Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มอนเอราโด ตอนที่ 3 กระจกวิเศษ ติดต่อทีมงาน

โบนิตะเคยเรียนมาว่า มนุษย์ กับ ผัก นั้นนับเป็นของสองสิ่งที่แตกต่างกัน อย่างหนึ่งคือสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจเคลื่อนไหว แต่ตอนนี้เขากับแม่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงในโรงพยาบาลประจำเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มองดูร่างที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงของชายคนหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการว่า มนุษย์ผัก

ชายคนนี้คือสามีของแม่ หรือก็คือพ่อของเขานั่นเอง เมื่อคืนที่ผ่านมา มีโจรคนหนึ่งบุกเข้าปล้นร้านสะดวกซื้อที่พ่อกำลังทำงานอยู่ ทั้งๆ ที่กล้องวงจรปิดก็แสดงให้เห็นว่าพ่อของเขาไม่ได้พยายามต่อต้านขัดขืนแต่อย่างใด อีกทั้งยังให้ความร่วมมือกับโจรเป็นอย่างดีด้วย จนกระทั่งเมื่อโจรกำลังจะหลบหนี เขากลับยิงปืนใส่พ่อหนึ่งนัด

โชคดีที่พ่อไม่ตาย แต่โชคร้ายพ่อต้องกลายเป็นมนุษย์ผัก

“หมอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป เขาอาจจะดีขึ้นจนฟื้นคืนสติมา อาจจะอาการทรุดหนักลงจนเสียชีวิต หรือไม่ก็อาจจะนอนอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแสนนาน”

ความมืดเข้าปกคลุมใบหน้าของแม่ แต่แม่ไม่ได้ร้องไห้ เขาเองก็ได้แต่เงียบงัน ไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะต้องรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี

นอกจากที่รู้สึกดีใจนิดหน่อย 'นับแต่นี้ไปบ้านคงปลอดภัยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน' แล้ว เขาควรจะต้องเศร้าเสียใจหรือไม่ 'เศร้าสิ ฉันควรจะต้องเศร้า เพราะแม้แต่แม่ก็ยังเศร้าเลย' ถึงแม้เขาจะคิดไม่ออกเลยว่า ทำไมแม่จึงต้องรู้สึกอย่างนั้นด้วย 'บางที มันอาจเป็นส่วนหนึ่งของความรักก็เป็นได้' นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดี ที่เขาจะอยู่ให้ห่างจากมัน จากความรักพวกนั้น

“นี่เป็นของของคนไข้ที่ทางโรงพยาบาลเก็บเอาไว้ให้ค่ะ กรุณาลงชื่อรับของด้วยนะคะ”

พยาบาลยื่นถุงที่มีข้าวของของพ่ออยู่ข้างใน พร้อมกับใบรายการที่จดบันทึกเอาไว้ ที่สำคัญในนั้นมีธนบัตรชนิดหนึ่งพันอยู่ด้วยจำนวนสามใบ ไม่มีทางเลยที่พ่อจะพกเงินมากขนาดนั้นไปทำงาน แม่คิดในใจว่ามันคงมาจากลิ้นชักเก็บเงินภายในร้านสะดวกซื้อนั่นเอง

พ่อคิดจะช่วยทางร้านลดความเสียหาย หรือคิดจะฉวยโอกาสนั้นแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากโจรกันแน่ แต่แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แม่เก็บของทั้งหมดไว้ ลงชื่อ พร้อมกับกล่าวขอบคุณพยาบาลคนนั้น

ในที่สุดเมื่อไม่มีอะไรให้ทำได้อีก ทั้งสองจึงตัดสินใจกลับบ้าน แม่เดินนำหน้า เขาเดินตาม ท้องฟ้ามืดมิดลงเหมือนกับซึมซับเอาบรรยากาศที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของทั้งสองเข้าไป มีเม็ดฝนโปรยปรายลงมาบางเบา ทั้งคู่ต่างลืมหยิบร่มติดมือมาด้วย แต่ฝนแบบนี้ไม่อาจทำให้ใครเปียกปอนได้

เขาไม่รู้ว่าบนใบหน้าของแม่นั้น คือเม็ดฝน หรือหยาดน้ำตากันแน่

ระหว่างทาง เขาก็นึกถึงมอนเอราโดขึ้นมา 'ฝนตกแบบนี้ มันจะเป็นอย่างไรบ้างนะ' ดังนั้นทันทีที่กลับถึงบ้าน เขาก็คว้าร่มแล้วรีบวิ่งไปยังลานว่างทันที

“เดี๋ยวผมมานะครับ”

เสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งหายออกไปจากบ้าน ทิ้งให้แม่ของเขาต้องนั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้อง เสื้อผ้าเนื้อตัวของแม่ยังคงเปียกชื้น แม่นั่งนิ่งสายตาจ้องมองไปยังมีดทำครัวด้ามหนึ่งซึ่งถูกหยิบมาวางไว้ที่กลางโต๊ะ ส่วนที่เป็นคมของมันสะท้อนแสงไฟแวววาว ส่วนด้ามก็เป็นสีดำมืดสนิท

ภายในความคิดที่สับสนของแม่ พายุกำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

#####

“โนเอซู กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”

ซูชิกะ ในชุดนอนบางเบาเผยให้เห็นรูปร่างของเด็กประถมสี่ที่ยังคงไม่เติบโตเต็มสาว ยืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ผ้าม่านในห้องของเธอถูกปิดไว้จนมืดมิด เป็นเวลานานมากแล้วที่มันไม่เคยถูกเปิดออกเลย แสงอาทิตย์ไม่เคยมีโอกาสได้สาดส่องเข้ามาสู่สถานที่ลี้ลับแห่งนี้ กลิ่นอับๆ ปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมประหลาดส่งกลิ่นหวานอบอวลอยู่ภายในห้อง

วันนี้เป็นวันหยุด เธอจึงไม่ต้องไปโรงเรียน ความจริงแล้วเธอไม่เคยมีความจำเป็นต้องไปโรงเรียน แม่มดไม่ต้องไปโรงเรียน และไม่เคยมีโรงเรียนสอนการเป็นแม่มด แม่มดก็คือแม่มด แม่มดทุกตนเกิดมาอย่างนั้น พวกเธอล้วนมาจากสถานที่แห่งเดียวกัน มาสู่โลกนี้ด้วยวิธีการที่แตกต่าง แต่ทั้งหมดล้วนมีจุดประสงค์อยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“ไม่มีผู้ใดจะงดงามเกินกว่านายหญิงของ โนเอซ ผู้นี้ไปได้อีกแล้ว”

น้ำเสียงประจบประแจงดังออกมาจากภายในกระจกเงาบานนั้น พร้อมด้วยดวงตากลอกกลิ้ง กับปากแหลมยื่นยาวฉายให้เห็นเป็นเงาอยู่บนพื้นผิว ซึ่งในตอนนี้กำลังสั่นไหวเหมือนของเหลว แต่มันไม่ใช่น้ำ มันดูมีความหนืดมากกว่า สะท้อนเงาได้มากกว่า อันตรายมากกว่า ชั่วร้ายมากกว่า มันเหมือนกับผิวหน้าของโลหะที่หลอมละลาย อาจจะเป็นตะกั่ว หรือปรอท โลหะหนักเป็นพิษเมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกายทีละน้อย และทำให้ถึงตายได้เมื่อสะสมจนมากเพียงพอ

“โฮ่ โฮ่ โฮ่”

เธอยกมือทำท่าปิดปากหัวเราะอย่างยั่วยวน แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่คำเยินยอก็ตามที คำเยินยอที่เป็นพิษเมื่อรับเข้าสู่ร่างกายทีละน้อย และอาจทำให้ถึงตายได้เช่นกัน แต่ใครล่ะจะไม่ชอบยาพิษที่มีรสหวานหอมชื่นใจเช่นนี้

“โนเอซูเจ้าช่างปากหวานจริงนะ”

“เปล่าเลยนายหญิงแสนงาม ข้าพูดแต่ความจริงเท่านั้น...และข้ามีนามว่าโนเอซ โนเอซผู้ไร้ขอบเขต ผู้ข้ามผ่านพรหมแดน ผู้...”

“เงียบเถอะเจ้ากระจก ข้าจะเรียกเจ้าว่าโนเอซู มีปัญหาอะไรไหม”

ดวงตาของเธอมืดหม่นลง แม้แต่เงาของสิ่งต่างๆภายในห้องก็ยังพยายามถอยห่างออกจากตัวเธอ

“...ไม่มี ไม่มี นายหญิงผู้แสนงาม ไม่มีแม้แต่น้อย”

เงาสะท้อนของเธอในกระจกค่อยๆ เติบโตขึ้นสู่วัยสาว ส่วนที่ควรนูนก็นูนเด่น ส่วนที่ควรเว้าก็เว้าอย่างเย้ายวน ร่างสูงผิวขาวนวลผุดผ่อง ผมสีดำยาวงดงาม ทุกส่วนของร่างกายเต็มไปด้วยความงามน่าค้นหา ยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวคือดวงตาคู่นั้น มันมืดดำราวกับหลุมลึกไร้ก้น หลุมลึกที่จะทำให้ชายหนุ่มทุกคนต้องล่วงหล่นลงไปจนไม่อาจปีนป่ายกลับขื้นมาได้อีกเลย

เธอยิ้ม มองดูเงาของตัวเองอย่างพอใจ

“เอาล่ะ เจ้าแน่ใจว่า ประตู อยู่กับมันใช่ไหม”

ดวงตากลอกกลิ้ง กับปากแหลมยื่นยาวกลับคืนสู่กระจกอีกครั้ง ทั้งดวงตา และปากนั้นทาบทับอยู่บนเงาร่างที่เติบโตเต็มสาวของเธอ ทาบอยู่บนสองส่วนของร่างกายหญิงสาวที่ดึงดูดใจชายหนุ่มมากที่สุดพอดี อย่างจงใจ

“เป็นไปได้ นายหญิง แค่เป็นไปได้ ข้าไม่อาจแน่ใจ ผู้ใดก็ไม่อาจแน่ใจทั้งนั้น ไม่เคยมีใครได้พบเห็นประตูที่โลกด้านนี้มาก่อน มันจึงอาจเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่พลังของมันรุนแรงจนข้าสามารถรู้สึกได้ ความรู้สึกที่คุ้นเคย...ใช่...มันทำให้ข้าคิดถึงบ้านขึ้นมาเลยทีเดียว”

“และข้าไม่อาจใช้กำลังในการเข้าครอบครองมัน”

ดวงตาของมันกลอกกลิ้งไปมาบนเงาร่างของเธอ ส่วนปากก็ขยับอย่างหื่นกระหายอยู่ตรงบริเวณนั้น

“ช่ายแล้ว นายหญิงแสนงามของข้า ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งใดสามารถครอบครองมันได้ หากมันไม่ยินยอมพร้อมใจ”

เธอลองแล้ว และอาจจะต้องลองอีก แต่เธอไม่ชอบการรอคอย บางทีมันอาจจะมีวิธีที่รวดเร็วกว่านี้

“โนเอซูกระจกที่แสนวิเศษ เจ้าพอจะมีคำแนะนำให้กับหญิงสาวโดดเดี่ยวที่น่าสงสารคนนี้หรือไม่”

ดวงตา และปากของมันยังคงขยับไม่หยุด

“บางที อาจบางที...”

ชุดนอนบางเบาเลื่อนหลุดออกจากร่างของเธอ โนเอซเริ่มส่งเสียงหัวเราะ หัวเราะอย่างชั่วช้าลามก เสียงหัวเราะนั้นดังผ่านประตูออกมา ดังไปสู่อีกห้องหนึ่ง ห้องของสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ภายในห้องมีเพียงความมืดมิด เสียงหายใจเบาๆ และการขยับเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง อะไรที่น่าสงสาร น่าเวทนา อะไรที่ไม่อาจนับเป็นมนุษย์ได้อีก

ห้องนี้ได้ถูกปิดตายมาเนิ่นนานแล้ว ปิดตายลงด้วยมือของซูชิกะลูกสาวของพวกเขาเองเลยทีเดียว

#####

“พ่อแม่ของนายยอมให้เลี้ยงฉันแล้วหรือ เหมียว”

“...เปล่า”

“อ้าว เหมียว”

มอนเอราโด แมวตัวอ้วนกลมที่มีขนสีขาวอมฟ้าถูกหิ้วอยู่ในอ้อมแขนของโบนิตะ มันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ เขาขยับร่มเพื่อกันไม่ให้เม็ดฝนที่ตกกระหน่ำลงมาโดนเพื่อนต่างสายพันธุ์ จนทำให้หัวไหล่ของเขาอีกข้างต้องเปียกปอน

“เราจะแอบเข้าไป พ่อไม่อยู่บ้านแล้ว แม่คงไม่ว่าอะไรหรอก”

เขาพูดออกไปทั้งๆ ที่ไม่ค่อยแน่ใจนัก

“กลับมาแล้วครับ”

เขาส่งเสียงบอก ก่อนรีบอุ้มมอนเอราโดวิ่งขึ้นไปบนห้องทันที ในห้องครัวนั้นแม่ของเขากำลังทำอาหารมื้อเย็นอย่างเงียบงัน แม่หันไปมองดูมีดทำครัวบ่อยครั้งอย่างไม่มีเหตุผล ประกายวาววับของมันช่างเย้ายวน คมของมันคือทางลัดที่จะตัดพาครอบครัวให้พ้นไปจากปัญหาได้หรือไม่

พายุข้างนอกเริ่มค่อยๆ สงบลง แต่ไม่รู้ว่าพายุที่อยู่ในใจของแม่นั้นเป็นเช่นไรกันแน่

#####

ในท่ามกลางสายฝน ซูชิกะในชุดกันฝนสีสดใสน่ารักยืนอยู่กลางลานว่าง มือที่หิ้วถุงขนมครกเอาไว้สั่นระริก 'มันหายไปแล้ว' เธอทิ้งถุงขนมลงบนพื้น หันหลังแล้วเดินจากไป

จากภายในถุงขนม มีเงาสีดำขนาดเล็กจำนวนมากมายพากันคลานยุบยับออกมา พวกมันค่อยๆ ลุกลามออกไปตามต้นหญ้า บนตัวแมลง และทุกสิ่งที่อยู่ในตำแหน่งนั้น ก่อนเริ่มต้นการกัดกินอย่างโหดร้าย โดยไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง

สายฝนยังคงไม่หยุดดี แต่งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว ในลานว่างเกิดหย่อมวงกลมสีดำเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นเน่าเปื่อยแห่งความตายออกมา และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดกล้าเหยียบย่างเข้าไปในวงกลมเล็กๆ แห่งนี้อีกนานแสนนาน

#####

“ทานนะครับ”

โบนิตะเริ่มลงมือกินอาหารเย็น ซึ่งเป็นหมูชุบแป้งทอดของโปรดของเขา เนื้อหมูชิ้นโตหนาชุบเกล็ดขนมปังทอดกรอบๆ ส่วนภายในก็อ่อนนุ่มชุ่มลิ้น 'แต่วันนี้ดูเหมือนมันจะดิบไปหน่อย' เขาต้องพยายามเตือนตัวเองให้เหลือบางส่วนเก็บเอาไว้ให้กับมอนเอราโดด้วย 'เสียดายจัง อยากกินให้หมดเลย' เขาส่ายหน้าแรงๆ 'ไม่ได้ ไม่ได้ เราเป็นเพื่อนกัน ถ้ามีความสุข เพื่อนก็ต้องสุขด้วย'

เขายังคงเคี้ยวหมูทอดอยู่ เมื่อพบว่าแม่นั้นเอาแต่นั่งเงียบ และแทบจะไม่ได้แตะต้องอาหารในส่วนของตัวเองเลยสักนิด เขากลืนอาหารในปากอย่างฝืดคอ

“...แม่เป็นห่วงพ่อมากหรือครับ”

แม่พยายามฝืนยิ้ม

“...แม่เป็นห่วง...ห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายมากกว่า ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้า พวกเราจะเป็นอย่างไรต่อไป”

ความอยากอาหารเมื่อครู่ของเขาหดหายไปทันที 'นั่นสินะ' แม่หยิบธนบัตรสามพันจากโรงพยาบาลออกมาวางบนโต๊ะ

“ลูกคงรู้อยู่แล้ว ว่าเงินพวกนี้ไม่ใช่ของพ่อ...แต่เราก็จำเป็นต้องใช้มัน”

บ้านของเขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่เคยมีชีวิตสุขสบาย พ่อแม่เขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเข้าใจตลอดมาคือ พวกเขาไม่เคยลักขโมยของใคร ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ 'เท่าที่ฉันรู้' แต่ถึงตอนนี้เขาก็เริ่มไม่ค่อยมั่นใจ

ในระหว่างที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่นั้น เขาก็มีความคิดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เขาแอบเอาหมูทอดที่กินเหลือซ่อนเอาไว้ แล้วเขาก็หยิบธนบัตรใบหนึ่งจากที่แม่วางทิ้งเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจไปด้วย 'ของวิเศษอาจช่วยได้' เขารีบกลับขึ้นไปบนห้อง ในขณะที่แม่ยืนหันหลังแล้วเริ่มล้างถ้วยชาม ซึ่งเธอยังคงเหลียวมองดูมีดทำครัววาววับนั้นอยู่บ่อยครั้ง

“นายมีของวิเศษที่สามารถสร้างธนบัตรที่เหมือนแบบนี้ออกมามากๆ ได้ไหม”

“มีสิ เหมียว”

มันตอบเสียงอ่อย หมูทอดนั้นมีน้อยเกินไป ถึงมันจะเข้าใจ แต่ท้องของมันกลับไม่ยอมเห็นด้วย ขนมครกที่หอมหวานเย้ายวนเริ่มล่องลอยไปมาอยู่ในความคิดอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเครื่องมือเพิ่มจำนวนธนบัตรให้มีมากๆ ด้วย”

ความคิดอย่างอื่นถูกดูดกลืนหายไปในความมืดลึกล้ำของดวงตาคู่นั้น ก่อนที่มันจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าสี่มิติที่หน้าท้อง

“นี่คือ กระจกวิเศษ เหมียว”

มันเป็นกระจกส่องหน้าของผู้หญิงแบบที่มีด้ามสำหรับถือ กรอบกระจกทำด้วยโลหะแบบโบราณ สิ่งแรกที่เตะตาเขาในทันทีคือ รูปใบหน้าของผู้หญิงที่งดงามซึ่งอยู่ทางด้านหลัง หญิงสาวที่มีผมบนหัวเป็นงูจำนวนมาก เป็นความงามที่น่ากลัว ความงามที่หากจ้องมองดูนานๆ อาจทำให้ทั้งร่างกาย และหัวใจของคนผู้นั้นต้องแข็งค้างกลายเป็นหินไปตลอดกาล

“แค่ส่องมันไปที่ธนบัตร แล้วล้วงเข้าไปหยิบเงาสะท้อนของมันออกมา เงาสะท้อนนั้นก็จะกลายเป็นของจริง ที่เหมือนกับต้นฉบับทุกประการเลยทีเดียว เหมียว”

“จริงหรือ”

ความดีใจทำให้เขาลืมเลือนใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่หลังกระจกบานนั้นไปชั่วคราว

“ก็ลองดูสิ เหมียว”

เขารับมันมา ก่อนเอาไปชูไว้เหนือธนบัตรฉบับนั้น ตอนแรกในกระจกมีเพียงเงาลางเลือน ก่อนที่ภาพของธนบัตรจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จนเหมือนจริงในที่สุด แม้แต่ตัวอักษร และตัวเลข ก็ยังอ่านได้อย่างถูกต้อง ไม่ได้เป็นเงาสะท้อนกลับข้างแต่อย่างใด

“ล้วงมันออกมาได้เลย เหมียว”

เมื่อเขาพยายามทำอย่างนั้น โดยยังคงให้กระจกสะท้อนเงาของธนบัตรอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าของหญิงสาวผมงูที่อยู่ด้านหลังก็ดึงดูดสายตาของเขาไป ดวงตาของเธอส่องแสงสีแดงเรื่อเรืองออกมา พร้อมกับเสียงกระซิบหวานดังขึ้นที่ข้างหู 'เจ้าต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน'

ลึกลงไปภายในกาย บางส่วนของความรู้สึก บางทีอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณของเขา ค่อยๆ จับตัวแข็ง ในทันทีที่เขาล้วงธนบัตรซึ่งเหมือนกับต้นฉบับอย่างไม่ผิดเพี้ยนออกมา

เขากระพริบตา ความรู้สึกเยียบเย็นวนเวียนไปทั่วร่าง แต่เขารู้ว่ามันมีบางส่วนในนั้นที่ความเย็นแผ่ไปไม่ถึง เพราะมันได้ถูกทำให้กลายเป็นหินไปเรียบร้อยแล้ว

เขามองดูธนบัตรทั้งสองใบ ในใจนึกถึงใบหน้าอมทุกข์ และท่าทางเลื่อนลอยของแม่ ก่อนกัดฟันทำมันซ้ำอีกครั้ง และอีกครั้ง อีกส่วนหนึ่งที่ต้องเสียไป อีกส่วนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นหิน 'พอได้แล้ว เหมียว' เสียงนั้นเหมือนดังมาจากที่ที่ไกลแสนไกล แต่เขายังคงทำต่อไป จนในที่สุดก็ได้เป็นธนบัตรปึกหนา ก่อนที่เขาจะล้มลงสิ้นสติ

มอนเอราโดรีบคว้ากระจกวิเศษออกจากมือของเขา ก่อนยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋าหน้าท้องอย่างรวดเร็ว ชั่วแวบหนึ่งนั้นคล้ายกับว่าผู้หญิงผมงูจะไม่พอใจกับการกระทำนี้ มันเหม่อมองดูร่างของเด็กชาย มือของเขายังคงพยายามที่จะขยับในท่วงท่าเดิมนั้นต่อไปอย่างติดขัดเหมือนคนชักกระตุก

ประตูห้องถูกเปิดแง้มออกอย่างช้าๆ แม่ที่ซ่อนมือข้างหนึ่งเอาไว้ทางด้านหลัง แอบมองเข้ามา มอนเอราโดกระโดดเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในตู้เก็บของตั้งแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ย่องขึ้นบันไดมาแล้ว ประตูตู้ที่เป็นบานเลื่อนถูกแง้มทิ้งเอาไว้เล็กน้อย

ไฟในห้องไม่ได้ปิด แต่ดูเหมือนว่าลูกชายเพียงคนเดียวนั้นจะเผลอนอนหลับอยู่บนพื้นห้อง มอนเอราโดตรวจดูแล้วว่าเขายังคงมีลมหายใจอยู่ มันขยับ ดัน ลาก จนเขามาอยู่ในท่านอนหงายได้สำเร็จ พร้อมกับเลียไปที่ใบหน้าอีกหลายครั้ง ตั้งใจจะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล จนเสียงฝีเท้าของแม่ดังมา มันจึงรีบซ่อนตัว

แม่นั่งคุกเข่าลงที่ด้านข้าง เสียงเรียกหาเบาๆ ดังออกมาจากปากที่แห้งผาก

“โบ...นิ...ตะ”

นอกจากหน้าอกที่ยังคงขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอแล้ว ก็ไม่มีการตอบสนองอื่นใดอีก กองธนบัตรที่ถูกวางทิ้งเอาไว้อยู่ที่ข้างตัวเขาดึงดูดสายตาในทันใด แม่วางสิ่งของที่ซ่อนเอาไว้ทางด้านหลังลง ก่อนเอื้อมมือไปหยิบพวกมันขึ้นมา 'พวกมันเหมือนกัน' แม่พลิกดูไปมา 'เหมือนมากจนเกินไป'

แม่หยิบสองใบขึ้นมาเปรียบเทียบกัน 'ใช่' ก่อนจะหยิบที่เหลือขึ้นมาดูทั้งหมด 'มันเป็นหมายเลขเดียวกันทั้งหมด' แต่มันก็เป็นธนบัตรปลอมที่แนบเนียนที่สุดเท่าที่แม่เคยพบเห็นมาเลยทีเดียว 'พวกมันมาจากที่ไหนกันนะ หรือว่าจะเป็นฝีมือของพ่อ' บางทีโบนิตะอาจจะไปเจอพวกมันเข้าโดยบังเอิญก็เป็นได้

แม่รวบรวมพวกมันทั้งหมดขึ้นมา ก่อนเริ่มนับ 'การใช้แบงค์ปลอมมันอันตราย' แต่หากใช้อย่างระมัดระวังเงินเก๊จำนวนนี้จะสามารถต่อชีวิตของครอบครัวให้อยู่รอดไปได้อีกสักพัก 'เอาน่า' พายุในใจของแม่ค่อยๆ สงบลงทีละน้อย

แม่หยิบสิ่งของที่ซ่อนเอาไว้ตั้งแต่แรกขึ้นมา คมวาววับของมีดทำครัวดูจะมีความเย้ายวนใจลดน้อยลงไปอย่างฉับพลัน มันไม่แวววาวสดใสเหมือนกับตลอดทั้งวันที่ผ่านมาอีกแล้ว เธอเหน็บมันไว้ทางด้านหลัง ก่อนเดินไปหยิบผ้านวมออกมาห่มให้กับลูกชาย ปิดไฟ แล้วปิดประตูห้องอย่างเบามือ

มอนเอราโดจ้องมองโบนิตะที่ยังคงนอนไร้สติจากภายในตู้เก็บของ แววตาของมันสะท้อนความมืดเป็นสีสันที่ไม่อาจบรรยาย มันค่อยๆ ย่องออกมา ก่อนขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ตรงบริเวณทรวงอก เหนือตำแหน่งหัวใจของเพื่อนเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ก่อนเสียงเต้นที่เป็นจังหวะของมันจะขับกล่อมจนหลับไป

แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 55 09:12:47

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 55 01:14:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com