Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๑๒ : ริมฝั่งปากน้ำโพ ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๒ : ริมฝั่งปากน้ำโพ


“โอ๊ย! อย่ามาตามกวนใจข้านักได้ฤๅไม่ อศิระ ไปไหนก็ไป ไป๊!”

เสียงตวาดแหวที่ดังมาจากบนฝั่งทำให้คนที่ยืนอยู่ท้ายเรือกำลังเหม่อมองปลายน้ำอยู่ถึงกับสะดุ้ง หันมามองทางต้นเสียงมันที พอเห็นภาพตรงหน้าก็หัวเราะ เสียงใสกังวานดุจระฆังแก้วทำให้คนที่นั่งอยู่แทบเท้ายิ้มอย่างดีใจ เพราะตั้งแต่ออกเดินทางมาจากลวปุระนั้น แทบไม่เคยมีใครได้ยินพระนางจามเทวีหัวเราะเลย มากที่สุดมีเพียงรอยยิ้มแกมเศร้าที่ทอดประทานให้ข้าราชบริพารที่ติดตามมาเท่านั้น

“ทะเลาะกันอยู่นั่นแล้วคู่นี้ ทะเลาะตั้งแต่เริ่มเดินทางจนมาถึงปากน้ำ สามเพ็ญเข้านี่แล้วก็ยังไม่เลิกรา พี่เกษวดีไม่เบื่อหรืออย่างไรนะ”

“ต้องถามอศิระมากกว่าเจ้าค่ะ ว่าไม่เบื่อบ้างหรือที่ถูกเกษวดีต่อว่าเอาทุกวันๆ”

ปทุมวดีบอกอย่างขันๆ มองไปทางพ่อหัวหมู่หนุ่มที่เดินถือของเดินตามสาวเจ้าอยู่ต้อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะท้อใจกับการ:-)ไสไล่ส่งของเกษวดีเลยสักนิด

“เราสงสารอศิระ พี่เกษวดีก็ไม่ยอมใจอ่อนสักที”

“ที่ไหนได้เจ้าคะพระแม่เจ้า เกษวดีใจอ่อนนานแล้วแต่ทำไว้เชิงไปอย่างนั้นเอง อยู่ที่พ่อเจ้าประคุณแล้วเจ้าค่ะ ว่าจักมีมานะได้สักเท่าใด ดูสิเจ้าคะ ปากไล่ท่าโน้นท่านี้ แต่พออศิระจักไปเข้าจริงก็ไม่ยอมให้ไป”

พระนางจามเทวีหัวเราะคิกออกมาอีกคำรบ เมื่อเห็นจริงตามที่ปทุมวดีบอก เพราะพออศิระถูกไล่หนักเข้า อาจเป็นด้วยอารมณ์น้อยใจหรืออยากแกล้งก็ไม่แน่นัก จู่ๆ เจ้าตัวก็หันหลังกลับดื้อๆ



“จักไปที่ใดอีก อศิระ”

เดินไปได้เพียงสามก้าวเท่านั้น เสียงตวาดแหวก็ดังตามหลังมาอีก อศิระหันขวับมามองสาวที่หมายปองด้วยสีหน้ามุ่ยๆ สะบัดเสียงตอบทันใด

“เจ้าไล่ข้า ข้าก็จักไปตามที่เจ้าต้องการอย่างไรเล่า”

“กลับมานี่บัดเดี๋ยวนี้” เกษวดีสั่งเสียงเฉียบ ทั้งที่ในใจนึกขำกับท่าทางสะบัดสะบิ้งของผู้ชายตัวโตตรงหน้าเต็มแก่

“เมื่อครู่ไล่ มาบัดเดี๋ยวเรียกให้ข้ากลับไป เอาอย่างไรแน่แม่เจ้าประคุณเอ๋ย”

“ก็ของอยู่กับเจ้า เจ้าไปก็ไปแต่ตัวสิ”

เกษวดีบอกหน้าตาเฉย อศิระมองบรรดาส้มสูกลูกไม้ที่ถือมาเต็มสองมือตนเองก็พูดไม่ออก คราวนี้นึกน้อยใจขึ้นมาจริงๆ นัยน์ตาดำสนิทมองนิ่งที่นางพี่เลี้ยง เอ่ยถามเสียงแผ่วต่ำ

“ที่รั้งไว้ก็เพราะของอยู่กับข้ารึ ให้ข้าวางไว้ที่ใดรึแม่ ข้าจักได้เร่งวางแล้วเร่งไปให้สมใจ”

นางพี่เลี้ยงสาวหน้าเผือดลง ไม่คิดว่าอศิระจะมาถือสาความเอาเพลานี้ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่านางจะ:-)ไสไล่ส่งอย่างไร เขาก็ยังหน้าเป็นคอยตามตอแยอยู่มิได้ขาด ไฉนวันนี้จึงแปลกเปลี่ยนไปเล่า ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่เกษวดีก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ด้วยเข้าใจว่าอศิระคงแกล้งพูดให้นางใจเสียไปอย่างนั้นเอง จึงชี้นิ้วส่งๆ ไปทางด้านหนึ่ง ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ก้าวยาวๆ วางของเสร็จสรรพแล้วก็เดินหนีไปไม่ยอมเหลียวกลับมามองอีกเลย นางพี่เลี้ยงถึงแก่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก จะเรียกรั้งไว้ปากก็เหมือนถูกถ่วงด้วยหินหนัก กระทั่งอศิระเดินกลืนหายเข้าไปในกลุ่มทหารที่กำลังช่วยกันติดไฟ เพื่อให้พวกผู้หญิงจัดแจงหุงหาอาหารเย็นแข่งกับแสงตะวันที่เริ่มอ่อนลงทุกที




“ไม่ตามอศิระไปล่ะพี่”

เสียงใสถามมาจากทางด้านหลัง เกษวดีหันไปก็เห็นพระนางจามเทวีเดินเกาะแขนปทุมวดีเข้ามาหา จึงรีบเข้าไปช่วงสหายประคองนายสาวไว้ นางฝืนยิ้มพลางบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่รู้สึกรู้สาว่า

“ตามไปไยเจ้าคะ ไปให้พ้นหน้าน่ะดีนักเทียว ว่าแต่พระแม่เจ้าลงจากเรือมานี่ ประสงค์สิ่งใดหรือเจ้าคะ”

“ลงมาเดินเล่นให้เท้าแตะดินบ้างสิพี่ ได้แต่นั่งนอนอยู่ในเรือมาหลายเพลา เบื่อเต็มที”

“พระแม่เจ้าครรภ์ใหญ่ขึ้นมากแล้ว ข้าเกรงจักหกล้ม”

เกษวดีบอกอาทร อารมณ์อื่นใดอันมีก่อนหน้านี้ นางปัดออกไปสิ้นจากใจยามอยู่ใกล้พระนางจามเทวีซึ่งนางรักใคร่เทิดทูนเหนือเกล้า สองพี่เลี้ยงประคองนายสาวมานั่งลงที่โขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วทรุดกายลงนั่งแทบบาททั้งซ้ายขวา จอมนางหัวเราะเบาๆ พลางยกมือขึ้นลูบครรภ์ตนเองที่บัดนี้นูนขึ้นจนเห็นได้ชัด

“มิได้ใหญ่จนอุ้ยอ้ายสักหน่อย ไม่เป็นอันใดหรอก เราขอบน้ำใจพี่นักแล้วที่เป็นห่วง แต่พี่เกษวดีจ๋า เร่งตามอศิระไปเถิดพี่  อย่าพะวงด้วยเราเลย ตรงนี้มีพี่ปทุมวดีอยู่ทั้งคน และอีกประเดี๋ยวมธุก็ตามมาแล้ว”

“แต่ว่า...” เกษวดีอิดออด พระนางจามเทวียิ้มอ่อนโยน มือเรียวทอดวางลงบนไหล่ของนางพี่เลี้ยงผู้ภักดี

“ไปเถิด เพลานี้พวกเรามีกันเท่านี้เอง อย่าให้มีเรื่องใดต้องผิดพ้องหมองใจกันเลยนะพี่ มีอศิระอยู่เคียงใกล้เช่นนี้ดีนักแล้ว พี่อย่าดื้อกับความรู้สึกตัวเองเลย”

เกษวดีก้มหน้าลงนานครั้งที่นางจะจนต่อคำพูดเช่นนี้ ปทุมวดีเงยหน้าขึ้นมองสบตาด้วยพระแม่เจ้า ก็เห็นดวงตาคมคู่นั้นทอดมาที่ตนอยู่ก่อนแล้ว รอยหม่นในแววตาทำให้คนที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกันเข้าใจเป็นอย่างดี นางพยักหน้ารับแล้วบอกสหายเสียงอ่อนว่า

“เกษวดี เจ้าอยู่ตัวคนเดียวมาเนิ่นนานแล้ว ต่อวันหนึ่งได้พบพานอศิระ ชายที่ข้าหรือใครต่างก็มองออกว่ารักเจ้ายิ่งนักอยู่เคียงใกล้เยี่ยงนี้ย่อมประเสริฐนักแล้ว เจ้าจักยอมปล่อยให้อศิระเดินจากเจ้าไปฤๅ ขึ้นชื่อว่าสุข มันอยู่กับเราไม่นานหรอกหนา เพลานี้มีสุขก็จงตักตวงเอาไว้เถิด”

“ข้อนั้นข้ารู้ แต่ข้ากลัวนัก”

เสียงตอบแผ่วเบาราวมิใช่เกษวดี คนฟังทั้งสองหันมาสบตากันอีกคำรบหนึ่งเหมือนไม่แน่ใจว่าตนเองหูฝาดไปเองหรือไม่ ที่อยู่ๆ เกษวดีผู้ไม่เกรงกลัวผู้ใดหรือสิ่งใดพูดจาเช่นนี้ คนพูดเงยหน้าขึ้นมองสตรีต่างฐานันดรทั้งสอง รอยหวั่นไหวในแววตาปรากฏชัดเจน

“พี่เกษวดีของน้อง พี่เกรงกลัวสิ่งใด วานบอกน้องเถิด”

      พระนางจามเทวีถามเสียงอ่อน คำเรียกขานแทนตนเองที่เปลี่ยนไปสำแดงถึงความผูกพันของคนทั้งสามเป็นอย่างดี ต่อหน้าข้าราชบริพารคนอื่น หรือแม้แต่กับมธุและจันทรีเอง พระแม่เจ้ามิเคยแทนตนดั่งนี้ ตราบเมื่อใดได้อยู่กันตามลำพังแท้จริงแล้วไซร้ จึงละวางฐานะตนเป็นเพียงน้องน้อยของพี่สาวทั้งสองคน

“ข้า...” เกษวดีพูดไม่ออก พระนางจามเทวีนึกรู้ในบัดดลว่าเป็นด้วยเหตุใดแน่

“กลัวการพลัดพรากหรือพี่ พี่กลัวเป็นเช่นน้องฤๅ อย่ากลัวเลย ชีวิตคนเรานั้นใช่มีสิ่งใดจีรังแน่นอน มีพบย่อมมีพรากเป็นธรรมดาเพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น เช่นที่พี่ปทุมวดีพูดไปเมื่อครู่ ยามสุขก็จงตักตวงเอาไว้ เพื่อว่าเมื่อถึงคราวต้องจาก เราจักได้มีสิ่งนั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ”

ปลายเสียงสะท้านด้วยความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้มาเนิ่นนาน ที่ผ่านมาพระนางไม่เคยพูดถึงบดีสักคำเดียว ราวกับว่าตัดใจจากเจ้าชายรามราชได้เด็ดขาด จวบเพลานี้สองพี่เลี้ยงจึงได้รู้ว่าพระนางเธอซ่อนความเศร้าไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดแห่งใจ การพูดถึงบดีครานี้จึงไม่แตกต่างกับการกวนตะกอนที่จมอยู่ใต้น้ำใสให้ฟุ้งขึ้นมา ปทุมวดีเอื้อมมือแตะเข่านายสาวพลางเอ่ยปลอบโยนอย่างเห็นใจยิ่งแล้ว

“พระแม่เจ้า ไยพูดเช่นนั้นเล่า พระแม่เจ้าเพียงจากเป็นใช่จากตาย จักอย่างไรก็ต้องได้พบพระมหาอุปราชท่านอีก”

“เมื่อใดฤๅพี่ ก้าวแรกที่เดินออกจากแผ่นดินลวปุระนั้น น้องก็รู้ชัด น้องไม่อาจหวนคืนแผ่นดินเกิดได้อีกแล้ว”

“เพราะระยะทางฤๅ พระแม่เจ้า”

“ไม่ใช่ ลำพังระยะทางเพียงเท่านี้ฤๅเป็นอุปสรรคกั้นขวาง อย่างอื่นต่างหากเล่า อย่างอื่นที่พวกเรารู้อยู่แก่ใจ น้องไม่ประสงค์ให้แผ่นดินลวปุระต้องลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกคำรบ”

พระนางจามเทวีพูดเพียงนั้นเอง นัยน์ตาคมคู่นั้นมีแววเหม่อทอดมองระลอกคลื่นเล็กๆ ที่สะท้อนแสงแดดยามเย็นเป็นสีทองสวย ลมแม่น้ำพัดชายเอื่อยพอสบาย ทว่าสำหรับคนที่จำต้องนิราศแผ่นดินถิ่นเกิดมากลับหนาวลึกจับขั้วหัวใจขอบตาที่เริ่มผ่าวร้อนเรียกสติสัมปชัญญาแห่งพระนางกลับคืนมา แล้วบังคับน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอให้ไหลย้อนกลับเข้าไปตกอยู่ในอกไม่ยอมให้ผู้ใดได้เห็น




ไก่ป่าย่างหอมกรุ่นบรรจุกระทงใบตองถูกยื่นส่งมาตรงหน้า คนที่นั่งกอดเข่าหน้ามุ่ยมองไล่ตามมือขึ้นไป พอเห็นว่าเป็นใครก็เมินหน้าฉับไปทางอื่นทันที ทำเอาคนที่มาง้องอนถอนใจใหญ่ ถ้าเป็นแต่ก่อนนี้เกษวดีคงเดินหนีไปแล้ว แต่พอคิดว่าที่อศิระกลายเป็นผู้ชายแสนงอนก็เพราะตนเองโดยแท้ คิดเสียว่าอศิระเอาคืนนางบ้างก็แล้วกัน ร่างบางทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าแล้วแกล้งยื่นกระทงไก่ไปรอใต้จมูกผู้ชายแสนงอน พลางพูดเสียงอ่อนลง

“ไม่หิวหรืออศิระ ข้าเอามาให้ กำลังร้อนๆ เทียว”

“ยังไม่หิว” ไม่ใช่แค่หน้าที่สะบัดหนี เสียงตอบยังพลอยสะบัดไปด้วย

“อศิระ”

เกษวดีพ้อ เกิดมาเว้นแต่พระแม่เจ้าแล้วนางยังไม่เคยต้องง้อผู้ใด เสียหน้ายังไม่เท่าไร เสียน้ำใจสิยิ่งกว่า โดยเฉพาะกับชายผู้เป็นเจ้าของหัวใจอยู่ก็มาเมินเฉยเช่นนี้ จะไม่ให้รู้สึกรู้สาอย่างไรได้

'เชื่อน้องเถิดพี่เกษวดี ตามไปขอษมาอศิระเสีย คนรักกัน อย่างไรก็ต้องอภัย แล้วต่อไปอย่าได้แสร้ง:-)ไสไล่ส่งอศิระอีกเลย ยอมรับใจตนเองเถิดพี่ ขึ้นชื่อว่ารักเสียแล้ว ยากนักจักหนีได้พ้น'

ถ้อยวาจาพระนางจามเทวีแว่วเข้ามาในห้วงคำนึง เกษวดีสูดลมหายใจลึกยาวเพื่อเรียกกำลังใจตนเองกลับคืนมา แต่ก็ต้องใจแป้วไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบห้วนๆ จากอีกฝ่าย

“กลับไปดูแลพระแม่เจ้าเถิดเกษวดี”

“ปทุมวดีทำหน้าที่อยู่แล้ว ข้าจึงมาหาเจ้า”

เกษวดีทอดเสียงอ่อนลง พยายามไถ่โทษเต็มที่ ทว่าหัวหมู่อศิระกลับไม่หันมามองนางสักนิดเดียว จนคนฟังเริ่มหน้าเสีย นางมองกิริยาที่อศิระทำประหนึ่งนางเป็นอากาศธาตุแล้วก็เจ็บลึก พระแม่เจ้าบอกว่าคนรักกันก็ต้องให้อภัยกันมิใช่หรือ ฤๅอศิระจะมิได้เป็นเช่นนั้น หากใช่ เกษวดีก็ขอยอมพ่ายแพ้แต่เพียงนี้เถิด  

“ได้ หากชังข้าเสียแล้ว ข้าก็จักไม่มาให้เห็นหน้าอีก วางใจเถิด”

นางพี่เลี้ยงสาววางของในมือแล้วลุกขึ้นเดินกลับไปเงียบๆ อศิระเหลียวมองตาม เมื่อแรกก็คิดว่านางจะย้อนกลับมาหาอีก แต่พอเกษวดีไปแล้วไปลับ ชายหนุ่มก็ใจหายวาบไม่คิดว่าเกษวดีจะยอมแพ้ง่ายๆ ผิดวิสัยเช่นนี้ ทั้งคำพูดก่อนจากไปก็ไม่มีเค้าแง่งอนเช่นทุกครา  เกษวดีไม่เคยพูดเล่น ถ้านางทำจริงดังที่ลั่นวาจาเล่า...

ร่างสูงลุกพรวดขึ้นทันที แล้วออกวิ่งตามหลังนางอันเป็นที่รักที่ก้าวเร็วๆ จากไปด้วยหัวใจที่ร้อนรน เขาไม่มีวันยอมให้เกษวดีต้องเดินออกไปจากชีวิตง่ายๆ แน่ ที่สู้ทนลำบากมาเมืองเหนือครานี้ก็เพื่อสตรีสองนางเป็นสำคัญ คนหนึ่งนั้นเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเป็นมิ่งขวัญของชีวิต ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นวางไว้แนบดวงใจ  



เสียงฝีเท้าหนักๆ วิ่งตามหลังมา ทำให้เกษวดีต้องเร่งจ้ำหนีเร็วขึ้นอีก เพลานี้นางไม่อยากฟังถ้อยคำตัดรอนใดๆ จากปากของอศิระอีกแล้ว แต่แล้วนางก็ต้องสะดุ้งขึ้นทั้งตัวแล้วเลยแข็งค้างทำอะไรไม่ถูก เพราะวงแขนแกร่งที่ตวัดรัดร่างนางจากทางด้านหลังจนนางพี่เลี้ยงสาวเสียหลักเข้าปะทะอ้อมอกหนาเต็มแรง หากไร้เสื้อที่อศิระสวมอยู่เนื้อต่อเนื้อย่อมแนบชิด แต่ดูเหมือนว่าจะมีผ้ากั้นกลางหรือไม่ก็ไม่ต่างกันเสียแล้ว เกษวดีรู้สึกถึงความร้อนที่ระอุมาจากอศิระ และ...ผิวเนื้อหน้าอกเบื้องซ้ายที่เต้นตุบตามการเต้นของหัวใจชาย

“อย่าเพิ่งไปเกษวดี อยู่ก่อนเถิดแม่เอ๋ย” เสียงทุ้มเจือหอบน้อยๆ กระซิบอยู่ข้างหู “อศิระไม่เคยชังเกษวดีเลย ไม่ว่าเมื่อนี้หรือเมื่อหน้าก็ตาม”

“ปล่อยข้าเถิด เกิดใครมาเห็นเข้าจักไม่งาม”

เกษวดีบอกและพยายามดิ้นให้เป็นอิสระ ชายหนุ่มไม่รู้ว่านางอันเป็นที่รักต้องพยายามสักเท่าใด กว่าจะพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับใจออกมาเช่นนี้ เขาสำคัญว่านางหมายความตามนั้นจริง จึงยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก

“ไม่ปล่อย ปล่อยให้เจ้าเดินหนีข้าไปอีกหรือไร”

“เจ้าไม่อยากเห็นหน้าข้าแล้วมิใช่ฤๅ”

“ถ้าไม่อยากจักวิ่งตามมาฤๅไร แม่เอย แม่มิได้แจ้งใจอศิระคนนี้เลยฤๅ ว่ารักแม่ปานใด”

เกษวดีนิ่งงันกับคำบอกรักทื่อๆ แต่ออกมาจากใจจริงของอศิระ วูบหนึ่งที่อยากทำตามใจตนด้วยการปล่อยให้ชายหนุ่มกอดจนพอใจ แต่ขนบธรรมเนียมที่นางใช้เป็นกำแพงป้องกันความหมองมัวแห่งสตรีก็กลับกระตุ้นเตือนให้นางรู้ถึงความควรไม่ควร

“อศิระ ข้าขอเถิด ปล่อยข้า”

“ไม่!”

“อศิระ...พี่อศิระปล่อยเกษวดีเถิดพี่ อย่าให้เกษวดีต้องอายคนเลย”  

อศิระชะงักไปนิดหนึ่งก่อนยอมปล่อยนางตามประสงค์ มิใช่เพราะคำพร่ำวอนนั้น แต่เป็นที่คำเรียกขานต่างหาก

“เรียกข้าว่ากระไรนะเกษวดี”

“พี่อศิระ”

นางข้าหลวงผู้เคร่งต่อธรรมเนียมก้มหน้าบอกเสียงเบาอย่างขัดเขิน อศิระยืนนิ่งมองคนตรงหน้าอย่างปีติใจหนักหนา ไม่ต้องใช้ถ้อยคำใดมากมายเลย เพียงเท่านี้เขาก็รู้แจ้งถึงใจนางแล้ว ว่ามันต้องตรงกันกับใจของเขาแน่แท้  

“เกษวดี นี่เจ้า...”

เขาพูดได้เท่านั้น มือเรียวก็ยกขึ้นผลักอกเขาเต็มแรง แล้ววิ่งหนีกลับไปยังที่พักของตนเองอย่างขวยใจเต็มที คราวนี้อศิระยืนยิ้มมองตามหลังนางไปอย่างเป็นสุข ไม่ตามนางไปอีกเพราะรู้ นับจากเพลานี้ไปเขาไม่จำต้องวิ่งตามอีกแล้ว ด้วยเกษวดียินยอมให้เขาเดินเคียงคู่กับนางไปจนตลอดชีวิต


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 19:23:40




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com