11
ปัญวิชช์บังคับพวงมาลัยพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แต่นภัสรินทร์หน้าเครียด กังวลจนดูนาฬิกาบ่อยครั้ง เกรงว่าจะไปสายเกินกว่าที่ขอเลื่อนอีก
“ผมนึกว่ารินคุยกับลูกค้าเสร็จแล้วเสียอีก”
“ธุระด่วนน่ะ” เธอตอบสั้น ๆ เขาพยักหน้า
“มันเป็นเหตุสุดวิสัย อีกฝ่ายคงเข้าใจ ใจเย็น ๆ เถอะ รินกระวนกระวายแบบนี้พาลเสียบุคลิกหมด”
คนกระวนกระวายขมวดคิ้ว หันไปจ้องหน้าคนพูด “คุณใช้คำพูดแบบนี้เป็นด้วยเหรอ”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ทำไมล่ะ ผมเป็นคนทำงานศิลปะนะ เรื่องภาพลักษณ์มุมมองก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ”
“แต่คุณทำงานกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต”
เขาโคลงศีรษะ “ไม่เห็นจะต่างกันมากมาย งานของเราทั้งคู่คือการสร้างความว่างเปล่าให้เป็นรูปเป็นร่างที่คนมองเห็นได้ ผมสร้างภาพเขียน คุณขายความไว้ใจในสร้างสิ่งของ มันก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ”
“แต่งานสร้างของคุณไม่มีการตอบโต้จากอีกฝ่ายนะ”
“คุณก็ทำลูกค้าให้เป็นกระดาษเปล่าสิ”
“ยังไง” นภัสรินทร์เผลอไผลสนุกกับการโต้คารมครั้งนี้
“มันก็อยู่ที่เทคนิคของใครของมันไม่ใช่เหรอ”
“ทำเป็นพูดเลี่ยง ไม่รู้ละสิ” เธอเหยียดยิ้ม
“แล้วรินใช้แสงเงาแบบที่ผมทำได้หรือเปล่าล่ะ”
นภัสรินทร์เงียบ แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง จะบอกว่าลักษณะงานไม่แตกต่างกัน แต่การใช้กลยุทธ์เป็นเรื่องส่วนบุคคลสินะ ปัญวิชช์ขายงานจากกระดาษสีขาว แต้มสีวาดเส้นระบายแสงเงาจนเป็นรูปร่าง เหมือนกับที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ วาดภาพตัวเองลงในใจเธอ แต่หญิงสาวรู้ เธอไม่ใช่กระดาษสีขาว เธอเป็นผ้าใบสีเทาหม่น ชอกช้ำ และมีรอยด่าง
“ริน ผมพูดอะไรไม่ดีไปหรือเปล่า”
น้ำเสียงเขาติดกังวลขึ้นมาทันที นภัสรินทร์สั่นศีรษะ คำถามยืนยันได้ว่าทุกเรื่องของเธออยู่ในลมหายใจของเขา “ไม่มีอะไร”
สถานที่นัดหมายเป็นห้างสรรพสินค้า ชั้นล่างสุดด้านหน้าเป็นร้านกาแฟชื่อดัง นภัสรินทร์บอกว่าเธอจะลงตรงนี้ พูดพลางปลดเข็มขัดนิรภัย สะพายกระเป๋า หยิบเอกสารและเปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว ปัญวิชช์รีบบอก
“ผมจะรอนะริน คุยเสร็จโทรมาได้เลย เดี๋ยวผมวนรถมารับ”
หญิงสาวนิ่งเล็กน้อย ครั้นแล้วก็พยักหน้า ไม่มีเวลาเล่นตัวเพราะงานสำคัญรออยู่ ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ความปลาบปลื้มใจไหล่ท่วมท้นปัญวิชช์
ยี่สิบนาทีพอดีที่นภัสรินทร์โทรมาบอกว่าเสร็จธุระแล้ว ปัญวิชช์ขับรถมาเทียบฟุตบาท ณ บริเวณที่เลยป้ายรถเมล์ไปเล็กน้อย หญิงสาวยืนรออยู่แล้ว เธอเปิดประตูขึ้นมานั่ง สีหน้ากระจ่างผิดกับตอนที่ไป แสดงให้เห็นว่าการพูดคุยนี้ หรืออะไรก็ตามที่เธอได้รับมาเป็นเรื่องดี
“กลับมายิ้มเป็นรินคนเดียวแล้ว”
เท่านั้นเองรอยยิ้มก็หายวับ ชายหนุ่มร้องอ้าว
“รู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นคนเดิมถ้ายิ้ม”
“ใช่หรือเปล่าล่ะ แต่ผมว่าไม่สำคัญหรอก ผมชอบริน ไม่ว่ารินจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม”
นภัสรินทร์ทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้น
“จะทุ่มแล้วเหรอเนี่ย มิน่าล่ะรู้สึกหิว ไปหาอะไรกินกันไหม”
“ไม่ล่ะ เหนื่อย”
“ก็นี่ไง ไปนั่งตากแอร์เย็น ๆ ฟังเพลง กินของอร่อย ๆ เดี๋ยวก็หายเหนื่อย”
เธอส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจยาว “ฉันอยากกลับบ้านมากกว่า อยากนอน”
พอได้ยินคำตอบสั้นและตัดรอนแบบนั้น ปัญวิชช์ก็เริ่มตัดพ้อขึ้นมาอีก “ผมนึกว่าวันนี้จะได้กินข้าวกับรินสักมื้อ เป็นการขอบคุณที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งให้ แถมยังรอรับกลับอีก”
นภัสรินทร์คิดไม่ผิดเลย ช่างเป็นผู้ชายที่อ่านง่ายเหลือเกิน
“ทวงบุญคุณใช่ไหม”
“เปล่าสักหน่อย”
“ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำหน้าแบบนั้น ฉันไม่ได้บอกว่าจะลืมความช่วยเหลือนี้ซะหน่อย”
“งั้น...”
“แต่ไม่ใช่วันนี้ วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว ติดไว้ก่อนแล้วกัน อ้อ ถ้าจะกรุณาไปส่งที่บ้านด้วยก็เป็นพระคุณอย่างมาก”
ปัญวิชช์นิ่งไป สายตาเขาผิดหวังแต่ไม่แสดงออกมากมาย “ห้ามลืมสัญญานะ”
นภัสรินทร์จ้องหน้าตอบเป็นการยืนยัน เขายกนิ้วก้อย “สัญญาก่อนด้วย”
หญิงสาวส่ายหน้า จำนนให้ความเป็นเด็กที่ยังมีเหลือเฟือในตัวเขา
“ฉันไม่ใช่เด็กนะจะได้มาเกี่ยวก้อย บอกว่าไม่ลืมคือไม่ลืมสิ”
ปัญวิชช์ยอมลดมือลง เลือกจะเชื่อทุกอย่างที่เธอบอก เขาส่งนภัสรินทร์ที่หน้าคอนโด เพราะเธอไม่ต้องการให้เขาเสียเวลาลงจากรถ และลดคำพูดที่จะก่อเกิดเรื่องราวมากมายจากเจ้าหน้าที่ธุรการ
ทันทีที่ขึ้นลิฟท์ หญิงสาวก็ยิ้มสมใจ วันนี้คือวันของเธอ งานที่ตั้งใจไปคุยสำเร็จ งานที่หว่านเมล็ดไว้ก็ออกผล คนที่เธอมุ่งหมายก็ควบคุมได้ดังใจ มีแต่ได้กับได้
ต่อให้ฝึกทำขนมจนได้เป็นเชฟก็ตาม แต่เสียใจด้วยที่ผู้ชายคนนี้จะไม่ได้เป็นของเธอ นีรนารถ
ปัญวิชช์ฝ่ารถติดกลับถึงบ้านเกือบสองทุ่ม พอเดินเข้าไปในห้องโถงก็เห็นสมาชิกเกือบทุกอยู่กับพร้อมหน้า ปู่ อาเทวิน อาเปรมิกา แป้งลูกสาวของทั้งคู่ รวมทั้งแม่ของเขา ทั้งหมดกำลังดูการถ่ายทอดสดกีฬา ได้ยินเสียงผู้บรรยายและเสียงตีกลองร้องเพลงสนุกสนานจากกองเชียร์
“วิช มาแล้วเหรอ กินอะไรมาหรือยัง”
“ยังครับ”
“งั้นเดี๋ยวแม่...” วิลาสินีขยับแต่ถูกเบรกจากทรงพล
“ไม่ต้อง ให้มันไปหากินเอง โตป่านนี้แล้ว ดูต่อเถอะ”
ลูกสะใภ้คนโตชะงัก บรรยากาศเหมือนหลุมดำไปชั่ววินาที ปัญวิชช์รู้ว่าปู่กระทบตัว
“งั้นเดี๋ยวผมไปยกข้าวมากินด้วยดีกว่า ดูท่าทางจะสนุกจนละสายตาไม่ได้เลยนะครับเนี่ย”
“เจ้าวิช!”
แต่คนพูดเผ่นออกไปแล้ว เปรมิกากับเทวินสบตากันยิ้ม ๆ ส่วนแป้งแทบจะไม่สนใจ
“ให้ใครไปบอกมันที กินเสร็จแล้วมาที่นี่ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ทรงพลบอก วิลาสินีหันไป
“คุณพ่อจะคุยเรื่องอะไรกับวิชเหรอคะ”
“จะถามทำไม อยากรู้เดี๋ยวก็อยู่ฟังด้วยกันสิ”
คนถามจึงเงียบกริบ
สักพักปัญวิชช์ก็เดินเข้ามา แป้งเดินออกไปก่อน ตามด้วยเปรมิกากับเทวิน วิลาสินีเป็นคนสุดท้าย ด้วยต่างก็รู้ว่ามวยคู่นี้กำลังจะเริ่มอีกยกแน่ ๆ และทุกคนที่เดินออกไปต่างก็ไปเงี่ยหูฟังสังเกตการณ์กันอยู่ในครัว มุมที่มองเห็นห้องโถงได้ชัดที่สุด
ทรงพลมองหน้าหลานชาย พูดยิ้ม ๆ
“เจ้าเล่ห์นะ ทำให้รถเขายางแบนจะได้ไปส่ง ถ้าเอาความฉลาดมาใช้ในงานมันน่าจะเกิดประโยชน์กว่านี้”
ปัญวิชช์อึ้ง และเค่นยิ้มออกมาที่ตัวเองถูกสะกดรอยตาม “นี่ปู่จะลองเล่นบทนักสืบเป็นงานอดิเรกหรือไงครับ”
“ไม่ต้องมาโยกโย้ ถ้าไม่ให้คนไปดูจะรู้เหรอว่าแกยังไปวิ่งไล่ตามแม่นั่นอยู่ ปู่บอกแล้วใช่ไหม”
“ผมก็บอกปู่แล้วเหมือนกันครับ” ปัญวิชช์ตอบทันที ทรงพลเว้นจังหวะ การพูดเรื่องนภัสรินทร์ในเวลานี้ไม่เป็นการดีเท่าไหร่ เขามีเรื่องสำคัญกว่านั้น
“วิช ปู่บอกคุณสุเชาวน์แล้วว่าแกจะลงสมัครเลือกตั้งครั้งนี้”
ชายหนุ่มหน้าเบ้ “ปู่ต้องโกหกแน่ ๆ”
“ฉันพูดจริง วันที่ 12 เปิดตัวผู้สมัคร แกต้องไปกับปู่”
“ผมไม่ไป”
“แกจะหักหน้าปู่หรือไง”
“ปู่ยังไม่เกรงใจผมเลย ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวไม่พอ ยังเอาชื่อไปแอบอ้างอีก”
“วิช...ที่ปู่ทำเพราะหวังดีกับแกนะ ปู่ไม่อยากทะเลาะกับแกเรื่องนี้อีก ทำเพื่อปู่สักครั้งไม่ได้เหรอ คราวก่อนแกบอกว่าจะลองไปคิดดูไง” เสียงของทรงพลยังไม่ถึงกับตวาด แต่ก็ดังพอให้ได้ยินไปถึงห้องครัว
ชายหนุ่มเกาท้ายทอย ไม่คิดว่าปู่จะถือเอาความกับคำพูดตัดบทของเขา “ปู่ก็น่าจะรู้ ผมไม่เคยสนใจงานบ้านการเมืองอะไรนี่เลย ถึงปู่จะพูดว่าขอร้อง ผมทำใจไปทำไม่ได้หรอก สำหรับผมมันก็คือการบังคับอยู่ดี”
“แต่ปู่รับปากเขาไว้แล้ว” ทรงพลอ้างคำเดิม
“ก็มันเป็นความคิดของปู่เองนี่ครับ” ปัญวิชช์พูดแล้วลุกขึ้น ทรงพลไม่ยอมแพ้รีบลุกตาม คิดว่ายังไงซะวันนี้ต้องกล่อมหลานชายให้สำเร็จ
“วิช ฟังปู่ก่อน ปู่รู้ว่าแกรักงานของแก แต่งานศิลปะมันจะทำอะไรได้แค่ไหน ชิวิตนี้แกไม่คิดว่าจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลบ้างเลยหรือไง”
“ปู่เล่นมุกนี้อีกแล้ว ผมวาดรูปขาย ไม่ได้จี้ปล้นใครนี่ครับ ผมทำตระกูลเสียหายตรงไหน”
“แต่เพราะแกทำงานอิสระขนาดนี้ ถึงได้มีเวลาไปวิ่งไล่ตามผู้หญิงฉาวโฉ่คนนั้น แบบนี้มันไม่เกี่ยวหรือไง!”
ปัญวิชช์ฉุนกึก ดูเหมือนว่าปู่ของเขาจะจงชังฝังใจนภัสรินทร์ไม่เลิก “ถ้าปู่ว่ารินอีกผมจะไม่คุยกับปู่แล้ว” เขาก้าวหนีออกไป
“เจ้าวิช!!” ทรงพลก้าวตาม “ทำไมแกถึงดื้อกับปู่ตลอด ทำเหมือนปู่บังคับให้แกไปตาย ที่ผ่านมาแกก็ไม่เคยทำตามที่ปู่หวังสักอย่าง ปู่ขอครั้งนี้ ทำให้ปู่ไม่ได้เหรอ”
“ปู่ครับ...” ปัญวิชช์อ่อนใจ คิดว่าใครกันแน่ที่ดื้อ
“เอางี้ดีกว่า แกอยากได้อะไรบอกมาเลย ถ้าปู่ให้แกลงสมัครสส.แล้วแกจะให้ปู่ทำอะไร อยากได้อะไรปู่ให้ทุกอย่างเลยเอ้า”
ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า ค่อย ๆ หันกลับมามอง ทรงผลเผยอยิ้ม รู้ว่าธนูดอกนี้ตรงเป้า แววตาหลายชายมีปฏิกิริยากับข้อเสนอ
“ผมขอได้จริง ๆ น่ะเหรอ”
“ได้สิ” น้ำเสียงคนเสนอลิงโลด นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าปัญวิชช์จะยอมรับลูกไม้ง่าย ๆ แบบนี้ ทำไมเขาไม่คิดได้ตั้งแต่แรก “แกว่ามาอยากได้อะไร รถใหม่ เงินฝาก หรืออะไรก็ได้ที่อยากได้” ทรงพลเข้ามาโอบไหล่ ปัญวิชช์นิ่ง สมองลั่นคำพูดของเจตน์
‘ถ้ามีดีกรี มันค่อยน่าสนใจ คุณรินเขาไม่มองคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อหรอก....’
นั่นอาจะเป็นเหตุผลว่าทำไมนภัสรินทร์ถึงได้เลือกอาเมศ มันคืออาวุธชิ้นสำคัญที่จะพิชิตใจเธอ และสามารถปิดกั้นหนทางการขัดขวางของปู่ได้ด้วย ไหน ๆ ข้อเสนอก็มาหล่นตรงหน้า คว้าไว้ก่อนดีกว่า
“ว่าไง”
ชายหนุ่มทำท่าคิดก่อนจะตอบ “ถ้าอย่างนั้น...ผมลงสมัครก็ได้”
ทรงพลตาโต ยิ้มกว้างจนหน้าบาน “จริงเหรอวิช ตกลงจริง ๆ นะ ปู่ไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม!!”
ปัญวิชช์พยักหน้า “ครับ”
“ปู่ดีใจจริง ๆ” ทรงพลตื่นเต้น วางมือไม้ไม่ถูก น้ำเสียงสั่นเครือ และนัยน์ตาเปล่งประกาย โผเข้ากอดหลานชาย
“แต่ปู่อย่าลืมข้อแลกเปลี่ยนนะครับ”
คนเป็นปู่ผละออก ใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ไม่ลืมหรอก ว่ามาเลย อยากได้อะไร”
ปัญวิชช์ยิ้มกริ่ม ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “สิ่งที่ผมจะบอกจากปู่ก็คือ ผมให้ไม่ให้ปู่ขัดขวางเรื่องผมกับริน”
สิ้นคำ ทรงพลนิ่ง เทวินที่ดูเหตุการณ์อยู่ถึงกับดีดนิ้วเปาะ เลยถูกเปรมิกาตีแขนดังเพี๊ยะ
คนเป็นปู่หน้าเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คิดไม่ถึงว่าหลานชายจะมาไม้นี้ “ขอ...อย่างอื่นไม่ได้เหรอวิช”
ปัญวิชช์ส่ายหน้า “ปู่บอกเองว่าอะไรก็ได้ ของชิ้นนี้ไม่มีมูลค่าเลยนะครับ ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย”
“แต่...”
“ก็แล้วแต่ปู่ครับ ถ้าให้ไม่ได้เรื่องสมัครสส.ก็เป็นอันตกไป” ชายหนุ่มไหวไหล่ “แต่ปู่กับผมคงทะเลาะกันไปแบบนี้ไม่จบไม่สิ้นล่ะครับ”
ทรงพลหน้าเครียด รู้ว่าไพ่แต้มต่อกลับไปอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว อยากต่อรอง เขาเกลียดนภัสรินทร์ แต่การได้ปัญวิชช์ไปเป็นสส.มันหอมหวาน ภาพหลานชายในสภาชัดใกล้ความจริง เขาไม่ต้องการให้มันจางหายไป
เห็นปัญวิชช์มีรอยยิ้มในสีหน้า ทรงพลใคร่ครวญ จริงดังว่า เขาไม่เคยกำหนดหรือออกคำสั่งหลานคนนี้ได้เลยสักครั้ง ปัญวิชช์ดื้อเหมือนแมว บอกซ้ายไปขวา ดึงมาข้างหน้ากลับถอยหลัง บางทีก็ล้มนอนเสียอย่างนั้น
อดีตรัฐมนตรีเม้มปาก กำมือแน่น บารมีที่เคยใช้กับลูกพรรคกลับใช้ไม่ได้กับหลานชาย แต่ถ้าเทียบกับผู้หญิงเห็นแก่เงินคนนั้นอย่างไรเสียปัญวิชช์ก็มีค่ามากกว่า
“ก็ได้”
ปัญวิชช์อยากจะกำหมัดแล้วร้อยเยสดัง ๆ เหมือนกัน แต่เขารักษาท่าทีมองไปรอบ ๆ เห็นบรรดาคนดูข้างสนามต่างจดจ่อกับการปะทะคารมครั้งนี้
“ปู่รับปากแล้ว ห้ามผิดคำพูดนะครับ อา ๆ เป็นพยานรู้เห็นนะ”
“ไม่ต้องอ้างคนอื่น ตกลงก็คือตกลง ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้แกไปที่พรรคกับปู่”
“อ้าว ไหนบอกวันที่ 12”
“นั่นเป็นวันลงสมัคร แต่พรุ่งนี้แกต้องไปแนะนำตัว ไปทำความรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคไว้ซะก่อน”
“เฮ้อ” ปัญวิชช์กรอกตา หน้าเบ้
“แกก็รับปากปู่แล้วนี่ เริ่มตอนไหนมันก็เหมือนกัน”
ทรงพลเดินออกไป คราวนี้ปัญวิชช์นิ่งบ้าง มีความกังวลเกี่ยวกับเส้นทางเส้นใหม่ที่เลือก แต่อีกใจก็เชื่อมั่นว่าทางนี้จะไปถึงหัวใจของนภัสรินทร์ได้ในที่สุด
เพียงแต่ เขาคงต้องเร่งเขียนหนังสือให้จบเสียก่อน จากนั้นก็ไปเผชิญกับบรรดานักการเมืองเสือ สิงห์ กระทิง แรด พวกนั้น ชายหนุ่มถอนใจ ช่วงนี้คงไม่ได้เห็นหน้านภัสรินทร์ทุกวันแน่ นีรนารถก็คงบ่นเช่นกัน
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ก.ค. 55 15:37:56
|
|
|
|