Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<< บัลลังก์ลูกไม้ ::..[31]>> ติดต่อทีมงาน

-สามสิบเอ็ด-


บุหลันลอยดวงงามเด่น เสี้ยวที่เว้าเพียงน้อยหนึ่ง  ถูกซ่อนอยู่ในม่านเมฆหนา ดารการะยับระยิบพลอยพริบหาย

แปลก...ยิ่งดึกจัด น้ำหนักแห่งราตรีกาล...ดุจจะกดดันจนหมอกม้วน อวลตลบสูงขึ้นในนภากาศ

เมื่อนั้น บทบรรเลงในค่ายพักแรมผันเปลี่ยน จากเสียงพูดคุย ก้าวย่าง บ้างจัดเก็บงานที่คั่งค้าง บ้างตบแมลง ผิงไฟ ล้วนมลายเหลือไว้เพียงเสียงปะทุปุปะ นานทีจะมีเสียงฝีเท้าหนักๆ เหยียบใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ของนายทหารยามกะดึก ผู้ตรวจตรา ทั้งเปรอป้อนกองไฟด้วยไม้ฟืน อันกองไว้ไม่ไกลกันนัก นอกจากนั้น เห็นจะมีแต่สำเนียงไพร เคล้ามาด้วยสายลมเย็นจัด ไกวกิ่งและใบไม้ฟังดูแสนเหงา

ด้วยเหตุนี้ เจ้าของวรร่างที่โผล่พ้นชายกระโจมไหวๆ ออกมา จึงต้องเพิ่มความระวังระไว ขณะทรงเหลียวซ้าย แลขวา ก่อนตัดสินพระทัยทิ้งพระพี่เลี้ยง ผู้คงหลับอุตุ ย่องสู่ทิศที่กำหนดไว้ในหทัยแต่ต้น

ม่านขาวไม่หนาไปกว่าช่วงพลบ กับคบไต้อันถูกตามไว้ถ้วนถี่...ไม่รู้จะเรียก ‘ตัวช่วย’ หรือ ‘ตัวฉุด’ ดี เพราะทำให้ทอดพระเนตรเห็นถนัด หากนั่นย่อมหมาย... ใครอื่นอาจเห็นองค์เองชัดเช่นกัน

เอาน่า...จะกลัวกระไร ในเมื่อบุคคลปลายทาง คือเจ้าของอำนาจสูงสุดหรือมิใช่?

ใคร...คนที่รับสั่งไว้เองว่า...

‘แล้วไว้มาเรียนต่อคืนถัดไปนะ’

นั่นแหละ ถึง ‘คืนถัดไป’ ที่ รับสั่งจะมิใช่คืนนี้ ทว่า...ก็เมื่อคืนฝนตกหนักเหลือเกินนี่ ใครจะออกมาพบด้วยได้ อีกอย่าง...ถึงจะเป็นคืนถัดมาของถัดไป แต่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ ตรัสแล้วไยคืนคำเล่า

‘เราจะสอนเจ้าขี่ม้าดีมั้ยล่ะ?’

นั่นไง ยังทรงจำได้...สุรเสียงนุ่ม ความแหบเพิ่มความรู้สึกเย็น แต่อะไรหนอ...อะไรบางอย่างที่ยังความอบอุ่นเหลือเกินเมื่อได้ฟัง ทั้งที่ในความมืดมองเห็นวงพักตร์มิใคร่ชัด หากรัศมีจันทร์ยองใย ก็ระบายให้เห็น...และเชื่อมั่นในความมั่นคง ทั้งปลอดภัย จากเจ้าของนัยเนตรสีดำสนิทไม่ผิดโพยมบน

‘ถึงม้าจะเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ ดูเชื่อง แต่ก็ต้องระวัง...’

วิธีรับสั่งมักเรียบ เรื่อย เบาแผ่ว ยิ่งลอยมาตามลมหนาวยิ่งเหมือนนิทานกล่อมชวนฝันดี

‘คราวมันตกใจ...ถ้าเราอยู่หน้า มันจะกัด ถ้าอยู่หลัง...พลังเตะของมัน มหาศาลมากพอจะทำให้สิงโตตัวใหญ่ๆ ตายได้ในถีบเดียว!’

ไม่ค่อยทรงหันมาทอดเนตรลูกศิษย์ตรงๆ เท่าไหร่ แต่ครั้นลูกศิษย์กำลังเพลิน แล้วฉับพลันแลหันไป มักพบว่าเจ้าของวรร่างสูงใหญ่ กำลังสะบัดพักตร์กลับไปทุกที

‘เวลาขึ้น ให้ยืนข้างไหล่ม้า...’ ระหว่างรับสั่ง ไม่ทรงลืมชี้และทำทีประกอบ

‘มือซ้ายถือสายบังเหียน...อย่างนี้...’

ผู้สอนต้องทรงพยายามเบี่ยงองค์มิให้พระฉายาบังแสงโสม หากเป็นครูอื่น คงคว้ามือศิษย์จับเป็นตัวอย่างให้ง่ายเข้า

‘สอดเท้าซ้ายเข้าโกลน มือขวาจับสายโกลน แล้วส่งขาขวาข้ามม้าขึ้นไป ดู...’

ชั่ววิบตา วรร่างที่น่าจะทั้งหนา ทั้งหนัก กลับลอยขึ้นประทับเหนืออาชาไนยได้สง่า งาม เหมือนเป็นเรื่องง่ายดายที่สุด

กว่าลูกศิษย์จะทรงสำเหนียกว่า...ง่าย...คือแค่ตอนฟังและดู วรร่างก็แทบร่วงคู้ไปอยู่ใต้ท้องม้าเสียหลายรอบ

ทีนี้ก็เป็นเรื่องการนั่งบนหลังม้า

ตอนนั้นเอง นักเรียนเพิ่งทรงรำลึกว่า...มิน่า...ทั้งอาจารย์ ทั้งพระพี่นาง พระสหาย หรือเจ้าชายวาเลนติน จึงต่าง ‘มาดงาม’ นัก

‘การทรงตัวบนหลังม้าจะช่วยเสริมบุคลิกภาพ...’ ผู้รับสั่ง คือคนที่เคยพังพาบอยู่กับพระเก้าอี้รถเข็นแท้ๆ

ขณะรับสั่ง ยังต้องทรงคอยประคองลูกศิษย์ไปพร้อมๆ กับประคองอาชา ด้วยอาการประหวั่นของคนเคยเผชิญฤทธิ์ม้า ทำให้เจ้าตัวคอยจะผละจากเจ้าพาหนะทุกทีที่ตกใจ ซึ่งยังผลให้อาชาตัวเชื่องสนิท เริ่มจะออกฤทธิ์อยากผละคนบังคับขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

ไม่ทรงคิดเลยว่า...หรือนี่จะเป็นวิธี ‘แก้แค้น’ ของ พระราชา... วินาทีที่ความเกรงกริ่งกลุ้มรุม พระหัตถ์บางอันควรจับบังเหียนตามคำสอน กลับขยับมากุมพระหัตถ์หนา ที่ต้องกลายเป็นฝ่ายบังคับม้าแทน แถมนานๆ เข้า...ครั้นอาจารย์ทรงทำท่าจะละให้ลูกศิษย์ทรงองค์เองบ้าง รายหลังก็ถึงกับถือวิสาสะ คว้า กึ่งๆ จิกนขาลงบนอังสะกว้าง หนา ชนิดลืมศักดินาไปเสียสนิท

‘...นั่งตัวให้ตรง ศีรษะตรง สองตามองตรง ไหล่ตั้ง มือเจ้าเองก็ควรกระชับสายบังเหียนเพื่อให้สัญญาณม้า…’

‘หม่อมฉันสะกิดอังสะ ให้ฝ่าบาทสะกิดสายม้าให้แทนได้มั้ย?’

‘งั้นเรียกวิธีเรียนตกม้ามากกว่าวิธีขี่’

เห็นได้ชัดว่าปีศาจไก่ยังสิงวรกายเป็นพักๆ

ลูกศิษย์ต้องพยายามหับโอษฐ์องค์เอง

...ถ้าฝ่าบาทประคองหม่อมฉันไปเรื่อยๆ แค่นี้หม่อมฉันก็ไม่ตกม้าแล้ว!

อย่างไรก็ดี พระอาจารย์จำเป็น ดูจะทรงรู้พระทัยอยู่เหมือนกัน...นอกจากไม่ทรงพระทัยร้ายทิ้งศิษย์หัวช้า ถึงขากลับ...ยังทรงปีนขึ้นประทับ บังคับม้าอยู่เบื้องปฤษฎางค์อีกด้วย

เหตุนี้ ในวงพระกร และแผ่นอุระกว้าง อุ่น...กับสุรเสียงกระซิบอุ่นๆ ริมพระกรรณ...

‘แล้วไว้มาเรียนต่อคืนถัดไปนะ’

ไยจะไม่ประทับในพระทัยผู้สดับจวบบัดนี้...

. . . . . . . . . . .

 

ไม่เกินห้านาทีที่วรร่างลับๆ ล่อๆ ผลุบหายไปในหมู่กระโจมและหมอกควัน ชายกระโจมงาม ขนาดใหญ่ ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน ก็เริ่มพะเยิบไหว

รอยแย้มเผยให้ยลวรองค์สูง เพรียว ซึ่งเจ้าของวรองค์บรรจงคลุมไว้ด้วยภูษาขนสัตว์ผืนหนา สีขาว ฟู ชายช่วงที่กระหวัดเป็นวงต่างคอเสื้อ ขมวดสูงถึงแทบกึ่งกลางศิระเพื่อรักษาความอบอุ่น มิดชิด ฉะนั้น ต่อให้เคลื่อนมาประทับยืดตรงอยู่ด้านนอก จึงคงเห็นเพียงเสี้ยวพักตร์ ตั้งแต่เหนือริมโอษฐ์ บาง อิ่ม ขึ้นไป แสงไฟจากไต้ใกล้ๆ ช่วยแรแสงเงา ดุจจะขับเน้นเส้นสายวิจิตร อันกอปรเป็นวงพักตร์งามดั่งสลักเกลากระนั้น

เรือนเกศาสีทองอ่อน เงาสลวยไม่ผิดใยไหม ที่คงถูกปล่อยสยายด้วยใกล้เพลาบรรทม ถูกผู้ลุกขึ้นมา รวบตึง แล้วม้วนเก็บเป็นมวยกลมเหนือท้ายทอย เยื้องทางฝั่งซ้าย เปิดให้เห็นรูปพักตร์เรียว และนลาฏกลมกลึง เนียนเกลี้ยง เฉกเดียวกับพระฉวีช่วงปรางและนาสิก ซึ่งกลายเป็นสีชมพูแกมแดงระเรื่อเนื่องเพราะลมเย็นจัด ปลายนาสาค่อนข้างแหลม เชิด เมื่อผนวกกับพระนิสัยที่มักเงยพักตร์แต่น้อยอยู่เป็นนิจ ยิ่งส่งให้ดูรั้นเหลือคณา

เช่นเดียวกับระยะที่ผ่านมา พระขนงเรียว แตะรอยกดตรงหัวเพียงนิด พร้อมกันคือใต้ขนพระเนตร ยาว หนาเป็นเป็นแพ...ดวงบุษราคัมกระจ่าง กลับมัวลงด้วยรอยเครียดครุ่น

องค์เองเท่านั้นจะทรงทราบ...ต่อให้ข่มจักษุลงเท่าไหร่ ก็บรรทมไม่หลับอยู่นั่นแล้ว

ละไอขาว พ่นฟุ้งอยู่ใต้พระนาสา...ทรงถอนปัสสาสะอย่างจะสลัดความคิดที่ติดค้าง ให้หลุดมาจนหมดในคราวนั้น

ทว่า...สัมฤทธิ์ล่ะหรือ?...

ในความมัวซัวของดวงอัคคี เคล้ากระจายในพรายหมอก ทุกหนแห่งสงบเงียบ เงาคนเริ่มเปล่าหาย หากเงาใครอีกคนกลับยังประทับอยู่ตรงนั้นตรงนี้

...ที่แท้คือ ประทับอยู่กลางดวงหฤทัย...ฤามิใช่?...

อีกครั้ง ทรงถอนพระทัยอย่างเหน็ดหน่ายพระองค์เอง รอยกดตรงหัวขนงลึกลง ครั้นทรงบังคับมิได้อย่างพระทัยปรารถนา

นั่นไง...อีกล่ะ...

เจ็บใจตรงที่เสียงหนึ่งยังกระซิบย้ำ

‘พระทัย’ แน่หรือที่ปรารถนา...?

หาไม่...ในช่วงกว่าสองวันที่ผ่านมา...มาตรว่าอยากลับลี้ ทั้งยังมีเหตุการณ์ประจวบเหมาะให้ได้ออกอ้าง หาก...มิไยยังคล้ายแหงนชะแง้ เงี่ยสดับตรับตามแต่สุรเสียงห้าวนั้น

แล้วก็เก็บมาคิด มาเคือง มาคัดค้างอยู่กลางอก

‘...เห็นทำองค์กะโปโล ทะเล่อทะล่าอย่างนั้นน่ะ ต้องทรงระวังนักเชียวเพคะ แพร่ด...เอ้อ...ร้ายเงียบ!’

เสียงเล่าประสงค์ร้ายมีที่มาจากพระพี่เลี้ยงข้างวรกาย เมื่อ ‘มื้อบ่าย’ สองวันก่อน

‘มีอย่างที่ไหน?! เป็นสาวเป็นนาง...เป็นถึงทั้งพระองค์หญิงแท้ๆ แต่กลับหลบไปสนทนากระซี้กระซิกกันลำพังกับชายหนุ่มอยู่แถวที่พักม้า...ถ้า เป็นนางในธรรมดาก็ว่าไปอย่าง!’

ครานั้น ผู้ฟังมิได้สนพระทัยอาการฉุนเฉียวจนเกินควร...จนจวนจะกลายเป็น ‘หึง’ ตะพึดตะพือเสียมากกว่า ทั้งนี้...ทรงทอดพระเนตรเห็นเองนี่ว่า หลังจากเสวยเสร็จ พระกนิษฐภคินีทรงหายไปกับ ‘ใคร’

‘...หม่อมฉันล่ะอดหวั่นใจแทนไม่ได้จริงจริ๊ง...ง... เดี๋ยวนี้พระคู่หมั้นก็ทรงหล่อ...เอ้อ...ทรงรูปงามขึ้นมาเสียขนาดนั้น ไม่รู้เจ้าหญิงพระตำหนักน้อยทรงไปอ่อยอีท่าไหน ถึงได้รับเชิญมาออกประพาส ทั้งที่พระคู่หมั้นแท้ๆ ยังทรงทราบเสียทีหลัง แล้วนี่จะยังองค์ยุพราชต่างเมืองนั่นอีก...!’

นั่นสิ...ต่อให้ภายใต้ทิฐิ ทั้งความทะนงในองค์เองยวดยิ่ง เจ้าหญิงเอลีโอน่ายังทรงไม่อาจปฏิเสธ...

ก็เพราะความกะโปโล ทะเล่อทะล่า อันแฝงมาพร้อมความเป็นธรรมชาติ และจริงใจยิ่งของพระน้องนางมิใช่หรือ...ใครต่อใครจึงต่างอยากชิดใกล้

แล้วเรื่องที่ได้ฟัง ก็ยังให้อดจินตนาการต่อมิได้...

เพอร์นีเลียกับ... ‘ใคร’ คนนั้น...คงพูดคุยสรวลสันต์ สนุกสนานกันสองคน อย่างที่เคยเป็นเสมอมา!

ริษยาหรือ? ชอกช้ำหรือ? ...ได้แต่เพียรยืนยันกับองค์เองว่าไม่มีทางเป็นไปได้

ริษยาไปไย? ชอกช้ำด้วยเหตุไหน? สองคนนั้นมิได้มีความสำคัญเยี่ยงไรแก่องค์เองเลย

เจ้าหญิงเอลีโอน่าต่างหาก...ทรงเป็นบุคคลสำคัญสูงสุด

ที่ทรงระคายในดวงกมล คงเพราะใครคนนั้น กระทำประหนึ่งละความสำคัญ มิให้ความสนพระทัยในองค์เองเท่าที่ควร...เฉกทุกคาบเรียนที่ผ่านมานั่นเล่า

ก็ช่างซี! แค่คนไม่มีความหมาย จะสนพระทัยทำไม การติดตามเสด็จองค์นฤเบศวร์ครานี้ เพราะทรงมีจุดประสงค์ แลภารกิจยิ่งใหญ่รออยู่ต่างหาก!

หาก...ก็อีก...

ถึงตรงนี้...สุรเสียงที่น่าจะย้ำกับองค์เองหนักแน่น กลับอ่อยลงจนน่าอ่อนใจ

ในเมื่ออีกเสียง...เสียงที่คอยขัดพระทัยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จวบระยะหลัง...เริ่มถี่เป็นทุกเวลานาทีนั่นแหละ...

ใช่แล้ว...

ที่ทรงติดตามมา เพราะต้องการแค่กีดกั้นพระประสงค์องค์มาตา... ไม่ปรารถนาให้บุคคลที่องค์เองทั้งรัก ทั้งเทิดทูนสูงสุด ทรงพลั้งหัตถ์แปดเปื้อนเรื่องเลวร้าย...

ทรงติดตาม...แค่เพื่อเอา ‘ความสำคัญ’ แห่งองค์เอง งัดข้อ คุ้มภัยพระคู่หมั้น...

เพียงประการนี้เท่านั้น...แน่ล่ะหรือ?!

ที่แท้...ลึกสุดลึกในมุมหทัย...มุมที่องค์เองก็ได้แต่หลบเร้น ไม่กล้าแตะต้อง...

มุมลึกเบื้องหลังจากเหตุผลสำคัญในฉากหน้า ฤามิใช่ทรงตามมา เพราะเป็นห่วง...เกรงภัยร้ายพลอยพ่วงสู่ ‘ใคร’ ผู้นั้นด้วย?


ใคร...ที่ทั้งเขลา ทั้งพระทัยดำนัก จนนอกจากไม่รับรู้ ยังเจาะจงเสียดสีไยไพไม่ว่างเว้น

...เจ้าของวรร่างสูง สมส่วน ความเพรียวเพาะความแข็งแกร่ง แนบเนียน เยี่ยงผู้ออกกำลังอยู่เป็นนิจ กระนั้นพระฉวีขาวจัดล้วนสะอ้าน กอปรกับเส้นพระเกศสีทองจาง ส่งให้ดูสำอาง เป็นรูปงามอันเคล้าความเข้มแข็งกลมกลืน

เมื่อมิได้โพกผ้า เกศาตัดสั้นเป็นระเบียบ มักแต้มน้ำมันเรียงเส้นสลวย เฉพาะปลายจะสะบัด ขมวดตามลักษณะหยักศก พึงพิศ ความผอมทำให้วงพักตร์ค่อนข้างเรียว หากหนุเหลี่ยมเสริมความบึกบึน นอกจากช่วยทอนความหวานจากเครื่องพักตร์อื่นๆ ได้แก่แนวขนงเรียว สีทองเข้ม สันนาสิกค่อนข้างแคบ และริมโอษฐ์สีจัด บาง เล็ก เฉกสตรีแล้ว เพียงแต่นัยเนตรจะละแววขี้เล่นลงเสียบ้าง วงพักตร์นั้นคงขรึมเข้มชวนคร้ามเกรงอยู่ใช่หยอก

พระเนตรสีฟ้าคราม...งามจรัสยิ่งธารหว่างเทือกภูสูง...ที่ดูจะมีประกายระยับแย้ม รักใคร่ และเอื้อเอ็นดู...แด่ดรุณีน้อยเพียงหนึ่งเดียว!

นี่คงคือสาเหตุ...สายพระเนตรที่มิเคยทอดแล แม้แน่งน้อยผู้ได้รับสมญา...

สตรีอื่นหมื่นล้านใต้หล้า ยังแพ้ โฉมยง!

ดูหรือ ขณะที่ทรงจดจำได้แทบทุกรายละเอียดในวรร่าง ในวงพักตร์นั้น...ในดวงจักษุของเจ้าของวงพักตร์ดังกล่าว...ทุกคราที่พบกัน หากมิใช่รอยเย้าขบขัน ย่อมคือความสมเพชในความทะยานหยิ่ง ทว่าทึบเขลายิ่งของพระองค์เอง!

‘...คนส่วนมาก ยอมลำบากเพราะ ‘เก้าอี้’ นะฝ่าบาท’

‘เพอร์นีเลียคงดีใจ ที่พระพี่นางโปรดจนซดซุปไม่หยุดขนาดนี้’

ทำไมนะ...ทำไม?

ผู้สดับ...คนที่ไม่เคยละเว้น รึอ่อนข้อให้แก่หน้าไหน กลับทนทานมิได้เพียงเพราะพาทีนั้น?!

ปลาบแปลบ ยอกแสยง

ทีนี้รึปฏิเสธองค์เองได้...

นั่นล้วนอุบัติด้วยความน้อยพระทัยเพียงข้อเดียว!

วินาทีนั้นนั่นเอง สิ่งซึ่งทรงเกรงกริ่งเสมอมา ผุดให้ประจักษ์แล้วว่า...มันได้เกิดขึ้น!

ใยใส...บางจนแทบมองไม่เห็น...

แต่เป็นใยที่เหนียวชนิดแทบไร้สิ่งใดตัดขาด!

ความปวดแปลบ เปลี่ยนแปรเป็นใจหาย

โอ...สุริยะ...ไยกลั่นแกล้งร้ายแรงถึงเพียงนี้?!

มิใช่ทรงสิ้นหวังหนทาง เพราะด้วยทิฐิ ด้วยขัตติยะมานะแห่งความเป็นอะแลมเบิร์ก ต่อให้ความหวังเพียงน้อยหนึ่ง...ก็ไม่อาจยอมให้เกิดก่อในพระทัยองค์เองได้!

ทางออกเดียวที่มี จึงคือต้องตัดพระทัย

กลบฝัง แล้วลืมว่าเคยมีมันอุบัติขึ้น!

แต่...นั่นแหละ...ง่ายนักหรือ?

ผิว่า พยายามหลบพักตร์ ยังเป็นในคลองจักษุ ที่แว่บว่าบพระวรองค์นั้นประหนึ่งภาพหลอน แค่ฝีเท้าใครเฉียดใกล้กระโจม สัญชาตญาณยังเผลอจดจ่อ รอคอย และผิดหวังอยู่ร่ำไป เนื่องแยกแยะว่าเป็นผู้ใดได้กระทั่งเสียงฝีเท้า!

จวบเมื่อเย็น ชั้นต้น...ก็เสียงฝีเท้าอีกล่ะที่ทำให้เริ่มระทึกในอุระ ทว่า...ไม่กล้าแน่พระทัย... ข้อหนึ่งคือนี่เป็นเขตเจ้านายฝ่ายหญิง กับทั้งฝีเท้านั้นกลับหยุด...ห่างไป ละม้ายจู่ๆ เจ้าของฝีเท้าก็กลับยืนเฉย แล้วสลายไปในอากาศ

ผู้เพียร ‘ตัดพระทัย’...ถึงกับส่งคนแจ้งไม่ขอร่วมเสวยกระยาหารค่ำแล้วด้วยซ้ำ กลับเบิกพระเนตรกว้าง หทัยโหมตูมตาม ฉับพลันที่เสียงพระน้องนางดังขึ้น

‘ฝ่าบาท!’

‘เพอร์นีเลียมาทำอะไรที่นี่หืมม์?’

แค่สุรเสียงนั้น...สุรเสียงที่ไม่ปรารถนาได้ยิน แต่อีกพระทัยก็คอยเงี่ยหาตลอดสองวัน ยังชโลมให้วรกายสั่นซ่านเสมอถูกอาบด้วยน้ำทิพย์!

ถ้อยถัดๆ มา...ถ้อยอันน่าจะแฝงความห่วงหา สนพระทัย...อย่างน้อยก็ซักเสี้ยวเศษหนึ่งนั่นล่ะ ยังนำพารอยสรวลและความพองฟูในอุระได้จนล้นปรี่!

ดูที ชั่วขณะนี้...แม้เพียงทรงคำนึง ยังถึงกับแย้มหยักมุมโอษฐ์ขึ้นแต่เมื่อไหร่ไม่รู้!

ไม่! ไม่! ไม่!

อีกเสียงที่เข้มแข็งกว่า กัมปนาทขึ้นในหฤทัย สองพระหัตถ์กำแน่น แล้วก็แทบจิกนขาลงในพระฉวี อย่างจะระดมความเจ็บยิ่งกว่า ให้รู้สึกองค์เสียที

อากาศลดอุณหภูมิต่ำ ทว่าเจ้าของวรองค์ระหงกลับทรงผะผ่าว ร้อนพล่านจนเสโทพร่าง วรร่างสั่นด้วยแรงต่อสู้ดึงดันในพระมโนสำนึก

มันคือความ...สุข...ที่ทรมานเหลือแสน...

ริมโอษฐ์หยักแย้มอยู่แต่ต้น เริ่มสะท้าน ครั้นแรงสะอื้นสะท้อนขึ้นจากแก่นวรกาย

แล้วอัสสุชลก็ไหลพรู...

ทำไมนะ...ทำไมต้องเป็นเช่นนี้?!

พระนิสัยเคยเอาแต่พระทัยเป็นเจ้าเรือน ทำให้ทรงคุ้นชินกับความพระทัยร้อน... ‘ต้องได้!’ กับทั้งทิฐิทรนงอันดูจะเปี่ยมแปร้ล้นสายพระโลหิต ส่งให้แรงเกรี้ยวกราด โทโสใส่พระองค์เอง ปะทุกรุ่น

พอเสียที! หยุดทำอะไรโง่ๆ เสียที!

ใช่! ต่อไปนี้จะต้องไม่ยอมให้เกิดความรู้สึกทึบเขลาเหล่านี้ขึ้นอีก! คงเป็นมายาจากราชศัตรูร้าย ขืนทรงเตลิดไกลกว่านี้ สุดท้ายรายนั้นคงยิ่งได้พระทัย...คงยิ่งหัวร่องอหายให้กับความทึบเขลา หลอกง่าย ไม่ต่างเด็กอมมือ!

ต้องไม่เป็นเช่นนั้น!

...เรามาที่นี่ มิใช่เพราะ ‘หน้าไหน’

มา...เพื่ออะแลมเบิร์ก เพื่อทูลกระหม่อมแม่ และ...เพื่อพระคู่หมั้นของเราเอง...แค่นั้น!

การปะทะรุนแรง สิ้นสุดลงที่คำมั่น ซึ่งแทบจะคาดคั้นเอากับพระองค์เอง...

เวลาของการเดินทางต่อจากนี้...ก็แค่อีกไม่นานเท่าไหร่ หากยัง...บังคับตัวเองไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ ไม่ต้องคุย ไม่ต้องเห็นหน้า ไม่ฟัง ฤ ถามหาชื่อนั้น ต้องไม่คิดถึง!

ก็เหมือนแค่ คนไร้ความหมาย ที่ตายจากกัน!

ใช่! ทรงต้องสะกดองค์เอง ลบความวูบโหวง แว่บแปลบในองค์เอง อย่างยิ่งยวดเชียวล่ะ

อย่างไรก็ดี วินาทีที่ยกสองหัตถ์ ใช้ปลายมัชฌิมาทั้งสองข้าง ปาดคราบฉ่ำชื้นใต้พระเนตร สุรเสียงที่ทรงตั้งพระทัยมาดมั่นไว้แท้ๆ ว่าจะไม่ทรงฟัง จะทรงกระทำเสมือนไม่ได้ยิน กลับก้องตะโกนขึ้นในระยะใกล้

“เอลีโอน่า ระวัง!”

อย่างไม่ทันรู้สึกองค์ จู่ๆ โลกเบื้องพักตร์กลับโคลง ทรงสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของอะไรบางอย่าง...ใครบางคน...โถมกระแทก จนองค์เองเสียหลัก ล้มลงกับพื้น

ค่าที่มัวตกพระทัย จึงมิทันได้รู้สึกเจ็บ

อีกที...อาจเพราะพาหา และขนอง ที่น่าจะปะทะพื้นรุนแรง ถูกหุ้มกำบังไว้ด้วยวงแขนของเจ้าของแรงกระแทกนั้น

“ก...เกิดอะไรขึ้น...?”

พระเนตรสีบุษราคัม เบิกโพลง ขณะที่ริมโอษฐ์สั่น นึกว่าตะโกน...แต่กลับกระซิบแทบไม่เป็นภาษา

สำนึกถัดมา พระสติหวนคืนด้วยเสียง ‘พรึ่บ!’ พร้อมประกายเพลิงโชตนาการ

เปลวไฟไล่จากชายกระโจมฝั่งหนึ่งของพระองค์เอง ลามลุกเริงร้ายสู่เบื้องยอดว่องไวยิ่ง

สิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกต่อมา คือเสียงพุ่งแหวกอากาศของอะไรบางอย่าง แล้วจบลงตรงการลุก ‘พรึ่บ!’ สลับระคนกันไม่หยุดยั้ง ก่อนที่ทั้งค่ายจะกลายเป็นทะเลเพลิง!

“ก...เกิดอะไรขึ้น...เกิดอะไรขึ้น?!”

ถ้อยละล่ำละลัก เพียงประโยคสุดท้ายที่แผดแหลมเพราะเรี่ยวแรงเพิ่งคงคืน นัยเนตรสั่น โอษฐ์ศอสั่น ทรงพยายามสะบัดวรร่างออกจาก ‘กำบัง’ เพื่อลุกขึ้น ทั้งที่จักษุคงมิคลาดจากความวินาศเบื้องพักตร์แม้สักเสี้ยวอึดใจ

“เราถูกโจมตี!”

สุรเสียงที่ริมพระกรรณ เป็นเสียงกัดกราม คุมแค้น การเกาะเกี่ยวแน่นหนาขึ้น ป้องกันมิให้ผู้ตกพระทัย ผวาหลุดจากพื้นที่ปลอดภัยไปได้

และแล้ว เสียงฝีเท้าก็เริ่มคะคึกจากชายป่าหนึ่ง พุ่งมายังทิศที่ตั้งของเขตพลับพลา ผู้คงสติมากกว่า อาศัยการเกาะเกี่ยวนั้น กึ่งดึง กึ่งลาก วรร่างในวงตระกองออกจากตำแหน่งเดิม

“ปล่อย...ปล่อย!” เป็นครั้งแรกที่เจ้าของสุรเสียง สลับแลเจ้าของวงรัด

พระสติพูนเพิ่มในเจ้าหญิงเอลีโอน่าโดยฉับพลัน ทรงพลุ่งพล่าน ทุบทึ้ง หากถึงอย่างไรก็ไม่อาจทานกำลังผู้แข็งแรงกว่าได้

หลบมาถึงหลังกระโจมหนึ่ง วงพระกรคลาย หากพระหัตถ์หนามิวายคว้าอังสะบอบบางนั้น เขย่าจนคนตัวเล็กกว่า สะเทือนไปทั้งวรร่าง

กรงนิ้วพระหัตถ์ กดแน่น ดึงการจดจ่อชิดใกล้ชนิดลมหายพระทัยแทบรดอีกพระพักตร์ พระเนตรสีฟ้าคราม ผละแววขี้เล่น ช่างหยอกไปได้สิ้น เหลือแต่ความดุดัน เครียดเคร่ง อย่างจะสะกดคนตรงหน้าให้รู้สำนึก

“ไม่ใช่เวลาจะมามัวเอาชนะ ถือองค์ว่าเก่งกว่า สูงกว่า! ถ้าเย่อหยิ่งจนไม่คิดจะกลัวอะไร ก็ขอให้ทรงคิดถึงหัวใจของคนที่เป็นห่วงพระองค์บ้าง!”

. . . . . . . . . . . .
ปราปต์
31/7/55

.

 
 

จากคุณ : งี่เง่าบอย
เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 11:04:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com