Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 26 และ 27 ติดต่อทีมงาน

ปลายเดือนนี้ ขอมาล่องกัลปาลัยพร้อมๆกันสองบทเลยครับ

     ช่วงนี้อาจหายไปสักสองสามอาทิตย์ครับ เพื่อเตรียมตัวแก้ไขงานเรื่องใหม่ให้เสร็จเรียบร้อยทันปลายเดือนสิงหาคมนี้ครับ และถ้าไม่มีอะไรพลาด "โกกิลาเยี่ยมรุ่ง" คงได้มีโอกาสเยี่ยมหน้ามาทักทายกับเพื่อนๆในงานสัปดาห์หนังสือตุลาคมนี้ครับผม

       ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกท่าน ขอบคุณกิฟต์จากคุณ กุหลาบมอญ, รุริกะ, Psycho man, mimny, รพิชา, ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, wor_lek, เพชรรุ้งพราย, mementototem, Hermosa, เขมปัณณ์, นารีจำศีล, เรียวรุ้ง, กาแฟเย็นเพิ่มช็อต และคุณสุชาดาวดี ครับผม


บทที่ 26


               เศาร์เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของผู้เป็นภรรยา นับตั้งแต่พิธีวิวาห์อันทรงเกียรติผ่านไป  ท่าทางของผอบแก้วเย็นชาและห่างเหิน ไม่ใช่หญิงสาวผู้อ่อนหวาน นุ่มนวลเฉกที่เขาเคยเห็นมาก่อน เหมือนกับว่าทันทีเมื่องานแต่งงานเริ่มต้นขึ้น ผอบแก้วก็แสดงตัวตนที่แท้จริงของหล่อนออกมาโดยไม่จำเป็นต้องเก็บงำธรรมชาตินั้นเอาไว้อีกต่อไป


             เมื่อการส่งตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเข้าหอเสร็จสิ้น และทันทีเมื่อพระยาพิทักษ์พนาลัยกับคุณหญิงก้าวพ้นประตูออกไป ผอบแก้วก็แปรสีหน้ายิ้มน้อยๆของหล่อนเป็นเย็นชาไม่ต่างกับการสวมหน้ากากเอาไว้


          “คุณอบ”


                ผู้เป็นเจ้าบ่าวปลดกระดุมเสื้อสูทชั้นนอกออก แล้วทรุดกายลงนั่งยังเก้าอี้ยาวข้างเตียงนอน ซึ่งบัดนี้โรยรายไว้ด้วยกลีบดอกไม้หลากสีสันและกลิ่นหอมตลบอบอวล อันเป็นดอกไม้มงคลบนที่นอนสีขาวสะอาด แต่ผอบแก้วที่นั่งอยู่ปลายเตียงก็ยังไม่ขยับกายรับรู้ต่อเสียงเรียกของผู้เป็นสามี ราวกับกลายเห็นหุ่นปั้นไปเสียแล้ว


             ความรู้สึกเอ็นดูที่หลวงอนุรักษ์ก็ตอบไม่ได้ ว่าเป็นความรักหรือความเมตตาการุณย์ อย่างพี่ชายที่มีต่อน้องสาวคนเล็ก หรือในแบบชายหนุ่มมีต่อหญิงสาวที่ตัวเองรักและเสน่หา แต่ก็ทำให้เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปทรุดกายนั่งข้างกายภรรยาสาว เขาประจงแตะมือลงที่ไหล่บอบบางของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล ปลอบประโลม


            เมื่อนั้นเอง ผอบแก้วจึงผินหน้ากลับมา หล่อนขยับกายถอยห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อรักษาจังหวะ


           “คุณหลวงรักดิฉันไหมคะ?”


             ริมฝีปากเรียวสีแดงเม้มจนแทบเป็นเส้นตรง สายตาดึงดันคู่นั้นจ้องมองสบผู้เป็นสามี โดยไม่แม้แต่จะเบนหลบ


           “ทำไมถึงถามพี่เช่นนั้นล่ะ คุณอบ?”


            แม้แต่ในยามนั้น เศาร์ก็ยังเรียกหล่อนอย่างให้เกียรติไม่เปลี่ยนแปลง ผอบแก้วกระถดกายถอยห่างออกมาเพื่อรักษาระยะของตนเองเอาไว้ อย่างไม่ยอมแพ้


         “คุณหลวงต้องตอบดิฉันมาก่อน”


                 “แม่อบเป็นภรรยาของฉัน ฉันก็ต้องดูแล ให้ความรัก ความเอาใจใส่ เหมือนกับสามีที่ต้องดูแลภรรยาของตนเองนั่นแหละ”


              ผอบแก้วเม้มริมฝีปากแน่น หล่อนรู้ว่าเขาตอบโดยซื่อตรงเช่นนั้น แต่คำพูดของเขาก็ยังไม่ทำให้หล่อนพอใจ มันเหมือนกับมีเส้นแบ่งบางอย่างที่ผอบแก้วยังไม่สามารถแยกความหมายแห่งคำพูดนั้นออกได้ชัดเจน ภาพเหตุการณ์ที่หล่อนรับแอบฟังหลังม่าน ในวันที่เจ้าคุณพ่อ “เสนอ”หล่อนให้กับเขายังติดตราตรึงใจ แม้จะไม่กระตุ้นความรู้สึกในเวลานั้น แต่เมื่อประจวบกับสิ่งที่หล่อนได้รับฟังเพิ่มเติมจากขุนพิพิธ ก็ทำให้ผอบแก้วตัดสินใจ  ใช่! หล่อนก็ต้องตัดสินใจในเวลานี้แล้ว


             การตัดสินใจที่ทำให้ผู้เป็นภริยาหมาดๆของหลวงอนุรักษ์พูดต่อไปในทันที


           “ถ้าเช่นนั้น คุณหลวงก็ต้องเลือก ระหว่างดิฉัน กับ... การทำงานของคุณหลวง”


              ใบหน้าคมเข้มสมชายชาตรีที่หล่อนหลงใหลและชื่นชม ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทีเช่นนั้นทำให้รู้ทันทีว่าเขากำลังครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา


            รู้ว่า ถ้าเขาพูดออกมาเมื่อใด คำพูดนั้นก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งสำคัญก็คือ ทำอย่างไร ให้เขาพูดในสิ่งที่หล่อนต้องการนั่นต่างหาก!


               “หมายความว่า คุณหลวงต้องอยู่ทำงานที่พระนคร เพื่อแลกกับตัวของดิฉัน”


           เมื่อพูดออกไปแล้ว ผอบแก้วก็รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความหนักหน่วงในใจก่อนหน้านี้ออกไปจนหมดสิ้น และรอคอยคำตอบ


           เพื่อชั่งใจระหว่าง ประโยคที่ขุนพิพิธ นำมา “ใส่ไฟ” ไว้ก่อนหน้านี้


               “ผมได้ข่าวมาว่าคุณหลวง มีภรรยาอยู่ที่ปางงิ้วดำ และเป็นผู้หญิงที่ท่านต้องรักมาก จนต้องหาทางย้ายออกไปรับราชการหัวเมืองกันดารเช่นนั้น”


         “ไม่จริง ดิฉันไม่เชื่อ! คุณชำนาญกำลังปดดิฉันอยู่แน่ๆ”


             “ผมจะปดคุณอบทำไม เพียงแต่ผมสงสารคุณเท่านั้น ที่ผัวกำลังจะไปมีเมียน้อย”


          สงสารหรือ? หล่อนเกลียดคำนั้นเหลือเกิน


          จำได้ว่ากำมือแน่นเล็บจิกลงบนผิวเนื้อจนเจ็บแปลบ ส่วนอีกฝ่ายที่คาบข่าวมาบอก ก็เพียงแต่หัวเราะหึๆอยู่ในลำคอ หล่อนเกลียดใบหน้ายิ้มน้อยๆของขุนพิพิธในเวลานั้นยิ่งนัก เขายิ้มเหมือนกับขันในความโง่เซอะ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรของหล่อน ไม่ต่างกับผอบแก้วเป็นผู้หญิงที่ไร้สติปัญญา!


                “แล้วคุณอบไม่เคยติดใจสงสัยหรือครับว่า ทำไมคุณหลวงถึงมีท่าทีกระตือรือร้นนัก ที่จะไปอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อน กลางดงพงไพรอย่างบ้านปางงิ้วดำเสียอย่างนั้น ทั้งที่ถ้าอยู่ในพระนครกับคุณ เขาก็น่าจะมีความสุขอยู่ไม่น้อย”


                คำพูดนั้นทำให้ผอบแก้วถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนำ “ไฟ” เข้ามาเติม แต่หัวใจกลับสั่นระรัวด้วยความหวั่นไหว และสังหรณ์บางอย่าง


           จากสัญชาตญาณของลูกผู้หญิง!


              “ที่คุณหลวงอยากจะย้ายไปอยู่ที่นั่น ก็เพราะท่านเห็นว่าที่ปางงิ้วดำยังมีปัญหาเรื่องการป่าไม้อยู่มาก ด้วยอุดมการณ์ของท่านที่ต้องการจะไปแก้ไขปัญหาต่างหาก”


              หล่อนตอบออกไปตามที่เคยได้ยินมาก่อน และอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อยๆอยู่ในหน้า ก่อนจะเอ่ยปากพูดปนเสียงหัวเราะ


            “อุดมการณ์? คุณหลวงพูดอย่างนี้จริงๆหรือครับ คุณอบ น่าขันนัก!”


           “คุณชำนาญ”


           “ปละ- เปล่า ผมมิได้คิดจะเอ่ยละลาบละล้วงหรือเจตนาล้อเลียนใดๆแก่คุณอบ แต่มีบางอย่างที่คุณอบอาจจะยังไม่ทราบ”


             “เรื่องอะไรที่ฉันยังไม่ทราบ?”


            เสียงของหล่อนแข็งขึ้นมา ประสานสายตาอีกฝ่ายโดยมิอาจซ่อนความเกลียดชังไว้ได้มิด


           “เรื่องคนรับใช้คนใหม่ของคุณหลวง”


             ผอบแก้วนึกถึงนายอาตม์ขึ้นมาทันที ฝ่ายนั้นแม้จะท่าทางแข็งๆประหลาดๆอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของหล่อนมาก่อน


              “ผมเคยเห็นคนสองคนนั่นพูดคุยกันอย่างลับๆ ท่าทางเหมือนมีลับลมคมนัยพิกลอยู่ ดูเหมือนว่าตาเฒ่านั่นเองก็ไม่ใช่คนแถบนี้เสียด้วย ดีไม่ดี อาจจะเป็นเกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้หญิงที่ปางงิ้วดำที่ว่านั่นก็ได้”


             ได้ผล! ไฟที่ขุนพิพิธบรรจงแหย่ใส่ลงไปทีละน้อย ทำให้หัวใจที่หวั่นระแวงแต่แรก ถูกจุดปะทุขึ้น จนกลางเป็นเพลิงกองมหึมา


           “ดิฉันจะเรียกนายอาตม์มาสอบถามด้วยตัวเอง”


                 “พุทโธ่ คุณผอบแก้ว ถ้าทำอย่างนั้น ใครมันจะไปตอบเล่าขอรับ ทำไมคุณไม่ลองพิสูจน์ วัดใจคุณหลวงดูล่ะ”


          อีกฝ่ายพูดตรงเข้าประเด็นที่ต้องการทันที โดยผอบแก้วหาได้เฉลียวใจไม่


            “วัดใจ? คุณชำนาญต้องการให้ดิฉันทำอย่างไร?”


              นัยน์ตากลมโตของอีกฝ่ายเบิกกว้างขึ้น พยายามข่มความตื่นเต้นระหว่างชะโงกตัวเยื้องมาข้างหน้าเล็กน้อย ในเมื่อทุกอย่างกำลังจะเข้าเค้าเป็นไปตามความต้องการของเขาอยู่พอดี ขุนพิพิธอารัญเอ่ยเสียงแผ่วเบาไม่ต่างกับเสียงกระซิบ


             “ก็ลองให้คุณหลวงลองเลือกดูสิ ว่าท่านให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากที่สุด ระหว่างงานดูแลป่าไม้ที่ปางงิ้วดำนั่น กับตัวของคุณเอง!”


             ขุนพิพิธยิ้มน้อยๆ เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายทิ้งเอาไว้


                “แล้วดูสิว่า สิ่งไหนมีค่ามากกว่ากัน ในสายตาของคุณหลวง!”


                ********************


         “พี่คงทำอย่างที่คุณอบบอกไม่ได้ดอก พี่ต้องรักษาสัญญา... สัญญาที่ให้ไว้กับทางกรม และเพื่อชาติบ้านเมือง นี่คือการทำหน้าที่ในฐานะของชาวสยาม ที่พี่สามารถกระทำได้ด้วยกำลังความสามารถของพี่”


          ชายหนุ่มขบกรามแน่นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายสะบัดกลับไปอย่างไม่พอใจ


             “สัญญา? แล้วคุณหลวงเคยนึกถึงใจของดิฉันบ้างไหมคะ ว่าจะรู้สึกอย่างไร เมื่อผัวต้องไปอยู่ห่างไกลตัวออกอย่างนี้?”


               “ผอบแก้ว  พี่ไม่เคยบอกว่าจะทอดทิ้งเธอไปเลยนะ ยังจำได้ใช่ไหมว่าอันที่จริงเรื่องนี้ เราเคยคุยกันก่อนหน้าที่จะแต่งงานแล้ว ว่าจะให้น้องไปอยู่ที่นั่นด้วยกัน และพี่ยินดีจะดูแลคุณอบให้ดีที่สุด เท่าที่พี่จะทำได้ ถ้าเป็นช่วงนี้พี่ก็สัญญาว่าจะเดินทางกลับมาพระนครทุกสัปดาห์ อย่างไรเล่า”


            หล่อนเม้มริมฝีปากแน่น จำได้ถึงข้อตกลงที่อีกฝ่ายบอกกล่าวไว้อยู่แล้ว แต่ตอนนั้นความลุ่มหลงที่มีต่อเขาก็บังตา เสียจนผอบแก้วเห็นดีเห็นงามไปด้วยหมดทุกอย่างโดยไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ถ้า... ขุนพิพิธจะไม่มาจุดชนวนของความหวั่นระแวงนั้นเสียก่อน!


         ด้วยอารมณ์รุนแรงที่พลุ่งขึ้นโดยไม่อาจควบคุม และธรรมชาติของผอบแก้วเองที่ไม่เคยยอมพรั่นแพ้ ไม่สนใจด้วยเหตุผลใดๆ หล่อนเถียงย้อนออกไปทันที


             “ดิฉันจำไม่ได้หรอกค่ะ มันนานมาแล้ว แต่ตอนนี้เราแต่งงานกันแล้ว และดิฉันรู้ดีว่าไม่อยากจากพระนครไปตกระกำลำบากที่ไหน ไหนจะยังเจ้าคุณพ่อ คุณแม่...”


            หล่อนเว้นวรรคไปชั่วจังหวะหนึ่งเพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมกับใจตัวเองมากที่สุด ทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นข้ออ้างมากกว่าเหตุผลจริงๆ


              “ดิฉันคงไปอยู่ที่นั่นไม่ได้หรอกค่ะ บ้านป่าเมืองเถื่อนออกอย่างนั้น แต่เอาเถอะ! ถ้าคุณหลวงเห็นว่างานขุดร้างถางป่าที่นั่นมันดีมีค่ากว่าตัวดิฉัน ก็เชิญไปอยู่คนเดียวเถิด ดิฉันขอไม่ไปอยู่ด้วยเด็ดขาด”


             พูดออกไปแล้วก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยอารมณ์ผันผวนเกินควบคุมจนไม่ทันครุ่นคิดว่าสิ่งที่กำลังพูดนั้นคือคำท้าประการหนึ่ง และใจของผอบแก้วเองก็กำลังต้องการจะพิสูจน์ ว่าคุณหลวงรักหล่อนจริงจนยอมแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารักหรือเปล่า


             เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ ไม่ตอบโต้หรือพูดสิ่งใด นั่นก็คือคำยืนยันในเจตนารมณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปร แม้จะรู้เต็มอกว่า หลวงอนุรักษ์ เป็นคนเช่นนี้ แต่วิสัยอิสตรีซึ่งมีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลในเรื่องนี้ ทำให้ผอบแก้วคอแข็งขึ้นมาด้วยทิฐิมานะในฉับพลัน


           ในเมื่อก็ได้รับคำตอบแล้ว คำตอบที่เคยกลัว... กลัวว่าจะเหมือนกับที่ขุนพิพิธเตือนเอาไว้ก่อนหน้า


             “ดิฉันง่วง อยากจะนอนแล้วค่ะ”


              พูดสั้นๆเพียงแค่นั้น โดยไม่สนใจอากัปกิริยาของอีกฝ่ายอีกต่อไป และความน้อยใจก็เริ่มทวีมากขึ้น เมื่อเห็นว่า ผู้เป็นเจ้าบ่าวหมาดๆ ก้าวเดินออกไปนั่งที่เก้าอี้ริมระเบียงห้องแล้วจุดบุหรี่สูบอยู่ที่นั่น ผอบแก้วหันหน้าหนีกลับไป


          นี่หรือคือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์งานวิวาห์ ในราตรีแรกที่ควรจะแสนหวานชื่น อย่างเคยคิดฝันมาก่อน?


             ความน้อยใจแปรเปลี่ยนเป็นพลังทิฐิอันแรงกล้า มีพลังอำนาจเหนือกว่าเหตุผลใดๆที่ควรจะเป็น ผอบแก้วปิดกั้นความคิดอื่นใดในทุกอย่าง เหลือแต่เพียงใจที่ครุ่นคิดคั่งแค้นคุณหลวงอนุรักษ์ ชายผู้เคยทำให้หล่อนลุ่มหลงด้วยความรัก ความเสน่หา แต่แล้ว เขากลับเป็นฝ่ายทรยศไปรักกับผู้หญิงคนอื่นแทน


           ฝืนข่มกลั้นความโทมนัสลงในทรวงโดยไม่คิดจะไต่ถามสืบความใดๆทั้งสิ้นจากเขา และแปรเจตนาของชายหนุ่มที่เป็นฝ่ายลุกขึ้น เพื่อเลี่ยงการโต้แย้งออกไป เป็นการยอมรับความจริง!


          “พ่อบอกกับลูกก่อนนะ ว่าเมื่ออยู่เป็นคู่สามี ภรรยา กันแล้วต้องไว้วางใจกันและกัน คุณหลวงอาจจะไม่ใช่ผู้ชายประเภท “โรแมนติค” เหมือนพระเอกในฝันของลูกทีเดียวนัก แต่ก็มีจิตใจมั่นคง เด็ดเดี่ยวเหมือนเหล็กเพชร ลูกต้องปรับตัวเองด้วยเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น จนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรนะลูกรัก”


            ดูเหมือนคำพูดของพระยาพิทักษ์พนาลัยจะกลืนหายไปกับสายลมแห่งความหึงหวงและโทสะที่ไม่เคยจางของหญิงสาว


             เสียงเพลงแว่วหวานของทำนองเพลง “เขมรใหญ่” ดังขึ้นจากระเบียงไม้ด้านนอกที่คุณหลวงออกไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่ หากก็ไม่อาจดับความร้อนรุ่มของหล่อนที่นอนพลิกกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอนนั้นได้เลย


          แม้ว่าจะเป็นท่วงทำนองขลุ่ยละห้อยโหยอย่างที่ผู้อยู่ในอารมณ์อันอ่อนหวานควรจะสดับด้วยความรื่นรมย์ ผอบแก้วรู้ดีว่าเป็นเสียงขลุ่ยที่คุณหลวงอนุรักษ์ชอบนำมาเป่าเล่นเสมอในยามอารมณ์ปลอดโปร่ง ชายหนุ่มมักจะแสดงความอ่อนโยนของตัวเองออกมาในรูปแบบนี้มากกว่าจะเอ่ยปากเป็นคำพูด ต่างจากบุคลิกนิ่งขรึมอยู่เป็นนิจของเขา


         และผอบแก้วก็ไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจ!

  เดินทางพระพลางคิดคำนึง
ถวิลถึงบุษบามารศรี
แสนวิโยคโศกศัลย์พันทวี
โศกีครวญคร่ำรำพัน

  โอ้ว่าเสียดายดวงยิหวา
งามเหมือนนางฟ้ากระยาหงัน
พี่รักเจ้าเท่าเทียมชีวัน
หมายมั่นในองค์นงลักษณ์...*



              หล่อนเคยได้ยินเนื้อร้องจากสถานีวิทยุกระจายเสียงพญาไท**อยู่บ่อยครั้ง หากในยามนี้ เมื่อม่านแห่งมิจฉาทิฐิเข้ามาบดบัง ความคิดของผอบแก้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความขมขื่น เมื่อนึกว่าคุณหลวงหนุ่มผู้เป็นสามี กำลังถวิลถึง “นางบุษบา” ผู้เป็นสตรีอื่นยังแดนไกล ตามที่รับฟังมาจากขุนพิพิธผู้นั้น


              และด้วยอารมณ์คั่งแค้นเช่นนั้นทำให้หญิงสาวต้องฝืนข่มนัยน์ตาหลับไปอย่างยากเย็นจนในที่สุดก็ผล็อยหลับไปจริง ตราบจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ เมื่อตื่นจากนิทรา ก็พบว่าคุณหลวงผู้เป็นเจ้าบ่าวเพียงคืนเดียว ได้เดินทางไปยังกระทรวงตั้งแต่หัวรุ่งเรียบร้อยแล้ว....


          จากนั้น ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ก็เริ่มมึนตึงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เจ้าคุณและคุณหญิงพิทักษ์พนาลัย หาได้ล่วงรู้ปัญหาเหล่านั้นไปด้วย ผอบแก้วเก็บความขุ่นข้องหมองใจไว้เพียงลำพังด้วยใบหน้าเย็นชา มิได้โวยวายออกไปเช่นปกติอีก


        นับจากนั้น ไม่ว่าเศาร์จะเข้ามาพูดดี หรือชวนคุยสนทนาเช่นใด ก็มิได้นำพาอีกต่อไป ผอบแก้วเพิ่งตระหนักชัดว่าหล่อนเป็นคน “รักแรง-เกลียดแรง”ในบัดนี้ ทั้งด้วยลักษณะที่ได้รับการตามใจ พะเน้าพะนอมาตั้งแต่เยาว์วัย และเศาร์เองก็มิใช่บุรุษผู้อ่อนหวาน เอาอกเอาใจภรรยาอย่างชายหนุ่มที่คล่องแคล่วในเชิงปฏิพัทธ์ทั่วไป ดูเหมือนว่าคุณหลวงหนุ่มจะมุ่งมั่นแต่งานและงาน โดยไม่สนใจท่าทีปึ่งชาของภรรยาเอาเสียเลย


        โดยเฉพาะเมื่อการงานกำลังเจริญรุดหน้า ภาระต่างๆก็ถั่งโถมเข้ามาในชีวิตพร้อมกัน ทำให้เขาต้องอยู่สะสางเรื่องต่างๆในกรมทั้งวันจนถึงมืดค่ำ ในแต่ละวันเศาร์จึงวุ่นวายกับงานการที่ต้องจัดการ จนแทบไม่มีเวลาจะมางอนง้อเจ้าหล่อนได้บ่อยครั้งอย่างที่ผอบแก้วต้องการ


          ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยรอยบิ่นร้าวเพียงเล็กน้อย หากเวลาที่ผ่านไปรอยร้าวนั้นก็เริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นรอยแยกที่เกินประสานในที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในเวลาไม่นานต่อมา


        นั่นก็คือ คำสั่งโอนย้ายคุณหลวงอนุรักษ์วนาดร ไปประจำยังมณฑลราชบุรี และเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ผืนป่าเขตปางงิ้วดำ

        ในขณะที่สงครามมหาเอเชียบูรพา กำลังจะเริ่มต้นขึ้นพอดี...

                  ********************
*เนื้อร้อง จากบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒
** สมัยรัชกาลที่ 7 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงปรับปรุงวังพญาไทเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างประเทศพัก เปิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2468 ระหว่างนั้น ได้มีการใช้ พระราชวังพญาไทได้เป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุกระจายเสียง วิทยุแห่งแรกของไทย ออกอากาศเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2473

แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 55 19:23:51

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 19:22:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com