Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
BANGKOK OF THE DEAD (มหานครแห่งความตาย) ตอนที่ 1 ติดต่อทีมงาน

BANGKOK OF THE DEAD
มหานครแห่งความตาย
ตอนที่ 1 พ่อม่ายลูกติด
นี่ก็กว่าสามสิบชั่วโมงมาแล้วที่ผมนั่งมองลูกสาววัยห้าขวบ แทะแขนแม่ของแกเหมือนมันเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของชีวิต มีอยู่หลายครั้งที่ลูกสาวพยายามวิ่งแยกเขี้ยว หวังจะงับคอผม แต่ผมมัดลำตัวแกไว้กับผ้าห่มเสียก่อน ดังนั้นสิ่งเดียวที่ยัยหนูพอจะเขมือบได้ก็คือซากศพของแม่แกเอง ถ้ามีใครสักคนถามผมว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไหม แน่นอนผมเสียใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว ผมไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้น สิ่งสุดท้ายที่จำได้ก็คือตอนที่ลั่นไกปืนเข้าแสกหน้าภรรยาตัวเอง เมื่อเห็นเธอแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างออกไปจากความเป็นมนุษย์

ตลอดสามสิบชั่วโมงที่ผมนั่งสำนึกผิดอยู่ในบ้าน และเฝ้ามองร่างลูกสาวตัวน้อยที่ค่อย ๆ แปลเปลี่ยนไปทีละนิด จนแทบไม่เหลือความเป็นคน ผมได้ยินเสียงเอ็ดตะโรดังอยู่โดยรอบ แต่ขอโทษเถอะ เสียงเหล่านั้นเทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกผิดที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้  หากในตอนนี้มีใครสักคนกล่าวหาผมว่าเป็นไอ้ฆาตกร ไอ้คน:-)ต่ำช้า ผมก็ยอม และยินดีที่จะให้ตำรวจสน.ไหนก็ได้มาลากตัวผมเข้าซังเตไปซะ อันที่จริงถ้าจะพูดให้ถูก หลังจากเกิดเหตุ ผมก็โทรแจ้งตำรวจให้มาจับกุมตัวผมไป แต่นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นตำรวจหน้าไหนมาจับผมสักที

ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า มันคงเป็นเรื่องเลวร้ายชนิดคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน  มันอาจจะเป็นวันหายนะของโลกก็ได้ ผมได้ยินทั้งเสียงปืน เสียงกู่ร้อง เสียงกรีดสนั่น เสียงหวอรถพยาบาล และอีกหลาย ๆ เสียงที่ไม่สามารถสนับได้แน่ชัดว่ามันเป็นเสียงขุมนรกขุมไหน มันเหมือนเสียงร้องโหยหวนที่ดังลึกอยู่ใต้เปลือกโลก สงสัยข้างนอกนั่นคงใกล้จะเป็นมหาอเวจีนรกเข้าไปทุกที

เรื่องบ้าบอทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร!

แน่นอนคำถามนี้ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้เล่าละก็ มันคงเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกือบสามสิบชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมมีชื่อว่าถานิตย์ ถ้ามองเผิน ๆ ผมก็คงเหมือนชายวัยสามสิบห้าทั่วไปที่ไม่มีอะไรแตกต่าง ชีวิตผมราบเรียบจำเจ แต่ผมก็ไม่เคยเบื่อมัน เพราะตั่งแต่ที่ภรรยาได้ให้กำเนิดลูกสาว แกก็เหมือนนางฟ้าตัวน้อย ๆ ที่ผมจะอุทิศทั้งชีวิตเพื่อแกเท่านั้น ชีวิตผมเริ่มมีความหมายขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น วันที่ได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นพ่อคน

ผมมีอาชีพเป็นนักตกแต่งภายใน แต่เดี๋ยวนี้อาชีพของผมกำลังถูกปิดกั้น จากพวกวิศวะหรือพวกออกแบบสิ่งก่อสร้าง ผมต้องคอยเป็นตัวรองบ่อนเจ้าพวกนี้อยู่เสมอ คงไม่ต้องพูดถึงว่างานของผมเริ่มน้อยลงแค่ไหน กับประเทศที่มีประชากรเพียงหยิบมือที่สนใจงานอาร์ตอย่างเรื่องตกแต่งภายใน ผู้คนในประเทศมักให้ความสนใจกับการตกแต่งภายนอกเสียมากกว่า แต่ใครจะรู้บ้างว่า ต่อให้คุณตกแต่งภายนอกเสียเลิศหรูอลังการขนาดไหน แต่ถ้าภายในห่วยแตกละก็ มันจะกลบภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดีเสียหมดสิ้น กลับกัน ถ้าภายในดูสวยงามเลิศหรูมีระดับ ส่วนภายนอกแสนจะธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น มันก็จะไร้ซึ่งข้อครหาใด ๆ

ตอนนี้ผมยังไม่มีบริษัทเป็นของตัวเอง แต่สักวันหนึ่งผมจะมีมันให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดหลังจากที่ภรรยาแสนสวยได้ให้กำเนิดลูกคนแรก ทว่าความหวังทั้งหมดนั้นได้มลายหายไปเสียแล้ว
ตั้งแต่จบการศึกษาออกมา ผมย้ายที่ทำงานบ่อยมาก อาจเป็นเพราะผมมีขีดจำกัดเรื่องความอดทน แต่ห้าปีที่ผ่านมาหลังจากที่ผมมีลูกสาว ผมก็เริ่มรู้สึกได้ว่า ความอดทนผมมีมากขึ้น ไม่ได้รู้สึกคุ่นเคืองอีกต่อไปเมื่อโดนว้ากจากหัวหน้างาน ไม่ได้ใส่ใจเสียงนกเสียงกาของพวกเพื่อนร่วมงาน ที่จ้องแต่จะคอยเหยียบย่ำถ้าเผลอทำงานผิดพลาด เพราะในใจมีแต่ลูกสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น เสียงอื่นนอกจากนั้นจึงมีอิทธิพลต่อผมน้อยมาก

วันนั้นผมกลับบ้านหลังเลิกงานอย่างเช่นเคย บ้านผมเป็นทาวน์เฮาส์สองชั้นครึ่งไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็พออยู่กันได้ ในระหว่างที่ขับรถออกมาก็นึกเพียงว่าเย็นวันนี้จะเล่นอะไรกับลูกดี มันบอกไม่ถูกหรอกนะ ถ้าจะให้บรรยายถึงความสุขของการเป็นพ่อคน ทุกครั้งที่ลูกสาวหัวเราะ ยิ้มหวาน ส่งสายตาน่ารัก น่าเอ็นดูมาให้ มันเหมือนทำให้หัวใจของผมกลับไปกระชุ่มกระชวยอีกครั้ง เหมือนเด็กมัธยมต้นที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม

หลังจากจอดรถ ตรงบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งจริง ๆ แล้วผมมักจะใช้เป็นที่จอดรถอยู่เสมอ อันที่จริงก็อยากจะมีโรงจอดรถเหมือนกัน แต่นั่นคงเป็นแค่เพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่ยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก ผมเปิดประตูเข้าบ้านก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นภรรยาก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงบริเวณข้อเท้าขวาของยัยหนู ส่วนยัยหนูก็ทำหน้าเบ้ส่งเสียงสะอื้นเบา ๆ ออกมา แต่เมื่อเห็นผมก้าวขาเข้าประตูเท่านั้น แกก็เริ่มร้องไห้หนักขึ้น เหมือนจงใจให้ผมใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับแก

“เกิดอะไรขึ้นเหรอที่รัก” ผมเลิกคิ้วถาม

ภรรยาผมไม่ตอบในทันที เธอยังคงก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างที่ข้อเท้าของยัยหนูเช่นเดิม ต่อเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ขึ้น จึงเห็นว่าเธอเอาสำลีซับเลือดบริเวณนั้น ซึ่งดูจากปาดแผลแล้วคล้ายโดนสัตว์บางชนิดกัดเข้า

“ลูกบอกว่าไปโดนหมากัดมา”
“หมาที่ไหนกันคุณ บ้านเราก็ไม่ได้เลี้ยงหมาสักหน่อย!” ผมถามหน้าตื่นเร่งเร้าที่จะฟังคำตอบจากภรรยา
“ก็แกไปเล่นกับพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านนะสิ”
“ก็แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ลูกออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกคนเดียว คุณก็รู้นี่...ว่าลูกเรายังเล็กเกินกว่าที่จะให้ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง”

“นี่คุณ! ฉันต้องทำครัวนะ และอีกอย่างฉันก็ล็อคประตูหน้าบ้านเอาไว้แล้วด้วย และคิดว่ายัยหนูคงเอื้อมมือไปเปิดไม่ถึง สงสัยเด็กโตข้างบ้านแน่ ๆ ที่เป็นคนเปิดประตูให้แก” แฟนผมอธิบายเสียงเข้ม
จากนั้นยัยหนูก็เริ่มร้องหนักขึ้น เมื่อเห็นผมกับแฟนมีปากเสียงกันเล็กน้อย ใจหนึ่งก็คงกลัวว่าจะถูกตำหนิเรื่องที่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกคนเดียว

“ไม่ต้องร้อง! แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปเที่ยวเล่นที่ไหนคนเดียว ทำไมถึงไม่ฟัง” แฟนผมตวาดลั่น
บอกตามตรงเวลาเห็นแฟนตัวเองจริงจังขึ้นมา บางครั้งก็ทำเอาขนลุกเกลียวเลยทีเดียว ลูกเองก็คงรู้สึกเช่นนั้นไม่ต่างกัน

“ไม่เอานา...คุณ ยัยหนูแกคงรู้ตัวแล้วล่ะว่าทำผิด อย่าไปเอ็ดแกเลย ไปลูกเดี๋ยวพ่อทำแผลให้นะ”

ผมชิงอุ้มลูกออกจากตรงนั้น เพราะรู้ดีว่าอีกไม่นาน แฟนผมคงต้องตีแกซ้ำสองแน่ ๆ เชื่อเถอะไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากลงไม่ลงมือกับลูกหรอก เพราะเมื่อไหร่ที่ทำเช่นนั้น ตัวเองก็จะยิ่งรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า ผมอยากฆ่าไอ้หมาบ้านั่นจริง ๆ ถ้ารู้ว่าเป็นหมาตัวไหนนะ พ่อจะวางยาเบื่อซะให้ตายคาจานข้าวเสียเลย ผมนึกสบถ

ในระหว่างที่กำลังทำแผลให้ลูกสาว และนึกสบถสาปส่งไอ้หมาอัปรีย์ที่งับขาลูก ผมรู้สึกได้ว่ายัยหนูแกเริ่มมีอาการแปลก ๆ ไป แกซึม ๆ เหมือนคนอดนอนมาเป็นอาทิตย์ แต่ผมกลับไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่าแกคงไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กจนเหนื่อย และคงจะเพลียมากจากบาดแผลที่ได้รับ

วันนี้ผมส่งลูกสาวเข้านอนแต่หัววันเพราะคิดว่าแกคงจะเพลีย และเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ แกหลับทันทีหลังจากที่ผมเริ่มเล่านิทานเงือกน้อยผจญภัยไปได้ไม่ถึงครึ่งเล่มด้วยซ้ำ อันที่จริงยัยหนูแกฟังเรื่องนี้มาเป็นร้อยรอบแล้วละ แต่ถึงกระนั้นแกก็ไม่เคยเบื่อที่จะฟังมัน คงเพราะภาพหลากสีที่ชวนมองในนั้น

หลังจากที่ส่งลูกเข้านอนอย่างเช่นทุกวัน ผมก็มักจะมานั่งคลุกอยู่ในห้องทำงาน พยายามคิดหาไอเดียใหม่ ๆในการออกแบบ เพื่อนำเสนอกับทีมงาน แต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบรับที่ดีนัก เพื่อนร่วมงานของผมมักหาข้อติติงอยู่เสมอ ไม่ว่าผมจะพยายามออกแบบให้ได้ดีขนาดไหน สุดท้ายแล้ว มันก็ยังไม่ดีพอในสายตาของใครต่อใคร คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ก็เริ่มจะตกรุ่นเต็มที บ่อยครั้งที่จอแสดงผลมันกระพริบเป็นเส้น ๆ จนเกรงว่ามันอาจจะระเบิดออกมาโดนหน้า

ผมชำเลืองมองนาฬิกาหน้าโต๊ะทำงาน มันบอกเวลาใกล้จะเที่ยงเต็มที คงเป็นเวลาที่ผมสมควรจะเข้านอนได้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้น เช้าวันใหม่อาจจะไม่ใช่วันที่ดีสำหรับผม มันปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่าอาการง่วงนอนมันบ่อนทำลายกิจวัตรประจำวันมากน้อยแค่ไหน ยิ่งงานที่ต้องใช้ความคิดด้วยแล้ว ถ้าหากต้องอดนอนละก็ มันก็ไม่ต่างอะไรกับวันหายนะดี ๆ นี่เอง

เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ผมมักจะคาดการล่วงหน้าอะไรต่อมิอะไร เอาไว้เล่น ๆ เสมอจนติดเป็นนิสัย ผมคิดว่าป่านนี้ภรรยาผมคงยังไม่หลับ และคงกำลังนอนอ่านหนังสือบนเตียงเช่นเคย จะมีใครเชื่อไหมว่าภรรยาของผมอ่านหนังสือเล่มเดียวมาตลอดสามปีนี้ เธออ่านแล้ว อ่านอีก เหมือนมันเป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวบนโลก หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘ความรักของนักท่องเวลา เขียนโดย ออเดรย์ นิฟเฟเนกเกอร์’ เชื่อเถอะ ผมเคยพยายามถามเธอหลายครั้งแล้วว่า เพราะอะไรถึงชอบงานแปลเล่มนี้ คำตอบที่ได้รับก็คือ มันซึ้งดี หลายครั้งที่เธอพยายามเล่าถึงความลึกซึ้งของงานเขียนชิ้นนี้ให้ผมฟัง แต่ขอโทษที สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันไร้สาระสิ้นดี แต่อย่างว่า ถ้านิยายจะต้องมามีสาระแล้วละก็ มันจะต่างอะไรกับหนังสือวิชาการจริงไหม เรื่องมันก็ประมาณว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง สามารถท่องกาลเวลาไปไหน มาไหนได้ ระหว่างอดีตและอนาคต ในระหว่างที่ท่องเวลานั้นเขาจะไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลยสักชิ้น ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้อ่านก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวแล้วละ มันแอบคิดไม่ได้ว่าภรรยาผมคงติดใจตรงที่คนเขียนพยายามบรรยายถึงตัวเอกของเรื่อง ที่แก้ผ้าท่องกาลเวลาเสียมากกว่า

“เมื่อไหร่...คุณจะเลิกอ่านหนังสือโรคจิตนั่นซะที” ผมแหย่เธอเล่น ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดระดับอก อันที่จริงผมแอบหึงหนังสือเล่มนั้นอยู่กลาย ๆ ที่เธอให้ความสนใจมันมากกว่าผม

เธอหันมาค้อนหน้าเขียว เหมือนผมไปสบประมาทดาราคนโปรดของเธอเข้า “ให้มันน้อยหน่อยเถอะ คุณยังไม่เคยอ่านมันสักหน่อย”

“โอ๊ย...แค่ที่คุณเล่ามา ผมก็รู้แล้วละ ว่าคนเขียนจิตไม่ปกติ มีอย่างที่ไหนให้ตัวเอกของเรื่องท่องเวลาไปนู่นมานี่ เที่ยวโชว์พวงสวรรค์ไปตามท้องถนน เหอะ...เหอะ”
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกยะ” เธอแหวใส่ ผมเองก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่แกล้งให้เธอประสาทเสียเล่นก่อนนอน คงจะทำให้ผมนอนหลับง่ายขึ้น

“พระเอกน่ะ ในระหว่างที่กำลังท่องกาลเวลาจะไม่สามารถพกวัตถุใด ๆ ติดตัวไปได้เลย” เธอเริ่มอธิบายเสียงเข้ม
“ยกเว้นพวงสวรรค์ ฮะ...ฮะ”ผมรีบขัดลำ ก่อนจะยกผ้าห่มคลุมโปงทำเหมือนไม่อยากฟังสิ่งที่เธอกำลังจะเล่าต่อ
“ไอ้นั่นนะ มันไม่ใช่วัตถุสักหน่อย” ผมทำแกล้งไม่ได้ยินที่เธอพูด “งั้นก็ช่างเถอะยะ อยากจะคิดอย่างนั้นก็เชิญ” เธอค้อนควับ หันไปให้ความสนใจกับหนังสือเล่มโปรดต่อ

ผมกำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วเชียว เสียง ๆ หนึ่งก็เหมือนจะดังรอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ภรรยาผมชันตัวลุกขึ้น ก่อนที่ผมจะทันได้ปรือตาด้วยซ้ำ

แน่นอนเสียงที่ได้ยินนั้น ไม่ว่าเป็นใครก็คงรู้สึกได้ว่า มันเป็นเสียงเล็กแหลม เหมือนเสียงกรีดร้อง ภรรยาผมลุกขึ้นจากเตียงตรงปรี่ไปยังริมขอบหน้าต่าง ชำเลืองมองออกไป ผมรู้ว่าเธอกำลังให้ความสนใจกับบางสิ่งข้างนอกนั่น และผมเองก็อยากรู้เช่นกันว่าต้นกำเนิดเสียงมันมาจากไหนกันแน่

“เสียงอะไรเหรอคุณ” ผมตั้งคำถามตาปรือ
ภรรยาผมไม่ตอบในทันที เธอเหมือนพยายามทำสมาธิเพื่อสนับเสียงนั่นอีกครั้ง
“คุณมานี่เร็ว!” จากนั้นเธอก็ร้องเรียกผม กวักไม้กวักมือเป็นการใหญ่ แต่สายตายังคงจับจ้องบางสิ่งข้างนอกนั่น
“หือ...อะไรงั้นเหรอ” ผมใช้หลังมือขยี้ตา มองตามสายตาของภรรยาออกไป

แต่แล้วผมก็แทบตกใจจนแทบจะผงะ เมื่อเห็นตาชม ชายแก่วัยเก้าสิบตรงข้ามบ้าน ที่มักจะถือไม้เท้า มีคนคอยประคองยามไปไหน มาไหน อยู่เสมอ กำลังวิ่งไล่กวดลูกสะใภ้ตัวเอง เหมือนนักวิ่งกรีฑาทีมชาติไม่มีผิด ผมขยี้ตาอีกครั้ง เพราะเกรงว่าตนเองจะตาฝาดไปก็ได้ ผมสาบานได้ว่าในชั่ววินาทีนั้น เกิดคิดอุบาทว์ไปว่า ตาชมแกเกิดตัณหากลับ และพยายามจะไล่ปล้ำลูกสะใภ้

แต่เมื่อมองอีกทีมันก็ไม่ผิดจริง ๆ ลูกสะใภ้ที่คอยปรนนิบัติดูแลแกมาโดยตลอด กำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ปากก็กรี๊ดลั่นไปทั่ว เหมือนคนกำลังถูกไล่ฆ่า หล่อนวิ่งอ้อมไปอ้อมมา ตรงพุ่มไม้บ้าง หลังต้นไม้ใหญ่บ้าง และยังคงแหกปากไปเรื่อย เชื่อไหมละ ในเวลานี้ ผมกำลังนึกถึงหนังอินเดียบางเรื่องที่มีพระเอกกับนางเอก กำลังไล่จีบกัน วิ่งอ้อมไปอ้อมมาตามต้นไม้ ปากก็ร้องเพลงเสียงใสไปด้วย นึกแล้วก็ขำดี เพราะไม่รู้ว่าคิดเรื่องแบบนี้เข้าไปได้ยังไงในสถานการณ์เช่นนี้

ในระหว่างนั้น บ้านที่อยู่ติดกันกับบ้านของตาชม ก็คงสังเกตเห็นแล้วว่าเกิดสิ่งผิดปกติบางอย่างขึ้น กับเพื่อนบ้าน ชายเจ้าของบ้านเปิดไฟสว่างโล่ง เดินออกมาก้ม ๆ เงยอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปหา คงหวังว่าตนจะช่วยเหลืออะไรเพื่อนบ้านที่เกิดเหตุได้บ้าง ฝ่ายลูกสะใภ้รีบวิ่งเข้าหาชายเพื่อนบ้าน หวังจะขอความช่วยเหลือ หล่อนวิ่งไปแอบหลังชายคนนั้น เอามือทาบหน้าอกด้วยความเหนื่อยหอบ

ชายเพื่อนบ้านยกมือปรามตาชมเอาไว้ เหมือนพยายามจะหยุดอะไรก็ตามในสิ่งที่ตาแก่กำลังจะทำ แต่แล้วผมก็แทบจะปล่อยหัวเราะก๊ากออกมา เมื่อเห็นตาชมกระโดดตะคลุบชายเพื่อนบ้าน และพยายามจะเล้าโลมตรงซอกคอ เหมือนเด็กหนุ่มกลัดมัน ที่ได้ร่วมรักกับแฟนสาวครั้งแรก ในระหว่างที่ชายคนนั้นล้มลง และพยายามปัดป้องตนเองสุดชีวิตจากการคุกคามของตาชม จนในที่สุดผมก็ได้รู้แล้วว่า สิ่งที่กำลังคิดอยู่นั้นมันผิดทั้งหมด เมื่อเห็นตาแก่ใช้ปากงับแขนชายเพื่อนบ้าน หลังจากที่ไม่สามารถจุมพิตซอกคอได้สำเร็จ ถึงจะอยู่ห่างกันมาก อีกทั้งแสงสว่างก็มีน้อยเต็มที แต่เชื่อเถอะ ว่าผมได้เห็นเส้นเอ็นของชายคนนั้นตามติดปากของตาชมออกมา มันเหมือนแกกำลังกัดกินชิ้นไก่สด ๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการทำให้สุก

“กรี๊ด!”

ภรรยาผมหวีดร้องสุดเสียง มันดังพอ ๆ กับเสียงกรีดร้องของสะใภ้ตาชม ที่ตอนนี้หล่อนไม่สามารถหาที่พึ่งพิงที่ไหนได้อีก เพราะตัวช่วยอีกคน ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองจากการขย้ำของตาแก่ตรงหน้าได้เช่นกัน

“คุณ ๆ” ผมเขย่าร่างภรรยาเบา ๆ เพื่อปลุกเธอจากอาการช็อค
เธอหันมองผมตาโต ปากอ้าค้าง ก่อนจะพ่นเสียงเนือย ๆ ออกมา “ลูก...ลูก”

แน่นอนผมกับภรรยารีบผละความสนใจจากเหตุการณ์ริมขอบหน้าต่างทันที เพราะสิ่งที่กำลังเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้คือลูก

ผมวิ่งไปถึงห้องนอนของลูกสาวก่อนภรรยา แต่แล้วก็หายใจได้โล่งปอดขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกยังคงหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง เหมือนตอนที่ส่งแกเข้านอน

ภรรยาที่วิ่งตามหลังผมมา ก็ดูโล่งใจเช่นกัน แต่แล้วเธอก็หันมาถามเสียงแหลมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
“คุณคะ...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ผมเม้นปาก พยายามใช้ความคิดเท่าที่มี ก่อนจะตอบออกไป “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ดูเหมือนภรรยาจะผิดหวังกับคำตอบพอสมควร จากนั้นเธอจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาลูกที่นอนอยู่บนเตียง ส่วนผมเดินตรงไปยังริมขอบหน้าต่างห้องนอนของลูก เลิกผ้าม่านขึ้น พอให้สายตามองรอดออกไปได้ ตอนนี้แสงไฟจากหลาย ๆ บ้านที่อยู่ติดกันเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ไล่ไปทีละหลัง คงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตะกี้ ทำให้หลาย ๆ คนรู้แล้วว่าเกิดเรื่องไม่ปกติขึ้นในหมู่บ้าน

ผมหันหน้าไปยังทิศที่เกิดเหตุเมื่อสักครู่ แต่กลับไม่เห็นร่างของตาชมอีกแล้ว เห็นแต่เพียงชายเพื่อนบ้านที่นอนชักดิ้น ชักงอ อยู่บนทางเท้าอย่างทุรนทุราย เชื่อเถอะ...ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นแบบเดียวกับผม ก็ต้องรู้แน่ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป มีบางอย่างข้างนอกนั่นที่มากกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

“คุณคะ ทำไมยัยหนูตัวเย็นเฉียบแบบนี้ละ” ภรรยาผม ที่เพิ่งเข้าไปดูลูก ร้องบอกหน้าตื่น พยายามใช้มือสัมผัสร่างกายของลูกไปเรื่อย

ผมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปบ้าง ทำอย่างเดียวกับภรรยา ไม่ผิดจริง ๆ ร่างกายของลูกสาวผมเย็นเฉียบเหมือนก้อนน้ำแข็ง ไม่ต้องจบแพทย์ผมก็สามารถบอกได้ว่าแกไม่สบาย
“ต้องพาลูกไปโรงพยาบาล!” ผมบอกหน้าตื่น

ว่าแล้วผมก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้งควานหากุญแจรถยนต์ ซึ่งบ่อยครั้งที่มักวางมันไม่เเป็นที่เป็นทาง จนติดเป็นนิสัย เลยพาลอารมณ์เสียออกบ่อย เวลาหามันไม่เจอ เมื่อได้พวงกุญแจ ก่อนจะออกจากห้อง ผมลอบมองไปยังหน้าต่างอีกครั้ง เหตุการณ์ข้างนอกแตกต่างจากทีแรกอยู่มาก จากเดิมที่เห็นตาชมวิ่งเป็นหมาบ้าเพียงลำพัง กลับกลายเป็นว่า ชายเพื่อนบ้านอีกคนที่เคยนอนชักดิ้นอยู่ตรงทางเท้า เป็นฝ่ายวิ่งพล่านบ้าง ผมไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นในตอนนี้ เพราะชายเพื่อนบ้านวิ่งเข้าใส่ ใครก็ตามที่เขาเห็นเป็นคนแรก แน่นอนว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไปแล้ว
ผมตัดสินใจตรงไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบปืนลูกโม่แอสตร้าซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่พ่อเหลือเอาไว้ให้เหน็บหลังสะเอว แล้วจึงรีบวิ่งออกจากห้องไป ผมไม่รู้หรอกว่าจะใช้ปืนนี่ทำบ้าอะไร แต่ถึงยังไงมันก็ต้องพกติดตัวเอาไว้ เพื่อป้องกันอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัวผม

หลังจากวิ่งกลับไปยังห้องลูกสาวอีกครั้ง เพื่อหวังว่าจะพาลูกตัวน้อยที่ป่วยไปโรงพยาบาล กลับพบว่าห้องลูกที่ผมเพิ่งผละจากมาเมื่อสักครู่ ถูกล็อคสนิทจากด้านใน ผมจับลูกบิดเขย่าสุดแรง ทว่ามันไม่ได้ผล มีเหตุผลอะไรถึงต้องล็อคประตูบ้านี่ด้วย

“คุณล็อคประตูทำไม คุณ!” ผมตะโกนลั่นสุดเสียงอย่างรู้สึกอารมณ์เสีย เพราะคิดว่าเมียคงสติแตกไปแล้วที่ทำอะไรแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าลูกไม่สบายยังจะมาทำอะไรงี่เง่าแบบนี้อีก

ว่าแล้วก็ออกแรงทุบประตูสุดแรง เพื่อหวังว่าจะมีใครสักคนหลังบานประตูนั่นเป็นคนเปิดมัน “คุณเปิดประตูเร็ว ๆ เข้า ทำบ้าอะไรแบบนี้ เราต้องรีบพาลูกไปโรงพยาบาลนะ คุณ...โธ่เว้ย!”

ผมจะไม่รอให้ใครมาเปิดประตูให้อีกแล้ว ว่าแล้วก็ออกแรงกระแทกประตูสุดแรง แน่นอนว่ามันไร้ประโยชน์ ถ้าจะโทษใครสักคนหนึ่ง มันก็ต้องเป็นผม ที่ดันเป็นคนตกแต่งภายในบ้านหลังนี้เสียเอง ดังนั้นไม่ว่าอะไรเล็กน้อยแค่ไหน ก็ต้องเป็นวัสดุชั้นหนึ่ง แม้แต่บานประตูงี่เง่าบานนี้ก็ตาม ผมวิ่งลงมาชั้นล่างของบ้านหวังจะเจอแชลงเหล็กสักอัน ดีหน่อยที่ผมหามันได้ไม่ยากนัก แต่มันก็ไม่แปลกอะไร เพราะอุปกรณ์พวกนี้ผมแทบไม่ได้จับต้องมันเลย ดังนั้นร้อยวันพันปี มันก็ยังคงอยู่ในที่ของมัน

ผมตัดสินใจจับแชลงเหล็กกระทุ้งเข้าขอบประตู ก่อนจะออกแรงงัดอีกครั้ง ใช่! มันได้ผล ไม่ว่าจะเป็นประตูที่ทนทานแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็สู้เหล็กหนาอย่างแชลงไม่ได้ บานประตูค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ ภาพที่เห็นทำให้ผมโล่งใจขึ้น เมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อย กำลังเล่นบ้านตุ๊กตาของแก เหมือนคืนนี้เป็นคืนปกติธรรมดา ผมแทบอยากจะจับยัยหนูมาเฆี่ยนแรง ๆ สักหนึ่งที โทษฐานที่ไม่ยอมเดินมาเปิดประตูให้ผม ปล่อยให้ตกใจจนต้องพังประตูเข้ามา
ทว่าเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องอย่างรู้สึกงง ๆ ที่ไม่เห็นภรรยาอยู่กับลูก
“อ้าว..แล้วแม่ละจ๊ะลูก?”
ยัยหนูไม่ตอบ แกยังคงหันหลังให้และเล่นบ้านตุ๊กตาต่อไปตามเดิม บอกตรง ๆ ผมชักอารมณ์เสียขึ้นมาอีกแล้ว “นี่ลูก พ่อถามว่าแม่ละ” จบประโยคก็นั่งคุกเข่าลง พลางเอื้อมมือไปจับหัวไหล่ลูกสาว เพื่อหวังให้แกหันมาตอบ ให้มันเป็นการเป็นงานมากกว่านี้ และคิดจะบอกให้เลิกเล่นไอ้บ้านตุ๊กตานั่นได้แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอะไรแบบนี้
แต่แล้วเมื่อลูกหันมา มันทำให้ผมแทบจะหงายหลัง ใบหน้าแกขาวซีดไม่ต่างอะไรกับซากศพ เป้าตาลึกโบ๋ คราบเลือดเต็มวงปาก เหมือนเพิ่งไปกัดชิ้นเนื้อมา ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่กับภาพที่เห็น นี่ผมกำลังฝันไปใช่ไหม ถ้ามันใช่ความฝันละก็ ผมควรจะตื่นได้แล้ว แต่แล้วลูกสาวก็พุ่งทะยานเข้าหาผม แยกเขี้ยวยิงฟัน พยายามกัดอะไรก็ตามที่ปากแกสามารถงับถึง ผมดึงลูกออกห่างจากตัว ปัดป้องด้วยท่าทีนุ่มนวลที่สุด เพราะกลัวว่าอาจจะทำให้ลูกเจ็บ
“ลูก ๆ เป็นอะไรไป” มันไม่ได้ผล เสียงร้องห้ามของผมไม่มีความหมายกับแก แกเหมือนสัตว์ร้ายที่มองผมเป็นอาหารมื้อค่ำ แต่ถึงอย่างไรแกก็ยังเป็นเด็ก ผมมัดร่างแกไว้ได้ แต่ถึงกระนั้นแกก็ยังคงเหวี่ยงไปมาเพื่อหวังจะงับอะไรก็ตามที่ปากจะไปชนเข้า

ผมใช้ผ้าห่มผืนบางมัดร่างแกเอาไว้ จับปลายผ้าอีกด้านโยงเข้ากับขาเตียง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาว แต่เชื่อเถอะตอนนี้ ผมคิดว่าแกคงติดโรคพิษสุนัขบ้า หรืออะไรสักอย่างจากหมาที่งับเข้าเมื่อช่วงเย็น ไม่รู้สิ! ตอนนี้ผมสับสนไปหมด หัวผมตื้อคิดอะไรไม่ออก นี่ผมทำแบบนี้กับลูกสาวได้ยังไง ลูกสาวที่น่ารักของผม ใช่! ผมกำลังฝันอยู่ เพราะถ้านี่เป็นความจริง ผมคงไม่มีวันทำอะไรแบบนี้กับลูกสาวแน่ ๆ

แล้วภรรยาของผมเธอหายไปไหน ว่าแล้วก็หมุนร่างไปรอบตัว ซึ่งมันเป็นวิธีโง่ ๆ วิธีสุดท้ายที่ทำได้

เสียงน้ำ!

ผมได้ยินเสียงน้ำดังมาจากห้องน้ำของลูกสาว หรือภรรยาผมจะอยู่ในนั้น เธอไปทำอะไรในห้องน้ำ ผมผลักบานประตูเข้าไป เพื่อทำเรื่องบ้า ๆ นี่ต่อให้จบ ไม่แน่ว่าเมื่อเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปแล้ว ผมอาจสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเตียงก็ได้ หรือไม่ภรรยาในโลกแห่งความจริงอาจจะกำลังปลุกผมให้ไปทำงาน ในเช้าของวันใหม่ แต่ภาพที่ผมเห็นตรงหน้ามันทำให้ผมแทบอยากตวาดใส่หน้าภรรยาออกไปดัง ๆ นี่เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ เวลาแบบนี้ยังจะมีแก่ใจมาอาบน้ำ อาบท่า สบายใจอยู่ได้ยังไง ผมมองเห็นเรือนร่างของเธอหลังผ้าม่านโปร่งใสนั่น เธอใช้มือเรียวเล็กถูไปตามเรือนร่างเหมือนกำลังถ่ายโฆษณาแชมพูไม่มีผิด ท่าทีของเธอดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนเหมือนก่อนหน้านี้

ผมปัดผ้าม่านออกไป หวังจะขึ้นเสียงใส่หน้าภรรยา ถึงแม้ตอนนี้เธอจะอยู่ในโลกส่วนตัวก็ตาม

“เวลาแบบนี้คุณยังจะ!” ไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ เมื่อเธอหันหน้ามาเผชิญกับผม ในที่สุด ผมก็ได้รู้แล้วว่าโลกใบนี้มันกำลังจะวิปริตผิดเพี้ยนแค่ไหน ใบหน้าของภรรยา ทางซีกซ้ายเหวอะหวะจนถึงใบหู มองเห็นซี่ไรฟันที่เรียงติดกันเป็นแถวกับกะโหลกสีขาวโพลน เนื้อขาดแหว่งเป็นริ้ว ๆ เหมือนโดนสัตว์ร้ายกัดทึ้งอย่างแรง

“เฮ้ย!”

ผมอุทานสุดเสียง ตะเกียกตะกาย ถอยหลังเพื่อหวังจะหนีอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้า มันไม่สำเร็จ ขาผมขวิดกับพื้นห้องน้ำที่ลื่นเฉอะแฉะ มือป่ายสะเปะสะปะไปทั่ว พยายามควานหาอะไรก็ตามเพื่อพยุงร่างขึ้น บัดนี้ภรรยาผมในร่างเปล่าเปลือยพยายามวิ่งเข้าใส่ผม แบบเดียวกับที่ลูกสาวทำเมื่อก่อนหน้านี้ ผมใช้ฝ่าเท้ายันหน้าเธอเอาไว้ ไม่ให้ปากของเธอ งับอวัยวะส่วนใดก็ตามในร่างกาย ร่างของเธอผงะถอยไปด้านหลัง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอหยุด เธอยังคงกระโดดทับร่างผมเอาไว้ ริมฝีปากเหวอะหวะของภรรยา กำลังจะขย้ำลงบนลำคอผม แต่ตอนนี้ผมใช้ผ่ามือดันลำคอเธอเอาไว้เสียก่อน ให้ตายเถอะ! ทั้งเลือดทั้งน้ำลายจากปากของเธอมันปนกันหยดแหมะใส่แก้มพอดี

ผมพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ออกแรงทั้งขาทั้งมือดันร่างเธออีกครั้ง มันได้ผล ร่างของเธอผงะถอยเป็นครั้งที่สอง ผมไม่รอช้าวิ่งออกจากห้องน้ำ ทั้งที่ยังได้ยินเสียงหวีดเล็กแหลมไล่ตามหลังมา มันเหมือนเสียงร้องของมัจจุราชแห่งความตาย เสียงเหมือนสิ่งมีชีวิตที่หลุดออกจากขุมนรก เสียงของอีกาที่กำลังถูกใครสักคนถอนขนทั้งเป็น

ผมวิ่งอ้อมไปที่หัวเตียง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตรงนั้นมีลูกสาวที่กำลังรอท่าจะงับอยู่ไม่ห่าง ผมหลบได้หวุดหวิด หันมองร่างภรรยาที่วิ่งออกจากห้องน้ำ เธอกางมือออก แผ่กรงเล็บ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีกรงเล็บให้แผ่ บ้า! ผมอยากจะอุทานออกมาดัง ๆ แต่ทำได้เพียงพ่นเสียงออกมาไม่ต่างจากเสียงผายลม ผมมองภรรยาสลับกับลูกสาว ตอนนี้ผมกับภรรยาเหมือนกำลังเล่นอีมอญซ่อนผ้ากันไม่มีผิด เราวิ่งวนไปวนมารอบเตียงดูเชิงกันอยู่ตลอด แต่ถึงกระนั้นผมเองก็ยังต้องระวังลูกสาวอีกคนที่จ้องจะกระโดดตะครุบอยู่ไม่ห่าง

ผมไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ในหัวมันหมุนติ้วไปหมด อยากจะร้องหาคนช่วย มันไร้ประโยชน์ เพราะข้างนอกนั่นดูจะเลวร้ายยิ่งกว่า แต่ดูเหมือนคนที่คิดออกคือภรรยาของผม เพราะเหมือนเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า จะมามัวอ้อมไปอ้อมมารอบเตียงทำไมให้เสียเวลา ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นเตียงพุ่งหลาวเข้าใส่ ในเสี้ยววินาทีนั่นเองที่ผมได้ทำเรื่องผิดใหญ่โตเข้าซะแล้ว ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามือข้างไหนกันแน่ที่มันชักปืนออกมาจากหลังสะเอว แต่ที่แน่ ๆ คือลูกตะกั่วพุ่งออกจากลำกล้องเข้ากลางแสกหน้าภรรยาพอดี

ผมเข่าอ่อนจนร่างแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมภรรยา เหลียวมองลูกสาวด้วยความรู้สึกตระหนก ที่ทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าแก แต่เปล่าเลย ลูกสาวผมไม่ได้มีท่าทีตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แกยังคงดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่ผมสร้างขึ้น ผมใช้สองมือกุมใบหน้าตัวเองเอาไว้ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาลั่นห้อง ทำไมเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของผม

ทั้งภรรยาและลูกสาวของผม เป็นอะไรไป!

จนตอนนี้ก็ล่วงเลยมาเกือบสองวันแล้ว ผมก็ยังไม่ได้รับคำตอบนั้น เสียงเอ็ดตะโรจากภายนอกเริ่มเงียบลงหลังจากย่างเข้าวันที่สอง ผมได้ยินเสียงเคาะประตูขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอกอยู่หลายครั้ง แต่หน้าอย่างผมจะไปทำอะไรได้ ครอบครัวตัวเองแท้ ๆ ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้เลย มีหน้าจะไม่ช่วยเหลือใคร

ถ้าตอนนี้เกิดมีใครสักคนถามผมว่า จะทำยังไงกับชีวิตที่เหลือต่อไป คำตอบที่ได้รับคงไม่มากไปกว่าคำว่า ‘ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน’

บ่อยครั้งที่ผมก้มมองปืนลูกโม่ซึ่งวางอยู่บนพื้นอย่างใช้ความคิด แน่นอนผมมีแผนสำรองต่อจากนี้ และแผนนั่นจะต้องมีเจ้าปืนกระบอกนี้รวมอยู่ด้วย ว่าแล้วก็รีบหยิบปืนขึ้นมาในชั่วอึดใจ จับมันยัดเข้าไปในปาก หลับตาปี๋ และหวังว่าการจบชีวิตตัวเองในครั้งนี้คงเป็นทางออกสุดท้าย จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อภรรยาก็ตายจากไปแล้ว ลูกสาวอีกคนถึงไม่ตายก็เหมือนตาย

“อู้อ...อู้อ” ผมพ่นเสียงผ่านลำกล้องกระบอกปืนที่กำลังอุดปากตัวเองเอาไว้ มือสั่นระริก พยายามหลับตา รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แล้วเหนี่ยวไก
“แป้ก!”
ปืนด้าน!
เหงื่อเม็ดโป้ง ๆ ไหลจากหน้าผากลงมาจนถึงคาง ตาผมลุกโพลง หายใจหอบถี่ด้วยความตกใจ เพราะคิดว่าตัวเองคงจะตายไปแล้ว แต่ผมคิดผิด

“เชี่ย!” ผมสบถหยาบคาย ปล่อยปืนให้ตกลงพื้น

อยากจะตาย ยังไม่ได้ตาย น่าสมเพชตัวเองชะมัด
หลังจากที่ผมเงยหน้ามองลูกสาวอีกครั้ง เหมือนคิดว่าแกอาจจะกลายเป็นปกติแล้วก็ได้ แต่เปล่าเลย แกยังคงพยายามตะเกียกตะกายวิ่งเข้าใส่ผมอยู่ดี
ตอนนี้ถึงไม่ดูนาฬิกาแต่คาดว่าน่าจะใกล้รุ่งสาง ผมได้ยินเสียงจากคลื่นวิทยุดังมาจากภายนอกอาคารอยู่เป็นพัก ๆ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจสนับนัก
“ตอบด้วย ทราบแล้วเปลี่ยน”
เสียงจากคลื่นวิทยุดังอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง แต่ผมเชื่อว่าคงหาคนตอบกลับได้ยาก
“ใครที่ได้ยินเสียงคลื่นวิทยุนี้ ขอให้ทราบด้วยว่า ขณะนี้มีผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่ง อยู่รวมกันที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ถ้าคุณสนใจจะออกไปจากที่นี่พร้อมกับพวกเราด้วยเรือสินค้าแล้วละก็ เรายินดีจะหาเพื่อนรวมทางไปด้วย เรามีอาหารและน้ำเพียงพอสำหรับทุกคน ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยินเสียงวิทยุนี้ขอให้ทราบด้วยว่า เราทุกคนที่นี่ ปลอดเชื้อ”
ผมเปิดหน้าต่างมองตามเสียงที่รอดเข้ามา จึงรู้ว่ามันดังมาจากรถพยาบาลที่ประสานงาเข้ากับรถเก๋งตรงถนนหน้าบ้าน แน่นอนผมรู้สึกว่ามันแปลก ๆ จะมีใครที่ไหนบ้าพอจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าตนมีอาหารและน้ำเพียงพอสำหรับทุกคน ซึ่งถ้าเป็นผมคงไม่ทำเช่นนั้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว หากคนสักครึ่งแสนโผล่หัวไปที่นั่นจริง ๆ จะทำอย่างไร ทุกอย่างมันจะเพียงพออย่างที่ว่าจริงหรือ
แต่ที่แปลกก็คือเขาเรียกคนที่กลายสภาพเหมือนอย่างลูกสาวผมว่า ‘ผู้ติดเชื้อ’ ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่ามันต้องมีทางรักษานะสิ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างมีความหวัง ไม่แน่ว่าอาจจะมียาที่ใช้รักษาลูกสาวของผมให้หายเป็นปกติ
หัวใจของผมเริ่มมีความหวังอีกครั้ง ความหวังที่จะอยู่เพื่อลูกสาวของตัวเอง คิดได้ดังนั้นผมก็ไม่รอช้าอีกต่อไป พยายามเดิมอ้อมไปทางด้านหลังของลูก มัดร่างแกเอาไว้กับเชือกอย่างแน่นหนา ระวังสุดชีวิตไม่ให้อวัยวะส่วนใดก็ตามของร่างกายถูกกัดเข้า
ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว พร้อมที่จะเผชิญกับอะไรก็ตามที่อยู่ข้างนอกนั่น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นผีห่าซาตานตัวไหน ผมก็จะต้องมีชีวิตรอดและพาลูกสาวไปรักษาให้จงได้ ผมเบือนหน้าไปทางลูกอีกครั้ง ตอนนี้แกไม่สามารถกัดผมได้อีกเพราะผมมัดปากเอาไว้กับผ้า มีของเหลวเหนอะหนะไหลออกมาจากตรงระหว่างขาของแกเป็นระยะ ๆ มันทำให้ผมตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า สุดท้ายแล้วร่างกายของคนเราไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน ก็ต้องมีการขับถ่ายของเสียออกมา ผมไม่มีเวลามาทำความสะอาดให้หรอก ดังนั้นจึงต้องอดทนเรื่องกลิ่นอยู่สักหน่อย

ผมจับลูกบิดประตูเอาไว้ และคิดว่านี่อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดก็ได้ ผมอาจจะต้องจบชีวิตอยู่ข้างนอกนั่น แต่มันก็ยังดีกว่าจบชีวิตตัวเองอย่างไร้ประโยชน์ ผมหลับตา สูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด และกลั้นใจเปิดประตูบ้านออกไป

จากคุณ : gumowrunway3
เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 55 13:08:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com