Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภูตคราม บทที่ 8 ผู้เฝ้ามอง ติดต่อทีมงาน

ภูตครามบทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=26-04-2012&group=22&gblog=1

บทที่ 7 การพบกันอีกครั้ง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12355356/W12355356.html

บทที่ 8 ผู้เฝ้ามอง

‘แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ภูตครามไม่เคยปล่อยเหยื่อให้หลุดมือเป็นครั้งที่สอง’

คำพูดของลุงแคล้วสะท้อนก้องอยู่ในหัว พิมมาดามองภูตที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว เท้าทั้งสองเตรียมขยับขณะที่ดวงตาสอดส่ายหาทางหนี แต่ดูเหมือนภูตหนุ่มจะเดาความคิดของเธอออกเพราะเขาอมยิ้มน้อยๆพร้อมกับพูด

“เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”

หญิงสาวชะงักกึก เธอกำมือและกัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อข่มความกลัวก่อนตัดสินใจถาม

“แกต้องการจะฆ่าฉันใช่ไหม”

“ทำไมข้าต้องทำแบบนั้น”

อีกฝ่ายย้อนถาม พิมมาดากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืน

“ฉันเคยได้ยินมาว่าภูตครามไม่เคยปล่อยให้ใครมีชีวิตรอด”

หากเป็นมนุษย์ ภูธราคงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน แต่การเป็นภูตครามซึ่งไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นเขาจึงทำแค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าเลยคิดว่าข้าจะตามมาสูบวิญญาณ เข้าใจผิดแล้ว ข้ามาเพราะเหตุผลอื่นต่างหาก” เขาเลื่อนตัวเข้าไปหาหญิงสาว เธอรีบถอยหลังหนีพร้อมกับถาม

“งั้นแกมาที่นี่ทำไม”

“ข้ามาเพราะเจ้า”ภูธราตอบพลางยื่นมือออกไปข้างหน้าเหมือนต้องการจะแตะพวงแก้มของพิมมาดา แต่เมื่ออยู่ในระยะห่างราวสองนิ้วเขาก็หยุดและลดมือลง หญิงสาวมองเขาด้วยความแปลกใจ

“เพราะฉัน” เธอมองหน้าภูตหนุ่ม ประกายบางอย่างที่ทอออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลแสนสวยสร้างความประหลาดให้กับหญิงสาวเป็นอย่างยิ่ง เพราะแทนที่มันจะแสดงความหิวกระหายหรือโหดร้ายเย็นชาอย่างสัตว์ป่า มันกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นอันน่าประทับใจ ประกอบกับวิธีการมองที่อ่อนโยนของเขาทำให้พิมมาดาลดความหวาดกลัวลง เธอหยุดมองหาทางหนีและถามด้วยความสงสัย

“ทำไม”

“ข้าอยากเห็นหน้าเจ้า” ภูตหนุ่มตอบสั้นๆแต่เพียงแค่นั้นก็สร้างความแปลกใจให้กับ
พิมมาดาเป็นอย่างมาก

“ทำไม”

“เจ้าพูดคำอื่นไม่เป็นหรือ”ภูธราถามและยิ้มที่เห็นแก้มของหญิงสาวมีชมพูระเรื่อ เมื่อเห็นเธอเมินมองไปทางด้านอื่นเขาจึงพูดต่อ“ไม่กลัวข้าแล้วใช่ไหม”

“กลัวสิ กลัวแทบตายเลยล่ะ” หญิงสาวหันมาตอบทันควัน ภูตหนุ่มจึงถอยห่างจากเธอ

“ข้าขอโทษ” เขามองหญิงสาวซึ่งยังคงมีท่าทางหวาดระแวงแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย”หากการมาในครั้งนี้สร้างความหวาดหวั่นให้กับเจ้า ข้าก็จะออกไปอยู่ข้างนอก”

“ถ้าเป็นไปได้รีบกลับไปที่ป่าของแกเลยจะดีกว่า”

พิมมาดาต่อประโยคด้วยเสียงกระด้าง ภูธรายิ้มพร้อมกับส่ายหน้า

“คงไม่ได้เพราะตอนนี้ใจของข้าปรารถนาที่จะอยู่ที่นี่” เขามองหญิงสาวด้วยดวงตาที่แสดงความหมายบางอย่างออกมา แม้จะเดาไม่ออกว่าคืออะไรแต่พิมมาดาก็ยังรับรู้ถึงความอ่อนโยนที่แฝงเอาไว้ได้อย่างชัดเจน

“ดึกมากแล้วเจ้าทำงานมาเหนื่อยคงง่วง”ภูตหนุ่มพูดขึ้นพลางเลื่อนกายถอยไปที่ประตู “ราตรีสวัสดิ์ ขอให้นอนหลับฝันดี ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอันตรายเข้ามากล้ำกรายเพราะข้าคอยเฝ้าดูเจ้าอยู่ตลอดเวลา”

ร่างของภูธราเลือนหายไปทันทีที่พูดจบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไปแล้วพิมมาดาจึงกวาดตามองรอบตัวจนแน่ใจว่าภูตหนุ่มไม่ได้อยู่ภายในบ้าน เธอจึงรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องและปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาจากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง

“จะทำยังไงดี”เธอพึมพำด้วยความรู้สึกทั้งหวาดกลัวและกลัดกลุ้มพลางคว้าหมอนมากอดแน่นและมองไปที่หน้าต่างซึ่งยังคงเปิดกว้าง สายลมยามดึกนำความเย็นเข้ามาในห้องแต่ก็ไม่อาจดับความร้อนรุ่มภายในใจของหญิงสาวให้ดับลงได้ พิมมาดากวาดตามองไปรอบห้องด้วยความระแวงว่าภูตหนุ่มจะตามเข้ามาแต่ดูเหมือนภูธราจะรักษาสัญญาเพราะเขาไม่ปรากฏตัวมาให้เห็นอีกเลย แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานทั้งวันแต่ความกังวลทำให้หญิงสาวไม่อาจข่มตาให้หลับลงไปได้ หลังจากตาแข็งไปได้สักพักกลิ่นหอมเย็นของดอกมณฑาก็รวยรินเข้ามาในห้อง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจแต่หญิงสาวก็อดที่สูดกลิ่นของมันไม่ได้ ลมอันแสนอบอุ่นพัดโชยเข้ามาในห้องและหมุนวนรอบตัวเธออย่างอ่อนละมุนสร้างความรู้สึกเหมือนเธอกำลังถูกใครบางคนโอบกอดอย่างอ่อนโยน เสียงกระซิบแผ่วดังแว่วอยู่ริมหู แม้จะฟังไม่ถนัดว่ามันกำลังกล่าวถึงสิ่งใดแต่ความไพเราะนุ่มนวลที่เจืออยู่ในน้ำเสียงสะกดให้หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์อันแสนสุข ดวงตาที่เคยแข็งค้างเริ่มหรี่ปรือลง พิมมาดาเอนตัวลงนอนและหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เสียงนกกระจอกที่กำลังทะเลาะกันดังเจี๊ยวจ๊าวปลุกพิมมาดาให้ตื่นขึ้น เธอบ่นงึมงำออกมาสองสามคำก่อนจะลุกขึ้นเก็บที่นอน ขณะสะบัดผ้าห่มเพื่อจะพับเก็บให้เรียบร้อยอยู่นั้นหญิงสาวก็ต้องขมวดเคิ้วเมื่อเห็นมณฑาดอกหนึ่งตกลงมาบนพื้น หญิงสาวหยิบมันขึ้นมามอง ตอนนั้นเองที่เธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ตนได้พบกับภูตคราม หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวดกลัวอีกครั้ง หญิงสาวหันมองรอบตัวและถอนใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อไม่พบภูตหนุ่มผู้มีนามว่าภูธรา แต่ความรู้สึกที่ว่าก็อยู่ได้ไม่นานนักเมื่อเสียงทุ้มดังมาจากทางหน้าต่าง

“อรุณสวัสดิ์”

พิมมาดาหันขวับไปมองทันทีและส่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งกับก่อนดีดตัวขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียง

“ภูตคราม”

“เรียกว่าว่าภูธราจะดีกว่า” อีกฝ่ายตอบพลางมองดอกมณฑาที่ถูกทิ้งอยู่ข้างเตียง”ทิ้งดอกไม้นั่นทำไม”

คำถามของเขาทำให้หญิงสาวรีบก้มหน้าลงมอง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันขณะย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ถูกทดแทนกลิ่นอับบนรถแท็กซี่หรือกลิ่นหอมรวยรินที่เธอสูดดมอย่างชื่นใจทุกคืนก่อนนอน มือยื่นลงไปเก็บดอกไม้สีเหลืองอ่อนที่ตกอยู่ข้างเตียงมาวางไว้บนหมอนก่อนตัดสินใจถาม

“ฝีมือแกใช่ไหม”

“อะไร” อีกฝ่ายถาม พิมมาดามองหน้าเขา

“ก็กลิ่นดอกไม้ในรถแท็กซี่เมื่อวานนี้กับดอกมณฑาที่วางอยู่บนหมอนในตอนเช้า”

“เมื่อวานนี้ข้ากลัวเจ้าทรมาน ส่วนตอนกลางคืนเห็นนอนไม่ค่อยหลับเลยอยากจะช่วยผ่อนคลาย”

ภูตหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พิมมาดาเม้มปากตนเองแน่นด้วยความแปลกใจในความหวังดีของภูตครามเพราะเท่าที่ได้ยินเรื่องราวของภูตชนิดนี้จากลุงแคล้ว ไม่เคยมีประโยคไหนบ่งบอกว่าพวกเขาเคยมอบความเมตตาหรือเห็นใจต่อสิ่งมีชีวิตอื่นเลยสักครั้ง  หญิงสาวกำมือแน่น

“ทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่”

เธอถามทั้งที่ใจยังประหวั่นในคำตอบ ภูธราเอียงหน้าเล็กน้อยขณะมองหญิงสาวและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง

“บอกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่ใช่หรือว่า ข้าไม่ต้องการอะไร และทุกอย่างที่ทำก็เพื่อให้เจ้ามีความสุข” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นพิมมาดามองมาด้วยดวงตาที่ฉายความประหลาดใจอย่างที่สุด

“หมายความว่ายังไง”

ภูธราพยักหน้าไปทางดอกมณฑา

“ข้าสังเกตว่าเวลาที่เหงาหรือไม่สบายใจ เจ้ามักจะไปยืนใต้ต้นไม้นี่ทุกครั้งหลังจากสูดกลิ่นหอมของมันจนพอใจแล้วเจ้าก็กลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าที่เป็นสุขมากกว่าเดิม”

“ก็ตรงนั้นมันเป็นช่องลม ไปยืนแล้วเย็นสบายดี อีกอย่างกลิ่นดอกมณฑาน่ะหอมอ่อนๆดมแล้วให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง แต่ฉันชอบดูดอกของมันตอนอยู่บนต้นมากกว่า เพราะฉะนั้นเลิกเด็ดดอกไม้นี่เสียทีจะได้ไหม”

“ทำไม”

“ถึงแค่วันละดอก แต่ถ้าเด็ดทุกวันแบบนี้ไม่นานก็หมดต้น แล้วทีนี้ฉันจะไปดอกมณฑามาดมได้ที่ไหน”

หญิงสาวถามเสียงห้วน ภูธรามองต้นมณฑาขนาดใหญ่ที่ยืนต้นสูงตระหง่านอยู่ข้างห้องนอนและยิ้มออกมา

“ไม่ต้องห่วงเพราะข้าสามารถทำให้ต้นไม้ทุกต้นผลิดอกออกผลได้ตามต้องการ”

“ว่าไงนะ แกสามารถเร่งต้นไม้ให้ออกดอกได้ด้วยเหรอ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง” หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจ อีกฝ่ายยื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง ต้นอัญชันที่เธอปลูกไว้ในกระถางด้านล่างยืดยอดของมันขึ้นมาตวัดพันแขนข้างนั้นเอาไว้ราวกับมีชีวิต

“ข้าเป็นภูตคราม”

เขาตอบสั้นๆ เถาอัญชันคลายตัวออกและลดกลับลงไปพันรอบต้นมะยมที่ขึ้นอยู่ใกล้กันแทน สิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้พิมมาดาต้องตระหนก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหวาดกลัวเหมือนตอนที่เจอ
ภูธราในครั้งแรก

“ไม่เห็นลุงแคล้วบอกเลยว่าภูตครามทำแบบนี้ได้ด้วย” เธอพึมพำด้วยความทึ่งและสะดุ้งเมื่อเห็นภูธราขยับเข้ามาใกล้”แกจะทำอะไร”

“แค่อยากจะถามว่าวันนี้เจ้าไม่ออกไปข้างนอกหรือ”

คำถามนั้นทำให้หญิงสาวหันไปมองนาฬิกา ดวงตาเบิกกว้างเมื่อพบว่ามันเป็นเวลาเกือบเก้าโมง พิมมาดาร้องเสียงดังลั่น

“สายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

เธอกระโดดผลุงลงจากเตียงไปคว้าผ้าเช็ดตัวและวิ่งเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีการชำระล้างร่างกายแบบเร่งด่วนจึงเสร็จสิ้น จากนั้นหญิงสาวจึงรีบแต่งตัวด้วยความเร็วชนิดทำลายสถิติโดยลืมไปว่าภูธรายืนมองการกระทำทุกอย่างอยู่ภายในห้อง จนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเธอจึงหันไปมองเขาอย่างนึกขึ้นได้

“ทำไมแกยังไม่ไปอีก”

“ข้ารอไปพร้อมเจ้า” ภูตหนุ่มตอบ พิมมาดานิ่วหน้าพลางนึกถึงความรู้สึกที่เหมือนถูกเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวจึงถามเขาเสียงห้วน

“หมายความว่าแกตามฉันมาตลอด”

“ใช่”

มือทั้งคู่กำแน่นด้วยความกลัว พิมมาดาหลุดปากพูดเสียงดัง

“เลิกตามฉันเสียทีแล้วกลับไปที่ป่าของแกซะ” ประโยคสุดท้ายเกือบจะเป็นการตะโกน”การกระทำของแกทำให้ฉันกลัว”

หญิงสาวคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบ้านทันทีที่พูดจบ ภูธรามองตามหลังเธอแล้วยิ้มออกมาร่างสูงสง่าเลื่อนลงมายังด้านล่างจากนั้นจึงเลือนหายไป

นิลเนตรชะงักมือที่กำลังเรียงเอกสารมองพิมมาดาเดินผ่านเธอไปยังห้องทำงานโดยไม่มีการหยอกเย้าเหมือนที่เคยทำกันเป็นประจำ ด้วยความคิดที่ว่าเพื่อนอาจกำลังใช้ความคิดหญิงสาวจึงไม่เอ่ยคำทักทายแต่เมื่อเธอเตรียมจะทำงานต่อก็ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อเห็นเพื่อนเดินถือถ้วยกาแฟออกมาอีกรอบ หลังจากรอจนอีกฝ่ายชงกาแฟเสร็จเรียบร้อยแล้วนิลเนตรจึงกล่าวทัก

“เป็นอะไรเหรอยายพิม”

พิมมาดาหยุดและหันกลับมามอง

“เธอว่าไงนะ”

“ฉันถามว่าเธอเป็นอะไร” นิลเนตรพูดประโยคเดิมแต่ย้ำน้ำเสียงให้หนักขึ้น อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“เปล่านี่”

“จะเปล่าได้ยังไง วันนี้พอมาถึงที่ทำงานเธอก็เดินเข้าห้องโดยไม่ทักฉันซักคำแถมยังนั่นอีก”เธอบุ้ยใบ้ไปที่ถ้วยกาแฟในมือ”จำได้หรือเปล่าว่าเธอชงไปกี่รอบ”

“สองหรือสามมั้งฉันไม่ได้นับ”

“หก” นิลเนตรพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหาเพื่อน “เธอไม่เคยดื่มกาแฟจัดขนาดนี้ เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ตอนแรกพิมมาดาคิดจะปฏิเสธแต่เมื่อเห็นสีหน้าที่กำลังแสดงความห่วงใยของเพื่อนแล้วเธอจึงเปลี่ยนใจ

“เมื่อคืนฉันเจอกับเขาแล้ว”

“ใคร”

“ภูตคราม”พิมมาดาตอบสั้นๆ นิลเนตรเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“มันคืออะไร”

“ผีที่เธอเจอวันนั้นไง”พิมมาดาตอบ อีกฝ่ายอ้าปากค้างและหันมองรอบตัวก่อนจะคว้าแขนเพื่อนมานั่งด้วยกัน

“แน่ใจเหรอว่ามันเป็นผีตัวเดียวกัน แล้วทำไมเธอถึงเรียกว่าภูตครามล่ะ”

พิมมาดาผงกศีรษะและใช้สายตากวาดมองไปโดยรอบเหมือนต้องการจะมองหาใครบางคน เมื่อไม่เห็นเธอจึงหันกลับมาที่เพื่อนอีกครั้ง

“เธอจำตอนที่ฉันหลงป่าได้ไหม”

“จำได้ ทำไมเหรอ”

“ภูตตนนี้ตามฉันมาจากที่นั่น” พิมมาดาตอบและทำท่าจะเล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เธอพบตอนหลงป่ารวมถึงเรื่องของภูตครามที่ได้ฟังจากลุงแคล้วให้เพื่อนรักฟังแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังอยู่ในที่ทำงานหญิงสาวจึงหยุดชะงัก นิลเนตรขมมวดคิ้วแต่เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเพื่อนแล้วเธอจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ไว้เล่าให้ฟังวันหลังก็ได้ แต่เจ้าภูตครามที่พูดถึงมันตามเธอมาที่นี่ทำไม”

“ฉันไม่รู้” พิมมาดาตอบพร้อมกับกำถ้วยกาแฟในมือแน่น”เขาตามฉันตลอดเวลาไล่ยังไงก็ไม่ไป”

“บางทีอาจต้องใช้น้ำมนต์หรือไม่ก็ข้าวสารเสกเข้าช่วย”

นิลเนตรออกความเห็น อีกฝ่ายสั่นศีรษะและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“ฉันลองมาหมดแล้ว แต่เขาไม่กลัวเลยสักนิด” พิมมาดาพูดเสียงแผ่วและถอนใจค่อนข้างแรง “ทำยังไงดีนิลตอนนี้ฉันกลัวจนแทบบ้าอยู่แล้ว”

ช่วงที่กำลังบ่นอย่างกลัดกลุ้มนั่นเองหางตาของพิมมาดาก็เห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่ในห้อง เธอเงยหน้าขึ้นมองและขมวดคิ้วเมื่อพบว่าคนผู้นั้นคือนงนภัส หญิงสาวลุกพรวดขึ้นและก้าวเข้าไปถามเสียงดัง

“คุณเข้ามาทำไม”

มือที่กำลังเปิดแฟ้มอย่างถือวิสาสะหยุดชะงัก นงนภัสปรายตามองอีกฝ่ายอย่างยะโส

“เข้ามานั่งเล่นนิดหน่อยไม่ได้หรือไงยะ”

“ไม่ได้!” พิมมาดาพูดเสียงดังมากกว่าเดิม นงนภัสมองเธออย่างไม่พอใจ

“ฉันเป็นคนของคุณองอาจมีสิทธิ์ที่จะนั่งตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองขณะที่ตัวคนพูดเปิดแฟ้มและพลิกหน้าเอกสารตามอำเภอใจ พิมมาดากำมือแน่นจนสั่นระริก

“ที่นี่เป็นห้องการเงิน เอกสารทุกอย่างถือเป็นความลับ กรุณาออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้คุณนงนภัส”

น้ำเสียงเข้มเจือไปด้วยความโกรธทำให้พนักงานบริษัททุกคนหันมามองด้วยความแปลกใจ เพราะปรกติแล้วพิมมาดาได้ชื่อว่าเป็นคนใจเย็นและพูดจานุ่มนวลที่สุด การที่เห็นเธอแสดงอารมณ์ขุ่นเคืองออกมาได้ขนาดนี้แสดงว่าเหลือทนกับการกระทำอันจาบจ้วงของนงนภัสแล้ว ฝ่ายภรรยาน้อยนายองอาจนั้นยืนอึ้ง เพราะถ้าเป็นคู่ปรับอย่างนิลเนตรเธอก็คงจะย้อนกลับด้วยถ้อยคำแสบสัน แต่พอเป็นพิมมาดาเธอกลับหือไม่ขึ้นเพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าขึ้นเสียงอย่างไม่เกรงใจ หญิงสาวยืนทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งจึงหลุดปากโพล่งออกมา

“ฉันจะฟ้องคุณองอาจ”

พูดจบก็สะบัดหน้าเดินก้าวฉับๆออกไป เมื่อตัวร้ายประจำบริษัทพ้นไปจากห้องแล้วพนักงานทุกคนต่างปรบมือให้กับพิมมาดา ฤทธิ์เป่าปากเปี้ยวพร้อมกับพูดอย่างชอบอกชอบใจ

“เจ๋งไปเลยครับคุณพิม”

ขณะที่คนอื่นชื่นชมการกระทำอันกล้าหาญของพิมมาดา นิลเนตรกลับขมวดคิ้วด้วยความกังวลเพราะรู้นิสัยเพื่อนของตัวเองดีว่าต่อให้ถูกกดดันหนักแค่ไหนก็จะไม่มีวันแสดงอารมณ์โกรธออกมา

“นี่เธอเครียดขนาดนี้เลยเหรอพิม”

นิลเนตรพึมพำและมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

โชคดีที่วันนั้นนายองอาจต้องไปเข้าร่วมประชุมกับผู้ค้ายาเพื่อศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับสารต้องห้ามบางตัวที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในเวลานี้ทำให้เขาไม่มีเวลาเข้ามาตรวจงานในบริษัท แต่พนักงานทุกคนก็รู้ดีว่ายังไงเสียนงนภัสก็คงหาทางฟ้องเขาได้อยู่ดี บางคนเตือนพิมมาดาให้คอยระวังตัวแต่หญิงสาวไม่ใส่ใจมากนักเพราะมั่นใจว่าเจ้านายของเธอไม่ใช่คนหูเบา

เมื่อจัดการงานชิ้นสุดท้ายเสร็จพิมมาดาจึงเก็บข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อยจากนั้นจึงคว้ากระเป๋าถือเพื่อจะกลับบ้าน ขณะที่กำลังก้าวลงบันไดหญิงสาวก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นนิลเนตรนั่งรออยู่ด้านล่าง

“เลยเวลางานไปตั้งนานแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน”

“ฉันรอเธออยู่น่ะสิ” นิลเนตรตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหา พิมมาดานิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ

“รอฉันทำไม”

“ยังจะมาถาม ฉันเป็นห่วงเธอน่ะสิ รู้หรือเปล่าว่าวันนี้ทำอะไรลงไป”

นิลเนตรย้อนถาม พิมมาดาทำหน้างง

“ฉันทำอะไรเหรอ”

คราวนี้อีกฝ่ายถึงกับส่ายหน้า

“ก็ที่เธอว้ากใส่ยายนงนภัสไง”

พิมมาดาทำท่าเหมือนจะนึกขึ้นได้ เธอผงกศีรษะพร้อมกับพูด

“อ๋อ ก็แค่เตือนไม่ให้เข้าไปยุ่งกับเอกสารการเงินเท่านั้น เธอก็รู้นี่นาว่าทุกอย่างเป็นความลับ”

“ที่เธอทำน่ะไม่ใช่แค่เตือน แต่อาละวาดใส่เลยต่างหาก” นิลเนตรพูดและถอนใจ”ที่ถามไม่ใช่เพราะห่วงยายนงนภัสหรอกเพราะต่อให้แม่นั่นคาบไปฟ้องคุณองอาจเขาก็ไม่มีทางทำโทษพวกเรา แต่ที่กังวลก็คือการกระทำของเธอในวันนี้ต่างหาก”

หญิงสาวมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

“ภูตตัวนั้นน่ากลัวมากเลยเหรอ”

“มากอย่างที่เธอนึกไม่ถึงเลยล่ะ”พิมมาดาตอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น นิลเนตรจึงดังเธอไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก

“แล้วภูตที่ว่านี่ตามเธอมาได้ยังไง”

“ฉันไม่รู้ แต่ลุงแคล้วเคยบอกว่าภูตครามไม่เคยปล่อยเหยื่อให้มีชีวิตรอด ฉันเลยคิดว่าเขาคงเจ็บใจที่ปล่อยให้ฉันหลุดมือเลยตามมาถึงที่นี่”

“หมายความว่ายังไง ตกลงภูตครามคืออะไรกันแน่” นิลเนตรถามด้วยความสงสัย พิมมาดาจึงถอนใจและเริ่มเล่าเรื่องราวที่เธอประสบในป่าตั้งแต่เสียงประหลาดที่ดังก้องไปทั่วกระทั่งถึงตอนที่ถูกลมประหลาดลูบไล้ไปทั่วร่างและเรื่องของภูตครามที่ได้ฟังมาจากลุงแคล้ว เมื่อทุกอย่างจบลง นิลเนตรถึงกับหน้าถอดสี

“สรุปก็คือภูตครามเป็นผีกินคนและเขาตามมาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับเธอ”

“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น แต่พอถามไปตามตรงเขากลับปฏิเสธ”

คำพูดของพิมมาดาทำให้อีกฝ่ายต้องเลิกคิ้ว

“อ้าว ในเมื่อไม่คิดจะกินแล้วหมอนั่นตามเธอมาทำไม”

“เขาบอกแค่ว่า อยากเห็นหน้าฉันเท่านั้นเอง”พิมมาดาตอบพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาค่อนข้างหนักเธอมองนิลเนตรที่กำลังมีสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่”พอคิดว่าจะต้องอยู่กับเขาตามลำพังฉันก็กลัวจนแทบไม่อยากกลับบ้าน”

“งั้นไปค้างบ้านฉันก็ได้”นิลเนตรพูดแต่พิมมาดากลับส่ายหน้า

“จะหนีไปไหนเขาก็ตามไปได้อยู่ดี ถึงตอนนี้ก็เถอะ”เธอพูดพลางหันมองรอบตัว”แม้จะมองไม่เห็นแต่ฉันก็รู้ดีว่าเขาอยู่ในห้องและกำลังดูเราสองคนอยู่ตลอดเวลา”

พอได้ยินแบบนี้นิลเนตรถึงกับขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว เธอมองซ้ายมองขวาอย่างระแวงและลดเสียงลงจนเกือบจะกลายเป็นกระซิบ

“หมายความว่าภูตตัวนั้นตามติดเธอตลอด”

พิมมาดาผงกศีรษะ

“ไม่ใช่แค่ตาม เขายังทำอะไรหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นส่งเสียงเตือนตอนถูกล้วงกระเป๋าหรือใช้กลิ่นดอกไม้ไล่กลิ่นบุหรี่ออกจากรถแท็กซี่ บางทีที่โจรกระชากกระเป๋าสองคนนั่นตายก็อาจจะเป็นฝีมือของเขาด้วย”

“ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ฉันว่าเหมือนเขาคอยปกป้องเธอมากกว่า” นิลเนตรพูดแต่พิมมาดากลับสั่นศีรษะ

“ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ แต่เขาเป็นภูตกินคน ต่อให้คุ้มครองดีแค่ไหนก็ยังน่ากลัว”

“ที่ว่าภูตกินคนเพราะเธอได้ยินมาแบบนั้น บางทีเขาอาจเป็นแค่ผีป่าธรรมดาก็ได้”

พิมมาดาขมวดคิ้วและมองหน้าเพื่อน

“เธอพูดเหมือนเข้าข้างภูตตัวนั้น”

“ฉันแค่ไม่อยากให้เธอกลัวจนประสาทเสียเท่านั้นเอง”นิลเนตรรีบอธิบายพร้อมกับถอนใจ  ”เอาอย่างนี้ ฉันจะลองไปค้นเรื่องราวเกี่ยวกับภูตครามดูเผื่อเจอหมอผีเก่งๆจะได้จับเขายัดใส่หม้อถ่วงทะเลไปเลย”

“กลัวว่าจะไม่มีคนปราบเขาได้มากกว่า”พิมมาดาพูดอย่างอ่อนใจและคว้ากระเป๋าลุกขึ้น นิลเนตรรีบเดินตาม

“จะไปไหนน่ะยายพิม”

“กลับบ้าน”เพื่อนของเธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้”ถึงจะกลัวแค่ไหนก็ต้องเจอเขาอยู่ดี สู้ทำใจกล้าเผชิญหน้ากับเขาไปเลยดีกว่า”

“พิม”นิลเนตรเรียกด้วยความเป็นห่วงแต่พิมมาดากลับโบกมือ

“เย็นมากแล้วเธอรีบกลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน” พูดจบหญิงสาวก็วิ่งขึ้นรถประจำทางที่วิ่งเข้ามาจอดพอดี นิลเนตรมองตามด้วยความเป็นห่วงจนเมื่อรถเคลื่อนออกจากป้ายแล้วเธอจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและกล่าวพึมพำ

“ขอให้คุณพระช่วยดลบันดาลอย่าให้ภูตตนนั้นทำอะไรเธอเลย”

การจราจรที่คับคั่งแต่ไม่ถึงกับติดขัดทำให้พิมมาดากลับถึงบ้านเร็วกว่าทุกวัน แต่แทนที่เธอจะรีบเปิดประตูรั้วเพื่อเข้าไปด้านในหญิงสาวกลับยืนนิ่งหน้าประตูอยู่นาน จนเมื่อตัดสินใจได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะเผชิญหน้ากับภูตตนนั้นและขอร้องให้เขากลับไปยังป่าแต่โดยดี หากคราวนี้เขายังไม่ยอม เธอก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจเขาอีกเลย

เมื่อคิดได้แล้วพิมมาดาจึงไขกุญแจก้าวเข้าไปด้านใน สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับเธอมากที่สุดก็คือพุ่มกระดังงาที่ออกดอกเหลืองอร่ามเต็มต้นส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าบรรดาไม้ดอกที่ปลูกไว้รอบบ้านต่างพากันผลิบานเต็มต้นไม่ว่าจะเป็นกระทุ่ม ราตรี ปีบ จำปีหรือแม้กระทั่งต้นจำปูนซึ่งมีดอกยากที่สุด แม้แต่ละชนิดจะมีกลิ่นหอมชวนดมแต่พอมันบานพร้อมกัน กลิ่นที่เคยหอมจรุงใจกลับกลายเป็นฉุนจัดจนถึงกับเวียนหัว คิ้วสวยของหญิงสาวขมวดเข้าหากัน เธอหันมองไปโดยรอบเหมือนต้องการจะหาต้นเรื่องแต่เมื่อไม่พบจึงตัดสินใจหันไปทางต้นมณฑา

“ทำอะไรลงไปน่ะ”

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 21:24:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com