Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนตราปาหนัน บทที่ ๑๖ : สารรักกลีบปาหนัน ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๖ : สารรักกลีบปาหนัน  


แก้วน้ำมะนาวอุ่นๆ ถูกวางลงบนโต๊ะเล็กตรงหน้าคนที่กำลังเอาศีรษะเกยพนักแล้วหลับตานิ่งอยู่ มือหนักๆ เลื่อนมาบีบที่เข่าของเขา เรียกให้อติรุทธ์ขยับตัวขึ้นมานั่งหลังตรงเหมือนเดิม สินธุมองเพื่อนแล้วก็หยิบแก้วส่งให้

“น้ำมะนาวอุ่น ฉันชงมาให้ ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะช่วยให้นายหายปวดหัวได้หรือเปล่า แต่เวลาฉันเครียดๆ มึนๆ มันช่วยฉันได้ทุกที”

“ขอบใจ”

อติรุทธ์บอกพลางรับแก้วมาจากมือเพื่อน พอจิบแล้วก็แทบสำลัก ทำหน้าตาเหยเกไปทางคนชงที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไหงเปรี้ยวจี๊ดแบบนี้ล่ะ ใส่น้ำตาลตัดไปบ้างหรือเปล่า”

“ติดปลายช้อนน่ะ มะนาวสองลูกเต็มๆ เกลือเท่ากับน้ำตาลเลย”

“เวร มิน่าล่ะ”

“แล้วหายปวดหัวไหมล่ะ” สินธุถามกลั้วหัวเราะแล้วบอกต่อไปว่า “สูตรฉันเอง ฉันว่ามันพอดีออก”

คนดื่มที่เจอสูตรนี้เข้าไปแทบอยากจะกลับไปปวดหัวอีกรอบ เขาไม่เถียงว่ามันช่วยได้จริง แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาลืมไปได้อย่างไรว่าสินธุเป็นพวกนิยมรสเปรี้ยวเป็นชีวิต อาหารจานไหนที่ฝ่ายนั้นว่าเปรี้ยวพอดีแล้ว เชื่อขนมกินได้เลยว่าไม่มีใครกินร่วมได้

“อืม หาย แต่ขอนะ คราวหน้าถ้าจะชงให้ฉันอีกล่ะก็ขอมะนาวลูกเดียวก็พอ แล้วน้ำตาลหนึ่งช้อนเต็มๆ ห้ามใช้สูตรนายอีกเด็ดขาด”

“ตกลง ว่าแต่คืนนี้จะเอายังไง จะอ่านต่อหรือเปล่า”

“ส่งหนันถึงห้องหรือเปล่า”

อติรุทธ์ไม่ตอบ แต่กลับถามถึงคนรักอย่างเป็นห่วง สินธุถอนใจบางๆ

“เรียบร้อย ว่าแต่นายเถอะ ฉันเห็นนายคุกเข่าพูดกับใครอยู่เป็นนานสองนานแถมพูดเหนืออีก ทั้งที่ปกตินายไม่ถนัดเอาเลย”

“พญาเจ้า ฉันหมายถึงพระเจ้าติโลกราชน่ะ ตอนนี้ฉันตอบนายได้แค่นี้อย่าว่ากันเลยนะธุ” อติรุทธืตัดบทเรื่องพญาติโลกราชเมื่อเห็นสินธุตั้งท่าจะซักต่อ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการตอบคำถามที่สินธุถามไว้ครั้งแรก “ที่นายถามฉันว่าคืนนี้จะอ่านต่อไหม คงไม่แล้วล่ะ”

“เพราะยายผีนั่น หรือเพราะหนันไม่อยู่ล่ะ”

“เพราะเหตุผลข้อหลัง สารภีจะเป็นยังไงฉันไม่สนหรอกธุ หรือถ้าจะต้องสน มันก็แค่ว่าฉันต้องทำยังไงถึงจะตัดกรรมที่เคยผูกพันกันไว้เท่านั้น”  

น้ำเสียงเหินห่างเย็นชาเวลาที่พูดถึงแม่ผีสาวทำให้สินธุไม่ซักเรื่องนี้ต่อไปอีก เขามองน้ำมะนาวที่เหลืออยู่ค่อนแก้วอย่างเสียดายเต็มที

“ไม่ดื่มแล้วใช่ไหม”

คนกำลังเคร่งเครียดหลุดหัวเราะออกมาทันทีกับคำถามอย่างเด็กที่มองเห็นขนมสุดโปรดวางอยู่ตรงหน้า อติรุทธ์พยักหน้าพลางยกแก้วส่งให้แทบว่าจะทันทีที่จบคำถาม

“เอาไปเลย แต่ระวังนะเว้ย พรุ่งนี้จะไปสอนไม่ได้ เล่นกินยาระบายชั้นดีก่อนนอนแบบนี้”

“ยาก” สินธุลากเสียงนิดๆ ก่อนจัดการน้ำมะนาวสูตรพิเศษรวดเดียวหมดแก้ว “มือชั้นนี้แล้ว ไม่มีทางเด็ดๆ อ้อ! ขอสารภาพว่าฉันแอบดีใจที่นายบอกว่าคืนนี้จะไม่อ่านต่อ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีสอนเช้า แบบนี้ต้องขอบคุณยายสารภีนะ”

“เอาสิ เดี๋ยวแม่เจ้าประคุณคงมารับคำขอบคุณจากนายเองแหละ”

อติรุทธ์ว่ากลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นเดินหนีไปเลย คนเพิ่งบอกขอบคุณกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดๆ  เพราะกลัวว่าสารภีจะโผล่มารับคำขอบคุณจริงๆ ที่สุดก็รีบวิ่งตามเพื่อนสนิทไปอย่างรวดเร็ว



ร่างบนเตียงนอนพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายท่ามกลางความมืด ในที่สุดก็เอื้อมมือหยิบนาฬิกาปลุกเรือนน้อยที่วางอยู่บนหัวเตียงมาดูเวลา หน้าปัดพรายน้ำบอกเวลาตีสองเศษๆ เรียกเสียงถอนใจจากเจ้าตัวไม่น้อย ดึกมากแล้วแต่ทำไมถึงข่มตานอนไม่ได้เสียที จะว่าห่วงใครก็คงไม่ใช่ เพราะคนที่ห่วงแอบมาเดินเกร่ๆ อยู่แถวหน้าห้องทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปหาเท่านั้นเอง พอเห็นเขามีอาการดีขึ้นปาหนันก็พอใจ และก็ถูกเขาต่อว่าต่อขานกันเล็กน้อย ค่าที่หล่อนดื้อไม่ยอมอยู่ในห้องแล้วก็ไม่มีอะไรอีก มิหนำซ้ำเขายังมาส่งปาหนันถึงห้อง และทำท่าจะตามเข้ามาดูว่าหล่อนนอนแน่ๆ หรือเปล่าด้วย ตอนเข้ามาในห้อง ความเหนื่อยที่ได้รับมาทั้งวันก็เริ่มทำหน้าที่จนเขาคิดว่าคงหลับสนิทแน่ ทว่าพอล้มตัวนอนเข้าจริงกลับตาสว่างมาจนถึงเดี๋ยวนี้ อติรุทธ์วางนาฬิกาไว้ที่เดิมแล้วพลิกตัวกลับเป็นนอนหงาย ปล่อยร่างกายทุกส่วนให้อยู่ในที่ที่สบายที่สุด ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาวตามหลักการทำสมาธิ บางทีอาจเป็นเพราะใจเขาเองที่ไม่สงบและฟุ้งซ่าน ลองกำหนดจิตอาจช่วยได้    

อติรุทธ์ตกใจไม่น้อยรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดึงให้ดิ่งลึกลงไปในความอนธการไม่มีที่สิ้นสุด พอจะขยับตัวหรือลืมตาให้พ้นจากความรู้สึกนี้ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว ในเวลานั้นเองคล้ายมีเสียงหนึ่งกระซิบแผ่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ให้เขาคลายจากอาการตกใจนี้ และให้ปล่อยตัวไปตามสบายไม่ต้องขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น อติรุทธ์จึงพยายามทำตามคำแนะนำนั้น เมื่อสติคืนกลับมาเต็มรูป เขาก็รู้สึกเหมือนกับเท้าของตนเองเหยียบลงที่พื้นดินแห่งหนึ่ง พอลืมตาก็เห็นต้นไม้ใหญ่อยู่รอบด้าน เมื่อสำรวจตัวเองก็พบว่าบัดนี้ได้ถอยกลับไปสู่ความเป็นหานไสสูงอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่คราวนี้ไม่ใช่คนที่ต้องดูเหตุการณ์อยู่ในครอบแก้วใสอีกแล้ว แต่เขาสามารถสัมผัสและรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง  



ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัวเมื่อมีมือหนึ่งวางลงบนไหล่ จึงเหลียวขวับกลับไปมองเจ้าของมือก็เห็นชายคนหนึ่งหน้าตาเหมือนสินธุไม่ผิดเพี้ยน ขาดก็แต่แว่นสายตากรอบหนาเท่านั้นที่ไม่มี ยืนมองตอบกลับมาด้วยสายตาฉงนหนักหนา  

“เป็นกระไรไป พ่อโมก นี่ข้าอ้ายสิงห์ไง”

สิงห์หรือ สมองชายหนุ่มรีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นสิงห์คำ สหายที่ตามมาจากเชียงใหม่ และเทียวไปมาระหว่างอยุธยากับเมืองเหนือตามที่หานไสสูงเคยบันทึกไว้ เขาอดขันไม่ได้กับความคิดที่ว่าไม่ได้ดูอยู่ในครอบแก้ว ท่าทางเขาจะเข้าใจผิดไปเองมากกว่า เพราะตอนนี้เขาก็ยังเป็นผู้ดูอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ร่วมกายเนื้อของหานไสสูงเท่านั้นเอง ดูเหมือนว่าเจตภูตของหานไสสูงจะนำทางเขามาสู่อดีตชาติมากกว่ากระมัง เพราะขณะที่เขาคิด หูก็ยังได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไปว่า

“ขอษมาเถิด ข้ากำลังคิดการอยู่ จึงตกใจที่เจ้ามาเงียบๆ เช่นนี้”  

เอา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เขาก็ได้รับรู้อดีตชาติของตัวเองก็แล้วกัน อติรุทธ์คิดแล้วก็ค่อยๆ ปล่อยตนเองให้กลืนไปกับสิ่งที่หานไสสูงอยากให้รู้

“ข้าว่ามิได้เงียบดังเจ้าว่าเลยนา ชะรอยว่าจักใจลอยไปถึงแม่หญิงคนงามคนนั้นกระมัง”

สิงห์ตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายั่วล้อเปิดเผย เขาเคยเห็นลำเจียกเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่ก็จดจำได้ดีว่าสตรีอโยธยาที่สหายตนทำท่าจะฝากใจนั้นงดงามเพียงใด โมกหัวเราะเสียงปร่าแปร่งเต็มที สิงห์เดาไม่ผิดสักคำ ที่คิดถึงลำเจียกนั้นจริงแท้ แต่ก็มิได้เป็นสุขดั่งชายที่ตกอยู่ในห้วงรักคนอื่นๆ เลย เพราะในอกตอนนี้แน่นหนักด้วยคำว่า 'หน้าที่' เสียจนความสุขกลับกลายเป็นความรู้สึกผิดไปแทบหมดสิ้น อุปนิกขิตหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อๆ  

“มีกระไรรึ ข้านึกว่าเจ้าจักไม่คืนมาที่นี่เสียแล้ว เห็นครานี้หายไปนานนัก”

“สักสามเพ็ญเห็นจักได้กระมัง ข้าไม่ได้ตามพ่อลุงไปที่สองแคว แต่แยกขึ้นไป” ขึ้นไปที่ไหน ไม่จำต้องบอกก็รู้กัน “พรหมมินทร์เกือบตามมาด้วยแล้ว ข้ายั้งไว้เสียก่อน”

“พรหมมินทร์จะตามมาด้วยเหตุใด” โมกขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

“เพราะเจ้าไม่ส่งข่าวไปทางโน้นเลย แต่ข้ามิได้บอกนาว่าเจ้าติดพันหญิงอยู่ทางนี้ หากเลี่ยงไปว่าเจ้าหาทางทำหน้าที่อยู่”

“หาทางทำหน้าที่” เขาแค่นหัวเราะสมเพชตนเอง “ถ้าเพราะเหตุนั้นเพียงอย่างเดียวก็คงดี สิงห์เอ๋ย เจ้ารู้ฤๅไม่ว่าเจ้ามาครานี้ช่วยข้าไว้ได้โขนัก”

“ช่วย ช่วยอันใดรึ ข้าหาเข้าใจไม่”

คู่สนทนาถามอย่างงงๆ แต่โมกไม่ตอบคำสหาย บางทีคนเราก็ไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องกับคนใกล้ชิดให้เขาพลอยลำบากใจตามไปด้วย รับรู้เพียงตนเองก็พอแล้ว  

“ช่างเถิด แล้วนี่เจ้าจักกลับไปอีกเมื่อใด”

“อีกสิบห้าวัน พอให้ของขายหมดเสียก่อน อย่าลืมว่าเพลานี้ข้าเป็นพ่อค้า”

“ดี ข้าฝากคำไปให้” โมกลดเสียงลง “พญาเจ้าด้วยว่า ข้ากำลังจักได้ถวายตัวกับพญาเมืองใต้อีกไม่กี่วันนี้ ส่วนเรื่องศึกนั้น เพลานี้ข้าสืบความได้แต่เพียงวงนอก รู้เพียงว่าเมืองใต้จักยกทัพขึ้นไปแน่ แต่กำลังพลและฤกษ์เคลื่อนทัพนั้นเท่าใดยังมิรู้ ทั้งยังไม่ได้กำหนดแน่นอนลงไป ต่อเมื่อใดได้เข้าสู่ราชสำนักแล้ว ข้าจักหาข่าวถวายพญาเจ้าให้จงได้”

สิงห์พยักหน้ารับ ออกจะดีใจใช่น้อยที่ได้แจ้งข่าวดีนี้ กลับเชียงใหม่ครานี้มิได้กลับไปมือเปล่าอีกแล้ว เขาขยับจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็กลับนิ่งเสีย เพราะคิดว่าอีกไม่นานโมกก็คงได้รู้เอง ข้างโมกพอแจ้งข่าวแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของสหายอีก เพราะเพลานี้มีเรื่องที่เขาต้องคิดต้องทำอีกมากมายนัก        



สระบัวท้ายเรือนเย็นนี้ยังคงสงบเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งริมสระแล้วชันเข่าทั้งสองขึ้นกอด ทอดสายตามองบัวหลวงที่ชูดอกอยู่เต็มสระ หน้าคร้ามเข้มเริ่มมีรอยยิ้มเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใต้สระแห่งนี้ ไม่ว่าจะมีทุกข์ร้อนใด เมื่อมานั่งอยู่ริมสระบัวแห่งนี้ จะเป็นด้วยลมเย็นที่พัดชายตลอดเวลา หรือจะเป็นเพราะบัวในสระก็ตามแต่ เขาก็พร้อมจะปล่อยวางความรู้สึกเหล่านั้นไปสิ้น ขณะเองกลิ่นหอมอย่างหนึ่งที่แทรกมากับกลิ่นเกสรบัวทำให้เขาต้องเหลียวหาที่มา  อาจจะเป็นเจ้ากอไม้ตรงริมสระขวามือนั่นกระมัง

โมกเดินเข้ามาเพ่งพิศไม้กอนั้นอย่างสนใจ ลักษณะกลีบดอกใหญ่ยาวจนดูเหมือนใบ ด้านในมีดอกเล็กๆ หรืออาจเป็นเกสรก็ได้เรียงตัวกันแน่นอยู่ในนั้น กลิ่นหอมนี้เองที่ลอยตามลมมา น่าแปลกที่เขาไม่เคยสังเกตว่ามีต้นไม้ชนิดนี้อยู่ด้วย นิ้วเรียวเลื่อนไปแตะกลีบดอกสีนวลแกมเขียวอ่อนอย่างเบามือด้วยเกรงว่าถ้าแรงกว่านี้สักนิด มันจะช้ำไปเสียก่อน

“ดอกลำเจียกเจ้าค่ะ”

เสียงหวานเจื้อยขานชื่อดอกไม้นั้น โมกละสายตาจากดอกที่ชื่อพ้องกับนางในดวงใจมาทางเจ้าของเสียง เขาหันมายิ้มให้เพราะคิดว่าเป็นคนที่ตัวแอบปองรักอยู่  แต่พอพินิจคนตรงหน้าที่ยืนหน้าเรื่อ มีท่าทีเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วก็เผลอถอนใจบางๆ พลางทักด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“แม่หญิงสารภีเองรึ”

สีหน้าและคำทักทายห่างเหินเช่นนั้น ทำให้คนที่หลงคิดไปว่าชายหนุ่มทอดไมตรีให้หน้าสลดลง แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น สารภีก็ยิ้มทำเสมือนไม่รู้สึกอะไร

“พี่โมกจำดิฉันได้ด้วยหรือเจ้าคะ”

“อย่าเรียกข้าพระเจ้าว่าพี่โมกเลยแม่หญิง ข้าพระเจ้าเป็นเพียงคนที่มาอาศัยเรือน และอาศัยใบบุญคุณพระท่านเท่านั้น”

ชายหนุ่มยังรักษาระยะห่างเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปร สารภีลอบเม้มปากนิดหนึ่งด้วยความไม่พอใจ เพราะอะไรกันนะ ทำไมเขาถึงแยกออกว่าหล่อนคือสารภีไม่ใช่ลำเจียก ทั้งที่วันนี้หล่อนจงใจนุ่งผ้าเหมือนกับคู่แฝดทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระทั่งพี่ชายกับข้าทาสบริวารยังทักผิดทักถูก แต่โมกกลับจดจำได้อย่างแม่นยำ

“แม่หญิงมาทำกระไรที่นี่รึ”

“เห็นลำเจียกกับพ...เอ้อ พ่อโมกชอบมา เลยใคร่รู้บ้างเจ้าค่ะว่าที่สระบัวท้ายเรือนมีกระไรดีนัก”

โมกไม่ตอบ สายตาเขาจับนิ่งอยู่ที่ดอกลำเจียก มิได้สนใจฟังคำตอบเลยสักนิด เหมือนกับว่าคำถามนั้นถามไปด้วยมารยาทเท่านั้น สารภีเห็นแล้วก็พูดไม่ออกอยู่เป็นครู่ หล่อนมองตามสายตาเขาด้วยความริษยา เพียงแค่ดอกไม้ที่พ้องชื่อกับแม่น้องสาว เขาก็ยังให้ความสนใจกับมันอย่างนั้นหรือ เอาเถิด ถึงจะเจ็บหนึบในใจ แต่อย่างน้อยหล่อนก็พอมีเรื่องที่จะชวนเขาสนทนาได้

“ดอกลำเจียก บางคนก็เรียกปาหนันเจ้าค่ะ แม้กระทั่งใบอ่อนของมันก็ยังหอมนะเจ้าคะ”

หล่อนเริ่มอย่างนั้น รอยยิ้มอย่างสมใจปรากฏขึ้นในดวงหน้าเมื่ออีกฝ่ายเหลียวมาทางคนเล่าอย่างสนใจ

“ใบอ่อนรึ”

“เจ้าค่ะ ตรงนี้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”    

ไม่พูดเปล่า สารภีเดินสืบเท้าเข้าไปใกล้จนแทบว่าจะชิดชายหนุ่ม มือบางยกขึ้นจับที่ใบอ่อนที่โมกเข้าใจว่าเป็นกลีบดอกนั่นเอง หล่อนจงใจแตะมือตนเองกับปลายนิ้วของอีกฝ่าย แล้วทำเป็นตกใจชักมือกลับอย่างมีจริต แต่ก็ต้องขัดใจอีกครั้ง เมื่อโมกดูเหมือนจะไม่สนใจกับการถูกเนื้อต้องตัวเล็กๆ น้อยๆ นั่นเลยสักนิด กลับพูดต่อไปว่า

“ข้าพระเจ้าคิดว่ามันเป็นกลีบดอกเสียอีก”

“มิใช่เจ้าค่ะ ดอกลำเจียกจักเล็กและเรียงแน่นอยู่เป็นกลุ่มนี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ ใบอ่อนนี้ชายชาวอโยธยาที่รู้หนังสือชอบเอามาเขียนเพลงยาวส่งให้หญิงที่ตัวชอบนัก”

พูดไปแล้วจึงรู้ตัวว่าพลาดไปถนัดใจ หล่อนเห็นโมกยิ้มนิดๆ แล้วหันกลับมาขอบใจหล่อนราวเพิ่งคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะผละจากไป ทิ้งให้สารภียืนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว แฝดผู้พี่เผลอตัวกระทืบเท้ากำมือแน่นอย่างขัดใจจนเหลือระงับ มองตามหลังชายหนุ่มไปอย่างหมายมาดแล้วหันกลับมามองต้นลำเจียก หล่อนพูดเสียงลอดไรฟันประหนึ่งว่ามันเป็นตัวแทนของน้องสาวที่หล่อนแสนจะชังหนักหนา  

“อย่าหมายเทียวลำเจียก ว่าเจ้าจักได้สมรักด้วยพี่โมก ตราบใดที่สารภีคนนี้ยังมีลมหายใจ”



สายตาคมกริบจ้องจับทุกอิริยาบถของคนตรงหน้าอย่างไม่ให้คลาดสายตาแม้สักชั่วอึดใจ ดูเพื่อจะได้จดจำวิธีการเคลื่อนไหวตลอดจนคำพูดคำจาเสียให้ขึ้นใจ พระอินทเดชเพิ่งเงยหน้าขึ้นจากตำราเห็นน้องสาวคนโตจ้องมองลำเจียกจนมือที่กำลังกรองมาลัยค้างอยู่ในลักษณะเดิมเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน และไม่คืบหน้าขึ้นกว่าเดิมเลยก็สงสัย

“สารภี”

เสียงนั้นมิได้ดังเลย แต่คนที่มีพิรุธในใจถึงกับสะดุ้ง เหลียวมามองคนเรียกอย่างตกใจ

“จ...เจ้าคะ พี่แสน”

“เหม่อมองกระไรนั่น รึคิดจักจับผิดแม่น้องสาวเล็กของเรา”

พระอินทเดชถามกลั้วหัวเราะ ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรมากไปกว่านั้นตามประสาชายทั่วไปที่มิได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ สารภีฝืนยิ้มรับแล้วว่า

“เจ้าค่ะ เกรงลำเจียกจักเล่นซนอีก”

“ปล่อยไปเถิดสารภี จักเล่นซนได้อีกนานถึงเมื่อใดกัน ประเดี๋ยวออกเรือนไป พ่อโมกคงไม่ยอมให้ทำตามใจแน่”

สารภีเผลอขยี้ดอกไม้ที่เตรียมจะร้อยแหลกยับไปกับมือ เคราะห์ดีที่พระอินทเดชไม่ทันเห็นด้วยก้มหน้าลงอ่านตำราต่อ แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดมุ่น เมื่อได้ยินสารภีถาม

“พี่แสนเจ้าคะ น้องกับลำเจียกมีสิ่งใดต่างกันฤๅเจ้าคะ”

“อยู่ไม่อยู่ก็ถามเยี่ยงนี้ นึกอย่างไรขึ้นมารึ”  

“น้องใคร่รู้เจ้าค่ะ ว่าคนอื่นๆ แยกน้องกับลำเจียกออกจากกันได้อย่างไร”

พระอินทเดชยิ้มน้อยๆ เขามองไปทางน้องสาวคนเล็กที่หลบไปนั่งปักผ้าอยู่อีกทางหนึ่ง ก่อนจะหันมาตอบคำถามสารภีว่า

“ถ้าให้เจ้าสองคนนุ่งผ้าเหมือนกันเช่นวันวาน แล้วจับมานั่งเฉยๆ ไม่ต้องพูดจาก็ยากจักแยกออก แต่ถ้าเมื่อใดเจ้าสองคนพูด นั่นแหละจึงรู้ว่าใครเป็นใคร”

“เสียงหรือเจ้าคะ”

“เปล่า แม้เสียงเจ้าสองคนก็เหมือนกัน แต่วิธีการพูดต่างหากที่แตกต่าง ลำเจียกพูดจาขวานผ่าซาก นึกเช่นไรก็พูดเช่นนั้น แต่เจ้าจักคิดก่อนพูด ทั้งวิธีทอดเสียงยังนุ่มนวลกว่าลำเจียกนัก”

“เพียงเท่านี้หรือเจ้าคะ”

พี่ชายใหญ่นิ่งคิดอยู่สักครู่ ก็ตอบว่า

“มีอีกอย่างหนึ่ง ท่าทีการวางตัวของพวกเจ้านั่นอย่างไร เจ้าเป็นกุลสตรีทุกกระเบียด ส่วนลำเจียก ถ้าจับตัดผมสั้นแล้วนุ่งผ้าเยี่ยงชาย ใครเห็นก็คงคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มๆ แน่เทียว”

นี่เองหรือที่ทำให้โมกแยกออกทันทีว่าใครเป็นใคร สารภีลอบยิ้มอย่างสมใจเมื่อรู้ถึงข้อแตกต่างดังว่า แต่ก็ค่อนข้างหนักใจไม่น้อยทีเดียว คนสองคนที่เหมือนกันเพียงรูปกายภายนอก จะให้สวมรอยเป็นกันและกันโดยไม่มีพิรุธในเพลาเพียงไม่นาน จะไหวล่ะหรือ หล่อนมองลำเจียกอีกครั้งหนึ่ง ริมฝีปากขบเม้มอย่างครุ่นคิด

“ที่ถามนี่ เพื่อคราวหน้าจักได้ปลอมตัวมาตบตาพี่ได้สนิทใช่ฤๅไม่เล่า”

คำ 'ปลอมตัว' กระทบใจคนฟังอย่างจัง ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาเพียงเย้าเล่น ค่าที่ลำเจียกขอให้หล่อนตบตาพี่ชายเพลาหนีไปเที่ยวก็ตาม หล่อนยิ้มจืดเจื่อนเต็มที แล้วเสหยิบดอกไม้มาร้อยมาลัยต่ออย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก พระอินทเดชเองก็ไม่ต้องการคำตอบนัก เพราะพอพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราต่อไปอีก



“พี่แสนเจ้าขา”    

เสียงแจ๋วๆ ดังขึ้นใกล้ตัวพร้อมกับคนพูดที่ถลาเข้ามานั่งแทบว่าจะชิดตัวพี่ชายอยู่แล้ว พระอินทเดชถอนหายใจเฮือกใหญ่ เห็นทีวันนี้คงไม่เป็นอันอ่านตำราแล้วกระมัง เดี๋ยวแฝดพี่ เดี๋ยวแฝดน้อง ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นลำเจียกบิ้มแทบว่าจะเห็นฟันครบสามสิบสองซี่อยู่ตรงหน้า

“มีกระไร แม่ตัวยุ่ง”

“เมื่อครู่พี่สุกว่ากล้วยหักมุกท้ายสวนสุกอยู่หลายเครือเทียว พี่แสนอยากรับประทานกล้วยเผาฤๅไม่เจ้าคะ”

“อยากไปเที่ยวก็ว่ามาเถิดลำเจียก อย่าอ้างโน่นอ้างนี่เลย”

พระอินทเดชส่ายหน้าน้อยๆ อย่างระอาใจ เรื่องชอบเที่ยวซอกซอนไปโน่นมานี่ราวกับเด็กๆ คงเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายแล้วกระมัง ลำเจียกถูกพี่ชายดุก็ทำหน้าม่อยอย่างน่าสงสารนัก หล่อนก้มหน้าพูดเสียงอ่อนอ่อย

“น้องเห็นว่าพี่แสนชอบรับประทานกล้วยเผา เลยอยากไปตัดเอง แล้วเผาให้พี่แสนเอง ถ้าพี่แสนไม่พอใจ น้องก็ขอษมาด้วยเจ้าค่ะ”

“ดูทำเข้า สารภี เจ้าดูน้องสาวเจ้า เจ้าเล่ห์เจ้ามารยานักละ พี่ว่าไม่ให้ไปก็ทำหน้าเหมือนว่าพี่หักหาญน้ำใจเสียหนักหนา ซ้ำยังตัดพ้อให้เราเป็นคนผิดเสียด้วยเล่า”

“โธ่! พี่สารภีเจ้าขา น้องพูดไปเพราะเห็นว่าพี่แสนชอบ จึงจักไปเก็บและทำมาให้ พี่แสนมาพูดเช่นนี้จักไม่ให้น้องเสียน้ำใจได้อย่างไรเจ้าคะ”

ลำเจียกหันไปทำเสียงอ้อนกับพี่สาว สารภีกดกลืนความรู้สึกแท้จริงลงไว้ในอก หล่อนยิ้มให้น้องอย่างเอ็นดูแล้วบอกพระอินทเดชว่า

“ครานี้น้องเห็นด้วยกับลำเจียกเจ้าค่ะ น้องอยากไปก็ให้ไปเถิดเจ้าค่ะ อีกอย่างลำเจียกก็ไม่ได้ไปเที่ยวข้างนอกสักหน่อย ท้านสวนเขตเรือนเรานี่เอง ให้ลำเจียกซุกซนเสียให้เต็มที่เถิดเจ้าค่ะ วันมะรืนก็ต้องกลับเข้าวังแล้ว”

เมื่อมีคนเข้าข้าง ลำเจียกชักยิ้มได้ใจ หล่อนขยับเข้ามากอดแขนพี่ชายใหญ่ไว้อย่างออดอ้อนแกมประจบ นัยน์ตากลมโตช้อนขึ้นมองอย่างวิงวอน

“เห็นไหมเจ้าคะ พี่สารภียังไม่ว่ากระไรน้องเลย นะเจ้าคะพี่แสน ให้น้องไปนะเจ้าคะ แล้วน้องจักเผากล้วยมาให้พี่แสนเครือหนึ่งเทียวเจ้าค่ะ นะเจ้าคะ นะๆๆๆ”

พระอินทเดชถอนใจเฮือก นี่ล่ะหรือแม่สาวชาววัง ก็ส่งเข้าวังพร้อมกันทั้งคู่ ไฉนคนหนึ่งสมเป็นชาววัง อีกคนเป็นเด็กกะโปโลไม่ยอมโตอย่างนี้เล่า ยังดีที่การบ้านการเรือนลำเจียกไม่ขาดตกบกพร่อง เว้นเรื่องร้อยมาลัยสักเรื่องเดียว ลำเจียกก็อาจเรียกว่าเป็นแม่เรือนได้เช่นกัน

“พี่แสนเจ้าขา”

น้องเล็กยังเรียกเสียงอ้อนไม่ยอมเลิก ชะรอยว่าถ้าไม่ยอมให้ไป แม่ก็คงเกาะติดแขนเป็นลิงตัวน้อยอยู่ไม่ไปไหนแล้ว ท้ายสุดชายหนุ่มก็จำต้องพยักหน้าอนุญาตอย่างเสียไม่ได้

“เอ้า ไปก็ไป แต่ต้องรีบกลับมานะ”

“เจ้าค่ะ”

ลำเจียกบอกเสียงใสแล้วลุกวิ่งตุบๆ ชายสไบปลิวไปหาบ่าวคนสนิทและทาสสาวๆ อีกสี่ห้าคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พระอินทเดชเห็นแล้วก็อดดุตามหลังไปไม่ได้

“เบาหน่อยแม่คุณแม่ทูนหัว จักพังเรือนรึแม่ มันน่าเคาะตาตุ่มนักเทียว อยู่ในรั้วในวังแม่ก็วิ่งกระนี้รึนั่น”

ลำเจียกชะงักกึก หันมายิ้มปุเลี่ยนๆ ให้พี่ชายแล้วว่า

“อยู่ในวังทำมิได้เจ้าค่ะ อยู่เรือนน้องจึงขอทำเสียให้เต็มที่”

ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่หล่อนก็ยอมเดินจรดเท้าเสียเบากริบ ทว่าพอถึงบันไดเท่านั้น เสียงวิ่งโครมครามก็ดังแว่วมาให้คนที่อยู่ในหอนั่งได้ยินชัดเจน พระอินทเดชถึงกับยกมือกุมขมับ เห็นทีต้องจับตัวมาอบรมกิริยามารยาทซ้ำก่อนจะให้ออกเรือนแล้วกระมัง แม่เรือนคนใดบ้างจะวิ่งกันโครมๆ เยี่ยงนี้  



*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:04:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com