Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ใจเอย... บทที่ ๑๘ ติดต่อทีมงาน

จบแล้วจ้า \(^^)/

คุณ Psycho man: ใจเย้นเย็นนะค้า ^^'

คุณ N_Foxtrot: พลิกตามคาด เอ๊ะ!

บทที่ ๑-๗ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11983207/W11983207.html
บทที่ ๘ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11983317/W11983317.html
บทที่ ๙ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12022148/W12022148.html
บทที่ ๑๐ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12053256/W12053256.html
บทที่ ๑๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12093651/W12093651.html
บทที่ ๑๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12149869/W12149869.html
บทที่ ๑๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12211282/W12211282.html
บทที่ ๑๔ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12250978/W12250978.html
บทที่ ๑๕ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12307949/W12307949.html
บทที่ ๑๖ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12347103/W12347103.html
บทที่ ๑๗ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12387758/W12387758.html

% ====================

๑๘.

โรงพยาบาลเป็นสถานที่ซึ่งไม่โสภานัก หากแต่ก็เป็นความหวังสำหรับผู้เจ็บป่วย

รมัณยานั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ซุกหน้าลงกับมือทั้งสอง ...เป็นอีกครั้งแล้วที่เธอต้องมาที่นี่ หน้าห้องนี้ อยู่ในสภาวะที่ต้องร้อนรน มีแต่ความทุรนทุรายในจิตใจ

เธอค่อยๆ ยืดกายขึ้น แหงนหน้ามองเพดาน แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังท้องฟ้าอันมืดมัว ...ใครหนอข้างบนนั้น ช่างกำหนดให้ชีวิตเธอต้องพบเจอแต่เรื่องทุกข์โศก เรื่องเศร้า ให้จิตใจของเธอต้องกระวนกระวายไม่หยุดหย่อน

"ไม่เป็นไรน่า พิมานต้องไม่เป็นอะไร" นภสินธุ์พูดจาปลอบ หากแต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก รมัณยาเพียงยิ้มนิดหนึ่ง แล้วนั่งจมกองทุกข์ต่อไป

"เรารู้ นภ..." ในที่สุดเธอก็เอ่ยออกมา "เรารู้ว่าเขาเป็นธาลัสซีเมีย แต่เขาไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้ เขาไม่เคยต้องให้เลือด แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงแบบนี้ล่ะ"

นภสินธุ์นิ่งไป จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนมือไปจับบ่าเพื่อน อ้อมแอ้มบอก "ความจริง... พิมานเคยให้เลือดมาแล้วครั้งหนึ่ง"

"ว่าไงนะ" รมัณยาถามย้ำด้วยความตื่นตกใจ น้ำเสียงของเธอทั้งแผ่วทั้งเบา

"ตอนที่เราบอกเขา เรื่องที่นายถูกแม่พากลับเมืองไทย เขาก็เป็นลมแบบนี้ แล้วสุดท้ายก็ต้อง...ให้เลือด"

"แล้วทำไมนายไม่บอกเรา" รมัณยาเริ่มส่งเสียงดังขึ้น

"พิมานไม่ให้เราบอก เขาไม่อยากให้นายเป็นห่วง อยากให้นายจากมาโดยไร้กังวล"

ดวงตารมัณยาชุ่มน้ำอีกครั้ง เธอยกมือทั้งสองปิดหน้า "เราทำผิดต่อเขา เราบอกว่าจะดูแลเขา แต่สุดท้ายเราก็ทิ้งเขามา" น้ำเสียงของเธอยิ่งฟังยิ่งปวดร้าว ราวกระจกที่ถูกกรีด

"อย่าโทษตัวเองสิ ตอนนั้น นายขัดแม่ไม่ได้นี่"

"ไม่ นภ คราวนี้เราจะไม่ทำผิดอีก เราจะบอกแม่ เราจะต้องทำตามสัญญา ดูแลพิมานตลอดไป"

เธอว่าแล้วก็ลุกเดินออกจากบริเวณนั้น สวนกับตฤษณะที่กำลังถือแก้วกาแฟเย็นมาสามแก้ว

"มีอะไร" เขาถาม สีหน้าสงสัย

นภสินธุ์ยิ้ม พลางยื่นมือรับแก้วกาแฟมาแก้วหนึ่ง "มีคนจะก่อกบฏ"

% ###

"คุณหมอหมายความว่ายังไงคะ" รมัณยาร้องถามเสียงสั่น หลังจากรับทราบอุปสรรคในการรักษาพิมานจากหมอแล้ว

"คนไข้มีเลือดหมู่เอบี ซึ่งเป็นหมู่ที่ทางโรงพยาบาลกำลังขาดแคลนอยู่ ดังนั้นหมอจึงอยากถามว่าญาติคนไข้คนไหนมีเลือดหมู่นี้ และต้องการบริจาคให้คนไข้บ้าง" หมอตอบเสียงเนิบ

"เอาเลือดหนูแทนได้มั้ยคะ เลือดหนูหมู่โอ น่าจะให้ได้" รมัณยาเสนอ

หมอส่ายศีรษะ "ไม่ได้หรอกหนู"

"ทำไมล่ะคะ"

"ปกติการให้เลือด ควรจะเลือกหมู่ที่ตรงกัน ยิ่งคนไข้เป็นธาลัสซีเมีย ยิ่งต้องระวังมากเป็นพิเศษ"

"หมอครับ อธิบายอีกนิดได้มั้ยครับ ผมไม่เข้าใจ" นภสินธุ์ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยกัน บอกออกมา

"คืออย่างนี้นะ ถ้าอธิบายง่ายๆ ก็คือ เลือดของหนู หมู่โอ จะมีสารบางอย่างที่เรียกว่าแอนติบอดีเอและบีอยู่ในน้ำเลือด ซึ่งถ้าหนูให้เลือดกับคนไข้ ที่มีหมู่เอบี บนเม็ดเลือดแดงของเขาจะมีแอนติเจนเอและบี เจ้าแอนติบอดีในเลือดของหนูก็อาจจะไปทำลายเม็ดเลือดแดงของคนไข้ ยิ่งโดยเฉพาะคนไข้เป็นธาลัสซีเมีย เม็ดเลือดแดงของคนไข้ถูกทำลายเร็วอยู่แล้ว ยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่"

รมัณยากับนภสินธุ์พอฟังแล้ว ต่างคนต่างมองหน้ากัน ญาติๆ ของพิมานล้วนอยู่ต่างประเทศ แล้วเขาจะหาคนที่มีเลือดหมู่เอบีมาจากไหน...

% ###

ซึ่งความจริงแล้ว คนที่มีเลือดหมู่เอบีนี้ แม้จะหายาก แต่ใช่ว่าเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร

"เข้าใจแล้ว จะลองถามให้นะ" ศาสตรากรอกเสียงลงในโทรศัพท์ ก่อนกดตัดสัญญาณ จากนั้นจึงหันกลับมามองเพื่อนๆ ที่กำลังใช้เวลายามดึกอยู่ภายในบริเวณห้องนั่งเล่น แล้วสายตาของเขา ก็ปักตรึงอยู่ที่รามภณซึ่งกำลังนั่งซึมกระทืออยู่ที่โซฟา

"มีอะไรวะ" วสวัตติ์ส่งเสียงถาม เมื่อเห็นสีหน้าของศาสตรา

"วีรินทร์โทรมา บอกว่าพิมานต้องการเลือดด่วน หมู่เอบี..."

สิ้นคำของศาสตรา ทุกคนก็หันมองรามภณเป็นตาเดียวเช่นกัน หากแต่เจ้าตัวกลับทำไม่รู้ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

"ไอ้ภณ" ศาสตราพูดขึ้น "ข้ายังไม่ได้บอกพวนั้นนะ ว่าเอ็งมีเลือดหมู่เอบี เอ็งจะช่วยหรือไม่ช่วยก็เรื่องของเอ็ง แต่ข้าบอกไว้ก่อน คนกำลังจะตายนะโว้ย"

รามภณไม่ได้พูดตอบอะไร เขาเพียงผุดลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบกริบ

"เอ็งว่าไอ้ภณจะช่วยมั้ยวะ" ธาวินหันไปถามวสวัตติ์ หากแต่เพื่อนกลับส่ายหน้า

หลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเขารู้ใจเพื่อนดีแค่ไหน ไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเพื่อนจะใจกว้างพอที่จะช่วยเหลือศัตรูหัวใจของตัวเองหรือไม่

% ###

รามภณกลับเข้าห้องนอน ปิดประตู แล้วกดล็อก ราวกับกลัวใครจะเปิดเข้ามาเห็นความสับสนและอ่อนล้าในจิตใจเขา

คนกำลังจะตาย... เขาควรจะช่วยหรือ ในเมื่อคนที่พูดถึงนั้นคือคนที่แย่งหัวใจของเขาไป

แย่ง... หรือจะเป็นเขาเองที่แย่งเธอมา

ชายหนุ่มทรุดร่างลง หันหลังพิงประตู เหม่อมองไปยังภาพวาดซึ่งแขวนอยู่ที่ผนังอีกด้าน... ภาพที่รมัณยาวาดให้เขา

...ยังมีอีกภาพ ที่เธอวาดให้วสวัตติ์

เพื่อนของเขาเองก็ชอบรมัณยา แต่เขาเป็นคนยื้อเธอมาได้ แล้วตอนนี้ล่ะ...

จริงสิ ตอนนั้น ตอนที่รู้ว่าเขากับรมัณยาคบกัน วสวัตติ์จะรู้สึกแบบเดียวกันนี้รึเปล่า วสวัตติ์...จะเจ็บปวดแบบที่เขาเป็นอยู่นี่หรือไม่

ยังมีศาสตราอีกล่ะ...

ศาสตรามันพยายามทำกลบเกลื่อน แถมยังหาทางช่วยยาให้อยู่ใกล้เอ็ง... เสียงภวาภพดังขึ้นในห้วงความคิด ...สำหรับศาสตรา ขอแค่ยามีความสุขก็พอใจแล้ว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเห็นแก่ตัวขนาดนี้เชียวหรือ เขาไม่ได้สนใจความรู้สึกของเพื่อนเลยสักนิด ไม่ว่าจะวสวัตติ์ หรือศาสตรา ทุกคนต้องเจ็บปวดเพราะเขา

...ยังมีรมัณยาอีก ตลอดเวลาที่คบกัน เธอรู้สึกอย่างไร เขาไม่เคยรู้เลย

นึงมาถึงตรงนี้แล้ว รามภณก็ได้แต่หลับตา ปล่อยให้น้ำตาที่เอ่อท้นอยู่ไหลลงมาทางหางตา ...เขาจะทำอย่างไรดี

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง หน้าประตูมีเสียงก้าวหนักๆ ดังขึ้น จากนั้นจึงมีเสียงพยายามบิดลูกบิดประตูห้องเขา เมื่อไม่เป็นผล จึงมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

รามภณตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน หันกลับไปยังประตู เอื้อมมือจับลูกบิด จากนั้นจึงหยุดนิ่ง ตามองค้างอยู่ที่ลูกบิดประตูครู่หนึ่ง ...ใครกัน ศาสตราหรือวสวัตติ์

"ไอ้ภณ ข้าเอง" เสียงภวาภพดังขึ้น เป็นคำตอบ รามภณจึงบิดลูกบิดประตู เปิดให้เพื่อนของเขาเข้ามา

"มีอะไร"

"พรุ่งนี้พวกข้าจะไปเยี่ยมพิมานกัน ยากับภาก็จะไปด้วย เอ็งจะไปรึเปล่า"

รามภณก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาเบาๆ "ข้ายังไม่พร้อม"

"ก็ตามใจเอ็ง" ภวาภพบอก จากนั้นหยุดนิดหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นอีก "ไอ้วัตติ์ก็ไปด้วยนะ"

รามภณย่นคิ้ว ...วสวัตติ์ ทำไมเพื่อนจึงยังคิดจะไปเยี่ยมพิมาน ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ก็เป็นศัตรูหัวใจของเขาเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ก่อนหน้านี้วสวัตติ์ก็ยังทนมองเขากับรมัณยา จูงมือไปไหนต่อไหนด้วยกัน ทำไมถึงยังทน...เพื่อนทนได้อย่างไร

ภวาภพทำท่าว่าจะเดินออกจากประตู หากแต่เสียงรามภณฉุดเขาไว้ครู่หนึ่ง

"ข้า...ยังไม่แน่"

คำว่า 'ยังไม่แน่' แสดงว่ายังมีแนวโน้มที่จะไปมากกว่า 'ยังไม่พร้อม'

ภวาภพได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะก้าวออกจากห้องไปโดยไม่ปิดประตู

เมื่อได้ยินเสียงภวาภพเดินกลับเข้าห้องตัวเองไปแล้ว รามภณก็เดินออกจากห้องตัวเองบ้าง จุดมุ่งหมายคือห้องของวสวัตติ์

ชายหนุ่มหยุดรีรออยู่ที่หน้าห้องของเพื่อนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจยาว แล้วหันหลัง ชักเท้าจะก้าวกลับห้องของตัวเอง หากแต่ประตูห้องของวสวัตติ์กลับเปิดออกเสียก่อน

"อ้าว ไอ้ภณ" คนผมยาวร่างใหญ่ร้องทักขึ้น "มายืนทำอะไรหน้าห้องข้าวะ"

"เปล่า" รามภณหันกลับมาตอบพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วจึงหันหลังก้าวไปต่อ

"เดี๋ยวสิวะ ข้ากำลังจะเอาดีวีดีไปดูที่ห้องศาสตรา ไปด้วยกันรึเปล่า" วสวัตติ์ถาม แต่ไม่ได้รอรับคำตอบ ก็คล้องคอเพื่อน ลากไปยังห้องศาสตรา

อาจจะเพราะศาสตรารอเพื่อนของเขาอยู่แล้ว หรือเป็นเพราะนิสัยเปิดเผย ไม่เคยล็อกประตูห้องของตัวเอง ดังนั้นเมื่อวสวัตติ์เคาะประตูห้อง เขาจึงบอกให้เปิดเข้าไปได้เลย

"ไอ้ภณมาด้วยเหรอ ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเพื่อนช่วยหลอน ไอ้วัตติ์มันเช่าหนังผีมาแล้วดันไม่กล้าดูคนเดียว ปอดแหกชะมัด" ศาสตราโพล่งออกมา เมื่อเห็นสีหน้าอมทุกข์ของเพื่อน

รามภณได้ยินแล้วต้องยิ้มออกมา เขาจำได้ วสวัตติ์ ประธานชมรมยิงธนู ร่างใหญ่ ใจโต แต่กลับกลัวผี ยิ่งกว่าใครในกลุ่ม

"ไม่ผิดกฏหมายนี่หว่า" วสวัตติ์ท้วง

"เอ่อ ข้า...ไม่ได้จะมาดูหนัง" รามภณเอ่ยขึ้นในที่สุด "ข้าแค่..."

เพื่อนนักกีฬาทั้งสองคนหันกลับมามองเขา รอคอยในสิ่งที่เขากำลังจะพูด หากแต่ชายหนุ่มกลับเอาแต่ก้มหน้านิ่ง

"มีอะไรวะไอ้ภณ" ศาสตราถาม

"ข้าแค่จะมา...ขอโทษพวกเอ็ง" เขาตอบ พลางเงยหน้ามองเพื่อนทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปวดร้าว "ขอโทษ ที่ข้าทำให้พวกเอ็ง...ต้องเจ็บ"

วสวัตติ์เดินเข้ามา เอื้อมมือตบบ่าเพื่อนเบาๆ "เอ็งไม่จำเป็นต้องขอโทษ ไอ้ภณ เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้"

"แต่ข้าไม่เคยคิดถึงพวกเอ็งเลย ไอ้วัตติ์ เอ็งชอบรมัณยา แต่ข้าก็..."

"ช่างมันเถอะน่า" วสวัตติ์ตัดบท "ยังไงรมัณยาก็ไม่ได้ชอบข้าอยู่แล้วนี่ อีกอย่าง ตอนที่เอ็งอยู่ในห้องฉุกเฉินนั่น ข้าถึงรู้ว่า ข้าเสียรมัณยาได้ แต่เสียเพื่อนไปไม่ได้"

คำพูดสวยๆ ซึ้งๆ จากปากของเพื่อน ทำเอาดวงตาของรามภณชุ่มไปด้วยหยาดน้ำอีก

"เฮ้ย ศาสตราดูสิ ร้องไห้เป็นตุ๊ดเลยว่ะ" วสวัตติ์หยอก จากนั้นทั้งสามคนจึงพากันหัวเราะออกมา

"ศาสตรา" รามภณพูดขึ้นอีก "ข้าก็ขอโทษเอ็งด้วย ที่ไม่เคยสนใจเลยว่าเอ็งชอบยา ข้าควรจะช่วยเอ็ง มากกว่าให้เอ็งมาช่วยข้า"

"เฮ้ย...ข้าไม่ได้ช่วยเอ็ง ข้าช่วยยาต่างหาก" ศาสตราปฏิเสธ "แต่ในที่สุด ตอนนี้ยาก็ยอมคบกับข้าแล้ว" เขาบอก พร้อมกับรอยยิ้มกว้างแสนเบิกบาน

"แต่ตอนนั้น เอ็งก็ต้องเจ็บปวด"

"ข้าไม่ได้เจ็บปวดเลย" ศาสตราปฏิเสธอีก "ข้าเห็นยามีความสุข ไม่ว่าจะเพราะอยู่ใกล้ใครก็ตาม แค่นั้น...ข้าก็มีความสุขแล้ว"

...จริงสิ เขาควรจะดีใจ ที่เห็นคนที่รักมีความสุข

"พรุ่งนี้ พวกเอ็งจะไปเยี่ยมพิมานกันใช่มั้ย" รามภณถามขึ้นอีก "ข้า...จะไปด้วย"

% ###

วสวัตติ์ทำหน้าที่เป็นสารถึแทนรามภณในเช้าวันต่อมา เนื่องจากเพื่อนๆ ทุกคนลงความเห็นว่าเขายังไม่พร้อมที่จะขับรถในเวลานี้

ดังนั้น ทั้งหมด ยกเว็นศาสตรา จึงโดยสารรถคันเดียวกันไปรับนฤตยาและภารดีที่บ้าน ส่วนศาสตราขับมอเตอร์ไซค์ตามไป เมื่อรับสองสาวมาแล้ว ธาวินก็ถูกเขี่ยลงจากรถ ไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ของศาสตราแทน

ทันทีที่รถอเนกประสงค์สีฟ้า เคลื่อนไปถึงยังใต้อาคารจอดรถ ข้างอาคารผู้ป่วยในของโรงพยาบาลแล้ว พวกเขาก็ต้องสะดุดกับภาพตรงหน้า

รมัณยากำลังถูกหญิงกลางคนผู้หนึ่งฉุดดึงแขน ลากถูลู่ถูกังออกมาจากอาคารผู้ป่วยใน เมื่อมาถึงหน้าอาคารแล้ว เธอสะบัดแขน หลุดจากการยื้อยุด จากนั้นการโต้เถียงกันก็เริ่มขึ้น

ทั้งสองหนุ่มและสองสาวเห็นเช่นนั้นแล้วจึงพากันลงจากรถ ปล่อยให้วสวัตติ์ขับไปหาที่จอดให้เรียบร้อย ส่วนพวกเขาวิ่งตรงไปยังรมัณยา รามภณถึงกับเข้าไปยืนกันระหว่างคนทั้งสองไว้

"มีอะไรกันหรือครับ" รามภณหันไปถามหญิงกลางคนอย่างสุภาพ

หญิงกลางคนซึ่งแม้จะแต่งกายอย่างเรียบง่ายด้วยเครื่องประดับน้อยชิ้น หากยังคงความสง่าเฉกเช่นนางพญา กระชากเสียงตอบ

"ถอยไป พวกเธอไม่เกี่ยว!" จากนั้น เธอก็ก้าวเข้ามา หมายจะฉุดลากรมัณยาไปอีก หากรามภณกลับยังคงขัดขวาง ยื่นมือคว้าข้อแขนของหญิงกลางคนไว้

"อย่ามายุ่งนะ ฉันจะพาลูกสาวฉันกลับบ้าน!"

"ลูกสาว!" ทุกคนร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้ยินเธอกล่าว จากนั้นนฤตยากับภารดีก็พากันยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม อีกสองหนุ่มจึงทำตามบ้าง เมื่อแม่ของรมัณยาเห็นเช่นนั้นแล้วจึงยกมือรับไหว้นิดหนึ่ง อารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อครู่คลายลงไปเล็กน้อย

"สวัสดีค่ะ คุณน้า หนูขอเรียกคุณน้านะคะ" นฤตยาทักทายอย่างสุภาพอ่อนน้อม พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร "พวกเราเป็นเพื่อนรมัณยาค่ะ ขอโทษนะคะ ที่เมื่อครู่เสียมารยาท"

ระหว่างนั้นเองที่ศาสตรากับธาวิน ซึ่งขับมอเตอร์ไซค์ตามมา รวมทั้งวสวัตติ์ที่จอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้ววิ่งตามมาสมทบ

แม่ของรมัณยายืดคอ เชิดคางขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงแข็ง "ไม่เป็นไร"

"ว่าแต่ คุณน้ากับรมัณยา มีอะไรกันหรือคะ" นฤตยาหยุดเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวต่อ "คือ...ขอโทษนะคะ หนูเห็นเหมือนกับทะเลาะกันน่ะค่ะ"

"ก็จะอะไรซะอีกล่ะ" แม่ตอบเสียงดัง "ยายลูกสาวตัวดีนี่น่ะสิ ไม่กลับบ้านกลับช่องมาสองวันแล้ว มัวแต่มาเฝ้า..." แม่ตัดจบเพียงแค่นั้น เพราะเมื่อนึกถึงคำที่จะพูดต่อไป กลับรู้สึกกระดากขึ้นมา

"แต่แม่คะ" รมัณยาซึ่งนิ่งเงียบมาครู่หนึ่งแล้ว พูดขึ้นบ้าง "หนูไม่ไปไหนทั้งนั้นนะคะ หนูบอกแม่แล้ว หนูทิ้งพิมานไม่ได้"

คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงทำร้ายจิตใจของผู้เป็นแม่ ยังเสียดแทงจิตใจรามภณด้วย

"ยายลูกไม่รักดี!" แม่ตะคอก พร้อมกับง้างฝ่ามือขึ้น หากแต่วสวัตติ์คว้าข้อมือเธอไว้ได้ ฝ่ามือนี้จึงไม่ได้ตบฉาดลงไป ซึ่งอันที่จริง หากแม่ของรมัณยาลงมือจริง ฝ่านี้คงไม่ได้สัมผัสใบหน้าลูกสาว หากแต่เป็นใบหน้ารามภณซึ่งยืนกันอยู่เสียมากกว่า

"ค่อยๆ พูดจากันดีกว่าครับ" วสวัตติ์บอก ยังคงยึดข้อมือแม่ไว้

"พูดอะไร ฉันไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว" แม่ว่า "คอยดูนะ คราวนี้ฉันจะขังแกอยู่กับบ้าน ไม่ต้องไปเรียนมันแล้ว งานเต้นกินรำกินที่ผับนั่นก็อย่าหวังว่าจะได้ทำอีกเลย"

"แต่แม่..." รมัณยาร้อง หากยังไม่ทันจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ก็รู้สึกว่ามีมือน้อยๆ ข้างหนึ่งกระตุกแขนเธอไว้

นฤตยาซึ่งฟังเรื่องของรมัณยากับพิมานมาจากศาสตราบ้างแล้ว จึงพอจะเดาเหตุการณ์ออก หันมาส่ายหน้ากับรมัณยาเป็นสัญญาณว่า เธอยังไม่ควรพูดอะไรตอนนี้ จากนั้นนฤตยาจึงก้าวเข้าไปหาแม่

"คุณน้าคะ หนูขอคุยอะไรด้วยได้มั้ยคะ"

"คุยอะไร คุยตรงนี้ก็ได้"

นฤตยากวาดมองเพื่อนๆ ที่รุมล้อมอยู่ จากนั้นจึงหันมายิ้มให้กับแม่ "ตรงนี้ไม่สะดวกค่ะ เชิญทางนี้ดีกว่า"

น่าแปลกที่แม่ของรมัณยาเดินตามนฤตยาไปอย่างว่าง่าย ราวกับไฟร้อนที่กำลังลุกโหมเมื่อครู่พลันริบหรี่ลงเหลือเพียงเปลวย่อมๆ ที่ปลายเทียน

"เป็นยังไงล่ะ แฟนฉัน" ศาสตราโพล่งออกมาเบาๆ ในระหว่างที่ทุกคนมองตามหลังคนทั้งสองไป

% ###

นฤตยาเดินนำแม่ของรมัณยามาที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ซึ่งปลูกอยู่ข้างอาคารผู้ป่วนใน ตรงข้ามกับอาคารจอดรถ ร่มไม้นอกจากจะช่วยบังแสงแดดที่แผดเผาลงมาแล้ว ยังช่วยให้สภาพจิตใจแช่มชื่นได้ไม่มากก็น้อย

"คุณน้าคะ คุณน้าทะเลาะกับรมัณยาเรื่องอะไรหรือคะ" นฤตยาเริ่มบทสนทนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

"ก็ฉันบอกแล้วไง ลูกสาวฉันไม่ยอมกลับบ้านน่ะ" แม่บอกเสียงกระด้าง

"แต่เห็นบอกว่า เขาเฝ้าไข้...เอ่อ...เพื่อน ไม่ใช่หรือคะ"

"เพื่อนที่ไหนกัน มันเป็น..." แม่พูดไม่จบประโยค แล้วจึงยืดตัวตรง เชิดคาง พร้อมกับหันมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อน

"ถ้าไม่ใช่เพื่อน ก็คงเป็น..." นฤตยาบอก ราวกับเล่นเกมทายใจ "คนรัก..."

แม่หันมามองเธอ แล้วจึงสะบัดหน้า กลับไปยืดคอตรงเหมือนเดิม "เธอรู้แล้วนี่"

"ค่ะ" หญิงสาวรับ "พวกเรารู้กันทุกคนค่ะ"

"ก็ดีแล้วนี่ จะได้คุยกันง่ายขึ้น" แม่บอก ยังคงไม่หันกลับมามองคู่สนทนา "ฉันรับไม่ได้หรอกนะ เรื่องพรรค์นี้"

"ค่ะ ถ้าลูกสาวของหนูเป็นแบบนี้ หนูก็คงรับไม่ได้เหมือนกัน" ประโยคนี้เอง ทำให้แม่ของรมัณยาจึงหันมามองเธอ "แต่ว่า คุณน้าคะ ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ถ้าจะยืนยันขัดขวางไปก็มีแต่ทุกข์กันไปหมด ไม่ว่ารมัณยา พิมาน และคุณน้า ทำไมไม่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติละคะ"

"เธอ!" แม่ร้อง พลางลุกยืนขึ้น "เธอพูดเหมื่อจะเข้าใจนะ แต่ความจริงเธอไม่เข้าใจอะไรเลย"

นฤตยายังคงยิ้ม "คุณน้าเห็นผู้ชายคนนั้นมั้ยคะ" เธอบอก พลางชี้ไปที่กลุ่มเพื่อน ซึ่งบ้างนั่งบ้างยืนรอคอยพวกเธออยู่ที่บันไดหน้าอาคาร "คนที่เข้ามาขวางคุณน้ากับรมัณยาเมื่อครู่น่ะค่ะ"

หญิงกลางคนพยักหน้านิดหนึ่งด้วยความฉงน

"ก่อนหน้านี้ เขาคบอยู่กับรมัณยาค่ะ"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของผู้เป็นแม่แสดงความตื่นเต้นระคนประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

"แต่วันนี้เขามาเยี่ยมพิมานนะคะ" นฤตยาต่อประโยคทันที โดยไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป "ทั้งที่ความจริง เขาน่าจะเป็นผู้ที่เจ็บปวดที่สุด ทุกข์ทรมานที่สุดเมื่อรู้เรื่องนี้"

เสียงของนฤตยาในตอนท้าย แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของสายลม

หญิงกลางคนทรุดนั่งลงอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ได้ยืดคอเชิดคอ หากแต่ก้มหน้าลงนิดหนึ่ง "แล้วยังไง มันก็แค่ความรักของวัยรุ่น จะไปจริงจังอะไรกันนักกันหนาล่ะ"

"ใช่ค่ะ ความรักของรมัณยากับพิมานก็เป็นความรักของวัยรุ่นเหมือนกัน... วัยรุ่นมีอารมณ์รุนแรง คุณน้าก็ทราบใช่มั้ยคะ ตอนนี้น้ำกำลังเชี่ยว ถ้าคุณน้าเอาเรือไปขวาง เรือก็มีแต่จะถูกน้ำพัดจมลง"

"แต่ถ้าปล่อยไปแบบนั้น ใครจะยอมรับพวกเขาได้ พวกเขาจะอยู่ในสังคมกันยังไง"

"คุณน้าคะ สังคมสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วค่ะ ดูอย่างพวกหนูสิคะ อย่างน้อยก็มีพวกหนูที่ยอมรับได้ค่ะ" นฤตยาบอก พร้อมกับรอยยิ้ม เนื่องจากคำพูดของแม่เมื่อครู่ ทำให้เธอรู้ว่า แม่เริ่มเข้าใจบ้างแล้ว "คุณน้าคะ พวกเขาไม่ได้ทำผิดศีลธรรม พวกเขาแค่รักกัน ความรักเป็นสิ่งสวยงามไม่ใช่หรือคะ"

แม่ของรมัณยานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในระหว่างนั้นเธอคิดอะไรไม่มีใครทราบได้ ...บางที เธออาจกำลังทบทวนความรักอันสวยงาม หรือความรักขมขื่น ที่เธอประสบพบมาในวัยที่ยังรัก

เสียงถอนหายใจของแม่ดังขึ้น

"เด็กสมัยนี้ วิปริตผิดเพศกันไปหมดแล้ว" แม่ของรมัณยาบอก แล้วจึงลุกขึ้นจากม้านั่ง เดินออกไปยังลานจอดรถ ระหว่างที่เดินผ่านกลุ่มเพื่อนของลูกสาว เธอหยุดนิดหนึ่ง เหลือบหางตามองกลุ่มของลูกสาว จากนั้นจึงเชิดคาง ก้าวเดินต่อ ไปไม่พูดอะไรสักคำ

% ###

หลังจากแม่ของรมัณยากลับไปแล้ว รมัณยาจึงพาทุกคนขึ้นมาบนอาคารผู้ป่วยใน เพื่อเยี่ยมอาการพิมาน

คนไข้ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใต้แสงไฟสีขาว รามภณเห็นใบหน้าซูบผอมที่ปราศจากการแต่งแต้มใดๆ นั้นดูซีดเหลือง ต่างจากเมื่อคืนก่อนที่พบกันในผับยิ่งนัก

อาจะเป็นเพราะคืนนั้น เธอบดบังความซีดเซียวของใบหน้าด้วยเครื่องสำอางค์ ทั้งยังอาศัยแสงสลัวภายในผับช่วยพรางสีผิวที่ซีดเหลืองของเธอ ทว่าความซูบผอมของร่างกายนั้น ไม่อาจปิดบังได้

รามภณเห็นสภาพพิมานเช่นนี้แล้วให้รู้สึกขมในลำคอ...

ไม่ใช่เพียงแค่รามภณ หากแต่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นย่อมรู้สึกสงสารเธอ... หญิงสาวที่ควรจะอยู่ในวัยสดใส ควรจะใช้ร่างกายที่แข็งแรง ตอบสนองชีวิตอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน มากกว่านอนนิ่งอยู่บนเตียงเช่นนี้

รามภณพิศมองใบหน้าพิมาน จากนั้นจึงเหลือบมองรมัณยา เห็นหญิงสาวผู้เป็นดวงใจยังคงมองคนไข้บนเตียงนั้นไม่วางตา ราวกับกลัวว่าเธอจะเลือนหายไป

ชายหนุ่มสังเกตเห็น ดวงตาคู่สวยที่เคยทำให้เขาหลงใหล ในยามนี้กลับบวมช้ำจากการร้องไห้ และอดนอน นิ้วเรียวขาวที่เขาเคยมองอย่างเพลิดเพลิน เวลาที่เธอดีดเปียโน จับดินสอและพู่กันเพื่อวาดภาพ ในเวลานี้กลับสั่นระริก

"รมัณยา..." รามภณเอ่ยขึ้น "มาด้วยกันหน่อยสิ ฉันมีอะไรจะคุยด้วย"

หญิงสาวไม่ได้เอ่ยตอบแต่อย่างใด เพียงเดินตามเขาออกมาจากห้องผู้ป่วยเงียบๆ

ชายหนุ่มเดินนำเธอมาจนสุดทางเดิน ที่ซึ่งผนังครึ่งบนเป็นกระจกบานใหญ่ ทำให้มองออกไปเห็นท้องฟ้าสีฟ้าใส กับปุยเมฆบางๆ แต้มอยู่ที่ขอบฟ้า

"เรา...ขอโทษ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อเห็นเขามาหยุดที่สุดทางเดิน แล้วท้าวแขนกับผนัง เหม่อมองท้องฟ้าเบื้องนอก

รามภณไม่ตอบคำถาม หากกลับพูดขึ้น "เธอคง...ไม่ค่อยได้พักผ่อนเลยสิ"

ความจริงรามภณหันหลังให้เธออยู่ จึงไม่ได้เห็นว่าเธอพยักหน้าเป็นคำตอบ หากแต่คำตอบก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะสภาพของเธอที่เขาเห็น มันฟ้องอยู่แล้ว

"เธอ...ควรจะดูแลตัวเองบ้าง" เขาพูดต่อไป

รมัณยาค่อยๆ ก้าวมายืนที่ด้านข้าง "ขอบคุณ...ที่เป็นห่วง" เธอบอก จากนั้นจึงก้มหน้าลง "แล้วก็ ขอโทษอีกครั้ง ขอโทษจริงๆ"

คำขอโทษจากรมัณยา แม้ไม่สามารถทำให้เขาหายเจ็บ หากแต่ก็ทำให้เขารู้สึกว่า ยังมีตัวตนอยู่

เพราะก่อนหน้านี้ เพราะเมื่อตอนที่คบกัน ทุกครั้งที่เขามองเข้าไปในดวงตาของเธอ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นั่น

...เอ็งรู้รึเปล่าว่า ที่เธอยอมคบกับเอ็ง เพราะอะไร... คำถามของภวาภพดังแว่วในโสตประสาท คำถามที่เขาเองก็อยากรู้เช่นกัน ในเมื่อเธอ...มีใครคนอื่นอยู่แล้ว

"ทำไม...ตอนนั้นถึงตอบตกลง"

รมัณยาหันมองชายหนุ่ม ใบหน้าด้านข้างของเขาในเวลานี้ ดูนิ่งสงบอย่างประหลาด

"ทำไม...ถึงยอมคบกับฉัน"

"เพราะตอนนั้น...นายกำลังเจ็บ... เจ็บเพราะเรา" ดวงตาคู่สวยของรมัณยาเริ่มมีหยาดน้ำเอ่อคลออีกแล้ว เนื่องจากเธอรู้ว่าในเวลานี้ เขาก็กำลังเจ็บเพราะเธออีก

ปุยเมฆค่อยๆ ลอยผ่านไปอย่างอารมณ์ดี ราวกับโลกนี้ช่างไม่มีอะไรน่ากังวล

"ตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาล ฉันก็ต้องการเลือดเพื่อผ่าตัดเหมือนกัน" รามภณเอ่ยขึ้น เหมือนจะเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลกันนัก

"เรารู้..."

"เลือดหมู่เอบีหายากหน่อย แต่ตอนนั้น ฉันยังโชคดีที่โรงพยาบาลยังพอมีอยู่"

เขาพูดขึ้นลอยๆ เหมือนเล่าเรื่องธรรมดา แต่สำหรับรมัณยา คำพูดเหล่านี้กลับคล้ายเป็นแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเมฆฝนลงมา เธอจ้องมองรามภณนิ่ง ในดวงตาที่เบิกโต กลับมีหยาดน้ำหลั่งไหลลงมาแล้ว

"ชะ...ช่วย..." เธอเอ่ยขึ้นเสียงเบา ทั้งตะกุกตะกัก จนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ "ช่วยพิมานด้วย... ช่วยพิมานด้วย!" เมื่อถึงตอนท้าย เสียงของเธอเหมือนร่ำร้องออกมาจากหัวใจ

เธอเอื้อมมือทั้งสองออก ยึดกุมแขนของชายหนุ่มไว้ เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงยืนนิ่ง เธอจึงเขย่าแขนเขาแรงๆ "ช่วยพิมานด้วยนะภณ ขอร้องล่ะ ช่วยด้วย!"

ทั้งเสียงสะอื้น ทั้งแรงเขย่า กลับไม่ได้ช่วยให้ชายหนุ่มหันมามองเธอเลย หรือความหวังนี้จะสูญสลายไปอีก หรือเมฆฝนจะกลับมาบดบังแสงอาทิตย์ไปอีก

"ช่วยพิมานด้วย..." เธอร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดก็ทรุดร่างลงกับพื้น มือน้อยๆ ทั้งสองเลื่อนลงมาที่มือของชายหนุ่ม บีบมือข้างนั้นไว้แน่น ราวกับจะไม่ยอมปล่อยเขา ไม่ยอมปล่อให้ความหวังนี้หลุดลอยไป

รมัณยาซบหน้าลงกับมือใหญ่แข็งแรงข้างนั้น สะอื้นไห้อย่างน่าเวทนา ซึ่งความจริงรามภณเองก็ไม่ได้มีหัวใจเป็นหินผา แม้หินผายามถูกน้ำกัดเซาะยังพังครืน ก้อนเนื้อก้อนนี้เมื่อถูกหยาดน้ำตาอาบชโลม มีหรือจะยังทานทนได้อีก

รามภณค่อยๆ ก้มมองรมัณยา ยื่นมืออีกข้างลูบศีรษะเธอ ลูบคลำเรือนผมนุ่มสวยของเธอ แล้วจึงค่อยๆ ย่อตัวลง โอบกอดร่างบางไว้อย่างแผ่วเบา

หากเลือดของเขา จะทำให้เธอมีความสุขได้ เขาก็ควรสละ

แม้ความเจ็บปวดที่ได้รับจะมีมากมาย อย่างไรเสียเธอก็ยังเป็นเจ้าของหัวใจเขา

...อย่างไรเสีย เขาก็ยังอยากให้คนที่รักมีความสุข

% ###

รามภณกำลังนั่งพักอยู่ภายในบริเวณมุมกาแฟของโรงพยาบาล หลังจากได้บัตรรับประทานขนมและเครื่องดื่มฟรี จากหน่วยรับบริจาคโลหิตของโรงพยาบาล

เมื่อครู่เขาเพิ่งบริจาคเม็ดโลหิตแดงไป ดังนั้นเวลานี้ เขาจึงต้องการน้ำหวานมาชดเชย

ชายหนุ่มค่อยๆ ยกน้ำหวานสีแดงขึ้นจิบนิดหนึ่ง โดยมีเพื่อนอีกสี่คนนั่งล้อมวงอยู่

"เป็นอะไรของเอ็งวะ" รามภณถาม เมื่อเหลือบไปเห็นศาสตรานั่งยิ้มหน้าแป้นอยู่ข้างๆ

"ข้ากำลังดีใจ"

"ดีใจเรื่องอะไร"

ดีใจที่เพื่อนช่วยพิมาน ดีใจที่เพื่อนไม่ได้รักอย่างเห็นแก่ตัว ดีใจที่พวกเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม... เหล่านี้ล้วนเป็นคำตอบ แต่ศาสตรากลับไม่ได้บอกเหตุผลเหล่านี้ออกไปเลย

"เปล่า ดีใจเฉยๆ" เขาตอบ จากนั้นจึงยกน้ำหวานขึ้นดื่มบ้างเพื่อกลบเกลื่อน "อ้าว น้ำหมดแล้ว ไอ้ภพ เอ็งไปเติมมาหน่อย" เขาบอก พลางวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ เลื่อนไปตรงหน้าจานเค้ก

"ของข้าด้วย" วสวัตติ์และธาวินพูดขึ้นพร้อมกัน พลางยื่นแก้วตัวเองส่งถึงตรงหน้าภวาภพ

ภวาภพที่กำลังตักเค้กเข้าปากอยู่ต้องชะงักค้าง กวาดตามองเพื่อนแต่ละคนอย่างขัดใจ

"ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้นเลย" ศาสตราบอก "เอ็งเป็นคนเดียวที่ไม่ได้บริจาค ไปเติมน้ำมาเลย"

รามภณเหลือบมองสีหน้าเพื่อนแล้วยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้... เมื่อครู่เขาไปบริจาคเม็ดเลือดแดงให้กับพิมาน เพื่อนๆ กลับเห็นเป็นโอกาส จึงพากันบริจาคบ้าง คงมีแต่ภวาภพเท่านั้นที่กลัวเข็ม จนไม่กล้าบริจาค หากทำเป็นเดินเตร่ไปมา และหายไปในระหว่างที่เพื่อนคนอื่นกำลังตรวจวัดความดัน

ใครจะรู้ ท่อนไม้ที่วันๆ อยู่แต่กับพืชกับสวนก็มีสิ่งที่กลัวเหมือนกัน

และใครจะรู้ว่าเพื่อนผมยาวร่างใหญ่ ทั้งยังเป็นถึงประธานชมรมอย่างวสวัตติ์ จะกลัวผีจนร้องเสียงหลง ขณะดูภาพยนต์สยองขวัญเมื่อคืน

...น่าแปลกที่เวลานี้ เขากลับมานึกถึงเรื่องของเพื่อนๆ อีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ในหัวของเขามีแต่รมัณยา คิดถึงแต่เรื่องของรมัณยา

...น่าแปลกที่ในเวลานี้ เขากลับยิ้มออกมาได้อย่างปลอดโปร่งอีกครั้ง ราวกับหัวใจของเขาเป็นแก้วเปล่า ซึ่งพร้อมจะรองรับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา

คงเป็นเพราะเขาตัดสินใจได้แล้วกระมัง ตัดสินใจ...คืนรมัณยาให้กับพิมาน เมื่อคืนไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้หวงไว้อีก

รามภณยกแก้วขึ้น ดื่มน้ำหวานจนหมด จากนั้นจึงยื่นส่งแก้วให้กับคนกลัวเข็ม "ของข้าก็หมดแล้ว ฝากเติมด้วย"

% ###

สนามบิน เป็นสถานที่แห่งการสัญจร เป็นที่ซึ่งคนรักได้พบกัน และเป็นที่ซึ่งคนรักต้องบอกลา...

"ไปถึงแล้วก็อีเมลกลับมาคุยกันบ้างนะ" นภสินธุ์พูดขึ้น ขณะผละจากอ้อมกอดของเพื่อนสาวคนสวย

"รู้แล้ว บอกเป็นสิบเที่ยวแล้ว" รมัณยาตอบ "ว่าแต่นายเถอะ ถ้าได้กลับไปก็มาเยี่ยมบ้างล่ะ"

"แน่นอน ยังไงก็ต้องได้กลับไปอยู่แล้ว" หนุ่มหน้าสวยบอก พลางหันไปขยิบตาให้หนุ่มเลือดผสมที่ยืนอยู่ด้านข้าง "แต่...เราก็ยังแปลกใจอยู่ดี นายพูดกับแม่ยังไงถึงยอมให้นายกลับอเมริกา"

"ก็บอกแค่จะกลับเฉยๆ" รมัณยายักไหล่ "แต่แม่่ก็ยังเป็นแม่นั่นแหละ ตอนที่เราเข้าไปบอก แม่ก็ทำเป็นไม่สนใจ บอกแค่ว่าอยากไปไหนก็เชิญ"

"แล้วแม่นายรู้รึเปล่า ว่านายจะกลับไปกับพิมาน" นภสินธุ์ถามอีก พลางมองไปยังหญิงสาวร่างผอมบางที่ยืนอยู่ข้างกายรมัณยา เวลานี้อาการเธอดีขึ้นมาก จนทำกิจกรรมต่างๆ ได้เฉกเช่นคนปกติแล้ว

"รู้สิ" รมัณยาตอบ "ที่จริง เรื่องนี้คงต้องขอบคุณยา ที่ช่วยพูดกับแม่ให้"

"ยา... อ๋อ ผู้หญิงน่ารักๆ ที่กำลังเดินมากับพวกศาสตรานั่นเหรอ" วีรินทร์ถาม พลางโบกมือให้กับกลุ่มเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามา

รมัณยาหันไปยิ้ม แล้วเดินตรงไปยังพวกเขา "ขอบใจนะ ที่มาส่ง" เธอบอก พลางเอื้อมสองมือ ไปจับมือน้อยๆ ของนฤตยา "ขอบคุณนะ ที่ช่วยพูดกับแม่ให้ในวันนั้น"

"ไม่เป็นไร ฉันก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นแหละ" นฤตายาตอบพร้อมกับรอยยิ้มสดใสน่ารัก

"ยังไงก็ต้องขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ" รมัณยายิ้ม พลางยกแขนขึ้นโอบร่างบางอย่างแผ่วเบา หากยังไม่ทันได้กระชับร่างน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เธอก็ได้ยินเสียงกระแอมจากคนข้างๆ เสียก่อน

"ขอโทษที นี่แฟนผม" ศาสตราบอก พลางอ้าแขนโอบไหล่บางของนฤตยา ทำเอาคนอื่นๆ พากันหัวเราะครืน จากนั้นพวกเขาจึงเห็นพิมานเดินตรงมาทางรามภณ

"ขอบคุณนะ ที่ช่วยฉัน" ขณะที่เธอกล่าว รมัณยาก็ขยับมายืนตรงหน้าเขาด้วยเช่นกัน

"เราก็ต้องขอบคุณนายด้วยเหมือนกัน ภณ... ขอบคุณ"

"ไม่เป็นไร" เขาตอบสั้นๆ

รมัณยาถอนหายใจนิดหนึ่ง "ที่เราขอบคุณ ไม่ใช่แค่เพราะนายช่วยพิมานเพียงอย่างเดียวหรอกนะ เราขอบคุณในสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ขอบคุณสิ่งดีๆ ที่นายทำให้เรา ที่นาย...เข้าใจเรา"

...และขอบคุณที่เขายอมปล่อยเธอ

"ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไร" คำตอบของรามภณยังคงเป็นคำตอบเดิม อาจะเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดได้ มีเพียงเท่านี้

"ฉันว่า พวกเธอน่าจะเข้าไปได้แล้วล่ะ" วสวัตติ์ซึ่งมองกระดานเวลาเที่ยวบินอยู่พูดขึ้น "เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว"

ดังนั้น หญิงสาวทั้งสองจึงพากันลาเพื่อนๆ ก่อนจะเดินผ่านเข้าไปยังส่วนของผู้โดยสารขาออก

รมัณยาหันกลับมายิ้มให้พวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้มของเธอกลับมาสดใสมีเสน่ห์อีกครั้ง บางที...อาจจะดูสดใสกว่าเมื่อพบกันครั้งแรกเสียอีก

% ====================

จากคุณ : ตรีพันธ์
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 55 05:43:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com