Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คำสาป ติดต่อทีมงาน

แนะนำเบื้องต้นก่อนว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติก - แฟนตาซีนะครับ (คือแบบนี้โรแมนติกสำหรับผมแล้วนะ แฮ่ๆ) ส่วนเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สามารถอ่านที่มา - ที่ไปได้ในคอมเม้นที่สามน่อครับ แหะๆ  ^_^


----------------------------------


คำสาป


I

เนิร์ฟเป็นชายหนุ่มผู้อมทุกข์ และเขาชอบระบายทุกข์ด้วยการนั่งจ้องมองทะเลยามพระอาทิตย์ตกดิน

แม้ดวงตะวันจะคล้อยต่ำจมหายไปกับขอบฟ้าขอบทะเลชักนำแสงสว่างไปด้วย แต่เกลียวคลื่นสีครามยังคงโถมตัวใส่ชายหาดไม่หยุดยั้ง เสียงของมันดังอ่อนโยนต่อหูของเนิร์ฟไม่ต่างจากพิณของออร์เฟอุสในตำนาน

ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าด้วยความหม่นหมอง เขารู้สึกว่าการได้อยู่คนเดียวก็มีความสุขดี เขาไม่อยากให้มีใครเข้ามารบกวนในเวลานี้ เวลาที่เขามีชีวิตส่วนตัวเป็นของตนเอง

การเกิดมาเป็นลูกชายของเคซ่าร์ช่างตีดาบไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เนิร์ฟถูกใช้งานหนักอย่างกับทาสรับใช้ตั้งแต่ห้าขวบ ในขณะที่กุนโต้น้องชายของเขาได้รับการทะนุถนอมอย่างดีจากบิดา แต่เนิร์ฟไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย แม่ปลูกฝังอยู่เสมอว่าพี่ชายต้องเสียสละสิ่งที่ดีกว่าให้น้องชาย ในกรณีนี้เนิร์ฟต้องเสียชีวิตที่สุขสบายให้กุนโต้ เขาคงรู้สึกพึงพอใจกับการเสียสละนั้นหากกุนโต้จะเคารพต่อเขาในฐานะพี่ชายมากกว่านี้

พลัน ห้วงคิดอันล่องลอยของชายหนุ่มสะดุดลง สายตาของเขาจับได้ถึงความเคลื่อนไหวลิบๆ บนหาดทรายริมทะเล เนิร์ฟลุกขึ้นยืนป้องตามองฝ่าความมืดที่เริ่มโรยตัวหนาทึบ เงาตะคุ่มนั้นวิ่งล้มลุกคุกคลานคล้ายหนีอะไรบางอย่างจากทะเลตรงมาทางเขา เนิร์ฟหันรีหันขวาง ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเมื่อเงาตะคุ่มกลายเป็นโฉมงามผู้หนึ่งซึ่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าไร้อาภรณ์ใดพันกาย!

“ท่าน ท่านช่วยข้าด้วยเถิด จ้าวปลาหมึกอสูรกำลังตามล่าข้า โปรดเมตตาช่วยข้าด้วย” นางผู้มีผมสีเงินละล่ำละลักเข้ามากอดแขนชายหนุ่ม

“จ้าว...เอ้อ...ปลาหมึก” เนิร์ฟตั้งสติไม่ถูกเมื่อหลุบตาพบกับสิ่งที่บดต้นแขนของเขาอยู่ “ขาว...เอ๊ย...เมื่อกี้ท่านว่าอะไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด”

“จ้าวปลาหมึกอสูร มันจะจับตัวข้าไปเป็นนางบำเรอ ท่านต้องช่วยข้านะ ได้โปรดเถิด ข้าคงตายแน่หากต้องไปที่วังปลาหมึก” โฉมงามผมเงินผู้มีผิวกายขาวเนียนละเอียดราวไข่มุกเขย่าต้นแขนของเนิร์ฟจนเขาต้องแกะมือนางออกและถอยหลังสองก้าวมาตั้งหลัก

“ใจเย็นขอรับ ใจเย็น” เนิร์ฟยกสองมือประกอบคำพูด จึงพอดีกับเต้ากลมกลึงคู่นั้นเมื่อนางโถมตัวเข้าหาเขา เนิร์ฟหน้าร้อนผ่าว พยายามจะผละหนี แต่ยิ่งหนี นางกลับยิ่งตามติด เขาจึงต้องหยุดนิ่งและปล่อยให้นางสวมกอดด้วยความต้องการที่พึ่งพิงหลบภัย

“ข้ากลับลงทะเลไม่ได้ ท่านโปรดช่วยข้าด้วย” โฉมงามพึมพำพลางสะอื้นไห้ “ให้ที่พักพิงแก่ข้า แล้วข้าจะตอบแทนท่านทุกอย่าง”

“เอ้อ เดี๋ยวนะแม่หญิง ข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านมาจากที่ใด” เนิร์ฟพยายามตั้งสติมองไปที่ท้องทะเล ไม่สนใจร่างเนียนที่กอดรัดเขาแน่น แต่เขาก็ทำไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่เนิร์ฟไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาสงสัยจริงว่าทำไมหัวใจของเขาถึงเต้นรัวเร็วนัก

“ข้ามาจาก...” หญิงสาวผู้ลึกลับเงยหน้าสบตาเขาในระยะประชิด นางพูดค้างเพียงเท่านั้น สองตาก็หรี่ปิดพร้อมกับร่างกายที่อ่อนยวบลงอย่างกะทันหัน

“เฮ้ แม่หญิง อย่าเพิ่งหมดสติสิขอรับ!” เนิร์ฟย่อกายลงประคองร่างบางในวงแขน เขาเอื้อมมือแตะแก้มนางและเขย่าเบาๆ  แต่นางหมดสติไปแล้ว ชายหนุ่มกวาดตามองรอบกาย กลัวว่าหากมีใครมาพบเห็นเขากับนางในสภาพนี้คงไม่ดีแน่

เนิร์ฟโล่งใจได้บ้างเมื่อหาดนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้ยามพลบค่ำ เขาช้อนร่างนางขึ้นและอุ้มนางไปหลบในถ้ำลับซึ่งเป็นสถานที่ที่เขารู้จักเพียงผู้เดียว

ตลอดทางนั้น เขาไม่ทันได้สังเกตว่าหญิงสาวในอ้อมแขนได้เผยอเปลือกตามองเขาและแสยะยิ้มด้วยความพอใจ

II

มิลล์เป็นนางเงือกแรกรุ่น นางเพิ่งได้รับความไว้วางใจจากราชินีเงือกให้ออกมาล่าอาหารเป็นครั้งแรกในชีวิต

อาหารของเงือกคือชายหนุ่มที่หลงรักพวกนางหัวปักหัวปำ

ชาวเงือกมีประเพณีว่าสำหรับการล่าอาหารครั้งแรก เงือกผู้ล่าจะต้องมอบเหยื่อนั้นให้แก่ราชินีเพื่อเป็นของกำนัลในการเลี้ยงดูพวกนาง มิลล์ก็เช่นกัน นางได้รับกำหนดเส้นตายให้พาผู้ชายที่หลงรักนางอย่างโงหัวไม่ขึ้นลงสู่ก้นทะเลให้ได้ภายในระยะเวลาเจ็ดวันนับจากนี้

แม้มิลล์จะเป็นนางเงือกแรกรุ่น แต่นางก็รู้ว่าผิวกายขาวละเอียดราวไข่มุกของนางสามารถหลอมละลายหัวใจของบุรุษเพศได้ไม่ยาก พี่เลี้ยงของนางกล่าวว่ามันจะทำให้งานของนางง่ายขึ้นในการหลอกให้บุรุษเพศหลงรักและลากเขาลงทะเล

มิลล์ตื่นเต้นไม่น้อยกับงานครั้งแรก

และงานแรกของมิลล์คือเขาคนนี้ ชายหนุ่มผู้ไม่น่าจะมีอายุมากกว่านางเสียเท่าไหร่

นางแสร้งเป็นสลบให้เขาโอบอุ้ม มิลล์รอจนเขาวางร่างนางลงบนพื้นหิน ได้ยินเสียงจุดตะเกียง แสงสว่างวอมแวม จึงค่อยปรือตาขึ้น เห็นเขาหน้าแดงและรีบหันหลังให้ทันที

เขากล่าว “รออยู่ที่นี่ก่อนนะแม่หญิง ข้าจะไปหาเสื้อผ้ามาให้”
 
แล้วเขาก็ผลุนผลันออกไป ไม่ฟังเสียงทัดทานของนาง

มิลล์กวาดตามองสภาพรอบกาย เขาพานางมาหลบในถ้ำหินเล็กๆ แห่งหนึ่ง อากาศภายในนี้ไหลเวียนสะดวก แสดงว่าต้องมีทางลมผ่านจากอุโมงค์ที่ลึกเข้าไป เงือกสาวผู้แปลงกายเป็นมนุษย์หยิบตะเกียงไปตั้งไว้ห่างตัว ชาวน้ำไม่ชอบไฟ นางไม่ชอบความร้อน ห้วงคิดของมิลล์หวนกลับไปถึงคำเตือนของพี่เลี้ยงที่กล่าวว่า

“จงระวังเปลวไฟและปลายดาบ มันเป็นสิ่งที่สามารถฆ่าพวกเราได้เมื่ออยู่บนบก”

มิลล์จึงทำตามคำเตือนนั้นอย่างเคร่งครัดและนึกตลกกับคำเตือนข้อที่สองของพี่เลี้ยงที่ว่า

“และจงระวังใจตนเอง อย่าหลงรักผู้ชายที่เจ้าล่อลวง มิฉะนั้นเจ้าจะถูกราชินีลงทัณฑ์หากพบว่าเจ้าไม่ยอมกลับลงน้ำอีก”

มิลล์ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาจะเคยมีเงือกนางไหนหลงรักเหยื่อที่ล่อลวงจนตัดสินใจทิ้งชีวิตชาวน้ำไปใช้ชีวิตบนบกหรือไม่  แต่มิลล์มั่นใจว่านางต้องไม่ใช่เงือกนางนั้นแน่นอน นางไม่มีทางหลงรักมนุษย์ผู้ชมชอบทำลายธรรมชาติและจับชาวน้ำมาเป็นอาหารเด็ดขาด

เงือกสาวจมอยู่ในภวังค์แห่งความเกลียดชังมนุษย์นานเท่าใดไม่ทราบ พลันเสียงสวบสาบก็ดังขึ้นจากปากถ้ำที่ถูกปิดด้วยพุ่มไม้หนาทึบ เขาผู้เป็นเป้าหมายของนางกลับมาแล้ว มาพร้อมกับเสื้อผ้าของสตรีชาวบ้านชุดหนึ่ง

เขารีบเหหน้าไปทางอื่นขณะยื่นเสื้อผ้ามาให้นาง

“ขออภัยที่มาช้า แต่ข้าเร็วที่สุดได้แค่นี้”

“ท่านเอาชุดของผู้ใดมาให้ข้าใส่หรือ?” มิลล์ถาม เจตนาใช้ปลายนิ้วแตะหลังมือเขาเบาๆ เมื่อเอื้อมมือไปรับชุดนั้นมาถือ พี่เลี้ยงของนางสอนว่าผู้ชายมักชอบการสัมผัส มันเป็นหนึ่งในกลเม็ดเผด็จใจที่จะทำให้เขาเอ่ยคำว่า “รัก” ให้นางฟังจากใจจริง

และหากเขาพูดคำนั้นเมื่อใด นางก็สามารถลากเขาลงทะเลได้โดยพลัน

“ชุดเพื่อนข้าเอง  ข้าคิดว่านางกับท่านน่าจะมีขนาดตัวใกล้เคียงกัน ลองดูทีขอรับว่าใส่ได้หรือไม่?” เขาถามทั้งที่ยังหันหน้าไปทางอื่น

มิลล์ขมวดคิ้ว พี่เลี้ยงของนางเคยกล่าวว่าหากนางยั่วยวนเช่นนี้ผู้ชายต้องแทบคลั่งตายแน่ แต่ทำไมเขาถึงชอบหันหน้าไปทางอื่นเล่า?

“ข้านึกว่าท่านเอาของภรรยามาให้ข้าใส่” เงือกสาวลองหยั่งเชิง ยังคงเปลือยกายท้าทายสายตา

“ข้ายังไม่มีภรรยา” เขาตอบ หน้าแดงปลั่งดั่งเป็นสาวน้อย

“ท่านไม่ชอบผู้หญิง?”

“อ้า...” เขายกมือเกาหางคิ้วคล้ายไม่รู้จะตอบรับอย่างไร แต่ทันใดนั้น เขาก็เบิกตาโตและโพล่งว่า “แย่แล้ว! ข้าลืมทำอาหารค่ำ บิดาเล่นงานข้าอ่วมแน่ ในเมื่อท่านไม่เป็นไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนขอรับ หากตอนดึกข้าสามารถแอบออกมาได้ ข้าจะนำอาหารมาให้ท่าน”

เป็นอีกครั้งที่เขาผลุนผลันออกไป ไม่ฟังเสียงทัดทานของนาง

มิลล์เริ่มต้นสวมเสื้อผ้าช้าๆ เพราะไม่คุ้นชินการเปลือยกายในสภาพอากาศของโลกมนุษย์

นางนึกสังหรณ์ใจว่า การล่อลวงมนุษย์ครั้งแรกในชีวิต คงยากกว่าที่คิดเสียแล้ว

III

สองวันต่อมา เนิร์ฟกระซิบกับลูกสาวเจ้าของร้านขายเครื่องหนังในตลาดด้วยใบหน้าที่รอบดวงตาข้างขวามีวงเขียวคล้ำ

“ข้าขอยืมเงินเจ้าหน่อยนะ นาตาชา”

“หน้าเจ้าไปโดนอะไรมาน่ะ?” เด็กสาวผมดำเบิกดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย นางเดินอ้อมแผงคิดเงินออกมาโน้มตัวพินิจบาดแผลเขาในระยะใกล้ชิด “นี่โดนตาเฒ่าเคซ่าร์ทำร้ายอีกแล้วหรือ?”

“สองสามวันแล้วล่ะ เขาโมโหที่ข้ากลับไปทำอาหารค่ำช้า” เนิร์ฟตอบ

“ทำไมเจ้าไม่สู้เขาบ้าง คนอะไรรักลูกไม่เท่ากัน” นาตาชาพูดอย่างโกรธเคือง “ตัวเจ้าก็ใหญ่ ปล่อยไปสักหมัดสองหมัดเขาจะได้รู้สึก ไหนๆ เขาก็ไม่รักเจ้าอยู่แล้วนี่ เจ้าจะสนใจทำไม”

“เจ้าพูดอะไร นาตาชา เขาเป็นบิดาข้านะ จะให้ข้าทำร้ายบิดาตัวเองงั้นหรือ?” เนิร์ฟสั่นศีรษะ “ข้าทำไม่ได้หรอก”

นาตาชาถอนหายใจเฮือกใหญ่และยกมือกอดอก

“เจ้าจะยืมเงินข้าไปทำอะไร ปกติไม่เคยเห็นเจ้ายืมเงินใครนี่นา” นางพูด

“ข้า...จะเอาไป...ซื้อ” เนิร์ฟก้มหน้าตอบตะกุกตะกัก “...เอ้อ...เสื้อผ้า”

“เสื้อผ้า?” นาตาชาทวนคำ แล้วใช้สายตาสำรวจเสื้อผ้าของเขา นางคิดว่าก็สมควรอยู่ที่เขาต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่เสียบ้าง ตาเฒ่าช่างตีดาบนั่นให้เนิร์ฟใส่แต่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ของตัวเองที่เล็กเกินไปสำหรับเขา ส่วนไอ้จอมวายร้ายกุนโต้นั่นน่ะให้มันไปเถอะ เสื้อผ้าเอย เงินเอย เครื่องประดับเอย นางไม่แปลกใจเลยที่กุนโต้จะเสียคนในไม่ช้า

นาตาชาส่งยิ้มให้เนิร์ฟและผงกศีรษะ “ได้สิ ข้าจะไปหยิบมาให้”

เนิร์ฟยืนเคาะนิ้วบนแผงคิดเงินพลางมองเครื่องหนังที่แขวนอยู่ในร้าน รู้สึกไม่สบายใจกับการต้องหยิบยืมใครเอาเสียเลย แต่เขาไม่มีทางเลือก จะให้ขโมยเสื้อผ้าของนาตาชาไปให้แม่นางเมลิซใส่อีกเดี๋ยวก็จะน่าสงสัยเกินไป ลำพังเงินเก็บของเขานั้นไม่พอแน่ เพราะตั้งแต่จำความได้ บิดาไม่เคยให้เงินเขาเลยแม้แต่เหรียญเดียว

นาตาชาผู้เป็นเพื่อนคนเดียวของเขากลับลงมาจากบันไดชั้นสอง นางยื่นถุงเงินสีน้ำตาลใบเล็กมาให้ เนิร์ฟรับมาถือ น้ำหนักของมันทำให้เขาต้องรีบแก้เชือกที่มัดปากถุงออกดูด้านใน เหรียญเงินและเหรียญทองแวววาวสะท้อนดวงตา เขาเงยหน้ามองนาตาชาและบอกนางด้วยความตกใจ

“มันมากเกินไป นาตาชา ข้าต้องการเพียงสามร้อยเปโรเท่านั้น”

เงินมูลค่าสามร้อยเปโรเท่ากับเหรียญเงินหกเหรียญหรือเหรียญทองสามเหรียญ คำนวณด้วยสายตาคร่าวๆ นับเฉพาะแค่เหรียญเงินอย่างเดียวก็เกินความต้องการของเขาหลายสิบเท่าแล้ว

“ซื้อเสื้อผ้าใหม่ทั้งที เจ้าจะซื้อทำไมเพียงสองชุด เลือกตัวที่เจ้าอยากได้ไปเยอะๆ สิ ให้ข้าไปช่วยเลือกด้วยดีไหม?” นาตาชาพูด ความปรารถนาดีที่แอบมีให้เขานั้นมากกว่าความเป็นเพื่อน เธอรู้ดี แม้ไม่รู้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ แต่นาตาชาหวังว่าเขาคงต้องรู้สักวัน

“อย่าเลย” เนิร์ฟรีบตอบทันทีจนนาตาชาผิดสังเกต เขารีบกล่าวเสริม “คือข้าหมายความว่าหากท่านลุงมาธีอุสรู้ว่าเจ้าปิดร้านเพื่อไปช่วยข้าเลือกซื้อเสื้อผ้า ท่านลุงคงเป็นอีกคนที่อยากเล่นงานข้าให้ตายคามือ”

“ไม่หรอกน่า บิดาข้าเข้าใจดี” นาตาชาพูด “หรือไม่อย่างนั้น รอจนบิดาข้ากลับจากในเมืองดีหรือไม่ อีกเพียงไม่นานเขาก็มาถึงแล้ว ตอนนั้นเราค่อยไปพร้อมกันก็ได้”

“ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า” เนิร์ฟพยายามหาทางออก “ถ้ามีคนเห็นเจ้าเดินกับข้า มันคงไม่เหมาะสมนัก”

“แล้วเจ้าจะไปสนใจคนอื่นทำไมเล่า” นาตาชาปลอบใจ ด้วยรู้ว่าเนิร์ฟมักจะอ่อนไหวต่อฐานะของตนเองที่ต่ำต้อย แต่นางก็หมดโอกาสที่จะคุยกับเขาต่อตามลำพังเมื่อเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งดังขึ้น บุรุษและสตรีคู่หนึ่งเปิดประตูร้านก้าวเท้าเข้ามา ทำลายความเป็นส่วนตัวของสองหนุ่มสาวลง

ลักษณะการแต่งกายของผู้มาเยือนบ่งบอกได้ว่าเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล ฝ่ายหญิงเหลือบมองเสื้อผ้าปอนโซของเนิร์ฟอย่างเหยียดๆ ขณะฝ่ายชายเอ่ยกับนาตาชาว่า “ข้าอยากได้รองเท้าหนังมังกรสำหรับออกงานสักคู่ ไม่ทราบว่าร้านนี้มีขายหรือไม่?”

“มีเจ้าค่ะ” นาตาชาตอบ เนิร์ฟส่งยิ้มขอบใจนางสำหรับเงินค่าเสื้อผ้า แล้วพยักพเยิดไปทางประตูเป็นสัญญาณขอตัว นาตาชายิ้มฝืดผงกศีรษะตอบกลับก่อนพาลูกค้าไปเลือกดูรองเท้าหนังที่ต้องการ

เนิร์ฟหมุนตัวยัดถุงเงินใส่ด้านในเสื้อ หัวใจของเขาลอยไปที่ร้านขายเสื้อผ้าสตรีซึ่งอยู่ถัดจากร้านเครื่องหนังของนาตาชาไปสามช่วงถนน เขาผลักประตูเดินออกมาสู่แสงแดดสดใส ป่านนี้แม่นางเมลิซจะคิดถึงเขาเหมือนที่เขาคิดถึงนางหรือไม่?

ต้องคิดถึงสิ นางเป็นคนบอกเราเองนี่นา...

เนิร์ฟเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงท่าทีอันอ่อนช้อยของนางเวลาพูดกับเขา  เรื่องราวที่หญิงสาวลึกลับผู้นั้นเล่าให้เขาฟังทำเขาทึ่งไม่น้อย นางบอกว่าตนเองชื่อเมลิซ เป็นนางเงือกอยู่ในทะเล ขณะนี้กำลังหนีการตามล่าของจ้าวปลาหมึกอสูร เคราะห์ดีที่ไอ้หมึกนั่นไม่สามารถแปลงกายขึ้นมาบนบกเหมือนนาง มันจึงขึ้นมาตามล่านางไม่ได้

แต่ก็เป็นเคราะห์ร้ายของนางเหมือนกันที่เมื่อขึ้นฝั่งมาแล้ว นางไม่รู้จะเริ่มต้นใช้ชีวิตต่อไปที่ตรงไหน เนิร์ฟคิดว่ามันก็คงเหมือนการที่คนๆ หนึ่งหลงทางกลางทะเลนั่นแหล่ะ ถ้าไร้สิ่งยึดเกาะให้ลอยคอรอคอยความหวังต่อไป ก็มีแต่นับถอยหลังสู่การจมน้ำตายเท่านั้น เขาจึงยินดียิ่งที่ได้เป็นที่พึ่งพิงเดียวของนางในเวลานี้

และเคราะห์ร้ายอีกอย่างหนึ่งของนางก็คือ เมลิซไม่สามารถอยู่โดยขาดน้ำทะเลเกินหนึ่งวัน นางต้องได้รับน้ำทะเลมาลูบไล้เรือนกาย ไม่อย่างนั้นแล้วมนต์ที่ร่ายสำหรับการแปลงกายเป็นมนุษย์จะเสื่อมลงและจะทำให้นางกลับกลายเป็นนางเงือกมีหางและครีบดังเดิม ซึ่งนั่นหมายความว่า นางจะใช้ชีวิตบนบกอีกต่อไปไม่ได้

เนิร์ฟขจัดปัญหานั้นโดยการตักน้ำทะเลใส่ถังมาตั้งไว้ในถ้ำ เมลิซขอบใจเขาและบอกว่ายินดีตอบแทนเขาทุกอย่าง เนิร์ฟคิดว่าเขารู้แล้วว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ใช่! เขากำลังรักนางและต้องการแต่งงานกับนาง แต่ชีวิตของเขาตอนนี้ยังไม่มีอะไรพร้อมสำหรับการมีคู่ครองเลยสักอย่าง บางทีเขาอาจจะต้องต่อรองร้องเรียกค่าจ้างจากบิดาและทวงคืนชีวิตที่สุขสบายกลับมาจากกุนโต้เสียบ้าง หากบิดาไม่ยอม เขาก็คงต้องบอกลาสิ่งที่เรียกว่าบ้านและออกมาเป็นลูกจ้างใครสักคนในตลาดเพื่อมีชีวิตเป็นของตนเอง

ไม่น่าเชื่อ นี่เพียงการได้รู้จักเมลิซ นางกลับเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาไปมากมายเพียงนี้เชียวหรือ?

เนิร์ฟเข้าร้านเสื้อผ้าสตรีที่ดีที่สุด เลือกซื้อชุดที่สวยที่สุดสองชุด แม้คิดว่านางคงไม่อยากก้าวเท้าออกจากถ้ำ แต่เขาก็อยากให้นางสวยที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา  

เนิร์ฟกำลังสุขใจ เขาเดินออกจากร้านพร้อมหิ้วถุงใส่เสื้อผ้า จึงไม่เห็นว่าขณะที่ก้าวเท้าออกจากร้าน รถม้าคันหนึ่งได้แล่นผ่านหน้าร้านไปและผู้โดยสารบนรถม้าก็เหลียวมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ

ผู้โดยสารคนนั้นคือมาธีอุส – บิดาของนาตาชา

IV

มิลล์นั่งลูบคลำชุดกระโปรงสุดสวยที่เนิร์ฟนำมาให้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเพิ่งรู้ว่าเหล่ามนุษย์พิถีพิถันกับอาภรณ์มากเพียงใด พวกเขาไม่เหมือนชาวน้ำที่ถือว่าการเปลือยกายคือเรื่องปกติ

มิลล์เริ่มเกิดความรู้สึกอยากสวมใส่มัน อยากออกไปชมแหล่งที่มาของมัน อยากออกไปเที่ยวชมดินแดนที่คงมีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายให้นางได้พบเห็น เงือกสาวร่างมนุษย์เงยหน้ามองเนิร์ฟผู้นั่งจ้องมองมาอย่างกระตือรือร้น

เขาถาม “ท่านชอบหรือไม่?”

“มาก” นางตอบ เผยยิ้มที่ไม่ได้ผ่านการเสแสร้งเพื่อยั่วยวนเขา อันที่จริงนางเลิกยั่วยวนเขาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดวงตาสีฟ้าที่ประดับรอยเขียวคล้ำทำให้นางรู้สึกลำบากใจที่จะล่อลวงเขาต่อ ยังมินับความเอาใจใส่ที่เขามีต่อนาง มิลล์คิดว่าบางทีนางอาจปล่อยเขาไป และใช้เขาเป็นสะพานปีนข้ามไปหาเหยื่อรายอื่น รายที่สมควรแก่การถูกล่อลวงจริงๆ

มนุษย์ก็ไม่ได้เลวร้ายทุกคนอย่างที่พี่เลี้ยงนางบอกสักหน่อย

“ข้าดีใจที่ท่านชอบ” เนิร์ฟหันหน้าไปทางอื่นเมื่อพบว่าตนเองจ้องมองนางชนิดเอาเป็นเอาตายมาได้พักใหญ่แล้ว

“วันพรุ่งนี้ท่านว่างหรือไม่?” มิลล์ถามขณะวางกระโปรงชุดนั้นลงบนตัก

เนิร์ฟหันมาตอบโดยไม่คิด “ว่าง ท่านถามทำไมหรือ?”

“ข้าอยากเที่ยวชมเมือง พาข้าไปได้ไหม?”

“ได้แน่นอน”

“จริงหรือ?”

“อื้อ”

“ข้าดีใจที่ได้พบท่านเป็นคนแรก”

“ข้าก็ดีใจเหมือนกัน” เนิร์ฟตอบก่อนจะลุกขึ้นยืน “ได้เวลาที่ข้าจะกลับไปทำอาหารค่ำแล้ว ข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งเมื่อทุกคนหลับ”

“ขอบใจจ้ะ” มิลล์เปล่งเสียงตอบรับ นางรู้ว่าเขากลับมาที่นี่เพื่อนำอาหารมาให้

เขาช่างซื่อ...เสียจนนางลวงไม่ลงจริงๆ

V

“อะไรนะ!” เคซ่าร์ช่างตีดาบสบถลั่นโต๊ะอาหาร “เจ้าอยากได้ค่าแรงและพรุ่งนี้อยากหยุดพัก!”

“ขอรับ” เนิร์ฟก้มศีรษะรับคำ แต่ยังแอบช้อนสายตามองน้องชายเอนตัวไปซุบซิบอะไรบางอย่างข้างหูบิดา

เคซ่าร์หัวเราะหึๆ ก่อนตอบคำขอของลูกชายคนโต “ฝันไปเถอะ!”

“แต่ข้าต้องใช้เงิน ข้าจำเป็นต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง” เนิร์ฟทราบว่าบิดาต้องไม่ยอมแน่ เขาจึงเตรียมคำพูดโต้ตอบเรียบร้อยแล้วขณะทำอาหารค่ำ “ข้าเป็นลูกชายท่านนะ ท่านพ่อ ข้าไม่ใช่ทาส”

“เจ้าจะเอาเงินกับเวลาไปทำอะไรฮึ?” เคซ่าร์ผู้มีเรือนกายใหญ่โตปานหมียักษ์ทิ้งช้อนลงบนชามสตูดังเคร้ง “เจ้าอยากเป็นคนเนรคุณรึไง?”

กุนโต้ผู้ถอดแบบบิดามาทุกประการทั้งรูปร่างหน้าตาและนิสัยรีบโกยสตูในชามตัวเองเข้าปากอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ด้วยตระหนักว่าหากเนิร์ฟต่อปากต่อคำ – ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ – อาจมีการล้มโต๊ะเกิดขึ้นเหมือนตอนที่แม่มีชีวิตอยู่

“ข้าแค่อยากมีชีวิตของข้าขอรับ” เนิร์ฟตอบเสียงเรียบ “ข้าอยากสร้างรากฐานให้ตนเองสำหรับการแต่งงาน – แต่ขั้นแรกข้าคิดว่าจะหมั้นหมายกันไว้ก่อน”

คำตอบของเนิร์ฟสร้างความประหลาดใจให้เคซ่าร์และกุนโต้

“อะไรนะ!” ช่างตีดาบสบถอีกครั้ง “เจ้าจะหมั้นหมายกับใคร?”

“พนันก็ได้ว่าเป็นนาตาชา” กุนโต้หัวเราะเย้ยหยัน “พิโธ่ คิดรึว่ามาธีอุสจะยกลูกสาวให้เจ้า ตาแก่นั่นหวงลูกสาวยิ่งกว่าไข่ในหิน”

“ถ้าไม่รู้อะไร ข้าว่าเจ้าหุบปากไปดีกว่า กุนโต้!” เนิร์ฟพูดเสียงเข้มปรามน้องชายผู้มีอายุอ่อนกว่าเขาสองปี

“อย่าพูดอย่างนั้นกับน้อง!” เคซ่าร์ลุกพรวดขึ้นยืนและโน้มตัวข้ามโต๊ะมากระชากคอเสื้อลูกชายคนโต “ยิ่งเจ้าทำตัวแบบนี้ ข้ายิ่งไม่มีทางให้ในสิ่งที่เจ้าร้องขอ!!!”

“แต่ถึงข้าทำตัวดีอย่างไร ท่านก็ไม่เคยให้อะไรข้าอยู่แล้ว” เนิร์ฟปัดมือที่กุมคอเสื้อของเขาออกไปอย่างโมโหเช่นกัน “หากท่านไม่ยินยอม ข้าจะไปจากบ้านนี้”

“ไปจากบ้านนี้? ทั้งที่ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบโตน่ะรึ?” เคซ่าร์ปัดหม้อสตูกระเด็นตกโต๊ะแตกกระจาย ก่อนตะเบ็งเสียงชี้หน้าเนิร์ฟ “เจ้ามันคนเนรคุณ!”  

“ข้าไม่เคยเนรคุณ!” เนิร์ฟตอบกลับด้วยเสียงดังพอๆ กัน “ท่านเป็นพ่อของข้า ข้ารักและเคารพท่าน แต่ท่านไม่เคยรักข้าเลย!”

“ก็มีเหตุผลใดที่ข้าต้องรักคนที่ไม่ใช่ลูกข้าด้วยเล่า!”

คำพูดที่สำรอกผ่านความกราดเกรี้ยวเป็นเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงกลางโต๊ะอาหาร ทุกคนตกตะลึง ทั้งเนิร์ฟ ทั้งกุนโต้และแม้แต่ตัวคนพูดเอง

ความเงียบและอึดอัดบังเกิดขึ้นอึดใจใหญ่

“เมื่อกี้พ่อพูดว่าอะไร?” กุนโต้เป็นคนแรกที่เอ่ยถามอย่างงุนงง

“ข้าเปล่า” ช่างตีดาบปฏิเสธ

กุนโต้ยังถามต่อ “แต่ข้าได้ยินพ่อบอกว่าเนิร์ฟไม่ใช่ลูกพ่อ”

“ข้าไม่ได้พูด” เคซ่าร์กลบเกลื่อนด้วยการแสดงความเฉยชาบนสีหน้า

“แต่ข้าก็ได้ยิน” เนิร์ฟโพล่งกลางปล้องหลังสลัดความตกตะลึงหลุดไป “ท่านบอกว่าข้าไม่ใช่ลูกท่าน”

ช่างตีดาบร่างยักษ์ยืนนิ่งคล้ายไม่ได้ยิน

“นี่ใช่มั้ยถึงเป็นเหตุให้ท่านไม่เคยรักข้าเลย” เนิร์ฟพูดอย่างยากลำบาก ก้อนสะอื้นพุ่งขึ้นมาจนลำคอของเขาตีบตัน

“ข้าบอกว่าไม่ได้พูด – ”

“- ขอร้องเถิดพ่อ อย่าโกหกข้าเลย หากข้าต้องไปจากที่นี่จริง ข้าก็อยากทราบว่าเพราะอันใดข้าถึงไม่เคยได้รับความรักจากท่าน” น้ำตาอุ่นและใสไหลลงจากหางตาของเนิร์ฟโดยที่เขาไม่สามารถข่มกลั้น เนิร์ฟจับโต๊ะอาหารแล้วผลักไปด้านข้าง เกิดพื้นที่ว่างตรงที่ๆ เคยจับจองโดยด้วยโต๊ะอาหาร เนิร์ฟคุกเข่าลงสะอื้นไห้ตรงนั้นก่อนคลานเข้าไปเกาะขาบิดาและกระซิบ “บอกความจริงกับข้า ท่านพ่อ ข้าอยากรู้ว่าทำไมท่านถึงไม่รักข้า”

เคซ่าร์ช่างตีดาบพ่นลมทางจมูกอย่างรำคาญ เขาสะบัดขาเหวี่ยงร่างเนิร์ฟออกไป แล้วจึงกล่าว

“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าอยากรู้ หวังว่านีล่าคงไม่โทษข้า อ้อ และเมื่อรู้ความจริงแล้ว อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน!”

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 55 12:41:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com