห็นด้วยของน้องชาย จึงเสริม "เจ้าไม่ต้องค้าน พี่อยากไปกับเจ้าจริง ๆ"

อาเธลซึ่งกำลังจะขัดเปลี่ยนเป็นพยักหน้า อันที่จริงหากได้พี่ชายไปด้วยกัน เขาก็อุ่นใจ แต่รัชทายาทอันดับหนึ่งไม่ควรต้องออกไปเสี่ยงอันตรายไม่ใช่หรือ...แต่อย่างไรเสีย ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสภาสูงอยู่ดี

"แล้วยังมีอีกเรื่อง" พี่ชายบอก สีหน้าเคร่งขึ้น "ข้ามาพาเด็กสาวคนนี้ไปที่ห้องเครื่องกระเบื้อง"

อาเธลซึ่งเพิ่งหยิบเข็มขัดดาบมาคาดชะงักมือทันที เงยหน้าขึ้นทันควัน

ห้องพักกึ่งห้องขังในพระราชวังวินเดเมียร์มีด้วยกันสิบระดับ ในจำนวนนั้น ห้องเครื่องกระเบื้องถือเป็นห้องที่อยู่สบายที่สุด สวยที่สุด ต่างจากห้องเหล็กซึ่งมีแต่เหล็กแหลมหรือห้องสายฟ้าซึ่งช็อตคนที่อยู่ภายในแทบตลอดเวลา แต่ต่อให้อยู่สบายแค่ไหน มันก็คือห้องขังนักโทษนั่นเอง

และแปลว่าลูมินัสจะถูกขัง


จากคุณ : พลอยฟ้าปรายฝน
เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 18:13:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com