Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภูตคราม บทที่ 9 ภูตร้ายหรือองครักษ์ ติดต่อทีมงาน

ภูตครามบทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=26-04-2012&group=22&gblog=1

บทที่ 8 ผู้เฝ้ามอง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12396901/W12396901.html

บทที่ 9 ภูตร้ายหรือองครักษ์

เช้าวันรุ่งขึ้น สิ่งแรกที่พิมมาดาทำทันทีเมื่อลืมตาตื่นขึ้นคือกวาดมองไปรอบห้อง เมื่อไม่พบต้นเหตุแห่งความกังวลหญิงสาวจึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ก็สบายใจได้อยู่ไม่นานนักเมื่อเสียงของภูตหนุ่มเอ่ยทัก

“อรุณสวัสดิ์”

พิมมาดาสะดุ้งเฮือกและรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวตมสัญชาตญาณ เธอหันไปมองภูธราที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมกับพูดเสียงขุ่น

“นายมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย

“ข้าไม่เคยห่างจากเจ้าเลยต่างหาก”

คราวนี้หญิงสาวต้องนิ่วหน้า เธอกระชับผ้าให้แนบตัวมากกว่าเดิมและมองอีกฝ่ายอย่างระแวง

“หมายความว่านายยืนดูฉันตลอดเวลา” ใบหน้าของเธอเข้มขึ้นเมื่อเห็นภูตหนุ่มผงกศีรษะรับ “นายต้องเป็นภูตโรคจิตแน่ๆถึงได้ยืนมองผู้หญิงตลอดทั้งคืน”

“ข้าทำเพราะเป็นห่วงเจ้าต่างหาก” ภูธราตอบพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจเมื่อเห็นใบหน้าของฝ่ายหญิงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด”ดู
เหมือนเจ้าจะไม่พอใจ”

“แหงล่ะ โดนผู้ชายมองทั้งคืนแบบนี้ใครไม่โกรธก็บ้าแล้ว”พิมมาดาพูดเสียงห้วน ถ้าเป็นมนุษย์ ภูตหนุ่มคงยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความงงว่าเขาทำอะไรผิด แต่ด้วยนิสัยของภูตครามที่ไม่เคยมีเล่ห์เหลี่ยมกับผู้ใด เขาจึงตอบไปตามตรง

“ก็แค่คอยดูแลเจ้าในยามหลับ”

“นั่นแหละที่ไม่ดี ท่านอนของผู้หญิงเป็นของต้องห้ามถ้าไม่สนิทกันจริงๆเขาไม่ให้เห็นกันหรอก ที่สำคัญถ้าเกิดระหว่างนั้นนายเกิดคิดไม่ซื่อขึ้นมาล่ะ”

ภูตหนุ่มทำหน้างง

“หมายความว่าอะไร”

“ก็หมายความว่า...”คำพูดถูกกลืนหายเข้าไปลำคอด้วยความอาย หญิงสาวสะบัดหน้าหนีไปอีกด้านพร้อมกับพูด “เอาเป็นว่าฉันไม่ชอบสิ่งที่นายทำ”

สีหน้าของภูธราสลดลงเล็กน้อย

“หากเป็นความต้องการของเจ้า ข้ารับปากว่าจะไม่เข้ามาในห้องนี้อีก จนกว่าจะได้รับอนุญาต”

“ดี” พิมมาดาพูดด้วยน้ำเสียงที่สบายใจขึ้นพลางก้าวลงจากเตียงเพื่อจัดเก็บที่นอน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากห้องเธอหันกลับมามองภูธราเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“นายเคยตามฉันเข้าไปในห้องน้ำด้วยหรือเปล่า”

ภูตหนุ่มพยักหน้ารับและรีบถามเมื่อเห็นดวงตาลุกวาวของเธอ

“ไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้!” พิมมาดาตะโกนลั่น “”ต่อไปนี้ห้ามนายเข้าใกล้ห้องน้ำกับห้องนอนอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างงั้นล่ะก็ได้เห็นดีกันแน่”

หญิงสาวขู่ด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องโดยมีสายตาของภูธรามองตามพร้อมรอยยิ้ม

“ชักอยากรู้เสียแล้วสิว่าเจ้าจะทำอะไรกับข้า”

ร่างสูงใหญ่เคลื่อนผ่านพื้นซีเมนต์ลงไปยังด้านล่างและพรางตัวไม่ให้พิมมาดาเห็นจนกระทั่งเธออาบน้ำแต่งตัวเดินลงมาชงกาแฟเขาจึงปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง แม้จะเริ่มชินอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็อดสะดุ้งไม่ได้ เธอค้อนภูธราวงใหญ่พร้อมกับบ่นเบาๆ

“ทำตัวอย่างกับผี”

“ข้าเป็นภูต” อีกฝ่ายรีบแก้ หญิงสาวจึงตอบโดยไม่หันไปมองหน้า

“จะภูตหรือผีก็น่ากลัวพอกัน” เธอล้างถ้วยกาแฟและคว่ำจนเรียบร้อยจากนั้นจึงเดินไปหยิบกระเป๋าก้าวออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าภูธราเฝ้าติดตามตลอดเวลาแต่หญิงสาวก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอเดินอย่างไม่เร่งร้อนไปตามทางย่อยจนกระทั่งถึงถนนหลักแต่ดูเหมือนวันนี้จะโชคไม่ดีนักเพราะแม้จะเดินมาจนเกือบถึงกลางซอยก็ยังไม่มีรถจักรยานยนต์รับจ้างสักคัน หญิงสาวจึงคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธอออกจากบ้านเช้ากว่าปรกติรถจึงมีจำนวนน้อย ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นเธอก็เห็นรถมูลนิธิคันหนึ่งวิ่งผ่านไป ถึงจะแปลกใจอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะเดี๋ยวนี้รถของพวกหน่วยกู้ภัยไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่วิ่งไปรับศพ บางครั้งเขาก็ได้รับแจ้งให้ไปช่วยจับงูหรือตีรังต่อตามบ้านพักอาศัย โดยเฉพาะชุมชนที่มีสวนผลไม้ขนาดใหญ่แบบนี้นอกจากงูแล้วยังมีสัตว์เลื้อยคลานอีกหลายชนิดให้คนต้องขนลุก

ความที่เดินมาไกลประกอบกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวตั้งแต่เช้าทำให้พิมมาดาจำต้องแวะซื้อน้ำที่ร้านขายของชำกลางซอย ช่วงที่กำลังรอเงินทอนอยู่นั้นเสียงลูกค้าอีกคนก็ถามขึ้น

“รถมูลนิธิเข้ามาทำไมน่ะ”

“เขาเข้ามาเก็บศพคนงานท้ายซอย” เจ้าของร้านตอบทั้งที่มือยังนับเศษเหรียญ ลูกค้าคนนั้นทำหน้าแปลกใจ

“คนงานไหน แล้วเขาเป็นอะไรตาย”

“ที่เข้ามาซ่อมบ้านเฮียเอกไง เห็นว่าเสพยาจนหัวใจวายตายทั้งสองคนเลย”

“ไอ๊ย่า ตั้งสองคนเลยเหรอ แบบนี้ผีดุตายโหง”เสียงลูกค้าคนเดิมพูด ฝ่ายเจ้าของร้านหัวเราะ

“ผีเผอมีจริงที่ไหนกันอาเฮีย เอ้านี่ซีอิ๊วกับเงินทอน” เขาพูดพลางส่งถุงพลาสติกให้จากนั้นจึงหันมายื่นเหรียญให้พิมมาดา”เงินทอนครับ”

“ขอบคุณค่ะ”หญิงสาวยื่นมือไปรับพลางนึกเถียงในว่าผีมีจริง เพราะตอนนี้เธอกำลังถูกสิ่งที่เรียกว่าภูตคอยติดตาม เมื่อเดินต่อไปได้อีกสักระยะเสียงแตรรถจักรยานยนต์ก็ดังมาจากทางด้านหลัง เธอจึงหยุดและนั่งรถคันนั้นออกไปจนถึงปากซอย

“เท่าไร่คะ” เธอถามเพราะไม่เคยนั่งรถในระยะนี้ คนขับฉีกยิ้ม

“สิบบาทก็พอครับคุณพิม”

หญิงสาวจึงหยิบเหรียญสิบบาทส่งให้ ความที่เห็นว่าอีกฝ่ายมาจากซอยที่เกิดเรื่องเธอจึงเอ่ยปากถาม

“ฉันเห็นรถมูลนิธิ”

“อ๋อ คนงานก่อสร้างตายน่ะครับ ตอนแรกตำรวจสันนิษฐานว่าเสพยาเกินขนาดแต่พอหมอมาตรวจกลับบอกว่าสองคนนั่นตายเพราะตกใจสุดขีด แต่ผมว่าน่าจะเสพยาจนเห็นภาพหลอนเลยหัวใจวายมากกว่า”

คนขับรถคงพูดอะไรอีกยืดยาวถ้าเพื่อนร่วมวินไม่ตะโกนเรียก พิมมาดาจึงถือโอกาสเดินแยกตัวออกมาและตัดสินใจโบกรถแท็กซี่ไปที่ทำ
งาน ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถ เธอก็หวนนึกถึงคนร้ายที่บุกเข้าไปในบ้านเมื่อคืน ด้วยจำนวนและทิศทางการหนีเดียวกันทำให้หญิงสาวต้องเม้มปากแน่นเพราะนึกสังหรณ์ใจว่าอาจจจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่าการตายของพวกเขาไม่ได้เกิดจากยาเสพติด แต่เป็นฝีมือของภูตคราม    

เมื่อนึกได้แบบนี้หญิงสาวก็ต้องขนลุกซู่ ดวงตาเหลือบมองสองข้างตัวอย่างระแวงเพราะรู้อยู่แก่ใจดีกว่าตอนนี้ภูธราอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา พิมมาดาบีบมือตัวเองแน่นและพูดพึมพำ

“เขาอาจจะไม่ได้ทำก็ได้”

เธอถอนใจออกมาเบาๆและบอกให้คนขับจอดรถหน้าบษัท เมื่อชำระค่าโดยสารแล้วหญิงสาวจึงเดินขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อทำงานตามปรกติแต่พอโผล่พ้นประตูเข้าไปเท่านั้นนิลเนตรก็ลากเธอเข้าไปเตือนทันที

“คุณองอาจเรียกเธอเข้าพบ”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลแต่พิมมาดากลับไม่รู้สึกวิตกอะไรนัก เพราะคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกมอบหมายให้จับตาดูพนักงานในบริษัท แต่สีหน้ากับน้ำเสียงของเพื่อนทำให้เธอต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

“ทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ”

“ฉันเห็นคุณองอาจหงุดหงิดมากกว่าทุกวัน ไม่รู้ว่ายายนงนภัสไปใส่ไฟอะไรเธอไว้บ้าง ยังไงก็เตรียมคำแก้ตัวเอาไว้ให้ดี”

พูดได้เท่านั้นนิลเนตรก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนายองอาจดังมาจากโทรศัพท์ติดต่อภายใน

“พิมมาดามาหรือยัง”

เลขานุการสาวรีบกดปุ่มและกรอกคำพูดลงไป

“มาแล้วค่ะ”

“บอกให้เขาเข้ามาหาผมด้วย”

พูดแค่นั้นสายก็ถูกตัด นิลเนตรกลืนน้ำลายลงคอก่อนหันไปทางพิมมาดา

“สงสัยจะงานช้าง ระวังตัวให้ดีนะเพื่อน”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับและเดินตรงไปยังห้องทำงานของเจ้านาย แต่ก่อนที่จะเปิดประตูหญิงสาวรีบเอ่ยปากพูดเบาๆเหมือนต้องการให้ใครบางคนได้ยิน

“คุณองอาจเป็นเจ้านายของฉัน ห้ามทำอะไรเขาโดยเด็ดขาด”

พูดจบเธอจึงเคาะประตูห้องและก้าวเข้าไปด้านในเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต หลังจากปิดประตูเป็นที่เรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะนายองอาจ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อไม่เห็นนงนภัสนั่งอยู่ด้วยเหมือนทุกครั้ง ขณะที่คิดหาคำอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน นายองอาจก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดเสียงห้วน

“นั่งก่อนสิ”

หญิงสาวกล่าวคำขอบคุณพลางหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ด้านตรงกันข้ามกับเจ้านาย ยังไม่ทันจะขยับตัวให้เรียบร้อยเสียงนายองอาจก็ถามขึ้น

“เมื่อวานคุณพูดอะไรกับนงนภัส”

“เธอเข้าไปรื้อเอกสารการเงิน ฉันจึงบอกให้เธอออกจากห้อง”

“คุณใช้คำพูดแบบไหน” ผู้เป็นนายถามพร้อมกับจ้องหน้าพิมมาดาเขม็งเหมือนต้องการจะจับผิด หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาเบาๆก่อนจะอธิบาย

“เมื่อวานตอนที่ฉันกำลังยืนคุยเรื่องงานกับนิลเนตร คณนงนภัสได้เข้าไปในห้องและรื้อเอกสารการเงินออกมาอ่าน ฉันขอให้เธอออกจากห้องแต่โดยดีแต่คุณนงนภัสไม่ยอมฟัง ฉันจึงจำเป็นต้องใช้เสียงแข็งกับเธอ”  

“แค่เสียงแข็งเท่านั้นหรือ” นายองอาจถามย้ำ พิมมาดาผงกศีรษะรับ

“ค่ะ แค่เสียงแข็งเท่านั้น ไม่มีคำหยาบคาย”

น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังของเธอทำให้นายองอาจเอนตัวพิงพนักเก้าอี้และนิ่งคิดอยู่ราวอึดใจ ในที่สุดเขาจึงวางมือลงบนโต๊ะพร้อมกับพูด

“ผมเชื่อ แต่ครั้งหน้าล็อคกุญแจหลังออกจากห้องทุกครั้ง จะได้ไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีก” มือเลื่อนไปเปิดลิ้นชักด้านข้างและดึงเอกสารชุดหนึ่งออกมา”เมื่อวานผมสั่งให้คนไปติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในโกดังเก็บของแล้ว นี่คือวิธีการใช้ ส่วนนี่เป็นรายละเอียดค่าใช้จ่าย”

พิมมาดารับเอกสารทั้งหมดมาเปิดอ่านและถามด้วยความสงสัย

“ของมาส่งตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่อง”

“ผมไม่อยากให้รู้เรื่องการติดตั้งกล้อง เลยให้เขาไปส่งที่บ้าน ส่วนการติดตั้งก็ให้ช่างมาทำตอนกลางคืน คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่สิทธิศักดิ์ นิลเนตรแล้วก็คุณ ไม่ต้องห่วงผมให้เขาติดตั้งในมุมที่มองจากด้านล่างไม่เห็น ทั้งหมดห้าจุดรับรองได้เลยว่าคราวนี้เราต้องได้ตัวคนร้ายแน่”
หญิงสาวขมวดคิ้วและละสายตาจากคู่มือการใช้กล้องวงจรปิดพร้อมกับเอ่ยปากถามอย่างนึกเอะใจ

“แล้วท่านให้ส่งสัญญาณภาพไปที่ไหนเหรอคะ”

นายองอาจชี้นิ้วไปที่เธอ หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างงงงัน

“ทำไม”

“อย่างที่รู้ นงเข้ามาวุ่นวายในห้องทำงานของผมเกือบตลอดเวลา ห้องทำงานของสิทธิศักดิ์ก็อยู่ด้านล่างแถมคนเข้าออกง่ายเกินไป ส่วนนิลเนตรก็มีแค่โต๊ะทำงานดังนั้นจึงเหลือแต่ห้องการเงินซึ่งนอกจากผมกับคุณเท่านั้นที่ถือกุญแจ”

เขาลดเสียงลงและพูดอย่างระวัง

“ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องขอให้คุณมาทำงานเช้ากว่าปรกติเพื่อตรวจดูภาพโกดังในแต่ละคืน และถ้าไม่สะดวกในด้านการเดินทางผมจะอนุมัติเงินพิเศษให้ ช่วงแรกอาจจะลำบากไปนิดแต่ก็ขอให้อดทน เพราะผมคิดว่าไม่นานคนร้ายจะต้องปรากฏตัว คิดว่าพอจะทำได้ไหมคุณพิม”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบ “ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายคุณองอาจไม่จำเป็นต้องอนุมัติเงินพิเศษหรอกค่ะเพราะฉันถือว่าเป็นงานของบริษัท แต่เรื่องราคากล้อง ฉันขอให้เสนอให้รอไว้จนกว่าเรื่องจะจบ เพราะถ้าขืนทำเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ออกมา คนรู้กันทั้งบริษัทแน่”

“แล้วแต่ดุลพินิจของคุณ” นายองอาจพูดและหยิบเช็คออกมา “และผมขอยืนยันเรื่องเงินพิเศษสำหรับการเดินทาง ไม่ต้องกังวลมันเป็นเงินส่วนตัวของผมไม่เกี่ยวกับบริษัท ที่สำคัญนี่เป็นความคิดของคุณนวล”

ชื่อนายหญิงของบริษัททำให้พิมมาดาแย้งอะไรไม่ออก เธอรับเช็คเงินสดมาจากนายองอาจและกล่าวขอบคุณเบาๆ อีกฝ่ายส่งยิ้มให้กับเธอ

“หมดเรื่องแล้วคุณกลับไปทำงานเถอะ อ้อพยายามอย่าปะทะคารมกับนงนภัส เพราะผมไม่อยากปวดหัวกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน”

“ค่ะ” พิมมาดารับคำและออกจากห้อง ทันทีที่โผล่พ้นประตูนิลเนตรก็โดดมาคว้าแขนเพื่อนพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นไง คุณองอาจต่อว่าอะไรเธอบ้าง”

“แค่เตือนนิดหน่อย นอกนั้นก็คุยเรื่องงาน”พิมมาดาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย นิลเนตรทำตาโต

“เหลือเชื่อ ก็เมื่อเช้าฉันเห็นท่านหงุดหงิดออกขนาดนั้น” เธอหยุดและเปิดยิ้ม “งานนี้ถ้ายายนงนภัสรู้มีหวังกรี๊ดลั่นบริษัทแน่”

“แล้วจะไปบอกให้เขารู้ทำไม” พิมมาดาพูดและทำท่าจะเดินเข้าห้องแต่นิลเนตรกลับรั้งเธอเอาไว้พร้อมกับถาม

“แล้วเรื่องนั้นล่ะเป็นยังไง”

หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความฉงน

“เรื่องอะไร”

“ก็ภูตที่ตามมาจากเขาใหญ่ไง เมื่อวานนี้เขามารบกวนเธออีกเหรือเปล่า”

พิมมาดาขยับเตรียมจะตอบแต่เสียงเอะอะโวยวายของนงนภัสที่ดังมาจากชั้นล่างทำให้เธอต้องหยุด เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของอีกฝ่ายกำลังก้าวขึ้นบันไดหญิงสาวจึงรีบพูดตัดบท

“ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะนิล”

นิลเนตรพยักหน้ารับและเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอ ฝ่ายนงนภัสซึ่งทันเห็น

พิมมาดาเดินหายเข้าไปในห้อง ความผยองทำให้เข้าใจว่าหญิงสาวกำลังหลบหน้า ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้มเยาะออกมาทันที

“ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร”

ดวงตาที่แต่งแต้มสีสันจนเข้มจัดปรายมาทางนิลเนตรเหมือนต้องการจะหาเรื่อง เธอจึงแสร้งทำเป็นเปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อหาของอย่างวุ่นวาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ต่อปากต่อคำนงนภัสจึงเบะปากอย่างดูถูกและเปิดประตูห้องนายองอาจโดยไม่มีการเคาะพร้อมกับร้องเรียกเสียงหวาน

“คุณองอาจขา”

บานประตูปิดลงกั้นสำเนียงภายในห้องไม่ให้เล็ดลอดออกมา นิลเนตรจึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องมานั่งทนฟังเสียงแสบแก้วหูของเจ้าหล่อน เมื่อหมดตัวก่อกวนหญิงสาวจึงนั่งทำงานของเธอต่อไปจนกระทั่งถึงเวลาพักเธอจึงออกไปรับประทานมื้อเที่ยงพร้อมพิมมาดา เช่นเดียวกับทุกวันที่ร้านอาหารทุกแห่งอัดแน่นไปด้วยผู้คน ทั้งสองจึงเดินต่อไปอีกนิดเพื่อไปยังร้านที่นั่งประจำ ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเสียงใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น

“ระวัง!”

ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้เห็นคนร้องก็มีเสียงดังโพล้ะเหมือนภาชนะดินเผาแตก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของแม่ค้าผลไม้ คนที่ยืนอยู่บรเวณนั้นต่างหันมามองพิมมาดาเป็นตาเดียว สีหน้าของพวกเขาทำให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจแต่ข้อสงสัยทุกอย่างก็มลายหายไปเมื่อนิลเนตรสะกิดเธอพร้อมกับชี้ไปที่กระถางต้นไม้ที่แตกละเอียดอยู่ข้างตัว ยังไม่ทันที่จะได้พูดหรือถามอะไรออกมา หญิงวัยกลางคนที่อาศัยอยู่ในอาคารหลังนั้นก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาพร้อมกับพูด

“ขอโทษด้วยค่ะพอดีมือมันลื่น เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

เธอละล่ำละลั่กถามด้วยใบหน้าซีด พิมมาดาจึงรู้ว่ากระถางต้นไม้นั้นมาจากที่ใด ยังไม่ทันจะได้พูดนิลเนตรก็ชิงต่อว่าออกมาเสียก่อน

“ทำไมถึงได้ซุ่มซ่ามแบบนี้ ถ้ากระถางตกใส่หัวฉันจะว่ายังไง”

“ขอโทษค่ะ”เจ้าของกระถางยกมือไหว้และทำท่าจะร้องไห้ พิมมาดาจึงตัดบทด้วยความสงสาร

“ช่างเถอะนิล” เธอหันไปทางหญิงคนนั้น”ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่ครั้งต่อไปช่วยระวังให้มากกว่านี้หน่อย”

หญิงสาวเดินต่อเมื่อพูดจบ ทิ้งให้เจ้าของกระถางยืนยกมือไหว้พร้อมพูดพร่ำคำขอโทษไว้ข้างหลัง เมื่อเห็นว่าพิมมาดากับนิลเนตรห่างไปพอสมควรแล้วแม่ค้าผลไม้จึงหันไปพูดกับคนขายของจุกจิกที่อยู่ข้างกัน

“เธอเห็นหรือเปล่า”

“อะไร” อีกฝ่ายถาม แม่ค้าชำเลืองตาไปทางพิมมาดาก่อนจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ก็กระถางต้นไม้นั่นน่ะสิ ตอนที่มันร่วงลงมาฉันนึกว่าคงจะลงหัวแม่คนนั้นแน่ๆ แต่ที่ไหนได้มันกลับกระเด็นลงไปตกข้างๆเหมือนโดนใครปัด” น้ำเสียงลดลงจนเกือบจะกลายเป็นกระซิบ “หรือผู้หญิงคนนั้นเลี้ยงกุมารทอง”

“ถ้าจริงก็ดีน่ะสิจะได้ขอหวยซะเลย”

คนขายของพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง แม่ค้าผลไม้ส่งค้อนให้วงใหญ่พร้อมกับบ่นพึมพำเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อคำพูดของเธอ


คนขายของพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง แม่ค้าผลไม้ค้อนขวับพร้อมกับบ่นพึมพำเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อคำพูดของเธอแต่ความสนใจทั้งหมดก็ถูกลืมเลือนไปเมื่อมีลูกค้าจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาเลือกซื้อผลไม้กันอย่างวุ่นวาย

ด้านนิลเนตร เมื่อเข้าไปในร้านและจัดการสั่งอาหารจนเป็นที่พอใจแล้วเธอจึงวกกลับไปถามเรื่องที่อยากรู้อีกครั้ง

“เธอยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลยนะพิม”

“เรื่องอะไร” พิมมาดาถามพลางดูดชามะนาวเข้าไปอึกใหญ่ อีกฝ่ายเอียงตัวเข้าไปหาพร้อมกับลดน้ำเสียงลง

“ก็เรื่องภูตนั่นไง”

“ภูธราน่ะเหรอ เมื่อวานเขาก็มา ตอนเช้าก็ยังเจอ อ้อจริงสิ เขาฝากบอกเธอด้วยว่าเขาเป็นภูตไม่ใช่ผี ให้เลิกคิดเรื่องจับหม้อถ่วงน้ำไปได้เลย”

นิลเนตรถึงกับอ้าปากค้าง

“เขารู้ด้วยเหรอ”

“รู้สิก็เขาอยู่กับฉันตลอดเวลาเลยนี่นา ถึงตอนนี้ก็เหมือนกัน”

น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบเหมือนสิ่งที่ธอพูดเป็นเรื่องธรรมดาต่างจากนิลเนตรที่มองซ้ายขวาหน้าหลังล่อกแล่ก

“อย่าล้อกันเล่นแบบนี้สิ”

“ฉันพูดเรื่องจริง” พิมมาดาพูดอย่างเคร่งขรึม อีกฝ่ายมองหน้าเธอด้วยความแปลกใจ

“เธอไม่กลัวเขาหรือ”

“กลัวสิแต่ทำไงได้เพราะขนาดออกปากไล่แล้วเขายังไม่ยอมไป ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกันแล้วฉันถึงต้องพยายามทำใจให้ชิน”

“กับผีเนี่ยนะ”นิลเนตรพูดและทำหน้าเบ้”ฉันทำใจแบบเธอไม่ได้แน่”

“ขืนเอาแต่กลัวมีหวังได้เป็นบ้าไปก่อน ฉันเลยต้องแก้ปัญหาด้วยการเผชิญหน้ากับเขาให้รู้แล้วรู้รอดไป”พิมมาดาพูดและถอนใจออกมาค่อนข้างยาว”หวังว่าสักวันเขาคงเบื่อและยอมจากไปแต่โดยดี แต่เท่าที่ดูคงเป็นไปได้ยาก ยิ่งพอได้ฟังที่ลุงแคล้วบอกแล้ว เขาคงไม่ยอมละไปจากฉันง่ายๆ”

“ลุงแคล้ว” นิลเนตรทวนชื่อด้วยความฉงน อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ

“ก็เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ช่วยฉันออกจากป่าไง”พิมมาดาอธิบายและเริ่มต้นเล่าเรื่องตอนที่เธอหลงเข้าไปในป่าและเจอเหตุการณ์ประหลาดไปจนกระทั่งถึงตอนที่ลุงแคล้วเล่าเรื่องภูตคราม ระหว่างที่ฟังนิลเนตรรู้สึกเหมือนมือของเธอเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อทุกอย่างจบลงหญิงสาวถึงกับคลึงปลายนิ้วเหมือนต้องการไล่ความกลัวพร้อมกับถามเสียงไม่ดังนัก

“หมายความว่าภูตครามเห็นเธอเป็นเหยื่อและที่ตามมานี่ก็เพื่อจะกินเธออย่างนั้นเหรอ”

“ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นแต่พอถามเขาก็บอกว่าไม่ใช่ ที่ตามมาก็เพราะต้องการจะเห็นหน้าฉันเท่านั้น”

นิลเนตรทำหน้าเหมือนได้ฟังเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่สุด

“ว้าว พูดเหมือนเธอเป็นรักแรกพบของเขาเลย”

“อย่าพูดบ้าๆน่ะนิล รักแรกอะไรกัน เขาเป็นภูตกินคนนะ”

“แต่ก็หล่อไม่ใช่เล่น”นิลเนตรพูดพลางย้อนนึกถึงตอนที่เห็นหน้าภูตหนุ่มในครั้งแรก แม้จะแค่แว่บเดียวแต่เธอก็จำได้แม่นว่าใบหน้าของเขาหล่อเหลาอย่างน่าประทับใจ ขณะกำลังนั่งนึกอยู่เพลินๆเธอก็ทำตาโตเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

”จริงสิเมื่อกี้ฉันได้ยินเธอเรียกเขาว่าภูธรา”

“ก็เขาบอกว่าชื่อนั้น” น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดเล็กน้อยพลางหันหน้าไปยังด้านในสุดของร้านพร้อมกับบ่น”ทำไมวันนี้อาหารช้าจัง”

“อย่ามาทำเฉไฉเลยน่าพิม ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิว่านอกจากการแนะนำตัวแล้วเขายังทำอะไรอีกบ้าง”

“เธอไม่กลัวเขาแล้วเหรอ” พิมมาดาย้อนถาม อีกฝ่ายยิ้มพร้อมกับยักไหล่

“กลัวแต่มันอยากรู้น่ะ” เธอเคาะโต๊ะเบาๆ “เอ้าเล่ามาฉันอยากฟัง”

สีหน้าอยากรู้ของเพื่อนทำให้พิมมาดาต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอาจากนั้นจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับเธอตั้งแต่โดนวิ่งราว ล้วงกระเป๋า เงาประหลาดที่ติดตามเธอไปทุกที่หรือแม้แต่กลิ่นดอกไม้ที่กรุ่นกระจายไปทั่วห้องทุกคืนก่อนนอนกระทั่งถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่มีโจรบุกเข้ามาในบ้าน นิลเนตรนั่งฟังด้วยความตื่นเต้น

“แล้วเขาทำยังไงกับโจรสองคนนั่น”

“ฉันไม่รู้และก็ไม่อยากจะถามด้วย แต่เท่าที่เห็นเจ้าโจรสองคนนั่นเผ่นออกจากบ้านแทบไม่ทัน”

หญิงสาวยุติการเล่าไว้เพียงแค่นั้นโดยไม่พูดถึงการตายของคนงานก่อสร้างแถวบ้านเพราะตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน แต่สำหรับการตายของคนร้ายวิ่งราวสองคนแรกหญิงสาวเริ่มแน่ใจแล้วว่าน่าจะเป็นฝีมือของภูธรา นิลเนตรพยักหน้าหงึกหงักและเลื่อนมือไปหยิบน้ำกระเจี๊ยบมาดูดเพื่อดับกระหาย

“ฟังแล้วเหมือนภูตคนนี้เป็นองครักษ์ประจำตัวเธอเลย”

หญิงสาวพูดทันทีที่ถอนปากออกจากหลอด พิมมาดารีบส่ายหน้า

“ไม่ไหวหรอก ถ้าเกิดวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้วฉันจะทำยังไง”

“ก็ปล่อยให้เขากินไปสิ เป็นฉันถ้าเจอภูตหล่อแบบนั้นต่อให้ต้องถูกกินสักร้อยครั้งก็ยอม”

นิลเนตรพูดทีเล่นทีจริงแต่พิมมาดากลับส่ายหน้า

“ฉันไม่เอาด้วยหรอก น่ากลัวจะตายไป”

กลิ่นหอมฉุยของอาหารที่ถูกบริกรนำเข้ามาทำให้เพื่อนรักทั้งสองเลิกสนทนากันเพียงแค่นั้น หลังจากรับประทานจนอิ่มหนำทั้งคู่จึงกลับเข้าทำงานซึ่งพิมมาดาได้เริ่มต้นดูภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดตามคำสั่งของนายองอาจซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปรกติ หญิงสาวเตรียมจะรายงานให้เจ้านายฟังแต่ก็ไม่ทันเพราะเขาโดนนงนภัสลากตัวออกไปตั้งแต่ยังไม่บ่ายสอง หญิงสาวจึงจำต้องบันทึกข้อมูลเอาไว้และจัดเตรียมการบันทึกในคืนต่อไปจนเสร็จเรียบร้อยซึ่งกว่าทุกอย่างจะเสร็จก็เลยเวลาทำงานไปกว่าครึ่งชั่วโมงแต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะคิดว่านี่เป็ฯหนึ่งในหน้าที่และเป็นผลประโยชน์ของพนักงานทุกคน

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 11:35:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com