ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๑๑ : การณ์ในลวปุระ
|
 |
บทที่ ๑๑ : การณ์ในลวปุระ
ข่าวมหาอุปราชรามราชได้รับบาดเจ็บสาหัส และข่าวเจ้าชายกฤตมุขสิ้นในที่เกิดเหตุนั้น ล่วงรู้ถึงหูคนในวังหลวงถ้วนทุกคน ด้วยข่าวที่แพร่ไปปากต่อปากไม่ต่างอันใดกับไฟลามทุ่ง พ่ออยู่หัวธรรมปารัชและตระลาการที่รอคอยการมาถึงของพระนางปริชมันเอง พอรู้ข่าวนี้ถึงกับมองหน้ากันอย่างตกใจ ข้างพ่ออยู่หัวถึงกับผุดลุกขึ้นจากตั่ง หากข่าวนี้เป็นความจริงก็เท่ากับว่าท่านมีคนที่ต้องห่วงถึงสองคนในเพลาเดียวกัน คนหนึ่งห่วงในอาการบาดเจ็บ ส่วนอีกคนหนึ่งห่วงความรู้สึก หากพระนางปริชมันรู้ข่าวนี้ สิ่งใดจะเกิดขึ้นก็สุดรู้
“พ่ออยู่หัวจักไปที่ใดเจ้าข้า”
เสียงใครคนหนึ่งถามมา จอมคนลวปุระที่เดินออกไปได้เพียงสองก้าวถึงกับชะงัก จริงสิ ท่านควรจะไปที่ใดก่อน หลังจากเงียบไปราวชั่วอึดใจจึงตอบไปว่า
“พวกท่านจงรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจักไปตามตัวปริชมันมาไต่สวน นางมาช้าเกินไปแล้ว”
เหตุผลที่ออกมาเกือบตรงกับความรู้สึกแท้จริง เพราะท่านมิได้ต้องการตามตัวชายาคนนี้เพียงประการเดียว แต่อยากไปให้เห็นกับตาว่าพระนางปริชมันจะไม่คิดทำสิ่งใดที่จะเป็นภัยทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นต่างหาก ลูกชายคนเดียวต้องตายไป แม่คนใดบ้างที่จะยอมอยู่เฉย ข้าราชบริพารที่อยู่ในศาลาลูกขุนต่างมองหน้ากันอย่างหนักใจ เพราะรู้ฤทธิ์รู้เดชของพระนางปริชมันดี ที่สุดก่อนที่พ่ออยู่หัวธรรมปารัชจะเดินออกไป หัวหน้าตระลาการจึงขอให้ทหารจำนวนหนึ่งติดตามไปด้วย ท่านนิ่งคิดนิดหนึ่งก็ตกลง แล้วออกเดินนำหน้าไปก่อนอย่างร้อนใจเต็มที
พ่ออยู่หัวธรรมปารัชเดินพ้นศาลาลูกขุนไม่ถึงสิบก้าวดี ร่างหนึ่งที่เจนตาเจนใจก็วิ่งสวนเข้ามาอย่างไม่รักษากิริยาหรือมารยาทใดๆ อีกแล้ว มือใหญ่เอื้อมคว้าแขนฝ่ายนั้นเอาไว้ทันที ส่งให้ฝ่ายที่วิ่งสวนเข้ามานั้นทรงตัวไม่อยู่กระแทกเข้ากับอกพ่ออยู่หัวทันใด ด้วยสัญชาตญาณมากกว่าจะคิดเป็นอื่น ทำให้ท่านเข้ารวบตัวนางเข้าไว้ในอ้อมแขน เพื่อมิให้เจ้าตัวกระเด็นล้มไปเสียก่อน
“ปริชมัน”
“พ่ออยู่หัว ท่านสั่งฆ่าลูกกระนั้นฤๅ ท่านสั่งฆ่าลูกของเรากระนั้นฤๅ”
พระนางปริชมันเห็นว่าเป็นผู้ใดที่เข้ารวบตัวนางไว้ก็เริ่มร้องโวยวายทั้งน้ำตา พลางกำหมัดรัวทุบอกพ่ออยู่หัวอย่างคนคุมสติไม่ได้อีกต่อไป พ่ออยู่หัวธรรมปารัชไม่หลบและไม่ห้ามปรามแต่อย่างใด คงปล่อยให้ชายากระทำเช่นนั้นจนอ่อนแรงไปเอง ร่างบางทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่แทบบาทจอมคนลวปุระ ร้องไห้อย่างหมดอาย ผมเผ้าที่รวบเกล้าไว้อย่างดี บัดนี้ยุ่งเหยิงรุ่ยร่ายลงมาปรกหน้าปรกตา พ่ออยู่หัวธรรมปารัชถอนใจบางๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่งเสมอด้วยนาง
“ปริชมัน” กระแสเสียงทอดอ่อนโยนลงกว่าเคย ด้วยเห็นว่านางเสียใจมากพอแล้ว “ไม่มีพ่อคนใดที่ใจร้ายพอสั่งฆ่าลูกตนเองได้หรอกนะ”
“แล้วที่เกิดขึ้นนี่เรียกว่ากระไรเจ้าคะ” พระนางปริชมันกรีดเสียงถามอย่างคนที่หัวใจแหลกสลาย
“กรรมะ เข้าใจฤๅไม่ กรรมะ คือการกระทำ ทำไว้เช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหรอก อันที่จริงเราได้ตัวกฤตมุขมาแล้ว ถ้าเพียงเขาจักยอมให้เจ้ารามกับทหารเข้าคุมตัวแต่โดยดี แต่นี่...เขากลับต่อสู้ ในเพลาเช่นนั้นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หามีทางเลือกอื่นใดไม่”
“หามีทางเลือกอื่นใดไม่ฤๅเจ้าขา พ่ออยู่หัว ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร หนทางให้เลือกมีเป็นหมื่นแสน ไยต้องเลือกทางตายเยี่ยงนี้”
“เพลานี้ย่อมพูดเช่นนี้ได้ หากในเพลาคับขันเยี่ยงนั้น การตัดสินใจต้องรวดเร็วและเด็ดขาด ทุกการกระทำย่อมมีเหตุผลกำกับในตัวของมันเอง มันอาจไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีในสายตาคนทั่วไป หาก ณ เพลานั้น มันคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับทุกคน”
“ดีที่สุดแล้วสำหรับทุกคน” พระนางปริชมันทวนคำเสียงปร่า นัยน์ตาแดงช้ำคู่นั้นสบประสานฉายแววเยาะอย่างไม่ปิดบัง “นี่ฤๅเจ้าคะที่ว่าดีแล้ว”
“เช่นนั้นเราขอถามเจ้ากลับคืน ด้วยเหตุใดเจ้ากับกฤตมุขจึงเลือกที่จักกำจัดจามเทวี ทั้งที่เพลานี้นางก็มิได้อยู่ในลวปุระนี้อีกแล้ว แต่เจ้าก็ยังส่งคนไปลอบฆ่านางอีกซ้ำ ทำไปเพื่อการใดฤๅปริชมัน วานเจ้าบอกเราให้แจ้งใจเถิด”
คำถามนั้นไม่ได้ขู่เข็ญหรือกราดเกรี้ยวแต่อย่างใดเลย แต่คนฟังนั้นชะงักและจนต่อคำพูด สำนึกส่วนดีของพระนางปริชมันที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างสั่งให้พระนางตรึกตรองทุกคำพูดของพ่ออยู่หัวธรรมปารัชด้วยสติ เจ้าชายกฤตมุขสิ้นไปพระนางยังโศกเศร้าปิ่มว่าจะตายตามเพียงนี้ แล้วพ่ออยู่หัวธรรมปารัชเล่าจะรู้สึกเช่นไร ยิ่งถ้าพระนางสามารถกำจัดเจ้าหญิงจามเทวีได้สมความปรารถนาพร้อมกัน คนที่จะทุกข์เทวษยิ่งกว่าก็คือพ่ออยู่หัวธรรมปารัช ที่ต้องสูญเสียลูกไปพร้อมกันถึงสองคน ทว่างูพิษในใจก็ยังไม่ยอมสยบต่อความพ่ายแพ้โดยง่าย และยังคงมีอำนาจมากพอที่จะทำให้พระนางปริชมันปัดความคิดในส่วนดีออกไปจนสิ้น ราวพ่ออยู่หัวธรรมปารัชจะแจ้งความในใจของพระนาง เมื่อพระนางปริชมันเงยหน้าขึ้นมองท่านด้วยสายตากร้าวกระด้างอีกคำรบ ท่านจึงยิ้มอ่อนแล้วพูดขึ้นก่อนที่ชายาจะทันได้กล่าวความใด
“อย่าตอบเราว่าที่ทำไปก็เพื่อให้กฤตมุขได้สิ่งที่ดีที่สุด อย่าตอบเราว่าทำไปเพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจที่เหนือกว่าผู้ใดในลวปุระ เจ้ายังจำที่เราเคยพูดไว้เมื่อครั้งงานเลี้ยงฉลองชัยชำนะเหนือโกสัมพีได้ฤๅไม่ หากเจ้าจำได้แต่แกล้งลืม หรือไม่ใส่ใจจักจดจำ เราจักทวนความนั้นซ้ำอีกคำรบ การนั่งเมือง มิใช่การถือครองอำนาจเหนือผู้ใด แต่คือการรับภาระแห่งแผ่นดินไว้บนบ่า จักปกครองบ้านเมืองได้ ต้องรู้จักปกครองใจตนเองให้อยู่ในศีลในธรรมให้ได้เสียก่อน เมื่อใดที่นั่งเมือง เมื่อนั้นเราจักไม่มีเพลาคิดถึงตนเองอีกสืบไป เจ้าล่ะปริชมัน ถามตนเองทีรึ ว่าเจ้าทำได้เยี่ยงที่เราพูดสักข้อหนึ่งฤๅไม่ ตรองด้วยความเป็นกลางนะ มิใช่เข้าข้างตนเอง แล้วเจ้าจักเข้าใจ ว่าเหตุใดเราจึงไม่อาจเวนบ้านเวนเมืองให้ตกอยู่ในมือเจ้าและลูก”
พระนางปริชมันนิ่งงันไปอีกคำรบหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นหลุบลงต่ำมองพื้น พ่ออยู่หัวธรรมปารัชมองชายานิ่งอยู่อึดใจก็หันไปกวักมือเรียกหัวหน้าตระลาการให้มาหา ก่อนจะก้มลงบอกชายาด้วยเสียงแผ่วเบาแต่เน้นหนักทุกคำพูดว่า
“ตรองดูให้ดีปริชมัน ยังไม่ต้องตอบเราเพลานี้ เข้าไปนั่งรอเราในศาลาลูกขุนนั้นเถิด อีกสักครู่เราจักกลับมา หวังใจว่าเมื่อพบหน้ากันอีกคำรบ เจ้าจักทำให้เราภูมิใจว่า ท้ายที่สุดนั้น เราคิดไม่ผิดที่เลือกเจ้ามาเป็นชายาของเรา”
ประโยคสุดท้ายวาบลึกในอก ขอบตาผ่าวร้อนค่อยกลั่นให้น้ำใสหยดลงบนพื้นหินตรงหน้า พระนางทำถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะเหลือความภูมิใจใดไว้กับพ่ออยู่หัวอีกฤๅ พระนางมิได้เงยหน้าขึ้นมองผู้ใด แว่วเสียงพ่ออยู่หัวธรรมปารัชสั่งความใครคนหนึ่งอยู่แว่วๆ ก่อนที่สัมผัสอบอุ่นจากอุ้งมือใหญ่วางลงเหนือเศียรนาง แล้วบาทคู่นั้นก็เคลื่อนห่างออกไปช้าๆ ปล่อยให้พระนางปริชมันคิดหาหนทางกำจัดอสรพิษร้ายในหัวใจด้วยตนเอง
พ่ออยู่หัวธรรมปารัชมาถึงเรือนมหาอุปราช ความเงียบสงบดุจไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดเกิดขึ้นนั้นทำให้ท่านอดใจหายมิได้ รีบก้าวขึ้นเรือนไปอย่างรวดเร็ว ครั้นก้าวเข้าไปในโถงกลาง ก็เห็นข้าราชบริพารที่มารอฟังข่าวนั้น กระจายอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง ในอิริยาบถที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือใบหน้าที่หมองเศร้า บางคนยังมีคราบน้ำตาเกาะอยู่เสียด้วยซ้ำ และบางคนก็นัยน์ตาแดงช้ำอย่างคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ไม่เหลือเค้าของชายชาตินักรบเลยสักคนเดียว ท่านรีบก้าวไปทางห้องนอนของเจ้าชายรามราชที่บานประตูเปิดกว้างดุจจะรอให้ท่านก้าวเข้าไปอยู่แล้วทันที
ภาพเบื้องหน้าสะกดให้จอมคนลวปุระยืนนิ่งอยู่ที่ประตูนั่นเอง ทั้งเนื้อทั้งตัวเย็นวาบดุจถูกน้ำเย็นราดรดในฤดูหนาว ร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่บนแท่นนั้นคือเจ้าชายรามราชไม่ผิดแน่ ใบหน้าคร้ามเข้มบัดนี้ซีดเผือดไม่มีเลือดซับสักนิดเดียว ข้างแท่นคือกองผ้าที่ใช้ซับเลือดจากบาดแผลที่ยังกองระเกะระกะอยู่ กลิ่นคาวเลือดประสมกลิ่นยายังคละคลุ้งอยู่ในห้อง หมอหลวงก้มหน้าลงเก็บข้าวของของตนเองอย่างช้าๆ ส่วนสิงห์ ขุนพรหม ซึ่งมาถึงลวปุระก่อนที่เจ้าหญิงจามเทวีจะเดินทางเพียงสามวัน และข้าราชบริพารคนสนิทคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ในอาการเศร้าซึมไม่ต่างจากคนที่อยู่นอกห้องสักนิดเดียว
ขุนพรหมเป็นคนแรกที่เหลียวมาเห็นพ่ออยู่หัวธรรมปารัช ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จากรามนครจึงเป็นคนขานบอกการมาถึง ด้วยน้ำเสียงที่ฟังชัดว่าเจ้าตัวพยายามสะกดกลั้นอาการสะอื้นของตนเองอย่างเต็มที่ พ่ออยู่หัวธรรมปารัชได้สติพร้อมกับคนอื่นๆ ค่อยก้าวเข้าไปทรุดตัวลงนั่งร่วมแท่นเดียวกับผู้เป็นลูกเขย ท่านบีบต้นแขนเจ้าชายรามราชแน่น เนื้อยังนิ่มและอุ่นอยู่มาก ทำให้ท่านอดหวังมิได้ว่า ชะรอยว่าเจ้ารามลูกพ่อคงหลับใหลไปมากกว่ากระมัง
“เจ้ารามหลับรึ”
คำถามอันเปี่ยมด้วยความหวัง ทั้งที่คนพูดรู้ดีว่ากว่าครึ่งค่อนของใจนั้นเอนไปข้างการสูญเสียแล้ว ทำให้คนฟังหลายคนถึงกับเบือนหน้าหนีซ่อนน้ำตาที่รินไหลออกมาอีกอย่างกลั้นไม่อยู่ สิงห์ข่มใจฝืนตอบแทนทุกคน
“หามิได้เจ้าข้า พ่ออยู่หัว ท่านมหาอุปราชท่าน...” พูดมาถึงตรงนี้ สิงห์ไม่สามารถกลั้นเสียงสะอื้นของตนเองได้อีกแล้ว เนื้อความสุดท้ายที่ล่วงผ่านปากจึงสั่นเครือแทบจับความมิได้ “ท่านสิ้นแล้วเจ้าข้า”
“ไม่หรอก เนื้อตัวยังอุ่นอยู่ สิงห์ เจ้าอย่าเอาความเป็นความตายมาเล่น หมอหลวงเล่า ตอบเราที เจ้ารามหลับใช่ฤๅไม่”
ในเพลานี้พ่ออยู่หัวธรรมปารัชเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ที่เพียรเฝ้าหลอกตนเองด้วยความหวังที่น้อยกว่าน้อยอันหลงเหลืออยู่ในใจ หมอหลวงส่ายหน้าช้าๆ
“ท่านมหาอุปราชสิ้นแล้วเจ้าข้า คมมีดดื่มลึกตัดขั้วหัวใจพอดี สุดกำลังสุดปัญญาของข้าที่จักรั้งท่านแล้วเจ้าข้า”
พ่ออยู่หัวธรรมปารัชมองบาดแผลที่อกซ้ายของเจ้าชายรามราชอย่างไม่สู้จะยอมเชื่อนัก แผลเล็กเท่านี้น่ะหรือที่ทำให้เจ้ารามต้องมีอันเป็นไป ทว่าพอดูผ้าขาวที่ใช้ซับเลือดแล้วท่านก็ยอมรับความจริง ทั้งที่ไม่อยากจะยอมรับแม้สักปลายก้อย วูบหนึ่งที่ท่านนึกถึงลูกรัก ถ้าจามเทวีรู้คงรีบรุดกลับคืนลวปุระเป็นแน่ ซึ่งท่านจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นมิได้ เพราะถ้านางรู้ ใช่การเดินทางที่จะต้องล่าช้าไปอีก แต่ท่านเกรงว่าเจ้าหญิงจามเทวีอาจไม่ยอมไปสู่เมืองเหนืออีกเลย นั่นอาจเป็นการดีสำหรับชาวลวปุระ แต่ไม่ดีแน่สำหรับหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ที่ต้องคืนสัตย์ และถ้าเจ้าชายรามราชมีทิพยญาณใดล่วงรู้ ก็เห็นจะไม่พอใจเป็นแน่
“สิงห์ ขุนพรหม” กระแสเสียงยังคงทรงอำนาจสมเป็นนายเหนือเกล้ามิรู้วาย สองบุรุษคลานเข้ามารอรับคำสั่ง “อย่าให้ข่าวเรื่องรามราชสิ้นล่วงรู้ไปถึงขบวนของจามเทวีโดยเด็ดขาด รอไว้จนกว่าจักส่งสการแล้ว สิงห์ค่อยติดตามจามเทวีไปเมืองเหนือ แล้วค่อยบอกข่าวเสียเพลานั้น ส่วนขุนพรหม ดูแลจัดการให้เป็นไปตามราชประเพณีร่วมกับฝ่ายพิธีของลวปุระ”
สองหนุ่มน้อมรับคำสั่ง เมื่อแรกนั้นขุนพรหมเกือบทักท้วงแล้วว่า ควรให้เจ้าหญิงจามเทวีล่วงรู้เรื่องนี้ อย่างน้อยก็เป็นการส่งบดีคืนสวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอสบสายตาดุๆ ของสิงห์ที่ปรามมาก็นิ่งเสีย
หลังจากพ่ออยู่หัวธรรมปารัชสั่งความข้าราชบริพารถ้วนทุกสิ่งแล้ว ก็ขออยู่ตามลำพังด้วยเจ้าชายรามราชเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อข้าราชบริพารคนสุดท้ายเดินพ้นห้องออกไป ท่านก็ลุกเดินตามไปปิดประตูห้องลั่นดาลแน่นหนา สิงห์ตวัดสายตามองบานประตูที่ปิดสนิทนั้น รอยเศร้าในแววตาเลือนหายไปชั่วขณะ กลายเป็นแววตาที่ใครเห็นก็ไม่อาจล่วงรู้ว่าเจ้าตัวคิดการใดไว้ ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับเป็นเศร้าอีกคำรบ แล้วเดินตามคนอื่นๆ ลงจากเรือนไป
“โอม นะมะศิวายะ นาเคนทะระ หารายะ ตะริโลจะนายะ ภัสมางคะ ราคายะ มะเหศะวะรายะ นิตยายะ ศุทะธายะ ทิคัมพะรายะ ตัสไม นะการายะ นะมะศิวายะ มันทากินี สะลิละ จันทะนะ จะระจิตายะ นันทิศะวะระ ประมาถะ มะเหศะวะรายะ มันทาระปุษปะ พะหุปุษปะ สุปูชิตายะ ตัสไม มะการายะ นะมะศิวายะ...” ๑
เสียงชายผ้าสะบัดตามจังหวะการก้าวเดินที่ใกล้เข้ามา ทำให้เสียงสังวัธยายมนต์บูชาพระศิวะเจ้าหยุดลง ด้วยเจ้าตัวเหลียวมามองคนที่กำลังทรุดตัวลงนั่งข้างๆ สีหน้าอมทุกข์ของคนเพิ่งมาใหม่ทำให้กฤษณาเดาความได้ไม่ยาก ในเมื่อเพลาที่เกิดเหตุนั้น นางเองก็ปะปนอยู่ในกลุ่มทหารของเจ้าชายรามราชด้วย และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เมื่อวิเทภะอุ้มเจ้าชายรามราชออกไปจากสถานที่รณยุทธ นางก็เร่งรุดมาสังวัธยายมนตราต่อพระศิวะเจ้า เพื่อขอพรให้พระมหาเทพช่วยปกปักรักษาเจ้าชายรามราช
“ท่านมหาอุปราช” คำถามสั้น แต่กินความหมายลึกล้ำ
“คืนกลับไปเฝ้าพระมหาเทพ”
คำตอบสั้นไม่ต่างกัน สิงห์เลือกใช้คำตามศาสนาของนาง นัยน์ตาเขาจับนิ่งเพียงศิวลึงค์ในศิวาลัย มิได้หันมองกฤษณาที่นั่งตกตะลึงพรึงเพริดอยู่สักนิดเดียว เขาบอกเพียงเท่านั้นก็ยกมือไหว้ศิวลึงค์ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสัด เพราะถึงเขาจะนับถือพุทธ และมิได้ศรัทธาในมหาเทพเยี่ยงกฤษณา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลบหลู่หรือดูหมิ่นความเชื่อใด เขายังยินดีให้ความเคารพต่อทุกเทวสถานอย่างเท่าเทียมกัน อย่างน้อยที่สุดเขาก็รับรู้ได้ถึงความร่มเย็นในเขตศิวาลัยนี้ เฉกเช่นที่เขารู้สึกในเขตพุทธาวาสเฉกกัน กำลังจะหันหลังเดินกลับออกไป กฤษณาก็เข้ายุดมือเขาไว้เสียก่อน
“ประเดี๋ยวก่อนท่านสิงห์ ข้าใคร่ถามอีกข้อหนึ่ง พระนางปริชมันเล่าเป็นเช่นไร”
“ยังห่วงอาลัยอยู่อีกฤๅ ก็ไหนเจ้าว่าใจเจ้าภักดีเพียงพระแม่เจ้า”
ทหารนอกราชการทำเสียงหยันอย่างปิดไม่มิด ใจจริงเขาไม่เคยวางใจกฤษณาเลยสักนิดเดียว แม้ว่าจะเคยได้ร่วมมือกันมาหลายต่อหลายคราแล้วก็ตาม กฤษณายิ้มอย่างเข้าใจ ด้วยฐานะเช่นนาง จะหาผู้ใดวางใจได้สนิทนั้นคงยากเต็มที นอกจากจักใช้เพลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้น
“ใจข้าภักดีมั่นต่อพระแม่เจ้าจริงแท้ มาถึงเพลานี้แล้ว ข้าคงต้องพูดความจริงกับท่าน ข้าคือสายของพระแม่เจ้าที่ส่งมาสืบความเป็นไปของพระนางปริชมัน และที่ข้าถามถึงพระนางปริชมันนั้น ก็หามีสิ่งใดเคลือบแฝงไม่ ข้าเพียงใคร่รู้ทุกข์สุขของผู้ที่เคยได้เกื้อกูลกันมาเท่านั้น”
“เกื้อกูลรึ เคยคิดฆ่าเจ้าอย่างนั้นรึที่เรียกว่าเกื้อกูล”
“ข้าไม่เถียงท่านข้อนั้น แต่การรับใช้ใกล้ชิดกันมาเนิ่นนาน ย่อมก่อความผูกพันเป็นธรรมดา ข้ามิใช่คนใจร้ายใจดำพอที่จักเมินเฉยต่อพระนาง อย่างน้อยที่สุด ก็ให้ข้าได้ขอษมาต่อสิ่งที่ทำไว้บ้าง”
กฤษณาบอก ไม่มีสำเนียงประชดประชันอื่นใดเลย สิงห์ถอนใจนิดๆ ความข้อนี้เขาเองก็เถียงไม่ขึ้นเช่นกัน ที่สุดก็ตอบว่า
“พ่ออยู่หัวและคณะตระลาการทั้งปวงตัดสินให้ประหาร แต่พระนางปริชมันยอมสารภาพจนสิ้นความ จึงให้ขังลืม”
นางข้าหลวงสาวหน้าหมองลง ระหว่างการประหารกับขังลืม อย่างหลังจะร้ายแรงเสียยิ่งกว่า เพลานี้ยังพอมีคนระลึกถึงพระนางอยู่บ้าง ต่อนานไปเล่า ชื่อปริชมันเห็นจะเลือนหายไปตามกาล ท้ายสุดก็ไม่มีผู้ใดจดจำได้อีกว่าแผ่นดินลวปุระเคยมีนางกษัตริย์ชื่อนี้ อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้กฤษณานึกเวทนาในชะตากรรมของพระนางก็คือ คนที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างพรั่งพร้อมด้วยข้าทาสบริวาร และทรัพย์ศฤงคารมากมาย เมื่อชีวิตต้องพลิกผันไปสู่จุดต่ำสุดเช่นนี้ จะอดทนต่อชะตากรรมได้นานสักเพียงใด
“อย่าทำหน้าเช่นนั้นเลย พุทธองค์ท่านว่าไว้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คิดว่าศาสนาของเจ้าก็คงมีทำนองนี้เช่นกัน ลุกขึ้นเถิด พวกเรายังมีงานต้องทำกันอีกมาก ประเดี๋ยวเจ้าไปขอษมาพระนางแล้วก็ต้องมาช่วยการพระศพอีก”
“ขอข้าสังวัธยายมนตรบทนี้ให้จบก่อนเถิด แล้วข้าจักตามท่านไป”
สิงห์พยักหน้ารับแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดว่าอย่างไร กฤษณามองตามจนลับสายตาแล้วจึงหันมาทางศิวลึงค์ ก่อนรวบรวมสมาธิสังวัธยายมนตราบทเดิมด้วยน้ำเสียงกังวานไปทั้งศิวาลัย
การคาดคะเนของกฤษณาไม่ผิดไปเลย เพราะในคืนนั้นเอง พระนางปริชมันก็ปลิดชีวิตตนเองด้วยการกลืนยาพิษ กฤษณารู้ข่าวนี้ก็สลดใจนัก ด้วยเย็นวันเดียวกันนั้น นางยังเข้าไปขอษมาโทษ และไม่มีเค้าเลยสักนิดว่าพระนางปริชมันจะด่วนคิดสั้นเช่นนี้ ทันทีที่รู้ข่าว นางจึงรีบรุดตามไปดูถึงที่คุมขังโดยทันที
กฤษณาเกือบไม่ได้เข้าไปในคุกหลวงแล้ว เคราะห์ดีที่พบกับสิงห์ซึ่งมาตามคำสั่งของพ่ออยู่หัวที่ให้มาเป็นผู้ช่วยวิเทภะพอดี สิงห์จึงเจรจาขอผู้คุมให้นางเข้าไปด้วยอีกคนหนึ่ง โดยอ้างว่ากฤษณาอาจให้เบาะแสเพิ่มเติมได้ เขาไม่คิดสักนิดว่าเหตุผลที่อ้างไปลอยๆ นั้นจะเป็นความจริงในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา เมื่อมาถึงนางข้าหลวงสาวก็แทบเบือนหน้าหนีจากภาพอันไม่น่าดู ถึงแม้นางจะคุ้นชินกับการตายมานักต่อนักก็ตาม เมื่อถึงคราวคนใกล้ชิดเช่นนี้ก็ยากที่จะทำใจเช่นกัน พระนางปริชมันทอดร่างนอนหงายเหยียดยาวกับกองฟางที่ปูพื้น ธารโลหิตทะลักหลั่งออกจากทุกทวาร สำแดงถึงความร้ายกาจของพิษที่ใช้ได้เป็นอย่างดี ทว่าบนพื้นฟางนั้นไม่มีร่องรอยการดิ้นรนทุรนทุรายเลยสักนิด จนนางอดนับถือความใจเด็ดของพระนางปริชมันไม่ได้ กฤษณาตวัดสายตามองไปที่นิ้วชี้มือซ้ายของอดีตผู้เป็นนายด้วยความเคยชิน แล้วก็ต้องชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่งเมื่อเห็นแหวนทองดุนลายตรงกลางวง แหวนวงนั้นดูเผินๆ ก็เหมือนแหวนธรรมดาทั่วไป แต่นางจดจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งพระนางปริชมันเคยเล่าให้ฟังว่า ที่หัวแหวนบรรจุยาพิษร้ายแรงเอาไว้ นางไม่รู้ว่าพระนางปริชมันพูดว่าอย่างไร ผู้คุมถึงปล่อยให้พระนางสวมใส่เครื่องประดับชิ้นนี้ติดตัวเข้ามาได้ ทั้งที่ตามปกตินอกจากเสื้อผ้าที่หลวงจัดหาให้แล้ว คนโทษก็ไม่สามารถนำของอื่นใดเข้าไปในที่คุมขังได้อีก
“เห็นสิ่งใดกฤษณา”
วิเทภะถามเสียงหนัก เมื่อเห็นท่าทีของนางข้าหลวงสาว กฤษณาเหลียวมามองผู้อาวุโสกว่าอย่างชั่งใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่ ที่สุดก็ตัดสินใจถามว่า
“แหวนวงนั้น ไฉนพระนางปริชมันท่านจึงนำเข้ามาได้”
*** มีต่อค่ะ
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 16:02:39
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ก.ค. 55 16:00:30
|
|
|
|