ตอนหน้าเป็นตอนจบนะคะ แต่สำหรับตอนนี้ มาดูกันว่าคู่รามภณกับรมัณยาจะเป็นยังไง แล้วใครเอ่ย จะมาแทรกกลางระหว่างพวกเขา...หรือใครที่เป็นคนเข้ามาแทรกกันแน่นะ
อ้อ โฆษณาแฟนเพจนิดนึงนะคะ อยู่ที่ http://www.facebook.com/treepunt เด้อ
คุณ GTW: นั่นสิเนอะ อย่างอื่นไม่เห็นสำคัญเลย ^^
บทที่ ๑-๗ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11983207/W11983207.html บทที่ ๘ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11983317/W11983317.html บทที่ ๙ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12022148/W12022148.html บทที่ ๑๐ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12053256/W12053256.html บทที่ ๑๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12093651/W12093651.html บทที่ ๑๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12149869/W12149869.html บทที่ ๑๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12211282/W12211282.html บทที่ ๑๔ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12250978/W12250978.html บทที่ ๑๕ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12307949/W12307949.html บทที่ ๑๖ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12347103/W12347103.html
% ====================
๑๗.
หญิงสาวร่างผอมบางในชุดเสื้อแขนกุดสีเทา กับกางเกงยีนส์ดูทะมัดทะแมงก้าวเข้ามาภายในผับบันนี่ ขณะที่คนอื่นๆ กำลังให้ความสนใจอยู่กับวงตรีบนเวที
เธอก้าวเข้ามายืนข้างบาร์เครื่องดื่ม ในมุมที่ไม่เป็นที่สังเกตนัก สั่งน้ำแตงโมปั่นเย็นเฉียบหนึ่งแก้ว ก่อนจะหันหน้ามองไปทางเวทีบ้าง
ดวงตาโตที่ถูกเขียนขอบด้วยสีดำของเธอจับจ้องอยู่ที่มือกีตาร์สาวของวง แล้วจึงเคลื่อนไปยังหนุ่มนักร้องหน้าสวย ก่อนจะไล่ไปยังมือกลองสาวแสนห้าว และมือเบสหนุ่มลูกครึ่งร่างใหญ่ จากนั้นจึงย้อนกลับมาจ้องนิ่งอยู่ที่มือกีตาร์สาวอีกรอบหนึ่ง
"ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ" เธอพึมพำออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ โยกโคลงร่างกายไปตามจังหวะเพลงอย่างอารมณ์ดี
รามภณซึ่งนั่งอยู่หน้าบาร์เครื่องดื่มเหลือบมองหญิงสาวแปลกหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับคนบนเวทีอีก
แม้ว่ารามภณจะไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้มาใหม่ แต่สำหรับจิรัชย์ซึ่งจับจองที่นั่งด้านตรงข้ามประตู กลับจับตาดูเธออยู่ทุกฝีก้าว จ้องมองเธอตาไม่กะพริบ
เมื่อดนตรีจบลง นักดนตรีพากันเก็บอุปกรณ์แล้วทยอยลงมาจากเวที แต่ละคนตรงไปยังบาร์เครื่องดื่มเพื่อสั่งอะไรเย็นๆ ดื่มแก้กระหาย
รามภณซึ่งนั่งรอรับรมัณยาอยู่นั้น ได้ยินรมัณยาสั่งน้ำแตงโมปั่นแก้วหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจออกมา
...ความจริงเขาอยากจะสั่งเครื่องดื่มอะไรสักอย่างไว้รอเธอ เมื่อเธอมา เขาจะได้เป็นคนยกมันให้กับเธอเอง ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าควรจะสั่งอะไร ไม่รู้ว่าเธออยากจะดื่มอะไร
"ชอบน้ำแตงโมเหรอ" เขาถามขึ้นในระหว่างที่เสียงเพลง จากเครื่องเสียงผ่านลำโพงภายในร้าน ดังขึ้นเบาๆ
รมัณยาจิบน้ำแตงโมนิดหนึ่ง แล้วจึงหันมายิ้มเล็กน้อย หากแต่รอยยิ้มนี้กลับไม่สดใสนัก
"ก็ไม่เชิงหรอก" เธอตอบ พลางสายตาจับอยู่ที่น้ำแตงโมสีแดงอ่อนๆ ในแก้วใสทรงสูง
ทั้งคู่เงียบกันไปพักใหญ่ รามภณอยากจะต่อบทสนทนา หากแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร... ยิ่งนานวัน เธอยิ่งดูเฉยชาเสียจริง
"เอ้อ แล้ว...เธอชอบอะไรล่ะ คราวหน้า...จะได้สั่งไว้ให้"
ไม่ทันที่รมัณยาจะตอบ พันช์สีสวยก็ถูกเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้าเธอ
"มีคนสั่งให้ครับ" บาร์เทนเดอร์บอก "เธอให้ผมบอกด้วยว่า ในนี้มีน้ำมะนาว แอปเปิล สับปะรด สตอรเบอรรี่เชอร์เบท และจินจ์เอล กับโซดา"
สีหน้าของรมัณยาเมื่อรับฟังถึงตอนนี้ กลับกลายเป็นทั้งตื่นเต้นยินดี ทั้งประหลาดใจ เธอเบิกตาโพลงมองดูบาร์เทนเดอร์นิ่งนาน รามภณจึงค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะไหล่เธออย่างแผ่วเบา
"เป็นอะไรรึเปล่า"
รมัณยาไม่ได้ตอบ และไม่ได้หันมองเขาเลยสักแวบหนึ่ง เธอกลับขยับปากถามบาร์เทนเดอร์เสียงเบา
"เธอ...อยู่ที่ไหน"
"คุณผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นครับ" บาร์เทนเดอร์ตอบ พลางผายมือไปทางด้านซ้าย ที่ซึ่งหญิงสาวแปลกหน้ายืนอยู่
"พิมาน..." รมัณยาครางออกมาเบาๆ
เหล่าเพื่อนนักดนตรีเห็นเช่นนั้นก็มองตามเป็นตาเดียว ต่างคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจ และตื่นตระหนกระคนกัน
พิมานถือแก้วน้ำแตงโมปั่น ก้าวตรงมาทางพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
"ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีอย่างนั้นล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน น่าจะดีใจสิถึงจะถูก"
เสียงของเธอหวานน่ารัก ดวงตาชวนลุ่มหลงของเธอกลอกมองทีละคนอย่างขี้เล่น
"พิมาน มาได้ยังไงน่ะ" นภสินธุ์ถามขึ้น ดวงตายังไม่ละไปจากใบหน้าของหญิงสาว
"ฉันก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างน่ะสิ เมืองไทยเป็นบ้านเกิดของฉันนะ" เธอตอบ แล้วจึงหันไปยิ้มให้กับรมัณยา จากนั้นจึงโน้มหน้าลงกระซิบเสียงเบา "ไม่ดีใจเหรอ ที่เจอฉันอีก"
รมัณยารู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในภวังค์ รู้สึกคล้ายอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
...มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ ฝันที่ทำให้เธอไม่อยากตื่น
ในดวงตาคมสวยรู้สึกเหมือนมีน้ำรื้นขึ้นมากลบบัง รมัณยากะพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำออกจากดวงตา จากนั้นจึงค่อยๆ เอื้อมมือทั้งสองออก ยึดกุมมือซูบผอมของพิมานไว้
"ดีใจสิ ฉันดีใจที่สุด"
พิมานยิ้มหวานอีกครั้ง เอื้อมมืออีกข้างลูบคลำเส้นผมนุ่มสวยของรมัณยาอย่างแผ่วเบา
รามภณเห็นภาพตรงหน้าแล้วอดหวั่นไหวใจไม่ได้ เขาจึงยืดตัวยืนขึ้นแนะนำตัวเองต่อหญิงสาวแปลกหน้า... หากนี่เป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทของรมัณยา เขาก็ควรทำความรู้จักกับเธอ เพื่อนของเธอก็เปรียบเหมือนเพื่อนของเขาด้วยเช่นกัน
"สวัสดี ฉันรามภณ เรียกภณเฉยๆ ก็ได้"
พิมานหันมองชายหนุ่ม คิ้วเรียวที่ถูกเขียนให้ดำสนิทราวเส้นไหมสีดำทั้งสองขมวดมุ่นจนแทบผูกเข้าด้วยกัน
"รามภณ..." เธอทวนคำ หากยังไม่ได้พูดอะไรต่อ กลับมีเสียงชายหนุ่มอีกคนดังแทรกขึ้น
"ทำไมไม่บอกไปด้วยล่ะว่า แกเป็นอะไรกับรมัณยา"
ประโยคนี้ช่างเป็นเหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางหัวใจดวงน้อยๆ ของรมัณยา ฟาดทำลายหัวใจของเธอให้แหลกสลาย
"ว่าไงล่ะ ภณ" จิรัชย์ก้าวเข้ามา ยกมือตบลงบนบ่ารามภณ พร้อมกับรอยยิ้มราวจิ้งจอกพบเห็นเหยื่อ
จิรัชย์ ทำไมอยู่ๆ ถึงยอมรับเรื่องนี้ขึ้นมาได้... รามภณอดบังเกิดความสงสัยใจไม่ได้ หากขณะจะตอบออกไปนั้น รมัณยาพลันผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง เอื้อมมือคว้าคอเสื้อของจิรัชย์ไว้ ง้างหมัดต่อยใส่ใบหน้าเขา โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนรามภณเองยังอดตื่นตระหนกไม่ได้ อากัปกิริยาของรมัณยาเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ...ไม่เคยคิดว่าเธอจะอารมณ์ร้อนปานนี้
จิรัชย์ถูกรมัณยาชกใส่ใบหน้าหมัดหนึ่งก็เซถลาไปสองก้าว แว่นที่สวมอยู่หลุดจากใบหน้าตกกระทบพื้น หากยังดีที่เลนส์เป็นพลาสติกจึงไม่ถึงกับแตก ทว่าก็ทำให้หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ กันนั้นกรีดร้องออกมา
"ทำไม กลัวพิมานจะรู้ความจริงรึไง" เขาบอก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นยังคงไม่คลายไปจากใบหน้า "ไม่ต้องกลัวไปหรอก เพราะพิมานรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว พิมานรู้แล้วว่าเธอคบอยู่กับไอ้ภณ!"
ดวงตาคมสวยเบิกขึ้นจนกลมกว้าง เธอหันขวับไปทางพิมาน เห็นหญิงสาวก้มหน้านิ่ง ก็เข้าใจในทันที
รมัณยาทรุดตัวลงกับพื้นคล้ายเรี่ยวแรงทั้งหมดสูญสิ้นไป เธอก้มหน้านิ่ง น้ำตาที่มิอาจข่มกลั้นหลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย
พิมานก้าวเข้าไป ทรุดนั่งลงตรงหน้ารมัณยา ประคองใบหน้าของเธอขึ้น พลางปาดเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนวลด้วยความทะนุถนอม
"ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก รมัณยา ถึงฉันจะรู้หรือไม่ เรื่องระหว่างเราก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ฉันดีใจนะ ที่เธอมีคนดูแลแทนฉันแล้ว"
รามภณนิ่งไป เขายืนมองหญิงสาวทั้งสองอยู่เงียบๆ ไม่ขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
รมัณยามองใบหน้าของพิมาน มองรอยยิ้มอันอ่อนโยนนุ่มนวลนั้น แล้วจึงซบหน้าลงกับอ้อมอกของหญิงสาว เปล่งเสียงร้องไห้ออกมา
"พิมาน ฉันขอโทษ... ฉันเคยสัญญาว่าจะดูแลเธอตลอดไป แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันขอโทษ"
พิมานลูบคลำเส้นผมของรมัณยาอย่างแผ่วเบา "ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของเธอ อย่าโทษตัวเองเลย" น้ำเสียงของพิมาน ยิ่งฟังยิ่งเบาลง ยิ่งฟังยิ่งแผ่วล้า ในที่สุดร่างเธอก็ล้มลง
% ###
พิมานถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล โดยมีรมัณยา นภสินธุ์ และตฤษณะตามไปด้วย ส่วนวีรินทร์มากับรามภณ กลับมาที่บ้านเช่าของเขา เนื่องจากสภาพรามภณหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ ดูเหมือนคนที่ถูกกระชากวิญญาณให้หลุดลอย
จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของเขา อยู่ๆ ก็ถูกหญิงสาวคนหนึ่ง พรากไปต่อหน้า...
"ไอ้ภณ เป็นอะไรวะ" ศาสตราซึ่งกำลังเดินลงบันไดมา ถามขึ้นเป็นคนแรก เมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้าบ้านมาด้วยอาการไม่สู้ดี โดยมีวีรินทร์เดินตามเข้ามา คนอื่นๆ จึงละจากสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ หันมาสนใจเพื่อน
รามภณเดินก้มหน้าช้าๆ มาทรุดนั่งลงที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ในบริเวณห้องนั่งเล่น วางข้อศอกทั้งสองลงบนหัวเข่า ซุกหน้าลงในฝ่ามือตัวเอง
เมื่อชายหนุ่มทั้งหมดเห็นอาการเพื่อนเช่นนี้ก็รู้ว่าคงถามเอาอะไรจากเขาไม่ได้ จึงหันมาทางวีรินทร์แทน ในดวงตาของพวกเขามีคำถามเดียวกัน หากแต่ไม่มีใครพูดออกมา
ทว่าการใช้สายตากลับเป็นการกดดันที่มีประสิทธิภาพดีกว่าคำพูด วีรินทร์ถูกสายตาเหล่านี้รุกไล่จนรู้สึกอึดอัด ในที่สุดจึงอ้อมแอ้มพูดออกมา
"คือ...ที่ผับ เราเจอพิมานน่ะ"
"ใคร" สี่หนุ่มส่งเสียงถามโดยพร้อมเพรียง
"พิมาน เป็น...เอ่อ...เป็น...คนรักของ...รมัณยา"
% ###
หนึ่งปีก่อน ณ ผับแห่งหนึ่งบนถนนหมายเลขหก เมืองออสติน มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
หญิงไทยกลางคนเดินเข้ามาภายในผับ แม้อายุของเธอจะไม่น้อยแล้ว หากการแต่งตัวยังคงเสริมให้เธอดูสง่างาม ราวกับจะสะท้อนภาพสมัยยังสาวให้กลับมาอีกครั้ง สายตาของเธอกวาดมองไปโดยรอบ ที่นั่นมีวัยรุ่นทั้งหญิงชาย ต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ กระโดดโลดเต้นไปกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มจนยากจะทน หากแต่คนที่เธอกำลังมองหานั้น หาไม่ยากเท่าใด เนื่องจากคนผู้นั้นเป็นหญิงสาวคนไทย ซึ่งกำลังโชว์ลีลากีตาร์ของเธออย่างสนุกสนานบนเวที พร้อมกับเพื่อนๆ อีกสามคน
เมื่อนักดนตรีสนุกกับการเล่นดนตรี คนฟังก็ย่อมสนุกไปด้วย หากแต่หญิงกลางคนผู้นี้กลับไม่มีความรู้สึกร่วมด้วยเลยสักนิด เธอมองว่าสิ่งที่หญิงสาวทำ เป็นสิ่งไร้สาระ ไร้ค่า และไม่คู่ควร
เมื่อดนตรีจบ หญิงกลางคนเห็นมือกีตาร์สาวเดินลงมาหาสาวเอเชียอีกคนหนึ่ง ทั้งคู่สวมกอดซึ่งกันและกัน แล้วจึงจูงมือกันเดินออกจากฝูงชน เดินออกมายังมุมหนึ่งของผับ เห็นทั้งคู่ต่างพูดคุยหัวเราะให้แก่กัน จากนั้นหญิงสาวมือกีตาร์จึงดึงมือฝ่ายตรงข้ามขึ้น แล้วประทับริมฝีปากลงบนหลังมือนั้นอย่างแผ่วเบา
หญิงกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เธอก้าวเข้ามาหาหญิงสาวทั้งสอง แล้วฉุดแขนมือกีตาร์สาวไว้
"รมัณยา!"
"แม่!" รมัณยาร้องขึ้น จากนั้นแม่ก็ฉุดลากรมัณยาไป ท่ามกลางสายตาหนุ่มสาวต่างเชื้อชาติ และเพื่อนๆ ของเธอ
รมัณยาถูกฉุดลากขึ้นบนรถเช่าสี่ประตูคันหนึ่ง จากนั้นแม่ก็ขับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
"แม่มาได้ยังไงคะ" รมัณยาเปิดปากถามออกมาในที่สุด หลังจากนั่งนิ่งมานาน
"เงียบไว้เถอะ มีอะไรค่อยไปคุยกันที่บ้านพ่อของเธอทีเดียว" แม่บอก น้ำเสียงแม้ไม่พอใจสักนิด หากแต่แม่ก็เก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นรมัณยาจึงได้แต่นั่งเงียบมาตลอดทาง
รถเช่าแล่นมาจอดอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์หลังหนึ่ง จากนั้นรมัณยาก็ก้าวลงจากรถ เดินไปตรงหน้าประตู ล้วงกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วไขเข้าไป
"กลับมาแล้วค่ะพ่อ" หญิงสาวก้าวเข้าบ้านซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นเนื้ออบ ที่พ่อกำลังอุ่นเพื่อเป็นอาหารเย็นสำหรับตนเองและลูกสาว
"อ้าว ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะ" พ่อร้องถามออกมาจากในครัว
"ถามแม่เอาเองก็แล้วกันค่ะ" ลูกสาวตอบน้ำเสียงหงุดหงิด
คำว่า 'แม่' ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องชะโงกหน้าออกมาจากในครัวด้วยความประหลาดใจ ชายกลางคนรูปร่างสูงสมส่วน สวมแว่นสายตา หากแต่รูปแบบของแว่นกลับดูนำสมัยกว่าแว่นของเด็กวัยรุ่นบางคน
"คุณ มาได้ยังไงน่ะ" พ่อถาม ขณะเดินออกมาจากครัว
"คุณน่าจะถามลูกสาวตัวดีของคุณมากกว่าว่าไปทำอะไรไว้" แม่กระชากเสียง
"มีอะไรกันเหรอ รมัณยา"
ลูกสาวยักไหล่ "ไม่ทราบค่ะ หนูเล่นดนตรีอยู่ในผับดีๆ แม่ก็ลากหนูกลับมา"
"แค่แกไปเต้นกินรำกินแบบนั้น ฉันก็เหลือทนแล้ว!" แม่หันมาตะคอกใส่ลูกสาว "แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ฉันรู้มาว่าแกคบอยู่กับผู้หญิง กอดจูบอยู่กับผู้หญิงคนนั้นน่ะ"
"จริงเหรอรมัณยา" พ่อร้องถามขึ้น ไม่คิดว่าลูกสาวจะเป็นเช่นนี้
"ไม่ได้จูบนะคะ แค่กอดเฉยๆ" รมัณยาแย้ง "ผู้หญิงกอดกับผู้หญิง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ที่นี่อเมริกานะคะ จะผู้หญิงผู้ชายก็กอดกันทั้งนั้น"
"แต่ที่ฉันเห็นมันไม่ใช่แค่นั้น หรือแกจะเถียง" แม่ไม่เพียงส่งเสียงตะคอก ทั้งยังง้างมือทำท่าจะตบลูกสาว หากแต่พ่อกลับคว้าแขนแม่ไว้ได้ก่อน
"ใจเย็นๆ น่าคุณ นี่ลูกนะ"
"คุณก็เหมือนกัน" แม่หันกลับมาตะคอกใส่พ่ออีก "เลี้ยงลูกยังไงให้ลูกวิปริตแบบนี้ คุณมันไม่ได้เรื่อง! ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ตอนนั้นฉันตัดสินใจแต่งกับคุณได้ยังไง"
"นี่อย่ามาพาลน่า" พ่อกระชากเสียงบ้าง จากนั้นเสียงทั้งคู่ก็ดังจนกลบบ้าน
นี่เป็นภาพที่รมัณยาเห็นจนชินตา พ่อกับแม่ทะเลาะกันมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก แม้จะเลิกกันแล้ว แม้พ่อจะย้ายมาทำงานไกลถึงครึ่งโลก แต่พ่อกับแม่ก็ยังคงทะเลาะกันให้เห็นทุกครั้งที่เจอกัน
ถึงนี่จะเป็นภาพชินตา หากสำหรับลูกคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เห็นก็ยังสร้างความเจ็บปวด
รมัณยาสะบัดหน้า เดินขึ้นบันไดบ้าน ทว่าแม่ยังคงเรียกไว้อีก
"รมัณยา เอาโทรศัพท์มาให้แม่"
"อะไรนะคะ นี่แม่จะจำกัดสิทธิหนูเหรอ"
"คุณ ที่นี่อเมริกานะ" พ่อช่วยท้วงด้วย หากแต่กลับไม่เป็นผล
"อเมริกาแล้วทำไม นี่มันลูกของฉัน" เธอบอก แล้วจึงหันมาออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดกับลูกสาว "เอามาให้แม่ เดี๋ยวนี้!"
รมัณยาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงยื่นส่งให้แม่ จากนั้นจึงวิ่งขึ้นบันได ขังตัวเองอยู่ในห้อง
เธอนั่งกอดเข่าอยู่ข้างเตียงเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบ เมื่อรู้ตัวอีกที เธอก็ก้าวตรงไปนั่งลงยังโต๊ะหนังสือของตัวเอง เปิดคอมพิวเตอร์แบบพกพาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เปิดเข้าเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ซึ่งเธอมักจะใช้ติดต่อกับเพื่อนอยู่เป็นประจำ หากแต่ข้อความที่แสดงขึ้นมาแทนหน้าเว็บไซต์นั้น ทำให้เธอต้องย่นหัวคิ้วด้วยความผิดหวัง
การติดต่อล้มเหลว... หรือว่าเป็นฝีมือแม่
เวลานั้นเอง เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น รมัณยาสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู ขณะกำลังลังเลว่าจะเปิดดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงพ่อดังขึ้นเบาๆ
"รมัณยา พ่อเอง"
หญิงสาวเอื้อมมือไปปลดลูกบิด ปล่อยให้พ่อเปิดเข้ามา
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องลูกสาวแล้ว พ่อก็ปิดประตูลง เขาเหลือบไปเห็นว่าคอมพิวเตอร์ของลูกสาวถูกเปิดทิ้งไว้อยู่ จึงหันมาให้คำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"แม่เขายึดเครื่องรับสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปแล้วน่ะ"
รมัณยาไม่ได้ตอบอะไร เธอรู้ว่าสำหรับพ่อ ไม่ว่าแม่จะทำอะไร พ่อไม่เคยขัดขวางได้ นั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่งกระมัง ที่พ่อตัดสินใจย้ายมาทำงานที่อเมริกา
"รมัณยา..." พ่อยื่นมือลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่ "บอกพ่อมาได้มั้ยลูก ที่แม่พูดเป็นความจริงรึเปล่า"
รมัณยาค่อยๆ หันกลับมามองพ่อ ตลอดเวลาที่อยู่กับพ่อ เธอรู้ว่าพ่อเข้าใจเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดเธอก็สามารถพูดกับพ่อได้... ถ้าเธอพร้อม
"หนู..." รมัณยาเอ่ยออกมาช้าๆ "หนูไม่ได้ทำอย่างที่แม่บอก แต่...แต่หนูคบพิมานมาได้สองปีแล้วค่ะ"
พ่อได้ยินคำสารภาพจากปากลูกสาวแล้วก็ถอนหายใจออกมา ค่อยๆ ดึงร่างบางของลูกสาวเข้ามากอดอย่างแผ่วเบา
"พ่อไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่หนูรู้ใช่มั้ยว่าแม่เขารับไม่ได้"
รมัณยาพยักหน้า "หนูรู้ค่ะ"
"ฟังพ่อนะลูก... แม่เขารู้เรื่องของหนูก่อนที่จะมาที่นี่แล้ว เพื่อนแม่ที่นี่โทรกลับไปเล่าให้แม่ฟัง เพราะฉะนั้น ก่อนจะมาที่นี่ แม่เขาก็เตรียมทุกอย่างไว้ให้หนูแล้ว ทั้งเรื่องมหาวิทยาลัย...ทั้งตั๋วเครื่องบิน"
ลูกสาวผละจะอกพ่ออย่างแตกตื่น "อะไรนะคะ แม่จะให้หนู..."
พ่อพยักหน้านิดหนึ่ง "เช้าวันพรุ่งนี้ หนูจะต้องเดินทางกลับเมืองไทย" พ่อบอกเสียงเบา จากนั้นเธอจึงได้เห็นว่า มีหยาดน้ำเล็กๆ เกาะอยู่ที่ร่องแก้มของพ่อ
"พ่อ..." ลูกสาวซบหน้าลงกับอกพ่อ ร้องไห้สะอึกสะอื้น พ่อเอง ก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้เช่นกัน
การพลัดพรากจากคนที่รัก ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย ช่างเป็นความทุกข์สาหัสที่ยากทนทานได้
% ###
"แล้วหลังจากนั้นล่ะ" ธาวินคะยั้นคะยอถาม หลังจากเห็นวีรินทร์ยุติการเล่าไปพักหนึ่ง
"หลังจากนั้น รมัณยาก็โทรมาหานภ เธอบอกให้นภช่วยอธิบายเรื่องของเธอให้พิมานฟังด้วย เธอบอกว่าแม่ไม่ให้เธอติดต่อกับใครเลยนอกจากนภ เพราะนภเป็นเพื่อนสนิทกับรมัณยาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่แม่รู้จัก"
"ไม่มีเหตุผลนะเนี่ย" ศาสตราใส่อารมณ์
"เอ็งอย่าเพิ่งไปตัดสินความคิดคนอื่น บางทีแม่รมัณยาอาจจะมีเหตุผลของตัวเองก็ได้" ภวาภพบอก
"ก็จริงนะ ลูกสาวเป็นเลสเบียน ใครจะไประ...อุ๊บ" ธาวินไม่สามารถต่อประโยคจนจบได้ เนื่องจากถูกมือใหญ่ของวสวัตติ์เอื้อมมาอุดไว้ก่อน
สำหรับวสวัตติ์ แม้จะรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้เสียใจเท่าใดนัก หรือเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจะอย่างไร รมัณยาก็เป็นได้เพียงแค่ความฝันสำหรับเขา
...หรือเพราะเขารู้ว่า ความรู้สึกของตนเองที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้ เป็นเพียงความหลงอันไร้สาระ เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนของเขา หรือแม้แต่พิมาน
"แล้วเป็นยังไงต่อ" ศาสตราคะยั้นคะยอบ้าง
"หลังจากนั้น รมัณยาก็ติดต่อกับพิมานผ่านทางนภ แต่ก็ได้แค่สองเดือนเท่านั้นแหละ เพราะนภก็ต้องกลับเมืองไทยเหมือนกัน คือ เขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนน่ะ แล้วหมดวาระพอดี ก็เลยต้องกลับ ส่วนฉัน... ที่บ้านไม่มีเงินส่งแล้วน่ะ ก็เลยต้องกลับเหมือนกัน" วีรินทร์บอก พลางยิ้มแหย
"ถ้าอย่างนั้น พอนภกลับเมืองไทยแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยสิ" วสวัตติ์ถามบ้าง
"ไม่เชิงนะ พวกเขาก็ยังติดต่อกันผ่านทางนภเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ก็ยากขึ้น เพราะนภมันก็ได้แต่ส่งอีเมลให้น่ะ ก็แม่รมัณยาคุมแจเลยนี่"
"น่าสงสารแฮะ" ศาสตราบอก เขาก็กำลังมีความรัก ย่อมเข้าใจ และสงสารคนที่มีความรักเช่นกัน
วสวัตติ์หันมองไปทางรามภณซึ่งยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม เพื่อนของเขาคงได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว คงรู้แล้วว่ารมัณยากับพิมานน่าสงสารเพียงใด หากแต่ในสายตาวสวัตติ์เวลานี้ คนที่น่าสงสารที่สุดน่าจะเป็นเพื่อนของเขามากกว่า
...บางทีวสวัตติ์เองอาจจะโชคดีกว่า ทีแค่หลงชอบเธอไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ได้ลุ่มหลงอย่างรามภณ แล้วต้องมาเสียใจภายหลังแบบนี้
% ====================
แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 55 21:54:02
จากคุณ |
:
ตรีพันธ์
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ก.ค. 55 21:53:22
|
|
|
|